+~* สวัสดี...ความรัก *~+
Group Blog
 
All Blogs
 

ความกลัว

บ่ายวันนึงเรานอนกลางวัน แล้วตอนที่รู้สึกตัวว่ากำลังจะตื่นแต่ลืมตาได้แค่ครึ่งเดียว เหมือนหนังตามันหนัก ตอนนั้นหูของเราสามารถรับฟังเสียงต่างๆ นาๆ จากภายนอกห้องนอนได้เป็นปกติ ส่วนแขนขากลับขยับไม่ได้เลย ทั้งที่นอนหงายในท่าสบายๆ ไม่ได้กดทับอะไรทั้งสิ้น

จังหวะนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองรวบรวมกำลังพยายามลุกขึ้นมานั่ง...แล้วก็นั่งได้จริงๆ แต่พอเอี้ยวตัวไปทางหมอนก้ได้เห็นตัวเราเองยังนอนอยู่

ความรู้สึกที่ติดตามมาคือ..เรากลัวค่ะ
สิ่งที่รีบทำอย่างรวดเร็วทันทีในวินาทีนั้นคือ รีบกลับลงไปนอนตามเดิม แล้วถึงได้พยายามฝืนให้ตัวเองลืมตาและพยายามสั่งตัวเองให้ขยับแขนขา จนตื่นขึ้นได้จริงๆ


หมายเหตุ...มีเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันนี้แต่ยังไม่ถึงขั้นลุกขึ้นมานั่งแล้วเห็นตัวเอง เพียงแต่รู้สึกว่าภายในหรืออะไรบางอย่างเหมือนจะหลุดเลื่อน เราหวนนึกไปถึงเหตุการณ์เดิม จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ลุกขึ้นในขณะยังตื่นไม่เต็มที่ดังเช่นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม อาการตื่นไม่เต็มตาเกิดขึ้นกับเราบ่อยครั้ง มีอยู่หลายครั้งที่เราเห็นสิ่งที่คิดว่าเป็นสัมภเวสี หรือได้ยินสำเนียงเสียงพูดของกลุ่มคนที่มีทั้งชายหญิง เด็กและผู้ใหญ่ซึ่งไม่ใช่ภาษามนุษย์บนโลกนี้มารุมล้อมอยู่ใกล้ๆ ทว่า ไม่เห็นตัวตน




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2549    
Last Update : 19 สิงหาคม 2549 13:26:59 น.
Counter : 295 Pageviews.  

:~ภพภูมิเทวดา~:

ความเชื่อในเรื่อง “ภพภูมิเทวดา” สวรรค์ที่ตาเนื้อของมนุษย์ปกติไม่อาจมองเห็นได้เพราะ “ภูมิเทวดา” มีความละเอียด หรือมีความเป็น “ทิพย์” หากจะสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นมีการบำเพ็ญทานบารมี หมั่นปฏิบัติธรรม รวมถึงต้องมีการฝึกจิตให้ได้ในระดับหนึ่งจึงจะสามารถสัมผัสได้ในมิตินั้น


ตำนานความเชื่อในเรื่องของ “เทพเทวดา” ถูกเล่าขานมาแทบจะทุกประเทศทั่วโลกทั้งจีน อินเดีย กรีก โรมันหรือแม้แต่ประเทศไทย ซึ่งในความจริงแล้วจะเป็นเรื่องที่มีจริงหรือไม่ก็ยังไม่มีการยอมรับมากนัก เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าเรื่องนี้มนุษย์ทุกคนไม่สามารถสัมผัสได้ ด้วยเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ “จิตวิญญาณ” สัมผัสได้เฉพาะบุคคลเท่านั้น


ตามคติทางศาสนาพุทธ “ภูมิ” หรือ “สวรรค์” นั้นมีหลายชั้นอาทิ จาติมหาราธิกาภูมิ
( สวรรค์ ชั้นที่ 1 )
ดาวดึงสาภูมิ ยามาภูมิ ดุสิตาภูมิ นิมมานนรดีภูมิ ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ
( สวรรค์ชั้นที่ 6 ที่ถือว่าเป็นชั้นสูงสุดของแดนสุขาวดี )
และนอกจากเทวดาจะอยู่บนภูมิสวรรค์แล้ว บนโลกมนุษย์ก็มีเทวดาที่สิงสถิตอยู่ตามต้นไม้ที่เราเรียกว่า “รุกขเทวดา” >( เป็นชั้นจาตุมหาราชิกา ) หรือถ้าเป็นเทวดาผู้หญิงที่อยู่ตามต้นไม้ก็จะเรียกว่า
“นางไม้”

