Once time in BALI

25 SEP 09



โชคดีแลกไมล์การบินไทย ได้ตั๋วฟรีมา ก็เลยตัดสินใจจะไปเยือน เกาะสวาท หาดสวรรค์ ฉลองครอบรอบแต่งงาน 10 ปีซะหน่อย ว่าแล้วเราก็เริ่มลงมือค้นหาข้อมูลทั้งทาง อินเตอร์เน็ต จากเว๊ปบอร์ด จากสาระพันสารพัด บล๊อค แต่เพื่อความมั่นใจ ก็ไปซื้อหนังสือมาอีก ทั้งไปเองได้ จ่ายน้อยกว่า ของพี่วุฒิ พี่เคท หลงเสน่ห์ที่ชวาฯ คู่มือท่องเที่ยวบาหลีด้วยตัวเอง และสอบถามผ่านปากคำของเพื่อนๆ ที่เคยไปมา 2 -3 คน หลังจากนั้นไม่นาน ก็จองห้องพักผ่านอินเตอร์เน็ต โดยเครือข่าย Agoda เพราะมีหลายเว็บมากที่ขายห้องพัก แต่ราคาห้องพักแต่ละที่จะแตกต่างกันไป บางเว็บโรงแรมที่เราไม่ต้องการจะราคาถูก แต่โรงแรมที่เราต้องการจะราคาแพง เทียบราคากันอยู่ 2-3 เว็บ สุดท้ายก็ตกลงใจ ใช้บริการของ Agoda.com ค่ะ และด้วยความที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง เราจึงตัดสินใจเช่ารถขับเอง ผ่านทางเว็บไซด์ Balifunfinder
ระยะเวลาที่เราไปใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง จึงเป็นโปรแกรมค่อนข้างรวบรัด แบบว่า ไปทุกที่ที่อยากไปค่ะ โปรแกรมการเดินทางเริ่มต้น ณ บัดนี้ ค่ะ
วันแรก (25 กันยายน 2552) เดินทางจาก เชียงใหม่- กรุงเทพ สุวรรณภูมิ TG115 (17.00-18.10) จองห้องพักที่นวรัตน์รีสอร์ท เพื่อรอต่อเครื่องไปบาหลี พรุ่งนี้
วันที่สอง (26 กันยายน 2552) กรุงเทพ-เดนปาซาร์ TG431 (08.40-14.00)ชมพระอาทิตย์ตกทะเลที่อูลูวาตู ชม KAJAK DANCE, ทานอาหารทะเล ที่หาดจิมบาลัน
วันที่สาม (27 กันยายน 2552) เที่ยวตลาดสุขวตี, อุบุด, ทานอาหารกลางวันที่คินตามณี, ชมภูเขาไฟ กุนุง อากุง และทะเลสาบบาตูร์, แทมปักซิริง, บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์, วัดเบซากิห์, ชมพระอาทิตย์ตกที่วัดทานาล๊อต
วันที่สี่ (28 กันยายน 2552) เดินเล่นถ่ายรูป เดนปาซาร์ – กรุงเทพ TG432 (1610-19.25) กรุงเทพ-เชียงใหม่ TG233 (21.30-22.40)

บันทึกการเดินทาง
วันที่ 25 กันยายน 2552
เริ่มต้นการเดินทางด้วยการโบกมือลาเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 คน มุ่งไปยังสนามเชียงใหม่ สาระวนหาเคาท์เตอร์เช็คอินเที่ยวบินภายในประเทศอยู่นาน จนต้องโทร. ไปถามเพื่อนที่ทำงานบางกอกแอร์ ว่ามันอยู่ที่ไหน? แล้วก็ถึงบางอ้อ (หรือเพราะว่าเราไม่ค่อยได้ไปสนามบิน) จึงรู้ว่า ต้องไปเช็คอินตึกเที่ยวบินอินเตอร์ เพราะตึกเดิมกำลังซ่อมแซม เฮ้อ..เหนื่อย เครื่องมาถึงตามกำหนดเวลา แต่เลทนิดหน่อย คือ 18.30 น. เราจองรถโรงแรมของนวรัตน์รีสอร์ท มารับ เพราะไม่อยากออกไปแย่งชิงแท็กซี่กะใคร เพราะคำนวณดูแล้ว ค่ารถโรงแรมมารับถูกกว่าค่าแท็กซี่เยอะ แต่ไม่นานเราก็ได้รับโทรศัพท์จากพนักงานรีสอร์ท ว่าจะมารับช้า ประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะเกิดอุบัติเหตุ (จากปกติระยะทางโรงแรม-สุวรรณภูมิ ใข้เวลา 15-20 นาที เท่านั้น) เรากะแฟนเลยเดินเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดหมาย ทั้งร้าน Tax Free ร้าน Boots ร้านหนังสือ เข้าเกือบทุกร้าน รถก็ยังไม่มา จนในที่โทรศัพท์เราก็ดังขึ้น อ๊า..ห๊า พระเจ้าช่วยแล้ว รถมารับ 20.00 น. และถึงโรงแรม 20.20 น. โดยใช้ทางด่วน อืม..เยี่ยม เช็คอิน เข้าห้อง เก็บกระเป๋า ลงมาทานข้าวเย็น กว่าจะได้นอนหลับพักผ่อน ก็เวลา 24.00 น.
อ้อ..นัดรถพรุ่งนี้เวลา 06.00 น.

