สูตรโมจิญี่ปุ่น เหนียวนุ่มหนึบสไตล์คาเฟ่
โมจิญี่ปุ่น ซื้อที่ไหน จะซื้อทำไม ? ทำเองสิคะ มาจดสูตรทำโมจิ (Mochi) สไตล์ญี่ปุ่นไว้ลองเคี้ยวเล่น ๆ ที่บ้าน ไม่ต้องไปร้าน ไม่ต้องไปญี่ปุ่นก็อร่อยได้ หลายคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกลับมาแล้ว เชื่อว่าต้องติดใจในความอร่อยของโมจิญี่ปุ่นต้นตำรับแน่ ๆ เลย วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยอยากจะชวนมาลองทำขนมญี่ปุ่น อย่างโมจิสไตล์ญี่ปุ่นกินกันดูบ้าง ได้ฟีลเหมือนนั่งกินขนมอยู่ในคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นยังไงยังงั้นเลย สูตรโมจิญี่ปุ่นที่นำมาฝากในวันนี้มีทั้งโมจิแบบดั้งเดิม โมจิคลุกผลถั่วคินาโกะ โมจิไอศกรีม และวาราบิโมจิ เนียนทำโมจิญี่ปุ่นเป็นของฝากไปให้เพื่อน ๆ ได้ลองชิมกันที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้หรอก อิอิ ภาพจาก foodfanatic.com 1. คินาโกะโมจิกับถั่วแดง (Kinako Mochi with Red Bean Paste) เริ่มต้นกับด้วยสูตรโมจิต้นตำรับ เนื้อโมจิสีขาวก้อนกลม ๆ เหนียว ๆ หนึบ ๆ โรยผงถั่วคินาโกะหอม ๆ กินคู่กับถั่วแดงกวน ละมุนจริง ๆ เลยส่วนผสม คินาโกะโมจิกับถั่วแดง (สำหรับ 9 ที่) เต้าหู้แบบนิ่ม 150 กรัม แป้งข้าวเหนียวสำหรับทำโมจิ 150 กรัม ผงถั่วคินาโกะ 9 ช้อนชา (ผงถั่วเหลืองอบ) ถั่วแดงกวน 9 ช้อนชา วิธีทำโมจิ 1. ตีผสมเต้าหู้กับแป้งโมจิให้เข้ากัน ให้มีลักษณะพอปั้นได้ 2. นำส่วนผสมแป้งมาปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่า ๆ กัน 3. ต้มน้ำในหม้อจนเดือด ใส่โมจิที่ปั้นไว้ลงไปต้มจนโมจิลอยขึ้นมา 4. ตักโมจิที่ลอยขึ้นมาใส่ลงในน้ำเย็น พักไว้ 5. ตักโมจิใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมผงถั่วคินาโกะและถั่วแดงกวน + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ Kinako Mochi with Red Bean Paste / foodfanatic.com ++++++++++++++++ 2. ไอศกรีมชาเขียวถั่วแดงโมจิ ต้องบอกเลยว่า การใส่โมจิลงไปกินคู่กับไอศกรีมชาเขียวถั่วแดงเป็นอะไรที่คูลสุด ๆ สูตรโมจินี้สามารถทำได้ด้วยไมโครเวฟนะคะ แถมวิธีทำไอศกรีมไม่ใช้เครื่องรสชาเขียวแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก และวิธีทำถั่วแดงกวนง่าย ๆ ด้วยไมโครเวฟ สูตรจาก อาหารง่าย ๆ สไตล์ Rita ใช้เวลาไม่นานก็ได้ของหวานญี่ปุ่นไว้กินเล่นให้ชื่นใจรับหน้าร้อนแล้วส่วนผสม ไอศกรีมชาเขียวถั่วแดง
ผงชาเขียว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 50 มิลลิลิตร วิปปิ้งครีม 450 มิลลิลิตร นมสด 50 มิลลิลิตร น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง ผงคินาโกะ ถั่วแดงบด โมจิส่วนผสม ถั่วแดงบด
ถั่วแดง 1/2 ถ้วยตวง น้ำเปล่า (อัตราส่วนอยู่ในวิธีทำ) น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง + 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/8 ช้อนชา ส่วนผสม โมจิ น้ำเปล่า 1/2 ถ้วยตวง แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วยตวงวิธีทำถั่วแดงบด (ไมโครเวฟ)
