|
สามปีผ่านไป
4 ธ.ค. 2554
สามปีแล้วที่ผมไม่ได้เข้ามาที่บล๊อกแกง
วันนี้พอมีเวลาพักหายใจจากงานบ้าง ลูกก็กำลังนอนกลางวันอยู่ ก็เลยลองเข้ามาดูหน่อยว่าเป็นอย่างไร
ได้เห็นเพื่อนบล๊อกเข้ามาทิ้งข้อความเอาไว้แม้ว่าผมจะไม่ได้เข้ามาอ่านเลยก็รู้สึกดีใจครับที่ยังนึกถึงกันอยู่ ผมเองก็ยังคิดถึงการเขียนบล๊อกและเพื่อนในบล๊อกอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยงานที่มันมากมายเหลือเกิน รวมทั้งพอไม่ได้ทำงานก็ต้องให้เวลากับลูก ก็เลยต้องทิ้งบล๊อกไป
ไล่อ่านชื่อเพื่อนบล๊อกด้านขวาแล้วก็นั่งนึกว่าคนนี้เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน มีบุคลิกอย่างไร ชอบทำอะไร ก็เพลินแล้วครับ เหมือนมีภาพแฟลชแบ็คแบบในหนังวิ่งเข้ามาในหัว
ทุกวันนี้อาศัยติดต่อและติดตามข่าวสารระหว่างเพื่อนฝูงและคนรู้จักผ่านทางเฟซบุ๊คเป็นหลัก เฟซบุ๊คมันฉาบฉวยรวดเร็วดีครับ เข้าไปเขียนๆ อ่านๆ แล้วก็ออกมาทำงานต่อ บรรยากาศไม่มีทางละเมียดละไมเหมือนอ่านเขียนบล๊อกหรอกครับ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเราให้เวลากับงานและลูกเป็นหลักไปแล้ว
ที่จริงวันนี้ไม่น่าจะมีเวลาว่างหรอกครับ แต่บังเอิญว่านักศึกษาทั้งหลายใจดีครับ มหาวิทยาลัยเลื่อนเปิดเทอมจากต้นเดือนพฤศจิกายนมาเป็นต้นเดือนธันวาคมเนื่องจากปัญหาน้ำท่วม เราเองก็พยายามกระตุ้นให้นักศึกษาเร่งทำโปรเจ็กต์ปีสี่ในช่วงนี้ เพราะมีเวลาทำเต็มๆ เดือน โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเรียนในห้องเรียนและเรื่องสอบในวิชาอื่น แต่เหมือนนักศึกษาเขาจะกลัวว่าอาจารย์จะเหนื่อย เลยปล่อยให้อาจารย์เก็บงานโน่นนี่นั่น ไม่มาทำโปรเจ็กต์กันเลย จนผมมีเวลาได้เข้ามาดูในบล๊อกแกงนี่แหละครับ
เตือนแล้วว่าเขาเลื่อนเปิดเทอมแต่ไม่เลื่อนปิดเทอม ท้ายๆ เทอมก็คงต้องตัวใครตัวมันล่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไมคนไทยยังทิ้งนิสัย "ไม่ชอบวางแผนชีวิตล่วงหน้า-ชอบไปตายเอาดาบหน้า-วันนี้ขอสบายไว้ก่อน" ไปเสียที
(นานๆ เข้ามาทีก็ยังไม่วายทิ้งนิสัยขี้บ่นไปไม่ได้...)