สวรรค์ในแต่ละชั้นใครจะได้อยู่ชั้นไหนขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่เคยสร้างไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ว่ากันว่าผู้ที่จะได้ไปจุติใน “ภูมิแห่งเทวดา” คือผู้ที่ปะกอบแต่กรรมดีหรือสร้างสมกุศลกรรมอยู่เสมอ



นอ.ชาญ ศรีไทย ข้าราชการทหารบำนาญแห่งกองทัพอากาศที่ปัจจุบันแม้จะเกษียณแล้วก็ยังใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นด้วยการปฏิบัติธรรมและรับเป็นวิทยากรบรรยายตามหน่วยงานราชการและเอกชนต่างๆ ในหัวข้อเกี่ยวกับ “ธรรมมะ”


คุณชาญมีความเชื่อว่า “ภพภูมิของเทวดา” มีจริง และท่านก็ได้พิสูจน์จนรู้แจ้งด้วยตัวท่านเองมาแล้ว จึงนำเรื่องราวที่ได้สัมผัสมาเล่าให้เราฟังเพื่อเป็นวิทยาทาน



“ถ้าจะพูดถึงเรื่องการพิสูจน์เทวดานี่นะครับผมต้องถามก่อนเสมอว่า ผู้ฟังมีความเชื่อถือในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงใด คือสิ่งเหล่านี้เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็นเพราะฉะนั้นต้องเชื่อในคำสอน เพราะสิ่งนี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่การยกเมฆเอาอะไรต่ออะไรมาพูด”


คุณชาญกล่าวต่ออีกว่า...



“ ในโลกมนุษย์นี้ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเช่น วังหลวงหรือวัดพระแก้ว จะมีเทวดามาอยู่เยอะเพื่อรักษาสถานที่นั้น แม่แต่องค์พระพุทธรูปที่สำคัญก็จะมีเทวดารักษามากกว่า 1 องค์ หรือคนใน “เมืองลับแล” ที่เราเคยได้ยินเขาก็คือเทวดาเหมือนกัน เป็นเทวดาอีกภพหนึ่งที่ไม่ค่อยปรากฏตัว


เคยมีพระสงฆ์ที่ทรงธรรมชั้นสูงหลายองค์พอเวลาวิกาลท่านจะออกมาเทศน์โดยที่เราไม่เห็นว่าจะมีใครมาฟัง จริงๆ แล้วท่านเทศน์ให้ “พวกบังบด” หรือ “พวกลับแล” ฟัง ซึ่งเขาจะมากันเยอะ มาขอฟังธรรมแต่เราคนธรรมดาจะไม่เห็นเขา และพวกนี้ก็จะมีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ”



คุณชาญบอกว่าการที่จะพิสูจน์เทวดาทำได้โดยการปฏิบัติธรรม และทุกคนสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้



“ ผมใช้คำว่าทุกคน เราสามารถพบเห็นได้ เพราะเทวดามีแน่นอนและมีหลายระดับทั้งบนพื้นดิน อากาศ ต้นไม้ หรือเทวดาชั้นสูงขึ้นไปซึ่งมีอยู่หลายชั้น วิมานเทวดาในแต่ละชั้นไม่เหมือนกัน...ก่อนจะเห็นต้องเริ่มด้วยการปฏิบัติ ถ้าจิตเรารวมเขาเรียกเป็น “ปฐมฌาน” ปฏิบัติให้ได้ฌานระดับ 4 ก็จะได้พบเห็นอะไรต่ออะไร เวลาไปที่นั่นจะมีคนพาไป ผมเห็นได้หลายชั้น แต่เห็นอะไรบ้างนี่มันก็พูดยากนะครับ คล้ายๆ ว่าเป็น “ปัจจัตตัง” เพราะคนเราเวลาปฏิบัติมักเห็นไม่เหมือนกันนะฮะ ”