1. นำถั่วแดงไปแช่น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง เป็นเวลา 3-6 ชั่วโมง 2. นำถั่วแดงไปล้างฟองออก เทใส่ถ้วย เติมน้ำเปล่าใส่ 3 เท่า แล้วเข้าไมโครเวฟใช้กำลังไฟ 800 วัตต์ เป็นเวลา 30 นาที 3. นำถั่วแดง ไปปั่นต่อในเครื่องปั่น เทน้ำตาลทราย เกลือ และน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟ 25 นาที เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นวิธีทำโมจิด้วยไมโครเวฟ
1. นำน้ำเปล่ากับแป้งข้าวเหนียวมาผสมให้เข้ากัน 2. เข้าไมโครเวฟใช้กำลังไฟ 800 วัตต์ เป็นเวลา 5 นาที พักไว้ให้เย็น วิธีทำไอศกรีมชาเขียว
1. นำน้ำเปล่าเข้าไมโครเวฟใช้กำลังไฟ 800 วัตต์ เป็นเวลา 2 นาที แล้วจึงใส่ผงชาเขียวลงไปคนให้เข้ากันแล้วพักไว้ให้เย็น 2. นำวิปปิ้งครีมผสมกับน้ำตาลทรายแล้วตีจนขึ้นฟู 3. จากนั้นจึงใส่น้ำชาเขียวลงไปคนให้เข้ากันแล้วใส่นมสดลงไปคนให้เข้ากัน 4. เทใส่ภาชนะมีฝาปิดแล้วนำไปแช่ช่องฟรีซ 8-10 ชั่วโมง จนไอศกรีมเซตตัว เป็นอันเสร็จเสิร์ฟไอศกรีมใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยถั่วแดงบด โมจิ และโรยหน้าด้วยผงคินาโกะ (ผงถั่วเหลือง) ให้สวยงามตามชอบ + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ไอศกรีมชาเขียวถั่วแดงโมจิ ตำรับญี่ปุ่นแท้แม้ไม่ใช้เครื่อง ++++++++++++++++ 4. โมจิไอศกรีมรวมรส ช่วงนี้เห็นตามร้านใหญ่ ๆ ขายโมจิไส้ไอศกรีมกันครึกโครม แต่แค่ลูกเดียวหลายสิบบาท ถ้าซื้อทีละลูก บ่อย ๆ เข้าก็เปลืองเงินแย่ ลองทำเองดีกว่าค่ะ ทำครั้งเดียวได้หลายสิบลูก คุ้ม ! ส่วนผสม โมจิไอศกรีม
แป้งข้าวเหนียวญี่ปุ่น (Shiratamako) 100 กรัม น้ำ 180 มิลลิลิตร น้ำตาลทรายขาว 55 กรัม แป้งข้าวโพด 1/3 ถ้วย ไอศกรีมรสต่าง ๆ ตามชอบวิธีทำโมจิไอศกรีม
1. ตักไอศกรีมเป็นลูกกลม ห่อด้วยพลาสติกแรปหมุนให้เป็นก้อนกลม ๆ นำไปแช่เย็นข้าวคือ หรือจนไอศกรีมเป็นก้อนแข็ง 2. ผสมแป้งและน้ำตาลทรายให้เข้ากัน เติมน้ำลงไป คนผสมจนเนียนเข้ากันดี 3. ปิดชามด้วยพลาสติกแรป นำเข้าไมโครเวฟ ใช้ไฟแรง ประมาณ 1 นาที นำออกมาคนให้เข้ากัน 4. ปิดพลาสติกแรปแล้วนำเข้าไมโครเวฟอีก 1 นาที นำออกมาคนผสมจนส่วนผสมจับตัวเป็นก้อน 5. นำเข้าไมโครเวฟอีก 30 วินาที จนแป้งสุกและเป็นสีขาวใส 6. โรยแป้งข้าวโพดลงบนพื้นผิวเตรียมนวดแป้ง วางส่วนผสมแป้งโมจิลงไปตรงกลางแล้วโรยแป้งบาง ๆ ลงบนแป้งโมจิอีกครั้ง จากนั้นค่อย ๆ นวดแป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ นำไปแช่เย็นประมาณ 15 นาที จนแป้งโมจิเซตตัว 7. นำแป้งออกจาตู้เย็นแล้วใช้ที่ตัดคุกกี้รูปวงกลม หรือปากแก้ว กดแป้งออกเป็นแผ่น ๆ (จะได้ประมาณ 12-13 ชิ้น) 8. วางไอศกรีมที่แข็งแลวลงในแผ่นแป้ง ค่อย ๆ ห่อให้มิด ทำจนหมด นำไปแช่ช่องฟรีซ ก่อนเสิร์ฟให้นำโมจิออกมาวางที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1 นาที แป้งโมจิจะนุ่มพอดี + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ Mochi Ice Cream / kirbiecravings.com ++++++++++++++++ 5. โมจิไส้เนยถั่วฮาเซลนัท โมจิไส้ถั่วแดงกวนอาจจะไม่ค่อยถูกปากคนไม่ชอบกินถั่วเท่าไหร่ ลองมาดูโมจิไส้เนยถั่วฮาเซลนัทสูตรนี้ดูบ้างไหมคะ ? ไม่ต้องนั่งกวนถั่วแดงให้เสียเวลา ทำง่าย ๆ แต่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครดี ส่วนผสม โมจิไส้ช็อกโกแลตเนยถั่วฮาเซลนัท แป้งโมจิโกะ (Mochiko) 8 ออนซ์ (แป้งข้าวเหนียวญี่ปุ่น) กะทิ 1 กระป๋อง น้ำ 1/4 ถ้วย น้ำตาลทรายขาว 1/2 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ ช็อกโกแลตเนยถั่วฮาเซลนัท แป้งข้าวโพด หรือแป้งมันสำปะหลัง (สำหรับโรย) สเปรย์น้ำมัน
