บทสัมภาษณ์ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พระนักคิดนักเขียนชื่อดังต่อไปนี้ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่อาจช่วยสะกิดใจให้ใครหลาย ๆ คนที่กำลังเดินหลงทางอยู่ในสังคมแห่งความทุกข์ หลุดพ้นจากปัญหาต่าง ๆ ด้วยธรรมะที่ง่ายและเป็นสุข เพียงแค่ลองหยิบนำไปใช้
ตามหาความสุขในใจ
อย่างที่รู้ ๆ กันว่า คนส่วนใหญ่ยังใส่ใจความสุขทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ ซึ่งการที่คนมีความสุขกับวัตถุมากกว่านั้นแสดงว่า บ้านเมืองนั้นๆ ยังไม่พัฒนา ถ้าผู้คนพัฒนาแล้ว มีการศึกษาแล้ว ผู้คนก็จะมีความสุขทางปัญญา
สำหรับความสุขทางวัตถุนั้นก็คือ ความสุขทางกามารมณ์ ที่มาจากจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้รับการเติมเต็ม เป็นความสุขแค่เพียงภายนอก ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ความสุขที่แท้จริงมันมีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น เช่น ความสุขจากการใช้ปัญญาศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้และเป็นประโยชน์ ก็เป็นความสุข หรือความสุขจากการมุ่งมั่นภาวนาที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่การช่วยเหลือผู้อื่นหรืออุทิศตนเพื่อรับใช้มนุษยชาติ
อาตมาจึงแนะนำให้ญาติโยมทุกท่าน เรียนรู้หาความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเราเปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือความคิดของคนให้รู้ว่าความสุขมีพัฒนาการหลายขั้นตอน คนส่วนใหญ่ก็จะมีแนวทางในการแสวงหาวามสุขที่สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่น่าเสียดายที่ว่าระบบการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้คนรู้จักการมีความสุข การศึกษาไทย สอนให้คนเรียนรู้การทำมาหากิน เพราะฉะนั้นเมื่อทำมาหากินไม่เป็น ก็จะกลายเป็นการทำมาหากรรม มันเลยเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่รู้จักความสุขหรือตามหาความสุขที่แท้จริงไม่เจอสักที
อาตมาคิดว่า ถ้าอยากให้ทุกคนมีความสุขและหาความสุขของในภาวะสังคมแบบนี้เจอ ก็ต้องทำการเรียนการสอนสองบทบาท ระดับแรกคือ สอนให้เด็กและเยาวชนได้ปริญญาสองใบ คือปริญญาวิชาชีพ ทำมาหากินสุจริตเป็น และปริญญาวิชาชีวิต ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางความทุกข์ได้อย่างมีความสุขซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถบริหารจัดการกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเขาได้ปริญญาสองใบจะกลายเป็นคนที่มีคุณภาพ เขาก็จะรู้เองว่า ชีวิตไม่ได้จบแค่การครอบครองวัตถุ แต่มีอะไรที่สูงกว่านั้นอีกมากมาย อยู่กับวัตถุน้อยลง แต่ความสุขในหัวใจมากขึ้น
ระดับสอง คือการเรียนรู้หลักธรรมทางพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการศึกษา หลักการศึกษาเราเรียกว่าไตรสิกขา คือการศึกษา 3 ด้าน ศีล คือพฤติกรรม สมาธิ คือจิตใจ และ ปัญญาคือความรู้ ความเข้าใจต่อโลกอย่างถ่องแท้ ฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ในพุทธศาสนาจึงเป็นกระบวนการของการศึกษาทั้งหมด ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงอะไร พุทธศาสนาจะช่วยคุณได้อย่างดีที่สุดและลึกที่สุด ไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหน เพราะความสุขได้เข้าไปอยู่ในจิตใจของคุณแล้ว
