สารพัดวิธีช่วยชีวิตลูกน้อย จากอุบัติเหตุใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อเอ่ยถึงเรื่อง “ อุบัติเหตุ ” หลายคนคงจินตนาการถึงภาพของความชุลมุนวุ่นวายในการพยายามช่วยเหลือผู้บาด เจ็บ รวมไปถึงภาพการสูญเสียชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รัก...เหตุการณ์เหล่านี้ส่วน ใหญ่เกินจากความประมาทที่คิดเพียงว่า... นิดเดียว...แป๊บเดียว... แต่ทราบหรือไม่ว่า!! ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นภาพความทรงจำที่เลวร้ายตราบนานเท่านาน... จากความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยนี้เอง Modern Mom นิตยสารเลี้ยงลูกยอดนิยมของแม่ยุคใหม่เพื่อความสมดุลของชีวิต ได้มีโอกาสร่วมแบ่งปันความรู้ดีๆ สำหรับครอบครัวในงานครบรอบ 10 ปี “รักลูกเฟสติวัล” โดยชูประเด็นเกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัย เพื่อป้องกันอุบัติภัยให้ลูกน้อย ภายใต้หัวข้อเสวนา “ห่างไกลอุบัติเหตุ... รู้จัก First Aids เพื่อลูกน้อย” โดยได้รับเกียรติจากทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญนำโดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งครั้งนี้คุณหมอได้แนะนำแนวทางในการจัดการความปลอดภัยสำหรับเด็กอายุน้อย กว่า 3 ปี พร้อมรวบรวมเทคนิคต่างๆ ในการปฐมพยาบาล ตั้งแต่การปั้มหัวใจประคองชีวิต รวมถึงวิธีการเอาสิ่งของออกจากคอลูกน้อยอย่างถูกต้อง... รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ชี้ให้เห็นถึงอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารก (น้อยกว่า 1 ปี) จากการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุปีละ 122 ราย และเด็กอายุขวบปี 280 ราย โดยส่วนใหญ่เกิดกับเด็กชาย และการจมน้ำถือเป็นสาเหตุหลัก ตลอดจนการขาดอากาศหายใจในแบบต่างๆ และจากกระแสไฟฟ้า สารพิษ การหนีบทับ ชนกระแทก และพลัดตกจากที่สูง ดังนั้น เพื่อการป้องกันจึงเน้นให้คุณพ่อคุณแม่ และคนในครอบครัวหันมาใส่ใจกับเรื่องอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุก วินาที... โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กวัยขวบปีแรกที่ไม่สามารถพูด หรือช่วยเหลือตัวเองได้ เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน...
“อุบัติเหตุที่มักเกิดกับเด็กเล็กๆ มีตั้งแต่การบาดเจ็บเพราะ รถหัดเดินพลิกคว่ำ การเขย่าตัวเด็ก ซึ่งนำไปสู่ภาวะเลือดออกในสมองและประสาทตา แขนขาหัก นอกจากนั้นยังมาจากของเล่นที่เป็นเส้นสายยาวกว่า 22 ซม. ซึ่งมีความเสียงต่อการรัดคอเด็ก รวมถึงเตียงนอน เครื่องนอน หรือท่านอน จากการศึกษาพบว่าในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีเสียชีวิตต่อปีถึง 180 ราย ซึ่งมีสาเหตุจากการขาดอากาศหายใจเพราะการติดค้างของศีรษะในช่องว่างระหว่าง เตียงกับกำแพง หรือเฟอร์นิเจอร์อื่น หรือซี่ราวที่มีช่องว่างตั้งแต่ 6 ซ.ม.ขึ้นไป รวมไปถึงท่าการนอนคว่ำที่เชื่อกันว่าจะทำให้ศีรษะของลูกทุยสวย...ซึ่งท่านอน ที่ถูกต้องควรเป็นท่านอนหงาย มีระยะห่างจากผู้ใหญ่ที่นอนด้วยอย่างน้อย 1 เมตร และใช้ที่นอนแบบไม่อ่อนนุ่มเกินไป เพื่อยับยั้งอันตรายได้ครับ”
รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว สำหรับการจัดการความปลอดภัยให้เด็กอายุน้อยกว่า 3 ปีนั้น สามารถทำได้ 3 แนวทาง คือ 1.จัดสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กให้ปลอดภัยทั้งใน บ้าน นอกบ้าน และการเดินทาง โดยแยกเด็กออกจากจุดอันตราย เช่น ตู้ ประตู บันได ปลั๊กไฟ ของมีคม สารพิษ และแหล่งน้ำ 2.เฝ้าดูแล ปกป้องคุ้มครองเด็กโดยผู้ดูแลให้อยู่ในสายตาตลอดเวลาและควรมีความรู้เรื่อง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น 3.สอนเด็กให้หลีกเลี่ยงจุดอันตราย หรือทักษะการช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งในเด็กอายุ 18 เดือนสามารถเรียนรู้คำสั่งง่ายๆ ได้
ทั้งนี้ คุณหมออดิศักดิ์ ยังฝากเทคนิคการปฐมพยาบาลลูกเล็กด้วยตัวเองก่อนนำส่งโรงพยาบาลตามสถานการณ์ ต่างๆ เพื่อลดการบาดเจ็บได้ทันท่วงที...
