ท่องแดนมังกร ตอนที่ 2

19 มีนาคม 2551 อันเป็นวันที่สองของกำหนดการในครั้งนี้ ผมรีบลุกจากเตียงนอนอันแสนสบายในเวลา 6.00 น. อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกไป "ชือฟั่น"ที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเป็นแบบบุปเฟต์ให้เลือกเอาเองตามอัธยาศัย มีทั้งข้าวผัด ใส้กรอก หมั่นโถว สลัดผัก ฯลฯ ชา กาแฟ ขอวิจารณ์กาแฟเสียหน่อยดีกว่า กาแฟโรงแรมนี้ไม่อร่อยเลย ถ้าเป็นยาพิษในหนังจีนแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าคนที่ดื่มจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าดื่มอะไรเข้าไป เพราะมันทั้งไร้กลิ่นไร้รส จืดสนิทเชียวครับ ที่กาแฟไม่อร่อยคิดว่ามีสาเหตุ ก็คนจีนนิยมชามากกว่ากาแฟ เลยเอาเวลาไปพัฒนาวัฒนธรรมการดื่มชาแทน กาแฟเลยตกกระป๋องไป ที่มีให้ดื่มนี่ก็คงดีเท่าไหร่แล้ว ผมว่านะ

เวลา 8.00 น. เราออกเดินทางจากโรงแรมหลงจั๋วมุ่งสู่อนุสาวรีย์ ดร.ซุนยัดเซน ซึ่งตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าหอประชุมเก่าที่ ดร.ซุนยัดเซน เคยใช้เป็นที่ทำงาน ตรงประตูทางเข้าอาคารมีอาหมวยสองคนในชุดสีแดงสดใสน่ารักมาคอยต้อนรับเชื้อเชิญให้เราเข้าชมด้านในห้องประชุมอันยิ่งใหญ่ตระการตา ดูคร่าวๆผมว่าใหญ่กว่าห้องประชุมรัฐสภาบ้านเราเสียอีก ด้านในทำเป็นสองชั้น ชั้นล่างมีเวทีใหญ่อยู่ด้านในสุดมีที่นั่งเรียงรายลดหลั่นกันไปคล้ายโรงหนัง อีกชั้นเป็นชั้นลอยมองเห็นชั้นล่างได้ทั่วถึงเช่นกัน ด้านข้างห้องประชุมมีห้องน้ำสะอาดสะอ้านสะดวกสบายมากไว้คอยบริการ



จากนั้นคณะเราได้แวะเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ห้าแพะ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกวางโจวเลยทีเดียว ทั้งนี้คนท้องถิ่นเชื่อว่านครกวางโจวเกิดจากการสร้างของเทพเจ้าห้าแพะ จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่ในใจกลางเมืองโดยทำเป็นสวนสาธารณะไปด้วยในตัว ผมเห็นมีแต่คนสูงวัยที่ไม่ต้องทำงานแล้วมาเดินเล่น มาออกกำลังกาย มีรำมวยจีนบ้าง แล้วยังมีการจับคู่เต้นลีลาศเป็นร้อยๆคู่ มีคำกล่าวว่าถ้าเกษียณอายุแล้วแต่ยังขาดคู่ ให้ไปเต้นลีลาศ เดี๋ยวก็จะได้เอง คงจะจริงทีเดียว ข้อแรก คนสูงวัยเหล่านี้คงทำงานเก็บเงินมาพอสมควร เวลาว่างก็มาออกกำลังกายในสวนสาธารณะซึ่งมีคนเยอะ หากรักใครชอบใครสักคนก็อาจตกร้องปล่องชิ้นกันได้ในที่สุด ข้อสอง ผมไม่เห็นจะมีคนหนุ่มคนสาวเลย คิดว่าคงยุ่งอยู่กับการทำงานหาเงินจนไม่มีเวลามาเดินทอดหุ่ยเตร็ดเตร่อยู่ในสวนแบบนี้แน่ๆ



ในสวนผมเห็นดอก มู่เหมียนฮัว (ดอกงิ้ว) ตกอยู่ ดอกที่นี่สีแดงสด ดอกใหญ่กลีบหนามาก ต่างจากบ้านเราที่ดอกเล็กกลีบบาง ที่จริงผมเห็นดอกมู่เหมียนฮัวตลอดรายทางแล้วล่ะ ดอกชนิดนี้บานอยู่ในทุกๆที่ตั้งแต่เสิ้นเจิ้นถึงกวางโจว แต่ที่ได้เห็นใกล้ชิดที่สุดก็ที่ห้าแพะนี่แหละ เมื่อดอกบานเต็มที่ก็จะร่วงหลุดจากขั้วหล่นลงเกลื่อนกราดเต็มพื้น ไม่เห็นมันติดผลเลยสักต้นเดียว พูดถึงห้าแพะแล้ว เกือบลืมอีกประเด็นหนึ่งคือเมืองกวางโจวยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองห้าแพะอีกด้วย ทั้งนี้เพราะกวางโจวมีห้าแพะเป็นสัญลักษณ์นั่นเอง