“ ที่ๆ ผมไปที่นั่นมีธรรมชาติ ภูมิประเทศสวยงามมาก สะอาดเป็นระเบียบ มีความเป็นธรรมชาติเหมือนกับโลกของเราเพียงแต่สวยงามกว่า การแต่งกายเขาก็ใส่เสื้อผ้าเหมือนเรา การแต่งเครื่องทรงอย่างในภาพเขียนมีใช้ในบางโอกาส แต่ส่วนใหญ่ก็เหมือนอย่างเราเพียงแต่ว่าชุดแต่งกายจะสุภาพเรียบร้อย ร่างกายโปร่งใส ”



คุณชาญใช้วิถีทางแห่ง “สมาธิ” เป็นเครื่องพิสูจน์เพื่อจะได้สัมผัสกับ “เทวดา” คุณชาญบอกว่าการทำสมาธิไม่ใช่สิ่งยาก ทุกคนทำได้เพียงแต่ว่าเราได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติมากน้อยเพียงใด ถ้าสะสมมากก็ได้เร็ว ถ้าน้อยก็ได้ช้าหน่อย แต่ขอเพียงว่าให้มี “ความเพียร” เท่านั้น



ประสบการณ์ทางสมาธิของคุณชาญจากที่เริ่มปฏิบัติครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อนนั้นน่ากลัวชวนให้ตื่นเต้นไม่น้อย คุณชาญเล่าให้ฟังว่า



“ ผมนั่งครั้งแรกตอนอยู่บ้านหลวง พูดตรงๆ นะครับ ผมเป็นคนกลัวผี พอไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ก่อนทำสมาธิเนี่ยมักจะต้องขอก่อน ขออย่ามีอะไรมาไม่ได้ ขอให้มาในรูปสวยๆ งามๆ นะ อย่ามานะรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เพราะว่าผมกลัว ปฏิบัติอยู๋หลายคืนก็เริ่มมีสิ่งผิดปกติสิ่งผิดปกติที่ว่าในครั้งแรก เกิดขณะที่ผมอยู่ในห้องพระคนเดียว พระเวลาทำสมาธิจะไม่ให้ใครรบกวน ครั้งนั้นก็จะเห็นเป็นเงาผ่านพรึบๆ ใจก็...เอาแล้ว...เอาแล้ว ก็แผ่เมตตา สัพเพสัตตาให้ 2-3 รอบก็หายไป...



คราวนี้เปลี่ยนใหม่ เป็นเสียงคนเดินผ่านหลัง เดินแบบลากเท้าดังแซ่กๆๆ เออ...เปลี่ยนอีกแล้ว
( หัวเราะ ) แต่ความกลัวยังมีอยู่ก็แผ่เมตตาไป คราวนี้สิครับโอ้โห...สมมติผมนั่งสมาธิอยู่ตรงนี้ โต๊ะบูชาอยู่ตรงนี้ ตรงนี้เป็นหน้าต่างบ้านชั้นบน ระยะห่างก็ประมาณ 2 เมตร จากหน้าต่าง ผมก็เห็น ( ในสมาธิ ) ผู้ชายรูปร่างใหญ่โต แหม...แขนข้างนึงใหญ่กว่าโคนขา ยืนจังก้า นอกหน้าต่าง น้ำเหลือง น้ำหนองน่ะเฟอะเลย น่ากลัว ก็แผ่เมตตา แผ่นานครับกว่าจะไป แล้วมาทุกคืน มาให้เห็นในรูปอย่างนั้นมาอยู่ 4-5 คืน...



ครั้งสุดท้ายยิ่งแผ่เมตตายิ่งเดินเข้ามาหา เดินยังกับหุ่นยนต์มาข้างหลังเอื้อมมือจะมาบีบคอ พอใกล้ถึงคอผมก็ร้องเลยครับ กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว รีบออกจากสมาธิเลยวันรุ่งขึ้นก็รีบไปหาหลวงพ่อที่สอนสมาธิผม เล่าให้ท่านผัง บอกปฏิบัติมาแล้วทุกวัน ครั้งสุดท้ายเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อท่านตบพื้น “ปัง”...บอกว่าทำไมไปกลัว นั่นล่ะด่านสุดท้ายแล้ว ก็เลยต้องเริ่มต้นกันใหม่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบอีก แต่ผมก็ยังจำภาพนั้นติดตามาจนทุกวันนี้ ”



