|
น้ำตาล...ไปทำอะไรอยู่ในร่างกายของเรา
ปกติเมื่อคนเรารับประทานอาหารจำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล เข้าไปในร่างกายเริ่มตั้งแต่ในปากจะมีการย่อยสลายอาหารกลุ่มนี้ออกเป็นหน่วย เล็กลงเรื่อย ๆ และเมื่อถึงลำไส้เล็กส่วนใหญ่ของหน่วยเล็ก ๆ เหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตเพื่อให้ร่างกายนำเข้าไปในเซลล์ของ ร่างกาย และเผาผลาญกลายเป็นพลังงานในร่างกายสามารถเคลื่อนไหว คิดและปฏิบัติกิจในชีวิตประจำวันได้โดยมีฮอร์โมนจากตับอ่อนที่เรียกว่า "อินซูลิน" เป็นสารช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์
ดังนั้นในกระแสเลือดของเราจะมีน้ำตาลอยู่เสมอแต่จะอยู่ในระดับที่พบดีสำหรับ การนำไปใช้ที่เซลล์ของร่างกายคืออยู่ในช่วง 70-120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เมื่อไรที่ระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรจะกรองน้ำตาลออกมาในปัสสาวะทำให้สามารถตรวจพบน้ำตาลใน ปัสสาวะได้
|
|
เบาหวานคืออะไร
เป็นชื่อของกลุ่มอาการจากความผิดปกติที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตาม ปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและถูกขับออกมาทางปัสสาวะเนื่องจากร่างกาย ขาดฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่ง คือ อินซูลินจากตับอ่อนที่ผลิตไม่พอใช้หรือผลิตแล้วใช้ไม่ได้ตามปกติ เมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นาน ก็จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังในกรณีเรื้อรังจะไปทำให้ หลอดเลือดเสื่อมเสียหายและทำลายอวัยวะส่วนปลายทาง เช่น ไต สมอง หัวใจ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำลายหลอดเลือดร่วมอยู่ด้วย
|
|
|
อาการ...ของผู้ที่เป็นเบาหวาน
1. ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน
2. คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย และมาก
3. หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย
4. เป็นแผลหรือฝีง่ายแต่หายยาก
5. คันตามผิวหนังและบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
6. ชาปลายมือปลายเท้าความรู้สึกทางเพศลดลง
7. ตามัว พร่า ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ
|
|
สาเหตุของเบาหวาน
ในชุมชนไทยมีโอกาสพบคนเป็นเบาหวานตั้งแต่ช่วงอายุ 13 ปีขึ้นไป โดยประมาณทั้งสิ้นถึงหนึ่งล้านเจ็ดแสนคน นอกจากนั้นยังพบว่าเมื่ออายุสูงขึ้นมีโอกาสเป็นเบาหวานได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ประชากรระหว่าง 20-44 ปี จะพบประมาณร้อยละ 2-3 และอายะ 45-59 ปี ขึ้นไป อาจพบสูงถึงร้อยละ 10-12 สาเหตุของการเกิดโรคมีดังนี้
1. น้ำหนักเกิน ความอ้วน และขาดการเคลื่อนไหวออกกำลังกายที่เพียงพอ
2. กรรมพันธุ์ มักพบโรคนี้ในผู้ที่มีบิดา มารดา เป็นเบาหวาน ลูกมีโอกาสเป็นเบาหวาน 6-10 เท่าของคนที่พ่อแม่เป็นเบาหวาน
3. ความเครียดเรื้อรังทำให้อินซูลินทำงานนำน้ำตาลเข้าเนื้อเยื่อได้ไม่เต็มที่
4. อื่น ๆ เช่น จากเชื้อโรคหรือยาบางชนิด เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองหรือต่อมหมวกไต เป็นต้น
|
|
|
ผู้ใด...ควรจะสงสัยว่าตนเองเป็นหวาน
ผู้มีอาการของโรคเบาหวาน ผู้มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 40 ปี และผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อยในข้อใดหนึ่งต่อไปนี้
1. มี บิดา มารดา พี่ หรือน้อง คนใดคนหนึ่งเป็นโรคเบาหวาน
2. อ้วน โดยมีดรรชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 25
3. มีภาวะความดันโลหิตสูง
4. มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (ไตรกลีเซอไรด์) มากกว่า 250 มก./ดล. เอช ดี แอล คลอเลสเตอรอล (HDL cholesterol) น้อยกว่า 35 มก./ดล.
5. มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือมีประวัติการคลอดบุตรที่น้ำหนักตัวแรก คลอดมากกว่า 4 กิโลกรัม
6. มีประวัติหรือเคยมีประวัติน้ำตาลในเลือดสูงจากการตรวจเลือดโดยการงดอาหาร (Fasting Plasma Glucose) = 110-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือตรวจวัดน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังกินกลูโคส 75 กรัม ตรวจพบน้ำตาล = 140-199) มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
|
|
รู้ได้อย่างไร..ว่าเป็นเบาหวาน
ถ้าสงสัยว่ามีความเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่ง ให้ไปตรวจน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วที่สถานบริการรักษาพยาบาลพื้นฐาน ก่อนไปตรวจจะต้องงดอาหารทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่าก่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ถ้าผลเลือดตรวจพบน้ำตาลมากกว่าหรือเท่ากับ 110 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ต้องสงสัยว่าเป็นเบาหวาน และสามารถรับประทานอาหารได้หลังการเจาะเลือด
แต่ถ้าสถานบริการใดไม่มีเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด ต้องตรวจน้ำตาลในปัสสาวะแทนให้ผู้รับบริการเตรียมตัวเก็บปัสสาวะ
ในการเก็บปัสสาวะเพื่อตรวจทดสอบให้มีมาตรฐานที่ดีในการตรวจนั้น ควรปัสสาวะทิ้งหลังจากตื่นนอนตอนเช้าเสียก่อนแล้วจากนั้นดื่มน้ำตาม 1 แก้ว รับประทานอาหารเช้าแล้ว หลังอาหาร 2 ชั่วโมงจึงเก็บปัสสาวะส่งตรวจ และถ้ายังมีอาการน่าสงสัย แต่ตรวจไม่พบความผิดปกติจากการตรวจน้ำตาลในปัสสาวะให้ไปตรวจอีกครั้งจากสถาน บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลชุมชน เป็นต้น
เมื่อตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรองข้างต้นแล้วสถานบริการพื้นฐานจะส่ง ตัวท่านไปวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานหรือไม่โดยแพทย์ ซึ่งจะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจากข้อพับแขนของท่านอีกโดยการเตรียมตัวเพื่อ รับการตรวจเช่นเดียวกับการตรวจเลือดปลายนิ้วและจะวินิจฉัยว่าท่านเป็นเบา หวานเมื่อผลเลือดของท่านมากกว่า 126 มก./ดล.ขึ้นไปอย่างน้อย 2 ครั้ง
|
|
แหล่งข้อมูล: คู่มือดูแลตนเองเบื้องต้น เรื่องเบาหวาน "รู้ทันเบาหวาน"
สำหรับผู้เป็นเบาหวาน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
|
|
|
|