ส่งข้อความทักทายกันแค่นี้ก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าจะได้มีเวลาเข้ามาเขียนอะไร หรือแวะไปทักทายใครบ้างหรือไม่ ตอนนี้ก็โฉบไปโฉบมาในเฟซบุ๊คเป็นหลักครับ ถ้ายังนึกถึงกันอยู่ก็แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ลิงค์ด้านล่างนะครับ เข้าไปแล้วก็บอกกันบ้างนะครับว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันจากบล๊อกแกง จะได้ไป "Add friend" กันที่นั่นเอาไว้ด้วย
//www.facebook.com/people/Thosapon-Katejanekarn/100002928501564
Create Date : 04 ธันวาคม 2554 | | |
Last Update : 4 ธันวาคม 2554 22:39:08 น. |
Counter : 15451 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สวัสดีปีใหม่ 2552
25 ธ.ค. 2551
ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านนับถือ จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพที่ดี และมีเงินทองให้จับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ
อวยพรปีใหม่เสร็จแล้วก็ขอคุยกันเสียหน่อยครับ
ตั้งแต่มีลูกมานี่ ผมก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเขียนบล๊อกและไปเยี่ยมเพื่อนในบล๊อกสักเท่าไร หวังว่าคงจะไม่เคืองกัน
เคยคิดว่าเรียนหนังสือนั้นหนักหนาสาหัสมากพออยู่แล้ว แต่กลับเทียบไม่ได้เลยกับการดูแลเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร ระดับของความสุขมันก็เทียบกันไม่ได้เช่นกัน
ช่วงวันหยุดปีใหม่หลายวันนี้ ผมตั้งใจว่าจะหยุดทำงานทุกรูปแบบ แล้วก็อ่าน "สามก๊ก" ที่ตั้งใจว่าจะอ่านมาเป็นสิบปีแล้วเสียที
ในช่วงชีวิตนี้ ผมตั้งใจจะอ่านสามก๊กให้ได้อย่างน้อยสามรอบ
มีคนบอกว่าใครที่อ่านสามก๊กเกินสามรอบนั้นคบไม่ได้ ผมกลับคิดในทางตรงกันข้าม
ผมว่าคนที่อ่านสามก๊กเกินสามรอบนั้นอาจเลือกที่จะไม่คบใครเสียมากกว่า เพราะรู้ทันความคิดของคนอื่นเสียหมดแล้วว่าจะมาดีหรือมาร้ายอย่างไร
จะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือไม่ ปีใหม่นี้ผมจะได้เริ่มลงมือทำขั้นที่หนึ่งจากแผนบันไดสามขั้นเสียทีล่ะครับ
(แผนผมมีแค่สามขั้นเท่านั้นล่ะครับ ส่วนแผนบันไดสี่ขั้นของกลุ่มอมาตยาธิปไตยนั้นสำเร็จไปเรียบร้อยแล้วบนความบอบช้ำของประเทศ จากนี้ไป ประเทศไทยคงจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน... เปลี่ยนจากประชาธิปไตยที่เพียรสร้างกันมากว่าเจ็ดสิบห้าปี ไปสู่การปกครองแบบอมาตยาธิปไตยที่ล้าหลัง และคงจะเหลือเพียงพม่าเท่านั้นที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและยินดีจะคบกับเราอย่างสนิทใจ เพราะมีระบอบการปกครองที่คล้ายคลึงกัน
เอ่อ... ผมว่าผมจะไม่พูดเรื่องที่ไม่เป็นมงคลในช่วงนี้แล้วนะ...)