เมื่อได้ปฏิบัติและพบเห็นเรื่องราวแปลกๆ อยู่เสมอๆ เลยทำให้คุณชาญเชื่อว่าวิญญาณ เทวดา ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับนั้นมีแน่เพราะได้ไปเยือนและได้สัมผัสเห็นอยู่บ่อยๆ จึงทำให้จากที่เคยกลัวการพบเห็นนิมิตรประหลาดในสมาธิก็กลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา



ทุกวันนี้คุณชาญก็ยังปฏิบัติธรรมเป็นปกติ และเชื่อว่าการที่ครอบครัวมีความสุข ส่วนหนึ่งเป็นผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมนั่นเอง





ที่มา : นิตยสารหญิงไทย

ฉบับที่ 627 ปีที่ 27 ปักษ์หลัง


..........................................................................


กาลามสูตร

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา

(มา อนุสฺสเวน)

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา

(มา ปรมฺปราย) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ

(มา อิติกิราย)

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์

(มา ปิฏกสมฺปทาเนน)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก

(มา ตกฺกเหตุ) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน

(มา นยเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

(มา อาการปริวิตกฺเกน) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว

(มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้

(มา ภพฺพรูปตาย)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

(มา สมโณ โน ครูติ) แต่หากประจักษ์ด้วยตนเองอย่างชัดแจ้งแท้จริงแล้ว จึงค่อยปลงใจเถิด ว่าสมควรจะเชื่อหรือไม่




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2549    
Last Update : 12 สิงหาคม 2549 10:05:00 น.
Counter : 414 Pageviews.  

:+:สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ :+:



//www.yingthai-mag.com..........................................................................

“พระนางเรือล่ม” ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่วัดกู้ ( โดย สายทิพย์ )


ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา “วัดกู้” ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในอดีตสถานที่นี้คือ จุดเกิดโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ยุคแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5

เหตุครั้งนั้นทำให้พระนางอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าแผ่นดินต้องมาสังเวยชีวิตสิ้นพระชนม์ลง ณ กลางแม่น้ำนั้น
เหตุการณ์คราวนั้นถึงกับทำให้ “เจ้าเหนือหัว” ของคนไทย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ถึงกับทรงพระกรรณแสง เพราะเป็นที่รู้กันตามประวัติศาสตร์ว่า ในบรรดาพระมเหสีและเจ้าจอมทั้งหลายนั้น “สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี” หรือที่เราคนไทยคุ้นกับพระนามของพระองค์ว่า “พระนางเรือล่ม” นั้นทรงเป็น “ที่รัก” และโปรดปรานยิ่งของ “องค์พระพุทธเจ้าหลวง”

พระประวัติ “พระนางเรือล่ม” พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลำดับที่ 50 พระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. 2403 ณ พระบรมมหาราชวังทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 17 พรรษา ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระอัครมเหสี” และยังเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่น ๆ

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ จวบกระทั่งวันที่เสด็จทิวงคตเพราะเรือล่ม ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2423 ขณะกำลังเสด็จฯ มายัง พระราชวังบางปะอินพระองค์ก็ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน

เหตุสลดในวันนั้นเล่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้เรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ล่ม เนื่องเพราะเรือพระพันปีหลวง หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถบรมราชชนนี พันปีหลวงแล่นแซง ประกอบกับนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เมาเหล้า ขาดสติในการควบคุมเรือเรือจึงล่ม และทั้งที่พระองค์ก็ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงต้องสิ้นพระชนม์ไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งพระพี่เลี้ยง รวมทั้งสิ้น 4 ศพ ที่จมอยู่ใต้ท้องเรือโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เพราะติดอยู่ที่กฎมณเฑียรบาลว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายพระมเหสีมิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งโคตร

โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นนี้ก่อนเกิดเหตุ ได้มีลางร้ายมาเตือนล่วงหน้าแล้วโดยก่อนที่เรือจะล่มในคืนหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ได้ทรงพระสุบินว่า พระธิดาของพระองค์ตกลงไปในน้ำ ด้วยความตกพระทัยจึงรีบคว้าพระธิดาจนตกลงไปในน้ำด้วยกัน แล้วได้ตื่นจากบรรทม ครุ่นคิดถึงการเสด็จฯ ไปพระราชวังบางปะอิน ในวันรุ่งขึ้นว่าต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์เป็นแน่ แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้จนพบจุดจบในที่สุด


การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ในครั้งนั้นมีเสียงร่ำลือในวังหลวงอย่างอื้ออึงว่า เพราะเป็นแผนการที่จงใจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ จากความอิจฉาริษยาของบรรดามเหสี และสนมนางในที่คิดหาหนทางกำจัด จนทำให้พระนางอันเป็นที่รักของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ต้องมาสิ้นพระชนม์ท่ามกลางข้อกังหา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน และชาววังในยุคนั้น ก็ยังมีเรื่องน่าพิศวงอันเกิดจากอาถรรพณ์ของดวงพระวิญญาณตามมาด้วย

เล่ากันว่าขณะกำลังงมค้นหาพระศพในวันที่เรือพระที่นั่งล่ม โดยชาวบ้านแถวนั้นทนเห็นเหตุการณ์ไม่ไหว พยายามช่วยลงมางมค้นหาพระศพก็เกิดเหตุอัศจรรย์ที่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ถึงขนาดทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ก็ไม่สามารถพบพระศพ จึงต้องไปเชิญหลวงจีนท่านหนึ่งนามว่า “สกเห็ง” ซึ่งเชี่ยวชาญทางวิปัสสนานั่งทางในมาทำการเสี่ยงทาย โดยเสกถ้วยน้ำชาให้ลอยไปตามกระแสน้ำหากถ้วยชาจมลงตรงจุดใด ก็ให้ชาวบ้านและทหารช่วยกันลงไปงมหา ซึ่งในที่สุดก็สามารถหาพระศพจนพบ ลักษณะพระศพที่เห็นนำความเศร้าสลดมาสู่สายตาผู้พบเห็นยิ่งนัก เป็นภาพพระนางโอบพระธิดาไว้แนบอก และพระศพที่พบก็จมอยู่ใต้ซากเรือพระที่นั่งนั่นเอง

และเพราะเหตุที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงสิ้นพระชนม์จากเรือพระที่นั่งล่มที่หน้าวัดกู้ กลางลำน้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี ชาวบ้านจึงได้ร่วมใจตั้งศาลพระนางเรือล่มขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่กู้พระศพของพระองค์ ซึ่งต่อมาหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มานานมากแล้ว ก็ยังเกิดเรื่องเล่าถึงดวงวิญญาณพระนางเรือล่มตามมามากมาย

มีผู้พบเห็น และร่วมอยู่ในเหตุการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ของดวงพระวิญญาณพระนางเรือล่มหลายครั้ง โดยชาวบ้านในละแวกวัดเล่าว่า ในสมัยก่อนที่หน้าศาลของพระนางเรือล่ม มักมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นเสมอโดยหลาย ๆ ครั้งจะมีฝูงจระเข้ว่ายน้ำมาคำนับที่หน้าศาลอยู่เป็นประจำ ทั้งที่ปกติจระเข้มักว่ายอยู่ใต้น้ำ แต่อาจเป็น เพราะจระเข้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ท่าน ดังนั้นเวลาว่ายน้ำผ่านหน้าศาลทีไร จระเข้ทุกตัวเป็นต้องลอยตัวขึ้นมาคำนับทุกครั้งไป

นอกจากนี้ยังเคยเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นกับคนต่างถิ่น ที่ไม่เคยรู้จักเรื่องราวของพระองค์ท่าน บางคนดั้นด้นมาที่วัดกู้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมา ก็เพราะเขาฝันว่ามีผู้หญิงสูงศักดิ์ท่านหนึ่งมาเข้าฝันบอกให้มาที่วัดกู้แล้วจะมีโชค เมื่อมาถึงก็ต้องตกตะลึง เมื่อมาเห็นภาพ และพระรูปปั้นที่อยู่ในศาลนั้นเหมือนกับผู้หญิงในความฝันไม่ผิดเพี้ยน