สำหรับ สิ่ง ของติดคอ ควรระวังกับสิ่งของชิ้นเล็กที่มีขนาดเล็กกว่า 3.2x6 ซม. (ทดสอบกับแก้ววัดขนาด) ซึ่งเด็กสามารถนำเข้าปาก และสำลักอุดตันหลอดลมได้ ซึ่งถ้ามองไม่เห็นของที่ติดคออยู่ในปากลูก ไม่ควรเอามือล้วงเข้าไป เพราะอาจจะดันให้สิ่งของลึกลงไปอีกได้ มีวิธีช่วยลูกได้คือ 1.วางเด็ก คว่ำลงบนท้องแขน โดยให้มือรองศีรษะในลักษณะที่ลำตัวอยู่สูงกว่าศีรษะ 2.ใช้ ฝ่ามือเคาะหลังระหว่างกระดูกสะบักสองข้าง 4 ครั้งติดต่อกัน 3.พลิกเด็ก นอนหงายบนท้องแขน และรองท้องแขนด้วยตัก โดยให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าลำตัว 4.กด กลางหน้าอกด้วยนิ้ว 2 นิ้ว (บริเวณกึ่งกลางระหว่างหัวนมทั้ง 2 ข้างลงมา) และทำซ้ำ 2 ขั้นตอนจนกว่าของที่ติดอยู่จะหลุดออกมา 5.สังเกตการหายใจ อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา หากเด็กหมดสติ ให้เป่าปากสลับกับเคาะหลัง และกดหน้าอก ซึ่งถ้าทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล ควรนำตัวลูกส่งโรงพยาบาล หรือแจ้งหน่วยฉุกเฉิน 1669
ส่วนอุบัติเหตุจาก การจมน้ำ โดยเฉพาะในอ่างอาบน้ำในบ้านตอนที่คุณแม่เผลอ หรือไม่ทันระวัง ลูกอาจลื่นจนจมน้ำได้ อย่ามัวแต่ตกอกตกใจ รีบอุ้มลูกขึ้นจากน้ำแล้วปฏิบัติดังนี้ 1.ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง 2.ให้ เด็กนอนราบ กดหน้าผากและเชยคางขึ้นอย่างเบามือ เพื่อเปิดทางเดินหายใจ 3.หาก เด็กหยุดหายใจ หรือหายใจผิดปกติ ควรช่วยหายใจด้วยการใช้ปากของพ่อหรือแม่ครอบจมูก และปากของเด็ก เป่าลมเบาๆ นานครั้งละ 1-2 วินาที ประมาณ 2 ครั้ง พร้อมกับสังเกตดูว่าหน้าอกของเด็กขยายเมื่อเป่าลมหรือไม่ 4.ถ้าเด็กไม่ หายใจแต่มีชีพจร ให้เป่าปากต่อประมาณ 20 ครั้งต่อนาที 5.กรณีที่ไม่ หายใจและไม่มีชีพจร ต้องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ โดยใช้วิธีการปั๊มหัวใจ โดยส่วนใหญ่เด็กวัยขวบปีแรก ให้ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดกึ่งกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง จนกระดูกหน้าอกยุบลงประมาณ 1-1.5 นิ้ว กดหน้าอก 5 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 1 ครั้ง 6.เอาน้ำออกจากกระเพาะ อาหาร ด้วยการใช้มือสอด และพยุงบั้นเอวของเด็กแล้วยกเอวขึ้นให้อาเจียนน้ำออกมา เพื่อกระตุ้นการหายใจ การไหลเวียนเลือด และฟื้นฟูสภาพหลังจมน้ำ ขั้นตอนนี้ทำเมื่อลูกฟื้นแล้ว หรือหลังจากการกระตุ้นการหายใจด้วยการปั๊มหัวใจ 7.เมื่อเด็กหายใจเป็น ปกติแล้ว ควรเปลี่ยนเสื้อผ้า และเช็ดตัวให้แห้ง ให้เด็กนอนคว่ำแล้วตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการอาเจียนจนสำลัก จากนั้นจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล หากทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้วลูกยังไม่มีอาการตอบสนอง ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล และระหว่างทางควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปพร้อมกัน ซึ่งแม้จะระมัดระวังมากแค่ไหนก็ตาม หากลูกวัยเบบี๋เพิ่งจะเริ่มคลาน หัดนั่ง หัดยืน ไปจนถึงหัดเดิน ก็มีความเสี่ยงต่ออันตราย และความบาดเจ็บได้ทั้งนั้น คงดีกว่าหากคุณพ่อ คุณแม่รู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกต้อง เพื่อที่ว่าลูกได้รับบาดเจ็บเมื่อใดก็สามารถช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามสถานการณ์ต่างๆ อาทิ ไฟดูด กระดูกหัก หรือฟกช้ำดำเขียว สามารถติดตามได้ใน นิตยสาร Modern Mom คอลัมน์ “เปิดตำราปฐมพยาบาลลูก” ฉบับเดือนเมษายนนี้... การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องถือเป็นเรื่องจำเป็นที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรรู้ไว้... แต่จะให้ดีกว่านั้นควรระมัดระวัง และดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุความเจ็บตัวเหล่านี้เป็นดีที่สุดค่ะ... ขอขอบคุณ ข้อมูลประกอบจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัย และป้องกันการบาด เจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
Free TextEditor
Create Date : 14 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2553 21:57:55 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1990 Pageviews. |
|
|