วันที่ 26 กันยายน 2552
เราตื่นนอนตั้งแต่ 05.30 น. เพราะนอนไม่ค่อยหลับ (คิดถึงเด็กๆ) รู้สึกมึนๆ เล็กน้อย อาบน้ำ แต่งตัว เก็บกระเป๋า ในชุดพร้อมเดินทาง โบกมือลาที่พัก และมุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิอีกครั้ง พร้อมด้วยความรู้สึกที่บอกว่าจะต้องสนุก สุขสันต์แน่นอน เริ่มต้นด้วยความมั่นใจที่เคาท์เตอร์เช็คอินระหว่างประเทศ แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด หัวใจลงไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อพนักงานการบินไทยบอกว่า passport ของแฟนเราอายุไม่ถึง 6 เดือน เค้าไม่ให้เข้าประเทศ ถึงไปเค้าก้อจะให้กลับในทันที จะเสียตั๋วซะเปล่า โอ้แม่เจ้า!! เราก็ว่าเราทำทุกอย่าง ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงผิดพลาดได้ขนาดนี้ แล้วทันใดนั้น แฟนเราก้อยื่นมือดึงเราออกจากหลุมดำ ด้วยคำพูดที่ว่า “ขอโทษนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด passport ผม หมดอายุ ปี 2010 นะครับ” แล้วหล่อนจึงกล่าวขอโทษ เพราะไม่ได้ดูปีที่แน่นอน แล้วก็พร่ำระเบียบการเยอะแยะ บลา..บลา..บลา
หลังจากผ่านขั้นตอนและการตรวจตราต่างๆ นาๆ (ขอบอกว่าเบื่อมากในการเดินผ่านเครื่องสแกน เพราะต้องถอดแม้แต่เข็มขัดและรองเท้า) เซ็งจิตมากมาย แล้วเราก็รอดชีวิตเข้ามาถึงด้านใน เดินเล่น รอเวลาเครื่องขึ้น เราแลกเงินไปทั้งหมด 400 ดอลล่าห์ และพกเงินไทย ไปราวๆ หนึ่งหมื่นบาท เพราะเค้าว่าถ้าแลกไปเลย rate ไม่ค่อยดี อะ..งั้นรอไปแลกที่โน่นละกัน สุดท้ายก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง 08.40 น. อ่า..ขอหลับหน่อยละกัน แต่ไม่ทันไร คุณแอร์โฮสเตส คนสวยก็เดินเข้ามา บริการ น้ำดื่ม ทั้ง ชา กาแฟ และอาหาร เวลาผ่านไป จนถึงน่านฟ้าเดนปาซาร์ โอ้..โน่นภูเขาไฟ..โน่นทะเล คลื่นแรง เป็นริ้วสวยมาก บรรยากาศเวิร์ค สุดๆ