วิธีทำโมจิไส้เนยถั่วฮาเซลนัท
1. ตีผสมแป้งโมจิโกะ กะทิ น้ำ น้ำตาลทราย และกลิ่นวานิลลาให้เข้ากันจนเริ่มเหนียว 2. ฉีดสเปรย์น้ำมันในชามหรือถ้วยที่จะนำเข้าไมโครเวฟ จากนั้นเทส่วนผสมแป้งลงไป นำเข้าไมโครเวฟ ใช้ไฟแรง 1 นาที จนส่วนผสมแป้งสุกและใส นำออกมาคนผสมให้เหนียวเข้ากัน แล้วนำเข้าไมโครเวฟต่ออีกครั้งละ 1 นาที ทำไปเรื่อย ๆ จนแป้งสุก ประมาณ 7 นาที 3. นำส่วนผสมโมจิวางลงบนพื้นผิวที่จะนวดแป้งที่โรยแป้ง้ขาวโพดบาง ๆ เอาไว้ 4. นวดเบา ๆ แล้วตัดแบ่งแป้งเป็น 15 ชิ้น ขนาดเท่า ๆ กัน 5. นวดแป้งแต่ละชิ้นเป็นก้อนกลม ๆ แผ่นเป็นแผ่นบาง ๆ 6. ตักส่วนผสมไส้ช็อกโกแลตเนยถั่วฮาเซลนัทเป็นก้อนกลม ๆ วางลงไปตรงกลางแป้งโมจิ ห่อแป้งเป็นก้อนกลม ๆ ทำจนหมด กลับเอาด้านที่เนียนขึ้น เสิร์ฟในพิมพ์คัพเค้ก + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ Hazelnut Butter Mochi / thirstyfortea.com มีของดีก็ต้องมาบอกต่อจริงไหมคะ ? จะเก็บไว้คนเดียวได้ไง มามะ วันหยุดว่าง ๆ เพื่อน ๆ ก็ลองทำโมจิญี่ปุ่นคูล ๆ แบบนี้กินกันนะคะ เติมเต็มความสุขให้สุดเหวี่ยงไปเลย
Create Date : 28 มีนาคม 2560 | | |
Last Update : 28 มีนาคม 2560 20:40:30 น. |
Counter : 5070 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อยากกินน้ำอัดลมแต่กลัวอ้วน ต้องลองนี่ ! น้ำอัดลมเพื่อสุขภาพ เริ่มขายแล้วในญี่ปุ่น
อยากกินน้ำอัดลมแต่กลัวอ้วน ต้องลองนี่ Coca-Cola Plus โค้กแบบใหม่ เป็นน้ำอัดลมเพื่อสุขภาพ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี่ แถมมีไฟเบอร์ เริ่มขายแล้วในญี่ปุ่น
ในขณะที่เครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลมนั้นมักจะถูกพูดถึงในฐานะเครื่องดื่มทำลายสุขภาพ ที่มาพร้อมกับปริมาณน้ำตาลและแคลลอรี่จำนวนมาก จนทำให้สาว ๆ ที่กลัวอ้วนและคนรักสุขภาพทั้งหลายจำต้องถอยห่าง แม้จะชื่นชอบในรสชาติแสบซาบซ่าของน้ำอัดลมเหล่านี้มากก็ตาม จากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทผู้ผลิตจำต้องหาหนทางใหม่เพื่อทำให้เครื่องดื่มของพวกเขาสามารถเข้าถึงตลาดได้ทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่คนรักสุขภาพ กระทั่งล่าสุด (28 มีนาคม 2560) ทาง Coca-Cola ก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ Coca-Cola Plus ออกมา ในฐานะของน้ำอัดลมเพื่อสุขภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่จะปราศจากน้ำตาลและให้พลังาน 0 แคลลอรี่แล้ว ยังมีการเพิ่มไฟเบอร์มาช่วยลดการดูดซับไขมันจากอาหาร หากมีการดื่ม Coca-Cola Plus ระหว่างมื้ออาหารอีกด้วย
โดย Coca-Cola Plus ได้เริ่มวางขายในญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมนี้แล้ว ซึ่งทางบริษัทหวังจะเจาะตลาดผู้บริโภควัย 40 ปีขึ้นไป ในฐานะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้รับการรับรองจากภาครัฐของญี่ปุ่น ให้จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติเฉพาะ (FOSHU)