แวะเข้ามาสวัสดีปีใหม่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้เขียนบล๊อกอีกครั้งเมื่อไร อย่างไรก็จะพยายามแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบล๊อกตามที่เวลาและโอกาสจะอำนวยครับ
ขอให้ผ่านปีหน้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาเกินกว่าที่จะแก้ไขได้นะครับ ไม่ว่าจะเผาจริงหรือไม่ก็ตาม ผมยังเชื่อว่าถ้าเราใช้ชีวิตอย่างไม่เกินตัว เราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี
Create Date : 25 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2551 12:02:18 น. |
Counter : 1262 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คิดถึงวิชาเขียนไทย
1 ต.ค. 2551
พักเรื่องการเมืองน่าเวียนหัวมาอ่านอะไรที่เป็นการผ่อนคลายสักหน่อยดีกว่านะครับ
ผมเพิ่งตรวจข้อสอบวิชาหนึ่งเสร็จ เป็นวิชาที่อาจารย์ช่วยกันออกข้อสอบทั้งหมดห้าคนห้าข้อ ผมออกหนึ่งข้อ
ที่ผมจะนำมาให้อ่านกันดูเป็นคำที่สะกดผิดที่ผมตรวจพบในหนึ่งข้อที่ผมรับผิดชอบ นักศึกษามีทั้งหมดประมาณ 120 คน ไม่น่าเชื่อว่าคำที่ไม่น่าสะกดผิดจะมีให้เห็นมากขนาดนี้ ลองอ่านดูนะครับ
(ข้อสอบข้อที่ผมรับผิดชอบมีเนื้อหาเกี่ยวกับความปลอดภัยจากอัคคีภัยครับ เผื่อสงสัยว่าคำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร)
สะกดผิด: คานต่ำ ที่ถูกต้องคือ: คลานต่ำ (เฉพาะคำนี้ พบผู้เขียนผิดถึง 5 คน)
สะกดผิด: กฎสัญญาณเตือนภัย ที่ถูกต้องคือ: กดสัญญาณเตือนภัย
สะกดผิด: ประเมิณ ที่ถูกต้องคือ: ประเมิน
สะกดผิด: สถานะการณ์, สถานะการ ที่ถูกต้องคือ: สถานการณ์
สะกดผิด: บรรได ที่ถูกต้องคือ: บันได (คำนี้พบผู้เขียนผิดถึง 3 คน ไม่เคยท่อง "บันดาล บันได บันทึก บันเทิง บันลือ" กันหรืออย่างไรไม่ทราบได้)
สะกดผิด: ณ. ที่ถูกต้องคือ: ณ
สะกดผิด: เลื่อยๆ ที่ถูกต้องคือ: เรื่อยๆ
สะกดผิด: ควัญไฟ ที่ถูกต้องคือ: ควันไฟ
สะกดผิด: จะหมูก ที่ถูกต้องคือ: จมูก (คำนี้อ่านแล้วทำใจยากจริงๆ ให้ตายเถอะ ท่านเขียนผิดได้อย่างไร...)
สะกดผิด: ลิฟ, ลิฟท์ ที่ถูกต้องคือ: ลิฟต์
สะกดผิด: ค้างบน ที่ถูกต้องคือ: ข้างบน
สะกดผิด: สูจดม ที่ถูกต้องคือ: สูดดม
สะกดผิด: หากไกล้ ที่ถูกต้องคือ: ห่างไกล (คำนี้ไม่รู้มาได้อย่างไร... งง)
สะกดผิด: สัญญาญ ที่ถูกต้องคือ: สัญญาณ
สะกดผิด: มอบ ที่ถูกต้องคือ: หมอบ
สะกดผิด: สำรัก ที่ถูกต้องคือ: สำลัก (โถ... เขียนไปได้ นักศึกษาที่รัก...)
สะกดผิด: ผ้าคุมตัว ที่ถูกต้องคือ: ผ้าคลุมตัว
สะกดผิด: ทรัพย์กรณ์ ที่ถูกต้องคือ: ทรัพยากร
ผมเจอการเขียนผิดแบบนี้ในข้อสอบเป็นประจำล่ะครับ ตั้งใจว่าจะรวบรวมมาประจานหลายครั้งแล้ว เพิ่งจะมาได้ทำจริงครั้งนี้เอง
ผมไม่ทราบว่าทุกวันนี้ยังมี วิชาเขียนไทย อยู่หรือเปล่า ถ้าเลิกสอนวิชานี้กันไปแล้วขอวอนให้นำกลับมาสอนใหม่เถอะครับ ดูแล้วอนาคตภาษาไทยมืดมนจริงๆ (พอๆ กับอนาคตของประเทศเลย...)