อาถรรพณ์จากความศักดิ์สิทธิ์ของพระนางเรือล่มยังมีเล่ากันต่อมาอีกว่า เคยมีบางคนลบหลู่ไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พูดจาดูหมิ่นขณะพูดจบไม่ทันไรก็มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น โดยจู่ ๆ ก็วิ่งไปที่ท่าน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำท่าจะกระโดดน้ำตาย หรืออย่างบางคนที่ชอบมาท้าสาบานที่ศาลของพระองค์ว่า ถ้าผิดจริงขอให้จมน้ำตาย ปรากฏว่าได้ตายสมใจ โดยตายอยู่ในอ่างน้ำตื้น ๆ

ดังนั้นถ้าใครคิดมาลองสาบานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าที่ศาลพระนางเรือล่ม ที่วัดกู้ ต้องขอบอกก่อนว่าอย่าเสี่ยงเป็นอันขาด

ทุกวันนี้ชาวบ้านแถบ จ.นนทบุรี และผู้ที่มาจากต่างจังหวัดยังคงแวะเวียนมากราบไหว้พระนางเรือล่มที่ศาลอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่นิยมนำมาถวายพระองค์ท่านก็คือกล้วยเผา มาพร้าวอ่อนและพวงมาลัยมะลิสด ส่วนศาลที่เห็นในปัจจุบันจะมี 2 ศาล คือศาลที่อยู่ริมน้ำกับศาลที่ตั้งอยู่ภายในวัด ซึ่งศาลนี้อันที่จริงเป็นศาลเดิม

เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ศาลนี้เดิมก็อยู่ริมน้ำ แต่เพราะเวลาผ่านไปทำให้ดินทับถมกลายเป็นแผ่นดินงอกใหม่ ศาลนี้เลยกลายเป็นตั้งอยู่บนดินไป

..........................................................................




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2549 12:54:16 น.
Counter : 459 Pageviews.  

++อากงสอนหลาน++



//saranair.com/article.php?sid=2537

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอากงแก่ๆอยู่คนหนึ่ง...อยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้หลานๆ ตามประสาคนแก่
อากงจึงเรียกหลานๆ ทั้งสี่มานั่งล้อมโต๊ะสี่มุม แล้วบอกหลานทั้งสี่ว่า...เอาล่ะหลานๆ ตอนนี้หลับตานะหลับตา
พอหลานๆ หลับตา อากงก็เดินเข้าไปห้องเก็บของแล้วหยิบโคมไฟเก่าๆ มาอันหนึ่ง อากงเปิดฝาครอบจุดไฟ แล้วปิดฝาครอบ แล้วอากงก็บอกหลานทั้งสี่ว่าลืมตาขึ้น
แล้วบอกอากงซิว่า...โคมไฟสีอะไร?

เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้นตอบไล่ๆ กัน ตอบไม่เหมือนกันและเริ่มทะเลาะกัน...คนที่นั่งด้านหนึ่งบอกว่าสีแดง อีกด้านหนึ่งบอกว่า เขียว สีเหลืองและน้ำเงิน ตามลำดับ

ทั้งสี่ทะเลาะกันพักหนึ่ง ก็มีเด็กคนนึ่งถามอากงว่า...อากงทำไมของอย่างเดียวกันมีตั้งหลายสี อากงก็เลยบอก เดี๋ยวนะอากงจะทำอะไรให้ดู อากงเดินมาที่โต๊ะหยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดู ปรากฎว่าฝาครอบสี่ด้านสี่สี แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน หลังจากนั้นอากงก็บอกว่า...ตอนนี้บอกอากงซิโคมไฟสีอะไร หลานๆ ตอบเหมือนกันคือสีของเปลวไฟ

อากงเลยบอกว่า...เอาล่ะหลาน อากงถามอะไรชักสองข้อนะ ข้อที่ 1. เมื่อสักครู่นี้ครั้งแรกไครผิด หลานตอบว่าไม่รู้
อากงบอกว่า รึว่าอากงผิด อากงเลยบอกอีกว่า ฟังนะเจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกันมองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกันยังเห็นไม่เหมือนกันเลยทำไม? ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ

อากงเลยบอกว่า...ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมองของตัวเอง เห็นในสี่งที่ตัวเองเห็น แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขาเห็น เจ้าก็เดินไปมองที่มุมของเขา
แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น แต่ถ้าลองนึกภาพนะ...เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ที่เดียวกันมองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย ในอนาคตเวลาที่อยู่ในสังคมเป็นไปได้มั้ย คนก็มองสี่งต่างๆไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา ใครผิด...ในอนาคตนะ เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น อย่าไปโกรธว่าเขาผิด เพราะคนแต่ละคนก็เห็นสี่งต่างๆ จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เจ้าก็เดินไปมุมของเขา...และเมื่อเจ้ายอมเข้าใจคนอื่น อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมาและเข้าใจเจ้า

คำถามที่ 2. อากงบอกว่า...ที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลังเป็นของอย่างเดียวกันมั๊ย? หลานบอกว่าอย่างเดียวกัน แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย? ครั้งแรกเห็นอะไร? หลานตอบว่าฝาครอบ และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ อากงเลยบอกว่า...หลานๆ เอ้ยในอนาคตถ้าเลือกได้นะ อย่ามองสี่งต่างๆ เพียงแค่ที่เห็นแต่
จงเข้าใจสี่งต่างๆ อย่างที่เป็น

......................++++++++++.........++++........++....





 

Create Date : 06 กันยายน 2548    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 13:39:24 น.
Counter : 265 Pageviews.  

:;คิด อย่าง เด็ก;:



" ถ้าเราหัดมองโลกด้วยสายตาของเด็ก อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น "

.....+++++++++........+++........++.+.+++++++....

จริงมั้ยว่า...ทุกปัญหาที่เรากำลังเผชิญดูเหมือนมันจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้น...เมื่อเรายิ่งโตขึ้น บางเรื่องเป็นปัญหาเดิม…แต่ทำไมเมื่อก่อนเรามองว่าเป็นเรื่องง่าย เราน่าจะลองตัดสินปัญหา…หรือหาวิธีแก้แบบเด็กๆ เหมือนเล่นๆ ก็เบื่อ…เบื่อก็นอน…ตื่นก็ลืม...มาเล่นต่อได้

เวลาเด็กทะเลาะกัน…จริงมั้ยว่าไม่เคยโกรธกันข้ามปี
อย่างมากก็ข้ามคืน…วันรุ่งขึ้นก็ต้องมีใครซักคนมาขอคืนดี
และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นฝ่ายผิดเริ่มก่อน…ไม่เคยมานั่งคิดกันว่า ใครผิดใครถูก ขอเพียงแค่รู้สึกว่า…ยังอยากเป็นเพื่อนเล่นกับเขาอยู่ คนถูก…ก็กล้าพอที่จะเดินไปคุยกับคนผิดก่อน…โดยไม่รู้สึกเสียหน้า

ทำไมเราไม่ทะเลาะกันให้เหมือนเด็ก…อะไรทำให้เราเปลี่ยนไป เรารู้จักคำว่า "ผิด" "ถูก" เมื่อโตขึ้น ถูกสอนว่า "ผิด" ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ "ถูก" เมื่อไม่ผิด...ก็ไม่ต้องสนใจ มีคำว่า "ศักดิ์ศรี" ให้เราสะกดให้ถูก "คิด" ให้มาก เมื่อต้องเผชิญปัญหา...เราใช้ความรู้ให้คำตอบ มากกว่าใช้ "หัวใจ" ตัดสิน แต่ทำไม ผลลัพท์ที่ได้…มันกลับทำให้เรานอนไม่หลับ ตื่นมาก็ไม่ลืม

ในขณะที่ถ้าเราเป็นเด็ก…เราเป็นฝ่ายถูก…แถมเราเป็นฝ่ายผูกมิตรก่อน เราแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ…ที่ผู้ใหญ่คงทำไม่ได้ แต่มันกลับทำให้เรานอนหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า…อาจมีฝันบ้าง…ก็คงเป็นเรื่องราวที่เราจะเล่นกันในวันต่อมาเท่านั้นเอง...





 

Create Date : 28 สิงหาคม 2548    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 13:40:51 น.
Counter : 486 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

ระนาดแก้ว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




" ผู้หญิงราศีกุมภ์....อีกหนึ่งคนบนโลก "











Google



all webpantip















Friends' blogs
[Add ระนาดแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.