ทั้งนี้สำหรับรสชาตินั้น แม้จะมีบางคนที่มองว่ามีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างหนืดกว่าน้ำอัดลมตามปกติ ให้สัมผัสที่คล้ายนม แต่ก็นับว่าให้รสชาติที่ดีและลดการกระหายสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มโคล่าแต่ก็ห่วงเรื่องสุขภาพได้
ภาพจาก coca-colacompany
ข้อมูลจาก independent, coca-colacompany
Create Date : 28 มีนาคม 2560 | | |
Last Update : 28 มีนาคม 2560 20:30:42 น. |
Counter : 1135 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ชมดอกกัลปพฤกษ์ที่เขื่อนสิริกิติ์ ชมพูอร่ามรับฤดูร้อน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Tat Sukhothai fanpage ชื่นชมความสวยงามของดอกกัลปพฤกษ์สีชมพูสวยหวาน บริเวณริมเขื่อนสิริกิติ์ เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะได้เข้ามาเก็บภาพความสวยงามสุดประทับใจผ่านภาพถ่ายสวย ๆ ฟินไปกับภาพบรรยากาศสวย ๆ ของดอกกัลปพฤกษ์ที่เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังออกดอกสีชมพูหวาน รวมถึงดอกตะแบกที่เริ่มบานสอดแทรกความสวยงามอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน มองไปมองมาไม่ต่างกับว่าคุณกำลังหลงเดินอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ท่ามกลางดอกซากุระสวย ๆ เลยทีเดียว วันนี้เราจะไปส่องความสวยงามของสถานที่แห่งนี้กัน รับรองเลยว่าสวยประทับใจใครหลายคนแน่นอน เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่ก่อสร้างขึ้นตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำน่าน ตั้งอยู่ที่ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมเขื่อนสิริกิติ์ ด้วยเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เช่น "เรือนรับรองพิเศษเขื่อนสิริกิติ์" เรือนรับรองของพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมาแปรพระราชฐาน ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเฉพาะภายนอกเท่านั้น, "หมู่บ้านเรือ" หมู่บ้านตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 หรือ "สะพานเฉลิมพระเกียรติบรมราชินีนาถ" สะพานแขวนที่สวยงามทอดกลางผ่านเขื่อนสิริกิติ์ เป็นต้น
และถ้าใครมาเที่ยวเขื่อนสิริกิติ์ในช่วงเวลานี้ นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความงดงามของดอกกัลปพฤกษ์สีชมพูแสนหวาน ที่กำลังออกดอกชูช่อให้นักท่องเที่ยวได้เก็บรูปสวย ๆ โดยจะบานเต็มที่นับจากนี้ไปอีก 10-20 วัน แต่หลังจากนั้นก็จะมีต้นอื่นบานขึ้นมาแทนที่สลับกันไป (แต่อาจจะไม่เป็นกลุ่มใหญ่เหมือนกับในรูป) เป็นอีกหนึ่งสีสันดอกไม้สวย ๆ รับหน้าร้อน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนเปรี้ยง ได้ชมดอกไม้สวย ๆ ก็ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย โทรศัพท์ 055 616 228 หรือ เฟซบุ๊ก Tat Sukhothai fanpage
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Tat Sukhothai fanpage, เฟซบุ๊ก Pakapon Kesornbua, sirikitdam.egat.com
Create Date : 27 มีนาคม 2560 | | |
Last Update : 27 มีนาคม 2560 13:17:21 น. |
Counter : 2248 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สูตรขนมไทยหอมใบเตย อร่อยหวานละมุนจากธรรมชาติ