จากนั้นคณะของผมก็เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์สาธิตสินค้าจากสมุนไพรจีนพวกบัวหิมะต่างๆ ซึ่งผมไม่ค่อนสนใจเท่าใดนัก ความสนใจของผมมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกมากกว่า นั่นคือโรตีโอ่งที่ทำขายบนรถเข็น อันละ 2 หยวน หน้าตาคนขายออกจะกระเดียดไปทางแขกอยู่มาก พูดจีนไม่ได้ พูดอังกฤษก็ไม่ได้ด้วย นับเลขเป็นอย่างเดียวก็ค้าขายได้แล้ว สู้ชีวิตจริงๆครับ โรตีโอ่งนี้ผมเคยเห็นในทีวีมาแล้วไม่นึกว่าจะมาเจอที่นี่ เขาเอาแป้งนวดๆแล้วกดเป็นแผ่นแบนๆคล้ายแป้งพิซซ่า จากนั้นเอาไปแปะในโอ่งที่มีความร้อนระอุอยู่ภายใน เมื่อแป้งเหลืองกรอบได้ที่ก็เป็นอันรับประทานได้ ดูหน้าตาน่ากินชะมัด แต่รสชาติที่ไหนได้ จืดสนิท ไม่รู้ว่าธรรมเนียมเขากินเล่นเป็นขนม หรือเอาไว้กินเป็นอาหารเหมือนขนมปังหรือเปล่า ก็สุดปัญญาจะถามไถ่ให้รู้แน่



เสร็จจากภารกิจที่ศูนย์สาธิตสมุนไพร เราก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งรสชาติก็เหมือนๆเมื่อวาน คือ มันๆ เลี่ยนๆ วันนี้ชักกินไม่ค่อยลงเสีบแล้ว นานๆกินทีก็พอไหว แต่ให้ทุกมื้อทุกวันนี่ท่าจะแย่ อาหารบนโต๊ะมีหลายอย่าง แต่ที่น่าสนใจคือถั่วงอกผัดใส่เต้าหู้ ที่ ผมได้ยินร่ำลือมานานแล้วว่าถ้าเราเอาถั่วงอกธรรมดาๆมาเด็ดหัวท้ายออกแล้วเอาไปปรุงตามปรกติแค่นี้ก็เป็นอาหารขึ้นเหลาแล้วล่ะ มาได้เห็นประจักษ์แก่สายตาตัวเองก็วันนี้ล่ะครับ พูดถึงรสชาติบ้าง การเด็ดหัวท้ายออกทำให้ไม่มีกลิ่นของถั่วงอกเหลืออยู่เลย ใครที่ไม่ชอบกินถั่วงอกเพราะไม่ชอบกลิ่นของมันจะลองเอาไปทำดูบ้างเขาคงไม่หวงสูตรแต่อย่างใด

กินข้าวกลางวันเสร็จสรรพ เราก็มุ่งหน้าสู่เสินเจิ้นอีกครั้งตามเส้นทางเดิม เมื่อย่างเข้าเขตเสินเจิ้นเราแวะเยี่ยมชมหมู่บ้าน หนานหลิ่งชุน (NAN LING CUN)ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวนาเดิม มีประชากร 800 คน หมู่บ้านนี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ธรรมดา เป็นชาวนาที่มีรายได้ต่อปี ประมาณ 250,000 หยวนต่อคน อยากรู้ว่าเท่าไหร่ลองเอาห้าคูณเข้าไปครับจะได้ค่าเงินบาทออกมา รายได้เหล่านี้มาจากไหน ก็มาจากกิจการของหมู่บ้านครับ แต่ก่อนอื่นเราต้องเยี่ยมคารวะผู้ใหญ่บ้านก่อนตามธรรมเนียม



รถของเรามุ่งหน้าไปที่ศาลาอเนกประสงค์ของหมู่บ้านซึ่งใช้เป็นที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน อาคารใหญ่โตมโหฬารมาก เป็นอาคารสี่ชั้นมีทั้งห้องประชุม ห้องทำงานสำหรับงานธุรการ มีลานกิจกรรม มีพิพิธภัณฑ์ชุมชนอีกด้วย เมื่อคณะของเราไปถึงก็ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องประชุมซึ่งหรูหรามาก ผู้ใหญ่บ้านชื่อ คุณเซียะคุ่ยผิง ให้เกียรติมาเล่าถึงกิจการของหมู่บ้านตลอดจนตอบข้อซักถาม ซึ่งผมขอเล่าคร่าวๆดังนี้