ตกลงอ่านแล้วคลายเครียดหรือทำให้เครียดยิ่งกว่าเดิมก็ไม่รู้นะครับ
Create Date : 01 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 1 ตุลาคม 2551 10:29:52 น. |
Counter : 1731 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ไม่เอาการเมืองใหม่ (ดึกดำบรรพ์)
5 ก.ย. 2551
อันที่จริงผมเขียนระบายความรู้สึกโกรธเกลียดกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" เอาไว้มากมาย แต่ผมคิดว่าผมเก็บไว้อ่านคนเดียวดีกว่า เพราะคำพูดบางคำไม่เหมาะสม หากเอามาลงไว้ก็เห็นจะเป็นการชวนทะเลาะกันถ้าเราเห็นไม่ตรงกัน
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ออกความเห็นเสียบ้างก็รู้สึกอึดอัด จึงเอาเฉพาะความคิดเห็น หรือจะให้ถูกต้องต้องเรียกว่า จินตนาการ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ "การเมืองใหม่" ที่เขากำลังพูดกันมาลงไว้ เผื่อว่าจะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันตั้งสติ
ขณะนี้กำลังมีการพูดกันถึง ระบบการเมืองแบบใหม่ ที่จะให้มีการ แต่งตั้ง ตัวแทน (ซึ่งเลี่ยงบาลีกันไปเรียกว่า สรรหา) ในสภาในสัดส่วนร้อยละ 70 และให้มีตัวแทนที่มาจากการ เลือกตั้ง เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น
ยังไม่ทันต้องออกแรงสมองคิดก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยตรงไหนเลย เพียงแต่ ฉวยโอกาสที่กำลังโหมให้ประชาชนหน้ามืด เกลียดนักการเมือง เกลียดรัฐบาลกันได้ที่ และไม่ทันฉุกคิด ยัดเยียดระบบการเมืองแบบใหม่นี้เข้ามา
ในจินตนาการของผม มันมีกลุ่มบุคคลขนาดไม่เล็กและครอบคลุมหลายวงการ โดยเฉพาะวงการที่มีผลต่อความคิดของประชาชน (เช่น ข้าราชการ นักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรอิสระ ผู้นำชุมชน ฯลฯ) ที่พยายามทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เพื่อให้เห็นว่า ประชาธิปไตยเต็มใบนั้นยังใช้ไม่ได้กับประเทศไทย ประเทศไทยนั้นยังคงต้องพึ่งพาผู้มีความรู้ความสามารถหรือเทวดาทั้งหลาย (ที่ไม่กล้าลงมาให้ประชาชนเลือก) ที่ต้องไปกราบเรียนเชิญให้เข้ามาบริหารประเทศอยู่
คนที่อยู่ในกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้เริ่มเปิดเผยตัวกันมากขึ้นทุกทีแล้ว ใครเป็นใครบ้างก็ขอให้ตั้งสติติดตามข่าวดูให้ดี มีทั้งข้าราชการที่เกษียณแล้วและยังไม่เกษียณ บรรดาผู้ที่มีฉายานามพิสดารทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าใครตั้งให้หรือพวกเขาตั้งกันเอง (เช่น ผู้ดีบ้าง ผู้อาวุโสบ้าง ปราชญ์บ้าง) นักวิชาการบางคน สหภาพแรงงาน วุฒิสมาชิกบางส่วน คนมีสี สื่อมวลชน รวมไปถึงพรรคการเมืองเก่าแก่ (พรรคนี้เขาทำอะไรก็ได้ ขอให้ตัวได้เป็นรัฐบาลเป็นพอ)
ในวันนี้ ส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้รับบทเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน นั่นคือ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "...เพื่อประชาธิปไตย" แต่โดย เนื้อหาและวิธีการ แล้ว ห่างไกลความเป็นประชาธิปไตยเหลือเกิน
หลายคนยอมสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมืองตามที่คนพวกนี้สั่งเพราะไม่รู้ เนื่องจากคนพวกนี้เอาความเลวของนักการเมืองซึ่งเป็นความรู้สึกร่วมของคนส่วนใหญ่ (รวมทั้งผมด้วย) มาเป็นธงในการเคลื่อนไหว
หลายคนทำตามทั้งๆ ที่รู้ เพื่อให้กลุ่มของตัวเองสมประโยชน์อะไรบางอย่าง บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรก็ช่าง ตัวเองได้ประโยชน์เป็นใช้ได้ คนพวกนี้ต้องแช่งให้วิบากกรรมตามทันให้เร็วที่สุดก่อนที่ประเทศจะพัง