เวลา 13.00 น. ถึงสนามบิน Ngurah Rai แต่เวลาที่บาหลีเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง ดังนั้น จึงปรับนาฬิกาข้อมือที่พกติดตัวมาเป็นเวลา 14.00 น. สดชื่นพร้อมสำหรับการเดินทางเต็มที่ เห็นฝรั่งชาติอื่นรอคิว ต.ม. เป็นแถวยาวเหยียดแต่เราคนไทย เดินผ่านได้เลย เพราะไม่ต้องเช็ควีซ่า 555 เกิดเป็นคนไทยนี้แสนดีนักหนา แล้วก็เข้ามารอกระเป๋าที่สายพาน รอนานประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะทุกสายการบิน ลงสายพานกระเป๋าที่เดียวกันหมด ทั้งทีมีตั้งหลายสายพานอะนะ เฮ้อ!!! แต่ก่อนอื่น ขอเยี่ยมชมห้องน้ำสักครู่ *-* อะจ๊าก..ห้องน้ำนั่งยอง เค้ายังใช้กันอีกเหรอนี่ สำหรับสนามบินนานาชาติ และยี้สุดๆ เมื่อเทียบกับสนามบินสุวรรณภูมิ หรือแม้แต่สนามบินเล็กที่แม่ฮ่องสอน เลยจำใจแค่ล้างมือ เก็บไว้ก่อน รอไปเข้าที่โรงแรมละกัน ระหว่างทางเดินออกจากสนามบิน จะมีเคาท์เตอร์รับแลกเงิน ตะโกนเรียกลูกค้าแข่งกันเสียงดังไปหมด แต่เรายังไม่แลก เพราะตามไกด์บุ๊คที่เรามีอยู่ในมือ บอกให้ออกมาแล้วร้านรับแลกเงินในเมืองแทน เมื่อเดินออกมาด้านนอก เราพบผู้คนมากมายมารอรับนักท่องเที่ยว ทั้งไกด์ผี ทั้งรถแท็กซี่มาคอยจับนักท่องเที่ยว แน่นไปหมด จนในที่เราก็พบป้ายชื่อของเรา พร้อมพนักงานที่ยิ้มแย้มเห็นฟันสีขาวเรียงกันอย่างสวยงาม มารอรับ เซย์ไฮ ทุกอย่างเรียบร้อย จ่ายค่าเช่ารถ Suzuki APV ไป 45 ดอลล่าห์ พร้อมกับน้ำมันน้อยนิดที่ทางร้านเตรียมมาให้ (แทบตกขีดแดง) พร้อมกับบัตรจอดรถที่จะต้องจ่ายค่าจอด ราวๆ 5000 Rp โอ้.. ทำยังไงดีละทีนี้ เราไม่มีเงินรูเปี๊ยะเลย เพราะคิดว่ายังไม่ต้องใช้ เลยขอแลกกับพนักงาน 1 ดอลล่าห์ เค้าให้เรามาแค่ 7,000 Rp ทั้งที่ด้านในสนามบิน ให้ 9,350 Rp เจอหมัดอินโด ซัดเต็มคางเลยคราวนี้ ด้วยนิสัยคนไทย ขี้เกรงใจ เลยคิดกันว่าที่ขาดไป ก็ให้ทิปเค้าไปละกัน
เอาละ เริ่มต้นการผจญภัญ ในบาหลี กันอย่างเต็มตัวซะที ตอนแรกเรากะว่า จะไปเที่ยวก่อนแล้วค่อยเข้าโรงแรมเพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกที่อูลูวาตู แต่พอกางแผนที่ ที่หยิบมาจากด้านในสนามบิน ก็พบว่า มีแต่แผนที่หยาบๆ เราจึงมีความจำเป็นต้องหาแผนที่ใหม่ในบัดดล ระหว่างทางที่เรากำลังหาปั้มน้ำมัน และร้านรับแลกเงิน โชคก็เข้าข้างเราเพราะ บังเอิญพบโรงแรมที่เราจองไว้ ชื่อว่า Aston Inn Tuban อยู่ใกล้สนามบินราวๆ 10 นาที



เราจึงตัดสินใจเข้าเช็คอิน เก็บกระเป๋า อาบน้ำอาบท่า ฮื้อ..โรงแรมสวยมาก ราคาไม่แพง บรรยากาศดี พนักงานเป็นมิตร เงียบและสงบ ทั้งที่อยู่ใจกลางเมือง เราชอบโรงแรมนี้มาก ถ้าถามเราว่าชอบอะไรบ้างในบาหลี คงต้องบอกว่าโรงแรมที่นี่ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราชอบที่สุดในการเที่ยวบาหลีครั้งนี้
หลังจากนั้นเราลงมาขอแผนที่จากพนักงานของโรงแรม สอบถามทาง แล้วก็สุ่มไปตามทางที่เนวิเกเตอร์ อย่างเรา บอกไป ขอบอกก่อนเลยว่าเราไม่สันทัดเรื่องทิศทางเอามากๆ เพื่อนเราเองก็แนะนำว่าให้เช่ารถพร้อมคนขับ แต่ด้วยความที่แฟนค่อนข้างแม่นเรื่องเส้นทาง และคิดว่าขับรถเองสบายใจกว่า เลยเลือกขับเอง และเราจึงต้องกลายเป็น เนวิเกเตอร์ จำเป็นไปซะง้าน



อาศัย แผนที่ และป้ายบอกทาง ที่ผลุบๆ โผล่ๆ เราก็ถึงจุดหมายของเราซะที ในเวลา 17.30 น. จ่ายค่าเข้าชม และค่าจอดรถไป ต้องเร่งรีบแข่งกับรถบัสที่ฟานักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อมองไปจะรู้เลยว่า ส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพราะนิยมมาเล่น Serve Board กัน จำได้ขึ้นใจว่าไกด์บุ๊ค บอกให้ระวังลิง เราก็ระวังทั้งกล้อง ทั้งกระเป๋า แต่สุดท้ายเราก็ตกเป็นเหยื่อของมันจนได้ เพราะมันเล่นทีเผลอ ตอนเราแอ๊คท่าถ่ายรูป มันมาผลักด้านหลังเรา แล้วเอาที่มัดผมเราไป เรากับแฟนก็ยืนหัวเราะกัน เออนะ..ประมาณว่าช่างมันเถอะ ดีนะ ที่เลือกเอาอันละ 25 บาท มา เพราะคิดว่าถ้าลืมทิ้งไว้ หรือหายไป ก็ไม่เสียดายมากนัก แต่ระหว่างนั้นมีผู้ชายท่าทางใจดี เหมือนคนดูแลวัด มาเอาของล่อลิงให้ปล่อยของ แล้วเอาของมาคืนเรา ทั้งที่เราตัดใจแล้วว่าช่างมันเถอะ ของถูกๆ แฟนเราบอกให้เงินเค้าไปซิ 1,000 Rp แต่เค้าส่ายหน้า แล้วชูมือ 5 นิ้ว บอกว่าจะเอา 5,000 Rp อะนะ เฮ้อ..ประสบการณ์ครั้งนี้เรียกว่า ค่าโง่ลิง