หมู่บ้านหนานหลิ่งชุนมีพื้นที่ 2.4 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 800 คน เดิมเป็นหมู่บ้านยากจน หลังจากประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อน รัฐบาลเสินเจิ้นได้ให้ความช่วยเหลือโดยให้งบประมาณมาจำนวนหนึ่ง ชาวบ้านก็มาตกลงกันว่าให้ทำกิจการของหมู่บ้าน โดยรูปแบบคณะกรรมการบริหารกิจการ จำนวน 9 คน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน กรณีการบริหารงานทั่วๆไป คณะกรรมการสามารถดำเนินการได้ทันที แต่การตัดสินใจเรื่องสำคัญๆต้องมีการประชุมใหญ่โดยทุกครอบครัวส่งตัวแทนหนึ่งคนเข้าประชุม



คณะกรรมการ 9 คน และผู้ใหญ่บ้าน มาจากการเลือกตั้ง สำหรับผู้ใหญ่บ้านนั้นต้องเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย และต้องได้รับการเสนิชื่อผู้สมัครจากหมู่บ้านรวม 10 คน ส่งไปให้ให้รัฐบาลพิจารณาประวัติและคุณสมบัติ เมื่ออนุมัติแล้วจึงมีการเลือกตั้งจากหมู่บ้าน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี



รายได้ของหมู่บ้านมาจากการให้เช่าร้านค้า โดยคิดเป็นตารางเมตรละ 40 หยวนต่อเดือน ค่าเช่าพื้นที่ทำโรงงาน ซึ่งมีทั้งหมดถึง 30 โรงงาน และการผลิตสินค้าพวกผ้าฝ้ายผ่าไหมในบางส่วน

ในปีกลายกิจการของหมู่บ้านได้ผลกำไรเบาะๆ ไม่มากไม่มายอะไร แค่ 270 ล้านหยวนเอง หักค่าใช้จ่ายต่างๆเสร็จสรรพก็มีการปันผลไปตามระดับตำแหน่งหน้าที่การทำงาน ความเสียสละให้กิจการของหมู่บ้านลดหลั่นกันไปตามส่วน ตกประมาณ 250,000 หยวนต่อคนต่อปี

นอกจากนี้ชาวนาเหล่านี้ยังมีรายได้ส่วนตัวจากการให้เช่าห้องพัก โดยเปิดบ้านของตนเองให้เช่า บ้านของชาวนาเหล่านี้จะก่อสร้างเป็นตึกสูงหลายๆชั้น แบ่งให้เป็นที่พักส่วนตัวของเจ้าของส่วนหนึ่ง ที่เหลือแบ่งเห็นห้องๆให้เช่า จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ชาวนาเหล่านี้วันๆจะจะมีเวลาว่างนั่งเล่นไพ่นกกระจอกอยู่หน้าบ้าน ไม่ต้องทำการทำงานอะไรก็มีเงินใช้ไม่ลำบาก แต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่ยังคงทำงานอยู่ซึ่งจะถูกมองว่าแปลก คนอะไรจะขยันปานนั้น

ทั่วประเทศจีนมีการจัดการศึกษาฟรี 9 ปี ถ้าผู้ปกครองของเด็กคนใดในหมู่บ้านหนานหลิ่งชุนไม่ส่งบุตรหลานเข้าเรียนจะถูกลดหุ้นและผลกำไรลง จึงเป็นการบังคับไปในตัวให้ผู้ปกครองต้องส่งเด็กเข้าเรียนหนังสือ

หมู่บ้านหนานหลิ่งชุนมีหน้าที่บำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภคทุกอย่างโดยใช้งบประมาณจากผลกำไรของหมู่บ้าน สำหรับค่าครองชีพของชาวบ้านที่นี่ ก็ตกราวๆ 1,500 บาท ต่อเดือน ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย และใช้จ่ายสมเหตุสมผลก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องกรรมสิทธิ์ของบ้านและที่ดินนั้น ตกเป็นของเจ้าของตลอดไป และตกทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานด้วย ไม่สามารถซื้อขายในท้องตลาดแต่สามารถให้เช่าได้ บุคคลภายนอกอากสมรสกับคนให้หมู่บ้านสามารถซื้อหุ้นของกิจการได้ตามข้อกำหนด ได้ยินแบบนี้ยอมรับครับว่าหูผึ่งขึ้นมาทันที นี่ท่าอยู่นานกว่านี้อีกสักหน่อยผมว่าจะขอสมัครเป็นเขยบ้านหนานหลิ่งชุนด้วยคน แต่ด้วยเวลาอันจำกัดแค่นั่งผายลมยังไม่ทันหายเหม็นก็จะรีบไปเสียแล้ว เฮ้อ! อาหมวยบ้านหนานหลิ่งชุนเอ๋ย เราคงไม่มีวาสนาต่อกันเสียแล้วล่ะ