หลักธรรมคลายทุกข์ในใจ
อาตมาอยากบอกว่า ความทุกข์เป็นอนิจจัง เกิดขึ้นได้ก็ดับลงได้ คนจำนวนมากเวลาความทุกข์เกิดขึ้นชอบคิดว่าตัวเองสิ้นหวัง ๆ ทั้งที่จริงแล้ว หารู้ไม่ว่าความทุกข์มันจะเกิดขึ้นมาพักหนึ่งก็จะดับลงไปเอง ไม่ต้องไปนั่งทุกข์หรือดับชีวิตตัวเองหรอก ถ้าทุกคนเข้าใจว่าความทุกข์ต่างๆ มันเป็นอนิจจัง คือเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป เราก็จะไม่มานั่งจมกับทุกข์และเรียนรู้ที่จะสู้ต่อไป โยมต้องคิดว่าเกิดมาเราก็มาตัวเปล่า ต่อให้เราเหลือเสื้อผ้า 1 ชุดตอนตาย เราก็ยังเหลือกำไรอยู่ดี อย่าไปกลัวเลยกับความทุกข์
แต่ให้มองว่าความทุกข์คือ ฤดูกาลของชีวิต คนฉลาดเวลาหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว เข้ามาจะไม่ย้ายตัวเองหนีฤดูกาล แต่เรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางฤดูกาลของชีวิต ด้วยการปรับตัวอย่างเท่าทัน รอบคอบ และมีสติ
จงเรียนรู้และรับมือกับความทุกข์ไปเถอะ เพราะทุก ๆ ครั้งที่เราเผชิญวิกฤติแล้ว แล้วเราเป็นฝ่ายชนะ เราก็จะมีประสบการณ์มาเป็นของแถมเสมอ สุดท้ายเราก็จะเป็นผู้ที่อยู่กับวิกฤติอย่างมีความสุข และจะขอบคุณวิกฤติต่าง ๆ ที่ผ่านมาเข้าม า เพราะได้รู้ว่าวิกฤตินั่นแหละ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะหยัดยืนอย่างสง่างามในโลกใบนี้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้เผชิญชีวิตด้วยปัญญานับว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด การดำเนินชีวิตด้วยปัญญาคือ มีชีวิตที่ดีที่สุด คนทุกรุ่นควรดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เราจะมีชีวิตที่ดีที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตด้วยโลภ วิ่งไปหาเงิน วิ่งไปหาความโกรธ วิ่งไปหาความอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดี ทำลายกันเอง เสียเวลาในชีวิตแสวงหาวัตถุมากมาย ก่อนที่จะค้นพบความจริงค้นภายหลังว่า ทรัพย์สินที่หาเอาไว้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง คนยุคนี้จึงไม่มีความสุข เพราะตลอดชีวิตดำเนินชีวิตภายใต้การบงการของความโลภ โกรธ หลง
ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือ เราต้องหันมาดำเนินชีวิตอย่างมีปัญญา รู้ว่าความโลภไร้ขีดจำกัด ถ้าเราตามความโลภไป เราจะตายเสียก่อน ความโกรธนั้นนำมาซึ่งความรุนแรง ถ้าเราโกรธเสมอ ๆ วันหนึ่งเราจะก่อความวินาศให้กับตัวเองและคนอื่น เพราะทุกครั้งที่ไฟจะไหม้อะไรก็ตาม ไฟจะไหม้ตัวเองก่อนเสมอ ถ้ารู้ว่าความหลงเป็นส่งที่ไม่ดี เราก็รีบถอนตัวเองออกมาดำเนินชีวิตด้วยปัญญา
ถ้าเรามีปัญหาก็เปรียบเสมือนเรามีตาที่สาม ต่างจากคนทั่วไปที่มีเพียง 2 ตา ที่ดำเนินชีวิตรอดบ้างไม่รอดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ถ้าเราตาที่สามคือปัญญา ตานั้นแหละ จะทำหน้าที่พาเราไปพบแต่สิ่งที่ดีในชีวิต
ขอบคุณกรอบและแฟลชสวยๆ จากคุณกุ้งและคุณฮาว๊าย ฮาวายจ้า
|