“กะรัต” เป็นชื่อหน่วยวัดน้ำหนักของเพชร  ซึ่ง 1 กะรัตมีค่าเท่ากับ 200 มิลิกรัม

ในประเทศไทยน้ำหนักของเพชรที่น้อยกว่า 1 กะรัตนั้นจะเรียกเป็น “ตังค์”  (ซึ่งมาจากคำว่าสตางค์ ในค่าเงินของไทย)  ดังนั้น 1 กะรัต จึงเท่ากับ 100 ตังค์ ตัวอย่าง  เช่น  เพชรหนัก 0.1กะรัต ก็คือ เพชรหนัก 10 ตังค์ 

คำว่า “กะรัต” นั้นมีที่มาจากภาษากรีกโบราณ “Kerátion” แปลว่า ถั่วคารอบ ซึ่งเป็นหน่วยวัดขนาดและน้ำหนักสำหรับสิ่งของต่างๆ ในสมัยนั้นรวมถึงอัญมณีด้วย 

ในอุตสาหกรรมเหมืองเพชร การค้นพบเพชรดิบ(เพชรที่ยังไม่ได้เจียร) ขนาดใหญ่มีความยากลำบากมากขึ้นทุกทีๆ  เพราะว่าเพชรดิบทุกๆ 1 ล้านชิ้นที่พบจะมีชิ้นเดียวเท่านั้นที่สามารถจะให้เพชรขนาด 1 กะรัตได้หลังเจียรเสร็จแล้ว  เนื่องจากในการเจียรไนนั้น เพชรจะถูกเจียรเสียไปประมาณ 40% - 60% จากขนาดเดิมซึ่งเป็นพชรดิบ

ราคาของเพชรนั้นโดยปกติจะเพิ่มขึ้นในระดับที่สูงกว่าจากน้ำหนักนึงต่อกะรัตไปอีกน้ำหนักนึงต่อกะรัต  และเมื่อน้ำหนักกะรัตของเพชรหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาของเพชรนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นอัตราส่วน  ตัวอย่างเช่น  ราคาต่อกะรัตของเพชรที่อยู่ในขนาดระหว่าง 1.00 – 1.49 กะรัต อาจจะเป็น 300,000 บาทต่อกะรัต  ในขณะที่ ราคาของเพชรที่อยู่ในขนาดระหว่าง 1.50 – 1.99 กะรัต ราคาอาจจะกระโดดขึ้นเป็น 420,000 บาทต่อกะรัต

เพชรขนาดยิ่งใหญ่ยิ่งดี ใช่หรือไม่ ?

เพชรที่ขนาดใหญ่กว่าไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะเป็นเพชรที่ดีกว่าหรือแพงกว่า  เพราะว่าความใหญ่กว่าของเพชรนั้นไม่ได้หมายถึงคุณภาพที่ดีกว่า ในเรื่องของ สี, ความสะอาด หรือการเจียรไนของเพชร ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ย่อมเป็นตัวแปรในราคาของเพชรด้วย  เนื่องจากคุณภาพของเพชร ซึ่งวัดโดยองค์ประกอบทั้ง 3 นั้น (สี, ความสะอาด, การเจียร) เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยากกว่าเมื่อมองด้วยตาเปล่าเมื่อเทียบกับขนาด  ดังนั้น ยังมีคนอีกหลายคนเลือกที่จะซื้อเพชรคุณภาพดีกว่า ถึงแม้ว่าเพชรนั้นจะมีขนาดเล็กกว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล คุณสุภาพสตรีบางท่านอาจจะชอบเพชรคุณภาพสูงที่ไม่ได้สร้างความโดดเด่นจนเกินไป  ต่างจากสุภาพสตรีอีกกลุ่มหนึ่งผู้ซึ่งอยากจะให้เพชรบนมือของเธอเหล่านั้นเป็นที่น่าอิจฉาจากคนอื่น ด้วยขนาดของเพชรที่ใหญ่พอที่จะสามารถถูกเห็นได้จากระยะไกล

ติดตาม Theonejewelry.net ได้ที่  www.facebook.com/theonejewelry