เราอำลาหมู่บ้านชาวนาผู้มั่งคั่งแล้วแวะทานข้าวเย็นที่ภัตตาคารอาหารซีฟู้ด (XINGFU LOU SEAFOOD FANG) จากนั้นก็เข้าที่พักคือโรงแรมซันสุย (SHAN SHUI HOTEL)





ผมขนสัมภาระไปเก็บที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วก็รีบออกมาตระเวนตามถนนเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศเสินเจิ้นยามค่ำคืน เจอร้านข้างถนนร้านหนึ่งมีสารพัดลูกชิ้น สารพัดผักเสียบเป็นไม้ๆให้เลือกตามชอบใจ พอลูกค้าเลือกก็เอาไปลวกๆใส่ชาม ใส่น้ำซุปให้ ท่าทางอร่อยอยู่เหมือนกัย แต่ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จใหม่ๆอยู่ เลยต้องของดไว้ก่อน

ถัดไปไม่ไกลนักเห็นภัตตาคารในห้องกระจกมีสารพัดสัตว์ทะเล สัตว์แปลกๆที่เชื่อว่าบำรุงพลกำลังให้ลูกค้าเลือกไปให้พ่อครัวปรุงเป็นอาหารเพื่อความใหม่และสด หนึ่งในนั้นมีนกยูงตัวหนึ่งถูกผูกขา ยืนอยู่ในกระจกหน้าร้าน ตอนแรกนึกว่าหุ่น พอเห็นขยับตัวได้ก็รู้สึกสงสารมากไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรดี นกยูงตัวนี้ตัวสีเขียวๆ น่าจะนกยูงสัญชาติไทย-พม่านี่แหละ ถ้าเป็นคนไทยใหญ่แล้วจะไม่กินเนื้อนกยูงเด็ดขาด แต่ที่นี่กินได้สารพัดจริงๆ เล่ากันว่าชาวกวางตุ้งกินเก่งมาก สัตว์ทุกชนิดกินได้หมด ถ้าในน้ำที่กินไม่ได้คือเรือ ถ้าบนฟ้าที่กินไม่ได้คือเรือบิน ถ้าจะจริงเป็นแม่นมั่น ผมสลดใจนักได้แต่วางอุเบกขาละจากนกยูงที่น่าสงสารตัวนั้นมา



ผมเดินเลาะฟุตบาทไปเรื่อยๆข้ามถนนใหญ่เจอสถานีขนส่ง และสถานีรถไฟหลอหู ซึ่งอยู่ติดๆกับห้างหลอหูแหล่งช้อบปิ้งยอดนอยมของคนไทย ผมเดินเตร็จเตร่ดูครู่หนึ่งแล้วก็กลับที่พัก ด้วยว่าระยะทางเดินไปกลับยาวประมาณ 3 กิโลเมตรเห็นจะได้ เดินขนาดนี้ก็เลยเมื่อยล้าเป็นพิเศษ ถึงที่พักก็อาบน้ำอาบท่าแล้วทิ้งร่างลงนอนบนเตียงอันแสนสบาย เป็นอันจบการเดินทางวันที่สองเท่านี้

ธีรนร นพรส
24 มีนาคม 2551




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2551 20:34:44 น.
Counter : 352 Pageviews.  

ท่องแดนมังกร ตอนที่ 1

และแล้วผมก็มีโอกาสได้ท่องแดนมังกรกับเขาเสียที เส้นทางการเดินทางในครั้งนี้ของผม เริ่มจาก สุวรรณภูมิ-เสินเจิ้น-กวางโจว-เสินเจิ้น-ฮ่องกง-เสินเจิ้น-สุวรรณภูมิ รวมทั้งหมด 5 วัน