2. ขนมฝักบัวใบเตย
ขนมฝักบัวใบเตยก็เป็นอีกเมนูขนมหอมใบเตยที่หากินยากมาก ถ้าไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหนก็ทำเองเลยจ้า สูตรนี้ใส่กล้วยหอมเพิ่มความอร่อย เริ่มกินจากขอบกรอบ ๆ ไล่ไปตรงกลางเนื้อจะนุ่ม ๆ จะทำชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ก็เอาที่สบายใจเลยค่ะ
ส่วนผสม ขนมฝักบัว
แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย กล้วยหอมสุก 1 ลูก (บดละเอียด) ใบเตย 20 ใบ สีผสมอาหารสีเขียว 1 ช้อนชา น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
วิธีทำขนมฝักบัว
1. ล้างใบเตยให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในเครื่องปั่น เติมน้ำเปล่าลงไปพอท่วม ปั่นจนละเอียด จากนั้นกรองและคั้นเอาแต่น้ำ เตรียมไว้ 2. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว และกล้วยหอม ค่อย ๆ เทน้ำใบเตยลงไปนวดให้เข้ากัน ใส่สีผสมอาหารสีเขียวลงไป 3. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปนวดกับแป้งให้ละลายจนมีลักษณะข้นเหนียว (เหมือนนมข้นหวาน) พักแป้งทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที 4. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะขนาดเล็กสูงประมาณ 1/2 ของกระทะ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ พอน้ำมันร้อน กวนแป้งให้เข้ากันแล้วตักหยอดลงตรงกลางกระทะ (ระวังอย่าให้แป้งใต้กระบวยหยดลงในกระทะ) ขนมจะค่อย ๆ พองจากด้านนอกเข้าสู่ด้านในจนปิดสนิท รอจนขนมเหลืองและลอยขึ้นจากน้ำมันแล้วพลิกกลับด้าน จากนั้นตักน้ำมันราดตรงกลางของขนมเพื่อให้ตรงกลางขนมปูดขึ้น ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมฝักบัวใบเตย ขนมไทยโบราณเหนียวนุ่มหวานกรอบ
+++++++++++++++++ 4. ขนมหยกมณี คุณแม่ที่อยากทำเมนูขนมหอมใบเตยสำหรับลูกรัก นี่เลยขอนำเสนอเมนูขนมหยกมณี สูตรจาก คุณ Rin's Cookbook (#Rinscookbook) เนื้อขนมทำจากสาคูผสมกับน้ำใบเตย ปั้นเป็นก้อนกลมพอดีคำ คลุกกับมะพร้าวขูด ส่วนผสม ขนมหยกมณี
สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วยตวง ใบเตยหั่น 5-6 ใบ น้ำเปล่า หรือน้ำลอยดอกมะลิ (สำหรับปั่นน้ำใบเตย) 2 ถ้วยตวง น้ำเปล่า (สำหรับต้มสาคู) 1+1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 1 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชาวิธีทำขนมหยกมณี
1. ล้างสาคูโดยเทสาคูลงไปบนตะแกรง ใส่น้ำเปล่าลงไป ใช้มือคนเล็กน้อย เทน้ำทิ้ง ทำซ้ำ 2 รอบ พักสาคูไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำประมาณ 15-20 นาที 2. ระหว่างรอสาคูก็มาคั้นน้ำใบเตยโดยหั่นใบเตยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่โถปั่น ใส่น้ำเปล่า หรือน้ำลอยดอกมะลิลงไป ปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือถุงกาแฟ เตรียมไว้ 3. พอพักสาคูไว้จนครบ 15 นาทีแล้ว เทน้ำเปล่าใส่กระทะ หรือหม้อ เปิดไฟแรงสูง พอน้ำเดือดพล่านให้ปรับเป็นไฟกลาง จากนั้นใส่สาคูลงไปคนอย่างเร็ว (เพราะสาคูจะจับเป็นก้อน) คนจนสาคูเริ่มจับตัวเป็นก้อน มีลักษณะเป็นตากบคือ มีสีขุ่นตรงกลางและภายนอกสีใส 4. ใส่น้ำใบเตยลงไปคนให้เข้ากัน