|
การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ
Data Analysis in Health Science Research Level 1 นำเสนอโดย นส. อุทัยพร อัครานุภาพพงศ์ การวิจัย หมายถึง การใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ หรือข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ต้องมีระเบียบแบบแผน ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ ตีความหมายข้อมูล และต้องนำเสนอข้อค้นพบ รูปแบบงานวิจัย แบ่งเป็น 1. การวิจัยแบบสังเกต (Observation Research) - การวิจัยเชิงพรรณนา - การวิจัยเชิงวิเคราะห์ 2. การวิจัยแบบทดลอง (Experimental Research) ได้แก่ การทดลองในห้องปฏิบัติการ การทดลองในภาคสนาม ประเภทของข้อมูล และตัวแปร - ข้อมูลต่อเนื่อง Continuous data เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง วัดจากตัวแปรที่มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ - ข้อมูลไม่ต่อเนื่อง Discrete data เช่น เพศ อาชีพ การศึกษา วัดจากตัวแปรที่มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ระดับการวัดข้อมูล แบ่งได้ 4 ระดับ - ระดับกลุ่ม เป็นข้อมูลได้จากการจดนับค่า หรือระดับของตัวแปร สามารถจดนับได้เพียงแบ่งแยกเป็นประเภท หรือเป็นกลุ่มๆ ตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เพศ - ระดับอันดับ Ordinal scale เป็นข้อมูลที่บอกได้เพียงอันดับมากน้อย ของระดับตัวแปร และบอกได้ว่าระดับใดมีค่ามากกว่า หรือน้อยกว่ากันเท่านั้น เช่น ระดับการศึกษา - ระดับช่วง ข้อมูลที่ได้เป็นตัวเลขที่มีลักษณะต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิ - ระดับอัตราส่วน เช่นเดียวกับข้อมูลระดับช่วง เช่น น้ำหนัก ประชากรที่ใช้ในการวิจัย (Population) หมายถึง หน่วยของข้อมูลทั้งหมดในสิ่งที่ต้องการศึกษาตามขอบเขตของการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย (Sample) หมายถึง หน่วยของข้อมูลบางส่วนที่ผู้วิจัยได้เลือกมา เพื่อใช้เป็นตัวแทนของหน่วยข้อมูลทั้งหมด หรือประชากรในการวิจัยที่ต้องการศึกษา การคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง - คำนวณจากสูตร การกำหนดค่าความคลาดเคลื่อน แบ่งได้ 2 วิธี
- ในกรณีทราบจำนวนประชากร สูตร n = N/1+N (e)2
- ในกรณีไม่ทราบจำนวนประชากร สูตร n = P(1-P)(Z)2/e2 โดย ค่าเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการจะสุ่มจากประชากรทั้งหมด (P) ต้องไม่ต่ำกว่า 50% ค่า Z หมายถึงระดับความเชื่อมั่น มักนิยมใช้ที่ 95% และ 99%
- คำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูป - การคำนวณขนาดตัวอย่างด้วยคอมพิวเตอร์ วิธีการสุ่มตัวอย่าง การสุ่มตัวอย่าง โดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non Probability sampling) ได้แก่ - การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง - การสุ่มตัวอย่างโดยบังเอิญ - การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้า - การสุ่มตัวอย่างแบบ Snow ball การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น (Probability sampling) ได้แก่ - การสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มเชิงเดียว (Simple random sampling) - การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ - การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น - การสุ่มตัวอย่างแบบเกาะกลุ่ม - การสุ่มตัวอย่างแบบหลายชั้น การทดสอบสมมติฐาน - การทดสอบสมมติฐานแบบทางเดียว เป็นการทดสอบแบบระบุทิศทาง Ho : u 1 < u 2 (สมมติฐานหลัก) Ha : u 1 > u 2 (สมมติฐานรอง) - การทดสอบสมมติฐานแบบสองทาง Ho : u 1 = u 2 (สมมติฐานหลัก) Ha : u 1 ไม่เท่ากับ u 2 (สมมติฐานรอง) เงื่อนไขการยอมรับ หรือปฏิเสธสมมติฐาน - ถ้า ค่า p-value > alpha ยอมรับสมมติฐานหลัก Ho แสดงว่า การทดสอบสมมติฐานไม่มีนัยสำคัญ - ถ้า ค่า p-value < alpha ปฏิเสธสมมติฐานหลัก แสดงว่า การทดสอบสมมติฐานมีนัยสำคัญ ชนิดของสถิติที่ใช้ 1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistic) เป็นการสำรวจ และอธิบายข้อมูลที่รวบรวม มาสรุปเพื่อให้เห็นภาพรวม เช่น การแจกแจงความถี่, การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง, การวัดการกระจาย 2. สถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistic) การใช้ค่าประมาณที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างเพื่ออธิบายลักษณะของประชากร
สถิติอ้างอิงแบบมีพารามิเตอร์ ได้แก่ T-test , Z-test , ANOVA
สถิติแบบไม่มีพารามิเตอร์ ได้แก่ Chi-square , Correlation coefficient
ปัญหาและอุปสรรค - การอบรมนี้เป็นการฝึกใช้โปรแกรม STATA ซึ่งเป็นโปรแกรมที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ซื้อลิขสิทธ์จากประเทศอังกฤษ ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมซึ่งไม่เคยใช้โปรแกรมนี้มาก่อน ไม่เข้าใจ ทำให้เรียนรู้ช้า และไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานได้ดีเท่าที่ควร ข้อเสนอแนะ 1. ผู้เข้ารับการอบรมควรมีการเตรียมตัวก่อน โดยการทบทวนเนื้อหาที่จะอบรม 2. ควรมีการสอบถามข้อมูลที่ผู้จัดการอบรม เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจเข้ารับการอบรม 3. ควรได้ศึกษาเนื้อหาหลักสูตรก่อน ว่าสอนโปรแกรมอะไร เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถเลือกได้ว่าสามารถนำมาใช้ในงานได้หรือไม่ ข้อเสนอแนะจากที่ประชุม เนื่องจากพื้นฐานสถิติของเรายังไม่ดีพอ ทำให้เคยถูกต่อว่าเรื่องการเลือกใช้สถิติ สำหรับงานวิจัย มาก่อน จึงแนะนำว่า ในการทำวิจัย ให้ศึกษาสถิติ กับ รูปแบบงานวิจัย (Design) ให้ดีก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ ทางสำนักงานควรจัดหลักสูตรเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ทบทวน และฟื้นฟูสิ่งที่ได้เรียนไปแล้ว จากปัญหาและอุปสรรคของผู้เข้ารับการอบรม ทำให้มีความเห็นว่า ผู้รับผิดชอบงานพัฒนาบุคคลากรควรพิจารณาเนื้อหาของหลักสูตร ว่าเหมาะสม และนำมาใช้ในงานได้หรือไม่ และควรจะส่งไปเข้ารับการอบรมหลักสูตรนั้นๆ อีกหรือไม่
Create Date : 07 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 7 มิถุนายน 2551 14:07:28 น. |
Counter : 853 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|