ผมไม่อยากเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงกันว่า การเมืองใหม่ เพราะผมเห็นว่ามันเป็น การเมืองยุคดึกดำบรรพ์ โดยแท้ เป็นการย้อนยุคไปสู่สมัยที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 70 กว่าปีที่แล้วก็ว่าได้
ผมว่า การเมืองใหม่ (ดึกดำบรรพ์) ที่ว่า น่าจะเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่เรียกว่า อมาตยาธิปไตย เพราะเป็นการแต่งตั้งเทวดาที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาปกครองและบริหารบ้านเมือง โดยประชาชนไม่มีส่วนร่วม
หลักฐานชัดเจนที่บอกถึงการมีอยู่ของกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ คือ เมื่อรัฐบาลโยนหินถามทางว่าจะให้ประชาชนลงประชามติว่า จะเอาการเมืองใหม่ตามที่พวกอันธพาลข้างทำเนียบเสนอหรือไม่ (ที่จริงรัฐบาลจะขอประชามติว่าจะให้รัฐบาลทำงานต่อหรือไม่ แต่ผมคิดว่าคำถามควรจะเป็นอย่างนี้มากกว่า) ก็มีเสียงคัดค้านออกมาจากหลายกลุ่มหลายพวกว่าทำไม่ได้โดยอ้างว่าขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกันของทุกกลุ่มอย่างน่าอัศจรรย์
คนที่คัดค้านก็คือคนกลุ่มที่ผมจินตนาการเอาไว้ข้างบน มีทั้งพรรคการเมืองเก่าแก่ สว. นักเคลื่อนไหว รวมทั้งนักวิชาการ
ที่ผมผิดหวังมากก็เห็นจะเป็นกลุ่มของอธิการบดีของ ม.ธรรมศาสตร์ และนิด้า ที่ไม่สนับสนุนประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะในอดีต เขาก็มั่วจะเอานายกฯ พระราชทานโดยใช้มาตรา 7 ร่วมกับพรรคการเมืองเก่าแก่มาแล้ว
คนพวกนี้เขาต้องรีบออกมาแสดงตัวกัน เพราะหากเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองให้เป็นระบบการเมืองใหม่ (ดึกดำบรรพ์) ได้จริง จะได้ขึ้นเรืออมาตยาธิปไตยไปกับเขาได้ทัน
การเมืองใหม่ (ดึกดำบรรพ์) นี้เสียหายอย่างไร
ในความรู้สึกของผม ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เราจะไม่มีอำนาจในการปกครองตัวเองเต็มที่เหมือนประชาธิปไตยเต็มใบที่เราพยายามเรียกร้องและเสียเลือดเนื้อกันมาหลายครั้ง
อุปสรรคของประชาธิปไตยเต็มใบอยู่ที่ไหน ผมคิดถึงสามเรื่อง
- การศึกษา หมายถึง ความรู้ความเข้าใจของคนไทยที่ต้องทำให้เข้าใจให้ได้ว่า เรามีสิทธิและเสรีภาพในการปกครองดูแลตัวเองผ่านทางตัวแทนซึ่งได้แก่ สส. ที่เราเลือกเข้าสภา คนไทยจะต้องรู้ว่านักการเมืองคนไหนเลวอย่างไร โดยสื่อมวลชนจะมีบทบาทมากในส่วนนี้ คนไทยจะต้องรู้ว่าการตอบแทนบุญคุณแบบผิดๆ ด้วยการเลือกคนที่ซื้อเสียงเราเข้าสภานั้นจะส่งผลร้ายต่อเราอย่างไรในท้ายที่สุด
- ความเลวของนักการเมือง นี่คือธงชัยในการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ อันเป็นหัวหอกของการเมืองใหม่ (ดึกดำบรรพ์) ที่พยายามจะแสดงให้เห็นว่า นักการเมืองพวกนี้ฉ้อราษฎร์บังหลวงกันทุกคน (ยกเว้นนักการเมืองจากพรรคเก่าแก่ซึ่งเป็นตัวแทนของพวกตนในระบบรัฐสภา) ประชาธิปไตยเต็มใบไม่เหมาะกับประเทศไทยจึงได้มีความวุ่นวายเกิดขึ้น และเมื่อมีความวุ่นวายเกิดขึ้น รัฐบาลประชาธิปไตยก็ไม่มีปัญญาจัดการประเทศได้ (ผมไม่อยากจะจินตนการต่อว่า สถานการณ์วุ่นวายทางใต้มีความเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้หรือไม่)
- ความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจของกลุ่มอำมาตย์ ซึ่งถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากนักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ง้อของเก่าอย่างอดีตนายกฯ ที่ต้องระเห็จออกนอกประเทศไปแล้ว
ผมเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ นักการเมืองและอำมาตย์คุยกันรู้เรื่อง แบ่งผลประโยชน์กันลงตัว ขัดแย้งกันบ้างตามประสาแต่ก็ไม่รุนแรง ทั้งสองกลุ่มอาจเคยเห็นพ้องกันว่า อย่าให้คนไทยรู้มากนักหรือฉลาดเกินไป เดี๋ยวจะปกครองไม่อยู่
พอมาวันหนึ่ง กลุ่มการเมืองเกิดไม่ง้อกลุ่มอำมาตย์อย่างเก่า เพราะได้เอาใจประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นระดับรากหญ้าอยู่หมัดแล้วด้วยนโยบายประชานิยม กลุ่มอำมาตย์จึงต้องชิงมวลชนคืนด้วยการยกเอาความเลวของนักการเมืองซึ่งเป็นความรู้สึกร่วมของคนทั้งประเทศมาเป็นธงนำในการเคลื่อนไหว ก็เลยลากยาวมาตั้งแต่การยึดอำนาจจากนายกฯ คนเก่า เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่ดึงอำนาจออกไปจากประชาชนอย่างชัดเจนโดยให้คนที่มาจากการแต่งตั้งและองค์กรอิสระ (ซึ่งตั้งโดยผู้ที่มาจากการแต่งตั้ง) เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันที่กำลังเรียกร้องให้นายกฯ คนปัจจุบันลาออก ทำให้พรรคการเมืองที่ไม่ใช่พวกสูญพันธ์ไปให้หมด และเปลี่ยนระบบการเมืองให้เป็นการเมืองใหม่ (ดึกดำบรรพ์) ที่จะทำให้พวกตนจัดการประเทศกันได้สะดวกโยธิน
เขาเรียกการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า "สงครามครั้งสุดท้าย"
ผมว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ คือ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประชาธิปไตยเต็มใบจะหายไปจากประเทศไทย
ประเทศจะถูกบริหารโดยคนที่เราไม่ได้เห็นชอบและเลือกตั้งเข้าไป เราจะได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ดูพวกเขาจัดการประเทศไปอย่างที่พวกเขาต้องการ
ผมไม่รู้ว่าผมจินตนาการอะไรผิดหรือเลยเถิดไปไกลเกินไปหรือไม่
สำหรับผม นักการเมืองจะเลวอย่างไร อย่างน้อยเขาก็มาจากการเลือกตั้งโดยเราเอง จะต้องกินเวลาอีกกี่สิบปีกว่าคนดีในสภาจะมากกว่าคนเลวก็ต้องทำ เพราะระบบการเมืองที่เลือกตัวแทนเข้าไปในสภาทั้งหมดโดยไม่มีการแต่งตั้ง และนายกฯ มาจากการเลือกตั้งนั้น เป็นระบบการเมืองที่เราเป็นเจ้าของชีวิตเราเองมากกว่าระบบแต่งตั้งแน่นอน
ที่เราๆ ท่านๆ ซึ่งพอจะมีช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสารความเลวของนักการเมืองอยู่บ้างควรจะทำ คือ ต้องบอกญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ลูกศิษย์ลูกหา ฯลฯ ให้รู้เหมือนเรา บอกต่อกันไปว่าอย่าเลือกคนพวกนี้เข้าไปอีก ต้องเลิกตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีผิดๆ อีก ต้องรู้จักติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ผมอยากให้นักการเมืองเลวมีน้อยที่สุดเหมือนทุกคน แต่ต้องไม่ใช้วิธีอันธพาลข้างถนนซึ่งรับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ควรใช้สติเป็นที่ตั้ง แล้วให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เลือกตั้งคนเลวเข้ามาให้น้อยที่สุด ถึงจะต้องใช้เวลานานเป็นสิบปี แต่ก็เป็นวิธีที่ถูกต้องและสมควรทำ
ผมไม่รู้ว่าผมคิดหรือจินตนการผิดถูกอย่างไร เพียงแต่อยากขยายอีกมุมมองหนึ่งให้ฟังบ้างก็เท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใด วันนี้ สติ สำคัญที่สุดครับ
สติต้องมาก่อน ปัญญาจึงจะเกิด
วันนี้ผมกำลังตั้งสติอยู่ครับ ด้วยหวังว่าปัญญาจะเกิดตามมา...
Create Date : 05 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 5 กันยายน 2551 9:38:31 น. |
Counter : 1276 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|