18 มีนาคม 2551

ด้วยว่าเวลานัดหมายของผมคือเวลา 03.30 น. ของรุ่งเช้าวันที่ 18 ทำให้ผมค่อนข้างเป็นกังวลว่าจะตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปตามกำหนดนัดหมายไม่ทัน จึงหลับๆตื่นๆ แกมหลับแกมฝันอยู่ตลอด เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมไม่มีเวลาคิดอะไรมากมาย ได้แต่รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว คว้ากระเป๋า เหมาแท๊กซี่ มุ่งสู่สุวรรณภูมิทันที ผมถึงสุวรรณภูมิประมาณ 13.40 น. นับว่ารวดเร็วดีพอใช้ จ่ายค่ารถเสร็จสรรพผมจึงเดินอาดๆเข้าไปในอาคาร สักครู่ก็เจอคณะผู้ร่วมเดินทาง ซึ่งมีการเตรียมการ นัดแนะข้อปฏิบัติต่างๆเล็กน้อย แล้วตั้งหน้าตั้งตารอเวลาเช็คอินเวลา ตี 5 ครึ่ง รู้แบบนี้ก็ออกจะฉุนเล็กน้อยว่าทำไมรีบนัดเร็วนัก แต่มาคิดอีกที เขาคงจะเผื่อมีอะไรฉุกละหุก การเหลือเวลาไว้สักหน่อยก็คงจะสามารถแก้ไขได้ทัน คิดได้แบบนี้ก็พอเบาใจ

พิธีการด่านตรวจที่ด่านสุวรรณภูมิก็ค่อนข้างสะดวก รวดเร็วใช้ได้ จะว่าไปอะไรๆก็ดีไปหมด เสียอย่างเดียวห้องน้ำมีน้อยเสียเหลือเกิน นี่ถ้าเกิดคนแห่มาเรือนหมื่นก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นแบบไหน

เวลา 05.55 น. เราทะยานเวหามุ่งสู่สนามบินนานาชาติเสินเจิ้นด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ จะว่านักบินเก่งหรือว่าเครื่องเขาดีก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ ตอนเครื่องเทคตัวขึ้น ไม่มีสะดุดเลย ไม่เหมือนเครื่องโลคอสต์บางบริษัท ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นนิดหน่อยที่เครื่องอาจสั่นๆบ้างตอนก่อนจะเข้าเสินเจิ้น เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน

ถึงสนามบินนานาชาติเสินเจิ้นด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็ต้องปรับเวลาใหม่เพราะเวลาจีนเร็วกว่าเวลาไทยหนึ่งชั่วโมง ผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาของจีนที่สนามบินเวลา 10.00 น.

เสินเจิ้นนับว่าเป็นประตูสู่ประเทศจีนเลยทีเดียว แต่ก็ประตูจีนนี่เองที่ทำให้เราออกจะหงุดหงิดกระวนกระวาย เพราะพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของที่นี่ช้ามาก แถมเจ้าหน้าที่ก็หน้าตาจีนมากๆ จีนได้ใจจริงๆ (ก็คนจีนนี่หว่า )คือหมายความว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จีนจริงๆจนไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเลย การสื่อสารของเราจึงยากลำบากมาก มีคนในคณะผมคนหนึ่งถูกดึงตัวไปสอบสวนหลังจากที่ตรวจพาสปอร์ต เขาพาไปที่ห้องห้องหนึ่งที่เขาเอาฉากกั้นสูงระดับสายตาเป็นห้องสำหรับโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ สอบถามอยู่ชั่วครู่ชั่วยามก็อนุญาตให้ผ่านด่าน ภายหลังจึงทราบว่าชื่อของเพื่อนคือกังวาล สะกดเป็น KUNGWAN คงจะเห็นว่าคล้ายเหว่ยเซียะกัง ราชายาเสพติด ก็เลยไปสะกิดต่อมสงสัยเจ้าหน้าที่จีนเข้า



เวลา 11.50 น. เราออกจากสนามบินมุ่งหน้าสู่ภัตตาคารซันเวย์ ของโรงแรมซันเวย์ ออกจะตื่นเต้นพอสมควรที่จะได้ลิ้มลองอาหารจีนแท้ๆก็คราวนี้แหละ พอถึงสถานที่ "ชือฟั่น" (กินข้าว) เรานั่งล้อมวงบนโต๊ะกลม ในหนึ่งโต๊ะมีกาน้ำชา เบียร์สัญชาติจีน 2 ขวด เขอโข่วเขอเล่อ (โคลาโคล่า) 1 ขวด พร้อมชุดจานชาม ตะเกียบ จอกน้ำชา แก้วน้ำ จากนั้นบริกรก็เริ่มเสริฟอาหาร สำหรับมื้อแรกในจีนก็ต้องนับว่ารสชาติพอใช้ แม้ว่าจะจืดๆ มันๆ ก็ตาม หลายคนบอกว่าไม่ถูกปาก ผมบอกว่าให้กลับไปกินที่บ้านสิ ใช่ว่าจะได้กินแบบนี้ทุกวันเสียเมื่อไหร่กัน มีข้อสังเกตว่าอาหารจานเนื้อก็เนื้อล้วนๆ จานผักก็ผักทั้งหมด ไม่มีปนกัน หลังจากเสริฟครบเมนู เด็กเสริฟก็ยกผลไม้รวมมา มัองุ่นลูกโตๆ แตงอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่ทราบได้ แตงโม และมะเขือเทศ เพิ่งจะรู้จริงๆครับว่าในสายตาคนจงกว๋อเหยิน (คนจีน) เห็นมะเขือเทศเป็นผลไม้ ถ้าที่เมืองไทยล่ะก็ นี่มันเป็นผักชัดๆ ถามเด็กอนุบาลก็ยังได้



บนโต๊ะอาหารมื้อแรกที่แดนมังกรทำให้ผมรู้ข้อปฏิบัติเล็กๆน้อยๆ คือ คนจีนไม่ดื่มน้ำเย็น ไม่มีน้ำแข็ง มีแต่น้ำชา แต่ถ้าต้องการน้ำแข็งน้ำเย็นก็ต้องรอหน่อยเพราะเขาจะไปหามาให้ การดื่มน้ำชา ถ้าหมดกา ก็ให้ยกฝาวางไว้ที่ปากกับหูกา บริกรก็จะรู้ได้ว่าเราต้องการน้ำชาอีก ถ้าปิดไว้ หมายถึงว่ายังมีอยู่หรือไม่ต้องการเติม อ้อ ! อีกอย่างหนึ่ง รสชาติของเบียร์ที่นี่ก็พอใช้แต่จืดเกินไปสำหรับลิ้นคนไทยที่เคยสำผัสน้ำอำพันแบบเข้มๆที่เมืองไทยมาแล้วจนเคยชิน

รับประทานอาหารเสร็จก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำห้องท่า เพราะทางข้างหน้าจะมีที่ให้คลายทุกข์หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ เขาบอกว่าในสายตาคนจีนห้องน้ำที่นี่ภัตตาคารนี้ดีมากแล้ว แต่ผมว่าห้องน้ำของปั๊มน้ำมันบ้านตูยังดีกว่าเยอะ แต่เอาเถอะ เข้าบ้านก็ต้องก้มหัวให้ชายคา ในห้องน้ำมีโถฉี่ มีคอห่านแต่ติดตั้งระนาบเดียวกับพื้น มีประตู พื้นห้องน้ำมีคราบน้ำมันของร้าน ทั้งมันทั้งลื่น เดินก็ต้องระวัง ถ้าเดินแบบนี้นานๆ คงเป็นกังฟูวิชาตัวเบาติดตัวไปอีกวิชาแหงๆ

ออกจากภัตตาคารเรามุ่งสู่กวางโจวเพื่อเข้าโรงแรมที่พักซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันเพียงที่เดียวเท่านั้นที่พอจะแวะให้ปลดทุกข์ได้บ้าง ถ้าใครทุกข์หนักก็คงต้องทุกข์หนักมากขึ้นก็คราวนี้ล่ะ เพราะว่าห้องน้ำที่นี่ไม่มีประตู จะนั่งอึก็ต้องหันหน้าออกประตู ต้องตีหน้าซื่อเข้าไว้เหมือนเล่นเกมจิตวิทยากัน อย่าไปมัวแต่อายลุกลี้ลุกลน จะเป็นที่สังเกตกว่าเดิมมาก ดังนั้นต้องนิ่งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ เขาก็เลิกสนใจไปเอง ดีนะที่ผมแค่ทุกข์แบบเบาๆ ขั้นตอนก็เรียบๆง่ายๆแบบสากลที่ทั่วโลกเขาทำกัน เลยรอดตัวไปคราวหนึ่ง

จากนั้นทีมของเราผ่านแม่น้ำจูเจียงซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นทะเลเสียอีก ที่ไหนได้เป็นแม่น้ำจูเจียงที่กั้นระหว่างเสินเจิ้นกับกวางโจว รัฐบาลเสินเจิ้นนี่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ ตัดถนนเส้นตรงตลอดแนว อะไรจะตรงขนาดนี้ก็ไม่รู้ เจอแม่น้ำไม่ว่าจะกว้างถึง 4 กิโลเมตร ก็สร้างสะพานข้าม เจอภูเขาก็เจาะอุโมงค์ ได้รับข้อมูลมาว่าเพราะค่าแรงของจีนถูกมากก็เลยทำได้ แต่ผมว่าน่าจะมาจากหลายองค์ประกอบมากกว่า ส่วนหนึ่งคงมาจากผู้บริหารที่เข้มแข็ง งบประมาณที่ไม่ถูกชักส่วนแบ่ง และคนที่มีจิตสำนึกรักชาติแท้จริง ไม่ใช่ดีแต่ปากเหมือนเมืองไทยเราทุกวันนี้

ตลอดทางผมมักจะพบเห็นรถแบ็คโฮ รถขุด รถไถ จอดเรียงราย มีอยู่ที่หนึ่งกะคร่าวๆคิดว่าเป็นพันคันทีเดียวเป็นข้อสังเกตว่าคงมีอัตราการขยายตัวของสิ่งก่อสร้างอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นที่แปลกใจเท่าใดเพราะตลอดรายทางมีแต่ตึกรูปทรงสี่เหลี่ยมแทงยอดขึ้นสูงเสียดฟ้า

เวลาประมาณห้าโมงเย็นเราก็เข้าสู่นครกวางโจว อันดับแรกที่ไปคือถนนปักกิ่งซึ่งเป็นย่านการค้าและแหล่งช้อปปิ้ง ถนนกว้างใหญ่ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ มีสินค้ามากมายจำหน่ายทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า นาฬิกา อื่นๆจิปาถะ และก็ตามสไตล์ผมคือเที่ยวสบายๆสไตล์ไม่มีสตางค์ ไม่ซื้อไม่หาอะไรทั้งนั้น เอาแต่ดูๆมองๆแล้วก็ถ่ายรูปไปตามประสา

สนนราคาข้าวของก็พอสมควรอยู่ ไม่ว่าจะแบรนด์เนม หรือโนเนมก็ยังแพง คิดคำนวณเป็นเงินไทยก็ไม่น้อยเลย ราคาแบบนี้อยู่ที่บ้านเราก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้มเงินผม



ผ่านมาถึงตอนกลางถนนมีจุดสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือถนนสมัยซ่ง เป็นถนนโบราณของจริงยาวประมาณ ยี่สิบเมตร อยู่ลึกลงไปในพื้นดินประมาณสองเมตรเป็นก้อนหินเรียงต่อๆกันจนเป็นรูปถนน แต่ทางการเขาก่อผนังกันด้านข้างไว้แล้วเอากระจกหนาปูทับด้านบนให้เราพอจะชะโงกหน้าลงไปมองเห็นร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณได้เท่านั้น

อากาศตอนนี้ก็ค่อนข้างชื้นอยู่แล้ว ยิ่งมีสายฝนตกลงมาปรอยๆอีก ยิ่งทำให้หนาวเข้าไปอีก แน่ล่ะ!ตอนอยู่เมืองไทยถ้าได้กลิ่นฝนล่ะก็ ผมจะหาเบียร์สักกระป๋องมาจิบแก้หนาว ผมจึงเดินย้อนกลับไปที่จุดนัดหมายก่อนเวลาพอสมควร พบว่าพรรคพวกนั่งดื่มด่ำกับน้ำอำพันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเดินเข้าไปถึงเขาก็ส่งเบียร์สัญชาติจีนให้ผมกระป๋องหนึ่ง ราคา 15 หยวน เรานั่งดื่มน้ำรำข้าวอัดแก๊สริมฟุตบาทข้างป้านรถเมล์ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว ซักพัก ก็มีชายชราทำท่ามาขอกระป๋อง เราก็รีบซดแล้วส่งให้ อาแปะได้ของเราไปเยอะน่าดู

ครู่ใหญ่ต่อมาผมเกิดมีความทุกข์เบา แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นนับว่าไม่เบาเสียแล้ว ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ มองซ้ายมองขวา เจอชายชาวจีนวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่แถวๆนั้น ลักษณะการแต่งกายและข้าวของคิดว่าคงเป็นคนเก็บของเก่า แต่จะอาชีพอะไรก็ช่างเถอะ สังเกตโหงวเฮ้งน่าจะใจดีพอสมควร ผมจึงเริ่มปฏิบัติการ

ผม-ตุ้ยปู้ฉี หวอชงไท่กว๋อหลาย (ขอโทษนะครับ ผมมาจากประเทศไทย)

ลุง-หนีห่าว

ผม-หนีห่าว

ลุง- ###################### แย่แล้วครับรัวมาเป็นชุดแต่ละคำนอกตำราทั้งนั้น งั้นเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน

ผม-หนานเช่อสั่วๆ (ห้องน้ำชายๆ) และทำท่าลูบท้อง

ลุง-เช่อสัว?

ผม-ตุ้ย? (ใช่ๆ)

จากนั้นลุกแกก็ลากแขนผมไปเลาะกำแพงเข้าไปในตึกใหญ่โตโออ่าหลังหนึ่งทางประตูข้าง เจอยาม แกก็ร้อง "######" พร้อมชี้โบ๊ชี้เบ๊ว่า "เช่อสัวๆ" ยามก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ผมเลยรอดตายไปอีกคราวหนึ่ง ขากลับออกมาพรรคพวกถามว่ามีห้องน้ำด้วยเหรอ ผมว่ามีๆ อยู่ข้างในตึก พวกก็เลยเฮโลกันเข้าไปกะว่าจะอาศัยลูกมั่วบ้าง แต่คราวนี้ไม่สำเร็จเสียแล้ว ก็คุณยามคนเดิมนั่นเองออกมายืนจังก้ายกมือห้ามเข้าเด็ดขาด ชาวเราผู้ทนทุกข์เบาด้วยฤทธิ์เบียร์จีนก็เลยต้องจำต้องทนกันไปก่อน ซึ่งก็ทำให้ได้คำคมคติสอนใจว่า มาจีนต้องอดทน

มารู้ทีหลังว่าตึกดังกล่าวเป็นอาคารที่พักของเจ้าหน้าที่ด้านการเงินการคลังระดับสูงของรัฐบาล ผมสังเกตเห็นว่ามีสิงห์โตหินคู่ใหญ่เบ้อเร่อเท่อตั้งอยู่ตรงบันไดประตูหน้าของอาคารด้วย

เพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดคนเดียวนี้เองก็เลยถูกเพื่อนร่วมคณะบ่นกันยกใหญ่ ช่วยไม่ได้ครับของแบบนี้ ก็มันทนไม่ไหวจริงๆ นี่นา จะแอบฉี่รดรั้วเหมือนแถวๆชนบทบ้านเราก็คงไม่ไหวแน่ๆ แต่ค่อยยังชัวที่ใช้เวลาไม่นานนักจากที่นั่นไปถึงภัตตาคาร สถานที่สำหรับ "ชือฟั่น" ของเรา เมื่อถึงภัตตาคาร ห้องน้ำจึงเป็นที่แรกที่มองหากันไปตามระเบียบ

อาคารมื้อค่ำก็คล้ายๆอาหารมื้อกลางวัน คือ ทั้งจืด ทั้งมัน ทั้งเลี่ยน บนโต๊ะก็เหมือนเดิม และอาหารก็ทะยอยออกมากระแทกโต๊ะทีละอย่าง ที่ว่ากระแทกโต๊ะนี่ก็ต้องบอกว่ามันกระแทกจริงๆครับ พนักงานเสริฟวางจานดังเคร้งคร้างๆ พูดกันเสียงดังขโมงโฉงเฉง นี่ถ้าเป็นบ้านเรานะผมว่าต่อให้อร่อยยังไงก็เถอะ บริการแบบนี้มีหวังไม่รุ่งแน่ๆ ดีนะที่พอทำใจกันมาบ้างแล้วว่าจะเจอแบบนี้ เรื่องการพูดเสียงดัง การวางของแรงๆ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับชาวจีนที่นี่

กินข้าวเสร็จเราก็มุ่งหน้าสู่ โรงแรมหลงจั๋ว (LONG ZHOU HOTEL) ซึ่งสภาพดีมาก สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน เป็นอันว่าจบการเดินทางวันแรกที่กวางโจว

ธีรนร นพรส
23 มีนาคม 2551




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2551 19:36:32 น.
Counter : 247 Pageviews.  


tirannor
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




===============================
งานประพันธ์ทุกงานในเวบบล็อกนี้เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของเว็บบล็อกแต่ผู้เดียวเว้นแต่ผลงานที่ได้ระบุไว้โดยเฉพาะแล้วว่าผู้ใดเป็นเจ้าของหรือผู้สร้างสรรค์ ห้ามมิให้ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข หรือเผยแพร่ ไม่ว่าทางใด หรือประการใดใด โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ทรงลิขสิทธิ์โดยชัดแจ้ง
(ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ให้ความร่วมมือ)===============================
NRCT.NET สารสนเทศการวิจัย
Google
อย่าลืมคอมเมนท์นะคร้าบ

บอก WEB นี้ให้เพื่อน :


คุณต้องการให้บล็อกนี้ลงข้อมูลด้านใดมากที่สุด

วรรณกรรม เรื่องสั้น บทความบันเทิงคดี
บทกลอน กวี ร้อยกรอง
วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีพื้นบ้าน
กฎหมาย
รูปภาพ
แหล่งท่องเที่ยว การเดินทาง
การศึกษา (ในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศัย)
ประวัติศาสตร์ โบราณคดี
ทิปน่ารู้ภาษาไทย
ธรรมะ ปรัชญา


อันนี้กันลากแถบก็อปปี้จ้ะ อันนี้กันคลิ๊กขวา ไม่ให้เซฟรูป
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tirannor's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.