กวนส่วนผสมไปเรื่อย ๆ ถ้าชอบสาคูเป็นแบบตากบก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปได้เลย หรือถ้าชอบสาคูสุกมากก็กวนจนน้ำแห้งแล้วค่อยใส่น้ำตาลทรายลงไป (ชอบแบบไหนก็ใส่น้ำตาลลงไปตอนนั้น) 5. พอใส่น้ำตาลทรายเสร็จแล้วก็กวนส่วนผสมต่อไปอีกประมาณ 5 นาที หรือจนขนมค่อนข้างหนืดตัวและข้นแต่ไม่แห้ง เทขนมใส่ถาด เกลี่ยให้เท่า ๆ กัน (ห้ามจุ่มมือลงไปเพราะขนมร้อนมาก ๆ) ผึ่งขนมไว้จนเย็น 6. ระหว่างรอขนมเย็นให้นึ่งมะพร้าวขูดในชุดนึ่งใช้ไฟแรงประมาณ 15 นาที จากนั้นนำมะพร้าวใส่จาน โรยเกลือป่น คลุกเคล้าให้ทั่ว นำช้อนกินข้าวไปจุ่มน้ำเล็กน้อย จากนั้นนำมาตักขนมหยกมณีเป็นคำ ๆ วางขนมหยกมณีลงบนมะพร้าว คลุกเคล้าขนมหยกมณีกับมะพร้าวให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมหยกมณี ขนมไทยโบราณเนื้อนุ่มเหนียวหอมกลิ่นใบเตย +++++++++++++++++ 5. ขนมครกใบเตย มาแคะขนมครกสนุก ๆ กันดีไหมคะ ขอนำเสนอเมนูขนมครกใบเตย สูตรจาก เฟซบุ๊ก พาทำ พาทาน เนื้อขนมสีเขียวหอมกลิ่นใบเตย เคี้ยวนุ่มหนึบอร่อยเพลิน เอาล่ะ
เรียกลูก ๆ มาล้อมวงกันได้เลย ส่วนผสม ขนมครกใบเตย (สำหรับ 18-20 ชิ้น)
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 1/4 ถ้วย ผงฟู 1ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/3 ถ้วย กะทิ 1/4 ถ้วย น้ำมันพืชสำหรับทาพิมพ์อุปกรณ์
เตาขนมครกสิงคโปร์ (หรือใช้พิมพ์รูปอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปดอกไม้) ผ้าสำหรับชุบน้ำมันไว้ทาเตา วิธีทำขนมครกใบเตย
1. ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งมัน และผงฟูเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนผสมเข้าด้วยกัน 2. ใส่ไข่ไก่ลงไปตีผสมให้เข้ากัน 3. เทกะทิลงไปตีผสมให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำใบเตย คนผสมให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด พักแป้งไว้ 10 นาที 4. นำเตาขนมครกวางบนเตาแก๊ส ใช้ไฟอ่อนที่สุด แล้วใช้ผ้าชุบน้ำมันทาเตาบาง ๆ จากนั้นตักแป้งหยอดลงในเตาไม่ต้องเต็ม (เพราะเดี๋ยวขนมจะฟูขึ้นมาเอง) ปิดฝา (เพื่อให้ขนมสุกเร็วขึ้น) 5. เมื่อขนมสุกแล้วใช้ไม้ปลายแหลมหรือไม้จิ้มฟันแซะขึ้นมาจากพิมพ์ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมครกใบเตย เหนียว ๆ นุ่ม ๆ สีสันสดใส ใคร ๆ ก็ชอบกิน +++++++++++++++++ 6. ขนมชั้นใบเตย เคยคิดอยากทำเมนูขนมชั้นใบเตยกันบ้างไหมคะ บอกเลยว่าทำไม่ยากอย่างที่คิด สูตรจาก คุณ RinS Cook Book (#Rinscookcook) เนื้อเหนียวนุ่ม ปรับลดความหวานตามชอบ หั่นชิ้นไว้แจกเพื่อน ๆ สร้างมิตรภาพกันค่ะส่วนผสม ขนมชั้นใบเตย
น้ำตาลทราย 2+1/2 ถ้วย น้ำกะทิ 4 ถ้วย แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย แป้งท้าวยายม่อม 1+1/2 ถ้วย (หรือแป้งถั่วเขียว) น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/2 ถ้วย น้ำหอมกลิ่นมะลิผสมน้ำ 1/2 ถ้วย ถาดหรือพิมพ์สี่เหลี่ยมสำหรับนึ่งขนม (ขนาด 10x10 นิ้ว หรือ 8x8 นิ้ว) วิธีทำขนมชั้นใบเตย
1. ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงในหม้อ คนผสมให้เข้ากันแล้วนำขึ้นตั้งไฟปานกลางประมาณ 5 นาที จนน้ำตาลทรายละลาย (ไม่ต้องรอให้เดือด) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น 2. นึ่งถาดหรือพิมพ์ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ประมาณ 15 นาที เตรียมไว้ 3. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งท้าวยายม่อมเข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทส่วนผสมน้ำกะทิลงไป ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นวดประมาณ 15 นาที จนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง 4. แบ่งแป้งเป็น 2 ถ้วย โดยถ้วยที่ 1 ผสมกับน้ำใบเตย และถ้วยที่ 2 ผสมกับน้ำมะลิ คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้ 5. ทำชั้นที่ 1 โดยเทส่วนผสมสีขาว (เทส่วนผสมทุกชั้นประมาณ 1/3 ถ้วย) ลงในพิมพ์ ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที เปิดฝา เทส่วนผสมสีเขียวลงไป ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที ทำซ้ำเช่นเดิม สลับชั้นกันจนหมดแป้ง จะได้ประมาณ 9-10 ชั้น โดยชั้นสุดท้าย ให้นึ่งประมาณ 7 นาที ยกออกจากชุดนึ่ง วางพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท (ประมาณ 3 ชั่วโมง) 6. นำขนมออกจากถาด จุ่มมีดลงในน้ำร้อน กดลงบนขนมเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมชั้นใบเตย ขนมไทยสีสันสดใส เนื้อเหนียวนุ่ม +++++++++++++++++
Create Date : 27 มีนาคม 2560 | | |
Last Update : 27 มีนาคม 2560 13:15:13 น. |
Counter : 3761 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสำคัญที่คู่รักควรรู้ เพื่อความสุขในอนาคต
การมีช่วงเวลาดี ๆ โดยมีความสุขร่วมกับคนรักไปนาน ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทั้งนี้ก่อนที่ความหวังของคุณจะเป็นจริง ก็ควรรู้เอาไว้ด้วยว่า มีเรื่องใดบ้างที่ช่วยนำพาความรักของคุณไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ โดยเฉพาะ 7 เรื่องสำคัญต่อไปนี้ที่ควรท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อความรักที่ดีกว่าเดิมและเดินไปในทางที่ถูกต้อง
1. ใส่ใจกันให้มากกว่าที่เคย
ชีวิตของทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานบ้าง เรื่องส่วนตัวบ้าง จนบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราลืมใส่ใจคนที่อยู่ข้างกายไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งความใส่ใจที่ว่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มากมาย จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชาย แค่รู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้อยู่ในทางที่ถูกที่ควรก็พอ และถ้าหากคุณตัดสินใจที่จะหันมาใส่ใจดูแลคนข้างกายมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ความรักของคุณมั่นคงและแข็งแรงขึ้นอย่างที่คาดไม่ถึงเชียวล่ะ
2. ทุกคนต่างก็มีวันแย่ ๆ ด้วยกันทั้งนั้น
คุณควรเข้าใจว่าทุกคนต่างก็มีวันแย่ ๆ ในชีวิตที่ทำให้รู้สึกขุ่นมัว อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่สับสน เป็นกังวล หรือเกรี้ยวกราดได้ แม้กระทั่งตัวคุณเองก็คงเคยเจอกับวันเหล่านั้นมาบ้างในชีวิต ซึ่งการคาดหวังให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลาก็คงเป็นเรื่องยากเกินไป ดังนั้นในเวลาแบบนี้สิ่งที่คุณทำได้ก็คืออดทน ใจเย็น รับฟัง และพร้อมทำความเข้าใจ