แล้วเรากะแฟน รีบผละออกมาจากที่นั่น ไปดูวิว ดูอะไรสวยงามดีกว่า เพราะจากการค้นคว้าได้ข้อมูลมาว่า ที่อูลูวาตู จะมี การแสดง Fire Dance, Kajak Dance และ Ramayana เฉพาะเย็นวันเสาร์ พอเดินมาถ่ายรูป ซื้อตั๋วชมการแสดง ถึงเวลานั่งรอชมบนอัฌจรรย์ ครึ่งวงกลม จนเวลาผ่านไป 18.00 น. เอ..ยังไม่เริ่ม 18.30 น. ก็ยังไม่เริ่ม เราจึงถ่ายรูปวิวทั่วๆ ไป รอเวลา แล้วในที่สุด การแสดงก็เริ่มขึ้น ซึ่งทำให้เราจะประทับใจมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พนักงานที่คอยดูแลการแสดง และ พนักงานขายตั๋ว ยังคงพานักท่องเที่ยวเข้ามาเสริม มากขึ้นๆ จนเต็มอัฌจรรย์ แล้วยังให้นั่งพื้นบริเวณพื้นที่แสดง จนแทบดูไม่ออกว่า ส่วนไหนคือเวที และยังจะเก้าอี้เสริมด้านหลัง ซึ่งควรเป็นฉากพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า ทำให้เซ็งขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว แต่เรายังอดทนและดูจนจบการแสดง แต่ยังไม่ถึงเวลาปิดการแสดงดี พวกไกด์ก็มาเรียกลูกค้าของตนเองให้ออกไป หลายกลุ่มทีเดียว ทำให้รู้สึกเห็นใจพวกนักแสดงเหมือนกัน ว่าทำไมเค้าถึงไม่ให้เกียริตนักแสดง และไม่มีความเกรงใจผู้ชมคนอื่นๆ บ้าง หลังจากฝ่าการจราจรออกมาได้









เราได้มาถึงหาดจิมบาลัน โดยบังเอิญ คือในความคิดเราน่าจะเหมือนหาดพัทยา ที่มีเก้าอี้ และร้านอาหาร เรียงรายกันไป เพราะที่เราเห็นในรูป คือ มีโต๊ะทานอาหารอยู่ริมชายหาด แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่เพราะ เค้าจะล้อมรั้วรอบบริเวณ หาดไว้ และมีทางกั้นให้เข้าลาดจอดรถ แล้วจากนั้นจึงลงเดินเพื่อเลือกอาหารกัน แต่เรากับแฟน เลือกที่จะเดินเข้าไปด้านในก่อนเพื่อหาโต๊ะว่างและวิวที่สวยที่สุด แล้วจึงค่อยมาเลือกอาหารทะเลสดๆ ด้านหน้าร้านและแจ้งความต้องการไปกับเด็กรับออเดอร์ว่า เราต้องการให้ทำอาหารแบบไหน ปิ้ง ย่าง เผา หรือว่าทำซุป ต้องบอกว่าอาหารทะเลเค้าสดมาก Lobster กิโลกว่า ตัวละไม่ถึงพัน ถูกว่ากินที่ภูเก็ตเยอะ ปลาตัวโตมาก เมื่อเก็บคิดเงินออกมาแล้ว น่ากลับไปกินอีกรอบจริงๆ เสียดายอย่างเดียวน้ำจิ้มไม่โดนใจเลย ทำให้นึกถึงน้ำจิ้มอาหารทะเลบ้านเรามากๆ ระหว่างทางกลับโรงแรมมองหาปั๊มน้ำมัน กลับไม่ค่อยเจอนะ ส่วนมากจะเป็นร้านทั่วไปแล้วเอาน้ำมันมาใส่ขวดขาย เป็นขวดๆ งง มากๆ เพราะจริงๆ แล้ว อินโดผลิตน้ำมันเองได้ แต่ทำไมปั๊มน้ำมันมีน้อยจังเนอะ



วันที่ 27 กันยายน 2552
เริ่มต้นการเดินทางของเช้าวันใหม่ ด้วยการเติมพลังอาหารเช้าที่โรงแรม มุ่งตรงสู่ตลาดสุขวตี ซึ่งส่วนมากเป็นงานศิลปะ ซึ่งไม่อยู่ในความสนใจเท่าไร แต่ที่น่าแปลกและน่าคิด คือ ที่บาหลีมีศิลปินมากขนาดนี้เลยเหรอ และทำไมมีรูปภาพเหมือนกันเกือบทุกร้าน จากนั้นเราจึงผ่านไปยังอุบุด ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง ผ่าน Monkey Forest แต่เราไม่แวะ เพราะไม่นิยมลิงเช่นกัน บอกตรงๆ เลย เข็ดมั่ก มั่ก หุหุ
มองแผนที่ หาร้านแลกเงิน และ ตลาดอุบุด ขับไปตามแผนที่ ตามป้ายบอกทาง แต่ที่ทำให้งงเป็นอย่างยิ่ง คือ ขับไปดีๆ มักจะมีป้ายกั้นเป็น One way ทำให้เราต้องวน และเมื่อถึงสามแยก หรือสี่แยก ป้ายบอกทางต่างๆ ก็อันตรธานหายไป เฉยๆ เฮ้อ.. ขืนยังขับรถวนหาอยู่อย่างนี้คงไม่ดีแน่ เราจึงตัดสินใจไปคินตามณี แทน ทางขึ้นไปสุดแสนจะลำบาก ระหว่างทางมีหมู่บ้านเป็นระยะ เราจึงเดินทางถึงคินตามณีตอน ประมาณบ่ายสองโมงแล้ว มองหาจุดถ่ายวิวสวยๆ แต่แทบจะไม่มีเลย ดังนั้นเราจึงหาร้านอาหารที่เป็นบุฟเฟต์และวิวสวย ที่คินตามณี และเราเลือกร้าน Batur Restaurant เพราะดูจากจำนวนคน และรถที่จอดอยู่ น่าจะเป็นร้านที่ใช้ได้ หลังจากเลือกที่นั่งวิวสุดยอดได้ จัดการตัวเองเรื่องอาหาร เรานั่งพักผ่อนและชมวิวเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเดินทาง เพราะต้องถามทางชาวบ้านและลองผิดลองถูก มาตลอดเวลา ชอบบรรยากาศมากเลย ทั้งที่แดดแรงมาก แต่อากาศเย็นสบาย ลมพัดเรื่อยๆ จากไกด์บุ๊ค เค้าบอกให้ต่อราคา แต่เราไม่ค่อยชอบต่อเท่าไรในเรื่องอาหาร แต่ถ้าเป็นสิ่งของ ก็ถึงไหนถึงกัน (เครียดจัดที่พลาดโอกาสช๊อปปิ้งที่อุบุดในตอนเช้า) ปรากฎว่า ราคาบุฟเฟต์ที่นี่ แล้วแต่พนักงาน บางคนได้ 60,000 Rp บางคน 80,000 Rp เฮ้อ..โชคดีที่เราจ่ายไปแค่คนละ 65,000 Rp เท่านั้น ถ่ายรูป ชื่นชมบรรยากาศจนอิ่มหนำ เราจึงออกเดินทางต่อไปยังวัดเบซากิห์



ขณะขับรถเพื่อไปยังวัดเบซากิห์ เราได้แวะถามทางคนที่อยู่เพิงริมทาง ว่าไปทางนี้ใช่ทางไปเบซากิห์ หรือไม่ ท่าทางผู้หญิงคนนี้เป็นคนยิ้มแย้ม แจ่มใส และมีน้ำใจ เรามองไปยังคนอื่นๆ เห็นกำลังนั่งเย็บกระทงกันอยู่ ซึ่งเป็นกระทงที่คนบาหลีมักจะนำไปบูชา ตามทางเดิน วางไว้บนพื้น รูปปั้น หรือ แม้แต่ในรถ เราเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเห็นแฟนเราเปิดกระจกคุยกับเค้าอยู่ แต่ปรากฎว่า ทันใดนั้นป้าแกก็ หยิบถาดกระทงมา ท่องๆ สวดๆ ถามชื่อ ถามที่อยู่ แล้วก็ท่องๆ สวดๆ ต่อ เอาดอกไม้มาทัดหูแฟนเรา เอาข้าวสารมาแปะหน้าผาก เอากระทางมาไว้หน้ารถเรา 1 อัน แล้วโยนไปเบาะหลังอีก 2 อัน เราหยิบมาคืน ป้าแกก็ปัดมือ พอเราจะออกรถก็ไม่ให้ออก แฟนเราคิดว่าป้าคงต้องการเงิน เลยจะให้ไป 50,000 Rp ป้าไม่เอา แล้วยังมาทำอะไรไม่รู้กับเราอีก แล้วเรียกเอาคนละ 100,000 Rp โอ้โห..พอเราไม่จ่าย ก็มีคนมารุมที่รถ เรากลัวมาก ก็จ่ายๆ ไป แฟนเราโกรธมาก บอกนี่เป็นการเสียค่าโง่ครั้งที่สอง สำหรับกระทง ก็อารมณ์เสียกันไป เลยอยากจะขอเตือนเพื่อนๆ นักเดินทาง ว่าถ้าต้องการถามทาง ต้องสำรวจดูให้ดีว่าเค้าต้องการอะไรจากเราหรือเปล่า

ขับไปจนใกล้จะถึงวัดเบซากิห์ มีด่านเก็บเงินค่าเข้า คนละ 10,000 Rp เราจ่ายเงิน 100,000 Rp ได้รับเงินทอนมา 7,500 Rp หายไป 5,000 Rp ถามว่าค่าอะไร เค้าแจ้งว่าเป็นค่าจอดรถ พอแฟนเราถามถึงตั๋วจอดรถ ก็เลยไปเอามาให้ เป็นตั๋ว 1 ใบ ราคา 2,000 Rp พร้อมเงินทอนอีก 3,000 Rp เออเนาะ..ถ้าไม่ถามคงไม่ให้ตั๋ว แล้วเม้มเงินเราไป
พอถึง ลานจอดรถวัดเบซากิห์ ด้วยความโมโห แฟนเราก็เก็บกระทงลงจากรถทั้งหมด เอาไปทิ้งถังขยะ แล้วมีเจ้าหน้าที่เรียกเก็บตั๋ว ทั้งตั๋วเข้าชม และตั๋วจอดรถ ดีนะที่เราขอตั๋วเค้ามา ไม่งั้นเราคงต้องจ่ายเงินอีกรอบ อ่านจากไกด์บุ๊ค เค้าแนะนำว่าจะเข้าวัดต้องนุ่งโสร่ง และโดยเฉพาะที่วัดเบซากิห์ มีคล้ายมาเฟีย เรียกเก็บเงินค่าโน่นนี่ตลอด แทบจะทุก 200 เมตร เราก็พอเข้าใจ แต่ไม่นึกว่าจะเยอะขนาดนี้ และแต่ละคนจะเป็นผู้ชาย หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ท่าทางเอาเรื่อง มาขวางตลอดเวลา หลังจากนั้น ที่เราให้ตั๋วทั้งหมดเค้าไป สักพักมีคนตะโกนขอดูตั๋ว แฟนบอกไปว่าให้คนเก็บที่ลานจอดรถแล้ว จะเอาตั๋วที่ไหนมาให้อีก เค้าก็เรียกค่า Information อีก คนละ 50,000 Rp เราก็บอกไปว่าไม่ต้องการ Information อะไรทั้งนั้น เพราะงั้นเราไม่จ่าย เดินไปสักพัก ก็มีผู้ชายอีกกลุ่นตะโกนให้ใส่โสร่ง เราเองก็ตั้งใจจะหาซื้อใส่อยู่แล้ว แต่เพราะคล้ายๆ ทางเดินขึ้นดอยสุเทพ คือระหว่างทางมีร้านขายของเยอะแยะ และข้างหน้าเรามีร้านขายโสร่งอีกมากมาย เราต้องการเลือกที่เราชอบเพื่อใช้เป็นของที่ระลึกด้วย แต่เค้าบังคับเราให้ซื้อร้านนี้เท่านั้น เพราะหมดเขตที่จะเข้าได้แล้ว เฮ้อ..อะ ซื้อ ก็ ซื้อ 2 ผืน 80,000 Rp
หลังจากนั้นก็เข้าไปบริเวณวัด มีผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่ง เข้ามาล้อมแล้วบอกว่า ถ้าต้องการจะเข้าไป ต้องจ่ายอีกคนละ 50,000 Rp ไม่เช่นนั้น เข้าไปไม่ได้ เราก็เลยถามเค้าไปว่า ทำไม เค้าบอกว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับสวดภาวนา ห้ามคนนอกเข้า เราก็มองขึ้นไปข้างบน เห็นชาวเกาหลี 4-5 คน นุ่งโสร่งถ่ายรูปแถวๆ บันได ทางขึ้น แล้วก็มีผู้ชายฝรั่งอีก 2 คน นุ่งโสร่ง ท่าทางรีรอ เดินไปเดินมาบริเวณลาน แต่พอมองขึ้นไป ที่ตัววัด เห็นผู้ชายฝรั่งอีกคน ใส่กางเกงยีนส์ สะพานกล้อง เดินเฉิบๆ มีไกด์ผี 1 คน เราก็ถึงบางอ้อทันที นี่มันจะไถเงินกันแน่แล้ว ...อะนะ..แต่แบบว่าคนจะเข้าไปขอเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม เลยถามเค้าไปว่า เป็นใคร ได้คำตอบกลับมาว่า ไกด์ พอขอดูบัตรไกด์ เค้าบอกว่าไม่มี เป็นคนดูแลวัดนี้ งั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องจ่ายเพิ่มเลย เราสองคนเลยพากันเดินต่อไป แล้วเค้าตะโกนตามหลังมาว่าจะเรียกตำรวจ แฟนเราเลยปรี๊ดแตก บอกให้เรียกมาเลย จะรออยู่แถวนี้แหละ และจะดูสิว่าตำรวจบาหลีจะทำยังไงกับมาเฟียวัด หลังจากนั้นเราก็เห็นทั้งฝรั่ง ทั้งเกาหลี เดินตามเราขึ้นไปบนวัดเป็นแถว แต่ยังไม่จบ เรายังต้องฝ่าด่านอรหันต์อีกต่อไป เพราะพอขึ้นไปถึงลานวัดด้านบน มีผู้ชายอีกกลุ่มเดินมา ถามเราว่ามาทำไม ท่าทางเรากำลังโกรธอยู่ วัดเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้มาสวยภาวนา ต้องการความสงบ ให้เรากลับไป เราก็ตอบไปว่า เราไม่ได้โกรธ และถ้าต้องการมาสวดภาวนาต้องทำอย่างไร เค้าก็ บลา..บลา..บลา และต้องเอากระทงมาด้วย แฟนเราเลยบอกว่า ลืมไว้ในรถ (เออ..กระทงมีประโยชน์ก็คราวนี้แหละ) เลยบอกเค้าให้สวดภาวนาให้ดูหน่อย ได้คำตอบมาว่า เค้าได้พาชาวญี่ปุ่นอีกกลุ่มสวดภาวนาแล้ว บลา..บลา..บลา ขี้เกียจฟังเลยเดินหนี แล้วเราก็คุยกันสองคนว่า ถ้าเราลงจากวัดไปอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง รถอาจจะยางแบน หรือ อาจจะมีคนมาล้อมเราอีกรอบ ไม่รู้จะมีชีวิตกลับไปหาลูกๆ หรือเปล่าน๊า ต้องลุ้นกันต่อไป ชักเที่ยวไม่สนุกกลับดีกว่า เรากลับลงมาพร้อมด้วยความรู้สึกที่ว่า นี่เหรอบาหลี เกาะสวาท หาดสวรรค์
ขับรถกลับเข้ามาเดนปาซาร์ ระหว่างทางมีหลงกันบ้างตามประสา เพราะมองหาป้ายบอกทางไม่เจอ ประเหมาะกับเย็นมากแล้ว รถติด เด็กแว้น เยอะมาก มอไซด์ เยอะสุดๆ ถ้ารถติดไฟแดง ไฟจราจรยังไม่ทันเปลี่ยนเป็นสีเขียว ก็จะมีเสียงแตรบีบไล่ มาจากข้างหลัง เสียงยาวเหยียด และคนที่นี่เค้าจะบีบแตรกันตลอดเวลา ทั้งที่รถติดก็จะบีบเร่งกันเฉยๆ หนวกหูมาก จริงๆ วางโปรแกรมไว้ว่าจะไปวัดทานาล๊อตกันต่อ แต่ไม่ไหวจะเคลียร์ ทั้งหมดแรง ทั้งเคลียด กลับโรงแรมไปว่ายน้ำเล่น และจิบค๊อกเทลริมสระ แล้วต่อด้วยสปา ดีกว่า คิดสะระตะเรียบร้อย พรุ่งนี้เน้นประหยัดเวลา และสบายๆ เลยให้พนักงานโรงแรมช่วยจองรถพร้อมคนขับ รวมน้ำมัน 280,000 Rp


วันที่ 28 กันยายน 2552
ตื่นเช้า เก็บกระเป๋า เตรียมตัวกลับบ้าน ทานอาหารเช้าที่โรงแรม และเช็คเอาท์ โดยฝากกระเป๋าไว้ก่อน วันนี้เลยได้โอกาสเป็นคุณผู้ชาย กับคุณผู้หญิง นั่งสบายๆ เริ่มต้นการเดินทางวันสุดท้ายด้วย วัดทานาล๊อต ที่สวยงามจับใจ บรรยากาศดีมาก แล้วก็นึกดีใจที่มาตอนเช้า (ประมาณ 08.00 น.) แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เงียบ สงบ และเย็นสบาย ด้วยลมที่พัดจากทะเล มองดูคลื่นที่ซัดมากระทบฝั่ง แล้วแตกฟองสวยมาก เสียดายฉากหลังของบริเวณใกล้ๆ กลายเป็นสนามกอล์ฟ ของโรงแรมเลอ เมอริเดียนไป ซะได้ ได้ของฝากเด็กๆ เป็นว่าวทรงเรือสำเภอ เสื้อยืดสำหรับเพื่อนร่วมงาน ผ้าบาติกสำหรับพี่ๆน้องๆ เสร็จแล้วเร่งเครื่องเต็มสตรีม ต่อไปยังตลาดอุบุด เพื่อช๊อปปิ้งของฝาก ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะมาก พ่อค้าแม่ค้า ก็พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟเลยทีเดียว ต่อราคากันมันส์หยด แล้วเราก็ได้ของฝากมาจนครบ จ่ายเงินกันจนหนำใจ ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปยังโรงแรมเพื่อแพ็คของ และเดินทางต่อสู่สนามบิน





เราเข้าแถวรอเช็คอินน์ ด้วยคิวที่ยาวเหยียด ไปถึงตั้งแต่บ่ายสอง แต่กว่าจะถึงคิวบ่ายสามสี่สิบห้า โดยเช็คทรูกระเป๋าตรงไปเชียงใหม่เลย เดินทางกลับด้วยสายการบินไทย TG432 (16.40 – 19.20) เครื่อง 777 รุ่นใหม่ล่าสุด รับประกันความปลอดภัยถึงบ้านแน่นอน เมื่อเครื่องบินเหิรฟ้า เราก็โบกมือลาบาหลี โดยที่ไม่คิดที่กลับมาอีก ขอแค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ครั้งเดียว และครั้งสุดท้าย อ้อ..อีกอย่างคือการที่เราเที่ยวไปกางไกด์บุ๊คไปเนี่ยะนะ ความรู้สึกที่เจ้าบ้านมองเราก็คงเหมือนตอนที่เรามองฝรั่งที่มาเที่ยวเมืองไทย แล้วกาง Lonely Planet น่ะแหละ

โบกมือลา บาหลี เกาะสวาท หาดสวรรค์

ระหว่างเดินทางกลับ คุณแอร์โฮสเตส คอยบริการ น้ำดื่ม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ไวน์ แชมเปญ วิสกี้ ฯลฯ รวมทั้งอาหารเย็น ซึ่งกัปตันได้ประกาศว่า 2 อย่างให้เลือก คือไก่ และ ปลา เรากะแฟนขอโค้กไป เข้าก็เทโค้กกระป๋องให้เราคนละหนึ่งแก้ว แต่พอฝรั่ง ขอโค้ก หล่อนเทให้หนึ่งแก้ว พร้อมอีก 1 กระป๋อง อะนะ..เฮ้อ แบบว่า คนไทยน้ำใจมากมาย พอมาถึงอาหารเย็น เรากะเพื่อนร่วมเครื่องบินลำเดียวกัน สอง-สาม คน (คนไทย) ขอไก่ไป หล่อนบอกให้รอก่อน แล้วก็กลับมาพร้อมคำตอบที่ว่า ไก่หมดค่ะ ขอโทษนะคะ รับปลาแทนได้ไหม (จะกินหรือไม่กิน??) พวกเราจำต้องรับคำขอโทษ พร้อมกับปลาที่รสชาดแสนจืดชืด และทันใดนั้น ฝรั่งที่นั่งข้างแฟนเราขอไก่ คุณแอร์โฮสเตส อีกคน ก็พร้อมนำออกมาเสริฟ ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ประทับใจต่างชาติ แต่ขัดใจคนไทยอย่างเราๆ อย่างแรง เออ..คุณช่างเลือกปฏิบัติเห็นๆ นับ 1-2-3 แล้วปล่อยวาง เพราะเราจะได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งไปกับคนเหล่านี้แล้ว และต่อไปนี้เราจะเจอคนที่เรารักและจะได้กลับบ้านแล้ว และในที่สุดก็ได้กอดลูกๆ ทั้ง 3 คน ไว้ในอ้อมแขนซะที

ถ้าเพื่อนๆ ถาม ว่าชอบไหม เราคงจะตอบได้แค่ว่า 40-60 บาหลี วิวสวย บรรยากาศดี ศิลปะวัฒนธรรม แปลกตา แต่กับผู้คน คงต้องคิดดูอีกทีนะคะ ส่วนสินค้าคล้ายๆ ภาคใต้บ้านเราค่ะ ทั้งผ้าบาติก และงานไม้ อาจพูดได้ว่า ถ้าจะไปบาหลี เที่ยวเกาะในเมืองไทยจะดีกว่า ไทยเที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก





Create Date : 07 เมษายน 2553
Last Update : 10 เมษายน 2553 16:48:17 น.
Counter : 839 Pageviews.

3 comments
  
อ่านรีวิวดูแล้ว กลัวๆ กล้าๆ จะไปหรือไม่ไปดีน้า
โรงแรมก้อจ่ายแล้ว เครื่องบินก้อจ่ายค่าตั๋วแล้ว
เป็นไงเป้นกัน ตามรอยๆเพื่อนๆในพันทิพดีกว่า

ขอบคุณสำหรับรีวิวที่น่าขยาดนะคะ
โดย: ป้าแหม่ม IP: 117.47.215.129 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:19:26:08 น.
  
ที่จริงตั้งแต่เรียนมหาลัย (เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว) ฝันอยากไปบาหลีมาก
คุยกะพี่ที่หอว่าเรียนจบแล้วเก็บตังค์ไปเที่ยวกันดีกว่า เพราะส่วนตัวชอบงานแฮนด์เมด (ที่เค้าลือกันว่าราคาถูกมากกว่าไทย)

พอจบจริงๆ ก็เรื่อยเฉื่อย แยกย้ายกันไปทำงานต่างถิ่น จนกระทั่งอยากไปอีกครั้ง ก็ดันมีระเบิด.... ความคิดเลยดับวูบ

ตอนนี้เริ่มอยากไปอีก จริงๆ คือแค่อยากไปซื้อแฮนด์เมด
แต่อ่านตอนท้ายที่ว่า "ชอบไหม" แล้ว ...
ชักคิดเหมือนกันว่าคุ้มไหมที่จะไป เพราะเดี๋ยวนี้แฮนด์เมดไทยก็สวยและถูกเหมือนกันเนาะ

ป.ล. ชอบตุ๊กตาครอบครัวแมวนั่งโซฟาจังค่ะ

โดย: แม่ส้มแป้น วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:10:49:36 น.
  
ไปมาสองครั้งแล้วค่ะ ไม่เคยเจอแบบนี้นะคะ พักที่อูบุดคนที่นั่นน่ารัก ปีนี้ก็จะไปอีกค่ะ
โดย: kemis IP: 113.53.80.168 วันที่: 7 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:11:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

T H R E E - A N G E L S
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]