3. ไม่ทะเลาะต่อหน้าคนอื่น
ความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหากจะมีปากมีเสียงกัน ก็ทำเป็นการส่วนตัว ไม่ควรให้เกิดขึ้นในที่สาธารณะ หากมันช่วยไม่ได้จริง ๆ ก็ให้เงียบเอาไว้ก่อน สำหรับคนใจร้อน หงุดหงิดง่าย หรืออยากจะคุยให้รู้เรื่องกันเลยในตอนนั้น ก็ควรจะหาที่เงียบ ๆ แล้วคุยกันตัวต่อตัวดีกว่า
4. การให้อภัยคือสิ่งสำคัญ
คู่รักที่สามารถให้อภัยกันได้เท่านั้นที่จะสามารถประคองความรักเอาไว้ได้อย่างยาวนาน โดยคุณควรทำความเข้าใจเอาไว้ก่อนว่าในโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟคท์ ทั้งคุณและเขาสามารถทำผิดกันได้ และวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือการยอมรับความจริง เรื่องใดที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เพราะหากคุณไม่ยอมละทิ้งอดีต สิ่งนี้ก็จะย้อนกลับมาทำร้ายความรักของคุณเอง
5. หัวเราะไปด้วยกัน
อารมณ์ในด้านดี โดยเฉพาะการหัวเราะเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บที่หัวใจได้ดีที่สุด และช่วยหลอมรวมให้คน 2 คน กลายเป็นคนคนเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการหัวเราะนอกจากจะมีพลังช่วยลดกำแพงในใจแล้ว ยังช่วยลดความเครียด ทำให้อายุยืนยาว แถมยังดูอ่อนวัย นอกจากนี้ก็ยังนำพาแต่เรื่องดี ๆ มาให้พร้อมกับทำให้คุณกลายเป็นคนที่ดูดีมาจากภายในด้วย
6. พูดให้ชัดเจน
คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่สามารถอ่านใจคนอื่นได้ดีมากนัก แม้จะเป็นคนรักของตัวเองก็ตาม และสิ่งที่ทำให้คู่รักหลายคู่ผิดหวังในกันและกันก็เพราะว่า พวกเขาไม่สามารถอ่านใจของอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นวิธีแก้ไขสิ่งนี้ก็คือการพูดคุยกันให้มีความชัดเจนมากที่สุด โดยแค่พูดสิ่งที่คุณต้องการออกมา ด้วยคำพูดง่าย ๆ ที่ฟังแล้วเข้าใจได้ในครั้งเดียว
7. ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
การรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในฐานะที่เป็นคนรักและทำมันออกมาได้ดีนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักของคุณแล้ว ยังเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีความหมายกับคุณอย่างที่ควรจะเป็นด้วย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน ดังนั้นการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยครองรักให้ยาวนาน
ความสุขและความรักที่มั่นคงอาจจะประกอบขึ้นจากหลากหลายปัจจัยและกฎเกณฑ์มากมาย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นคุณก็ควรจะพยายามทำตามกฎเกณฑ์บ้าง แม้บางอย่างมันจะขัดแย้งหรือไม่ถูกใจคุณไปเสียทั้งหมดก็ตาม โดยให้ดูจากพื้นฐานความรักของพวกคุณเป็นหลัก แล้วก็ลองพิจารณาตามไปว่า สิ่งใดที่มีความสำคัญและจำเป็นกับความรักของพวกคุณ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก allwomenstalk.com และ magforwomen.com
Create Date : 27 มีนาคม 2560 | | |
Last Update : 27 มีนาคม 2560 13:10:12 น. |
Counter : 978 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |