We don't care Bear or Bull! ... ThaiDayTrade.com
Group Blog
 
All Blogs
 

#2 Limit Loss ไม่เป็น เงินเย็นหายเกลี้ยง

“ทุกคนที่เจ๊งหุ้นเหมือนกัน คือ ไม่ยอม "Stop Loss" ทำให้ผมเข้าใจว่า ถ้าเราจะอยู่ในวงการนี้ได้นาน เราต้องรู้จักวิธีจำกัดความเสี่ยง" "ต้องชิงตัดขาดทุน (Cut Loss) เสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ตัวเลขขาดทุนจะบานปลาย” …….. ท.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม (หมอ ยง)- นักลงทุนรายใหญ่ ของไทย

ถ้าท่านอยากเป็นนักกีฬามืออาชีพ ท่านก็ต้องเข้าหานักกีฬาทีมชาติ ถ้าท่านอยากเป็นนักกอล์ฟ ท่านก็ไม่ควรจะมาถามผม เพราะผมตีกอล์ฟไม่เป็น ถ้าท่านกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ก็ไม่ควรชมภาพยนตร์ที่มีฉากเครื่องบินตก และถ้าท่านอยากเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น ก็ต้องสัมภาษณ์และเรียนรู้ถอดประสบการณ์จากเซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จ ใช่ไหมครับ…?

ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสเจอเซียนหุ้น ผมจึงไม่รีรอที่จะถามท่านเหล่านั้นว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นหุ้น

เซียนหุ้นแต่ละท่าน ตอบเหมือนกันทุกคนเลย ยังกะนัดกันมา “สิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นหุ้น คือ ต้อง ลิมิตผลขาดทุน เป็น และ หากใครขายขาดทุนไม่เป็น อย่ามาเล่นหุ้น”

ใช่ครับ ซื้อหุ้นแล้วหุ้นขึ้น คงไม่ใช่ปัญหา แต่ซื้อหุ้นแล้วลงมา มันขึ้นยากนะครับ คิดง่ายๆว่า ถ้าหุ้นลงมา 50% ก็หมายความว่า มันจะต้องขึ้นไปถึง 100% เชียวนะครับ กว่าจะกลับมาเท่าทุน ถึงจะอ้างว่าเป็นเงินเย็น ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ก็เถอะ

ร้อยทั้งร้อยของคนที่เล่นหุ้นแล้วเจ๊ง เราลองไปสอบถามสำรวจดูสิครับ ล้วนเกิดจากการขายขาดทุนไม่เป็นทั้งนั้นแหละ พอขายขาดทุนไม่เป็น หุ้นที่เราถือไว้ ก็ทุนหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแทบจะไม่เหลืออะไรเลย

ร้อยทั้งร้อยของคนที่เล่นหุ้นแล้วเจ๊ง ล้วนเคยได้กำไรจากหุ้นกันมาถ้วนหน้าทั้งนั้นครับ แต่ความมั่นใจในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ว่ามันจะกลับมาทำกำไรได้อีก เลยถือไปเรื่อย สุดท้าย กินทุนหมดเกลี้ยง จนกำไรที่หาได้มา ก็ไม่สามารถเอามาทำน้ำยาอะไรได้

มีอีกกรณีหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่ ทำผิดซ้ำๆ พบเห็นบ่อยๆ คือ นอกจากจะไม่ยอมขาดทุนแล้ว ยังซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนลงมาเรื่อยๆอีก อันนี้ ยิ่งเจ๊งเร็วขึ้นเข้าไปใหญ่

ตอนซื้อถัวเฉลี่ยราคา ทุกคนก็ดันทุรังเหมือนๆกันแหละครับ ว่าหุ้นที่ลงมานี้ พื้นฐานดี ยังไงก็ต้องขึ้น สุดท้าย กว่าจะรู้ว่าพื้นฐานของหุ้นเปลี่ยนไปเป็นหนังเศร้า พอร์ตเราก็เน่าไปซะก่อน ยากเกินจะเยียวยาเลยล่ะ

สอบถาม สำรวจ ผู้คนในห้องค้ามาแล้ว เหตุผล คล้ายๆกันเลยแหะ เอ เราๆท่านๆ ดันทุรัง ด้วยความคิดทำนองนั้น ด้วยหรือเปล่าเนี่ยะ

พี่เกษ ซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ที่ราคา 64 บาท โดยตั้งใจว่า จะลงทุนระยะยาว เนื่องจากเห็นว่าเป็นโบรกเกอร์ใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด (ในสมัยนั้น) พอเริ่มขาดทุน พี่เกษ ก็นึกเสียดายที่ตอนมีกำไร ไม่ได้ขาย ครั้นจะให้มาขายขาดทุน ก็ทำใจไม่ได้ เลยเฝ้ารอ เฝ้าหวังว่า เดี๋ยววันหลัง มันคงจะกลับมาที่ราคาเก่าได้ ….. ปัจจุบัน เหลือ 20 กว่า บาท พี่เกษ ขายไม่ลงซะแล้ว

พี่เอก ซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ซีมีโก้ ที่ราคา 10 บาท ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับพี่เกษ พอขึ้นไป 12 บาท พี่เอกไม่ได้ขาย “กำไรไม่ถึง 2 แสนบาท พี่ไม่ขายหรอก” พี่เอกให้เหตุผล ……. พอวิ่งลงมาเข้าใกล้ทุน พี่เอก ก็ไม่ได้ขายอีก เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่า เดี๋ยวมันต้องกลับมาแน่ๆ เมื่อราคาหุ้นลงมา จนกระทั่งเริ่มกลายเป็นขาดทุนเล็กน้อย พี่เอกก็ยังไม่ขายอีก “แหม ทีกำไรยังไม่ได้ขายเลย จะให้มาขายขาดทุนหรอ” จากนั้น ราคาก็ดิ่งลงเรื่อยๆ ….. ปัจจุบัน ราคาหุ้นเหลือเพียง 3-4 บาท พี่เอก ปล่อยวางเสียแล้ว

พี่เกษ กับ พี่เอก เริ่มเข้าใจแล้วล่ะครับ ว่าหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ จะสวิงขึ้นรุนแรงเว่อร์ๆเสมอ เมื่อปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นกลับมาคึกสุดขีด และ จะเป็นจะตาย หายใจรวยรินทุกครั้ง ที่ตลาดซบเซา แต่บทเรียนนี้ ราคาออกจะแพงไปนิด ผมผิดเองแหละครับ ที่ออกหนังสือเล่มนี้ ช้าไป

เฮียโย่ง เล่นหุ้นรับเหมาก่อสร้างเพียงกลุ่มเดียว เพราะแกชำนาญในวงการนี้ เฮียโย่งเคยทำกำไรจากการขายหุ้น บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ และ บริษัท ช. การช่าง ได้ถึง 30% ในเวลาสั้นๆ แกเลยประทับใจเป็นพิเศษ ครั้งหลังสุด ก็หลายปีมาแล้วล่ะ เฮียซื้อหุ้นอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ที่ราคา 11 บาท และ ซื้อหุ้น ช. การช่าง ที่ 26 บาท เพราะเห็นว่าได้งานใหญ่หลายโครงการ ราคาหุ้นน่าจะไปได้ต่อ แต่หลังจากซื้อได้ไม่นาน มันก็ร่วงลงต่อหน้าต่อตา แต่เฮียหาได้หวั่นไหวไม่ เนื่องจาก 2 บริษัทนี้ เป็นเจ้าพ่อในวงการรับเหมาก่อสร้างของไทย ถือไว้ต่อไป เดี๋ยวมันก็คงจะกลับมา ….. ปัจจุบัน ราคาหุ้นอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เหลือเพียง 5 บาท และ ราคาหุ้น ช. การช่าง เหลือเพียง 8 บาท ส่วนเฮียโย่ง เลิกเล่นหุ้นไปแล้ว

เฮียโย่งสูญเสียทั้งกำไรและเงินต้น เพราะเฮียขาดความเข้าใจในเรื่องของ Sell on Fact …. ตอนจะเปิดประมูล ก็มีการเก็งกำไรขึ้นไปรอ มากพอแล้ว ว่าบริษัทนั้น บริษัทนี้ จะได้งานโครงการหลายหมื่นล้าน ดังนั้น ไม่ว่างานประมูลนั้นจะได้มาหรือไม่ก็ตาม กลุ่มคนจำนวนมากที่ซื้อเก็งกำไรรอไว้ ก็จะขายหุ้นทำกำไรออกมาอยู่ดี

คุณอ๊อด เป็นนักลงทุนระยะยาว หลังจากพิจารณาไตร่ตรองจนดีแล้ว ก็เลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่ตระกูลของ อดีตท่านนายกฯ ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ด้วยความมั่นใจว่า ปลอดภัย 100% ประจวบเหมาะกับช่วงนั้น ตลาดหุ้นดิ่งลง ท่านนายกฯ ก็รีบออกมารณรงค์ด้วยสโลแกน “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” คุณอ๊อดจึงกัดฟันถือเรื่อยมา พร้อมทั้งซื้อลงทุนเข้าไปอีกมากมาย ทุกครั้งที่ราคาหุ้นเหล่านี้ลงต่ำ ด้วยความมั่นใจว่า ลงทุนระยะยาวในหุ้นกลุ่มนี้ ยังไงก็ไม่เจ๊ง ….. จากราคาแรกที่เข้าลงทุนในหุ้นไอทีวี ที่ 28 บาท หุ้นดาวเทียมชินแซทเทลไลท์ ที่ 20 กว่าบาท และ หุ้น ชินคอร์ปอเรชั่น ที่ 44 บาท ทุกวันนี้ หุ้นไอทีวีเหลือเพียง 1 บาท แถมถูกห้ามซื้อขายอีก ส่วนหุ้นดาวเทียมชินแซทเทลไลท์ เหลือเพียง 10 กว่าบาท และ หุ้น ชินคอร์ปอเรชั่น ก็ดิ่งลงมาเหลือเพียง 20 บาท เท่านั้น

คุณอ๊อด มีความตั้งใจแรกเริ่มที่จะลงทุนระยะยาว แต่กลับไปเลือกหุ้นระยะสั้น-กลาง ที่ไปผูกติดกับสัมปทานและการเมือง แม้กระทั่งสถานการณ์เปลี่ยนไป ตระกูลชินวัตรขายหุ้นของตระกูลให้กับทางสิงคโปร์แล้ว แต่คุณอ๊อดก็ยังยึดนโยบายเดิม “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” ทั้งๆที่ ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้เปลี่ยนมือไปแล้ว ทั้งๆที่การเมืองพลิกกลับตาลปัตร นี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนราคาแพงมาก ที่คุณอ๊อดฝากเตือนพวกเรา

เจ๊ ภา เป็นนักเก็งกำไรตัวยง หุ้นตัวไหน กราฟสวย วิ่งเร็ว อดใจไม่ได้ ที่จะต้องวิ่งตามทุกที มันตื่นเต้นเร้าใจดี เจ๊แกว่างั้น หุ้น แนเชอรัลพาร์ค ต้นทุน 8 บาท เจ๊ก็มี, หุ้น เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง ต้นทุน 9 บาท เจ๊ก็มี, หุ้น สิงห์พาราเทค ต้นทุน 9 บาท เจ๊ก็มี ….. ปัจจุบันนี้ ยังอยู่ครบทุกตัว ไม่ได้หายไปไหน แต่ราคาในตลาดกลับเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ หุ้นแนเชอรัลพาร์ค เหลือเพียง 20 กว่าสตางค์, หุ้น เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง เหลือเพียง 3 บาท, หุ้น สิงห์พาราเทค เหลือเพียง 2 บาทกว่าๆ

เจ๊ภา เริ่มด้วยความตั้งใจจะเก็งกำไร แต่พอซื้อแล้วลง เจ๊จะเสียดาย ไม่อยากขายขาดทุน และจะเก็บไว้ในพอร์ต ถือเป็นการลงทุนแทน “เอ็นปาร์คก็มีโครงการใหญ่ๆอยู่ตั้งเยอะ เอ็นซีเฮ้าส์ซิ่งก็ไม่น่าห่วง ยังไงคนก็ต้องซื้อบ้าน ส่วนสิงห์พาราเทค พื้นฐานก็ดี ไม่นึกว่าแต่ละตัวจะลงมาได้ถึงขนาดนี้ รู้งี้ เจ๊ขายไปตั้งแต่ทีแรกที่ลงมานิดหน่อยแล้ว ถ้าขายตอนนั้นนะ ขาดทุนนิดเดียวเอง” เจ๊ภา เริ่มเห็นสัจธรรม หลังจากเก็งกำไรในหุ้นพื้นฐาน และ ลงทุนในหุ้นเก็งกำไร มาเป็นเวลาหลายปี

น้าบิ๊ก สนิทกับนักเล่นหุ้นรายใหญ่ เจ้าของฉายา “เดอะซัน” โทรกริ๊งกร๊าง หากันเป็นประจำยังกะเพื่อนสนิท รอบแรก เดอะซัน บอก จะทำราคาหุ้น PICNOCK ไปที่ 20 บาท มันก็ไปจริงๆ บอกว่าจะทำราคา WESTERNWIRE ไป 30 บาท มันก็มาตามนัด พอทำกำไรกันไปถ้วนหน้า อิ่มหมีพีมัน ราคามันก็ร่วงลงมาตามระเบียบของหุ้นเก็งกำไร อีกไม่นานหลังจากนั้น เดอะซันก็โทรมาให้เป้าใหม่ ใหญ่กว่าเดิม …… ด้วยความเชื่อความศรัทธาเต็มร้อย คราวนี้ น้าบิ๊กลุยสุดตัวและหัวใจ เคาะซื้อ PICNOCK รอบใหม่แถว 15 บาท เคาะซื้อ WESTERNWIRE รอบใหม่แถว 20 บาท ใครจะเตือนว่ามีข่าวร้ายรออยู่ ยังไงก็ไม่ฟัง มั่นใจสุดๆ ….. ปัจจุบันนี้ ทั้ง PICNOCK และ WESTERNWIRE ไร้ร่องรอยของ เดอะซัน ล่าสุด PICNOCK เหลือเพียง 30 สตางค์ และ WESTERNWIRE เหลือเพียง 6 บาทกว่า

นอกจากตัวอย่างของพี่ป้าน้าอา ที่ได้รับอนุญาต ให้นำมาเล่าเป็นอุทาหรณ์แก่นักลงทุนหน้าใหม่แล้ว ยังมีเหตุผลยอดฮิตอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสุดยอดฮิตของต้นตอการเจ๊งหุ้น จะลองทายดูก่อนไหมครับ ว่าคำอ้างไหนฮ๊อตฮิตติดชาร์ท

“มันลงมามากแล้ว คงไม่ลงไปลึกกว่านี้แล้วมั๊ง” ฮ๊อตสุดๆครับ ฮิตติดชาร์ท ขึ้นแท่นนัมเบอร์วัน ตลอดกาล

อย่างที่เซียนหุ้นพันล้าน หมอยง บอกไว้นั่นแหละครับ “ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวันคงหมดตัวแน่!!!"

ราคาหุ้นจริงๆควรจะเป็นเท่าไหร่ ใครเป็นผู้กำหนดล่ะครับ

เรากำหนดได้ตามอำเภอใจรึป่าว เห็น อาโก อาซิ้ม ในห้องค้า กำหนดราคาเองตลอดเลย ว่าจะซื้อที่ราคาเท่านั้น จะขายที่ราคาเท่านี้

ทั้งๆที่บางที ราคาที่ว่า ก็ยังไม่น่าซื้อด้วยซ้ำ เพราะช่วงนั้น มีแต่คนอยากขายออก แต่ไม่ยักกะมีคนอยากซื้อ และ หลายต่อหลายครั้ง ไม่ยอมลดราคาขายลงมา จนทุกวันนี้ ถูกแสนถูกยังขายให้ใครไม่ได้เลยก็มีอยู่บ่อย

โทรศัพท์มือถือ กับ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เดี๋ยวนี้ ใครๆก็สามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ ขณะที่เครื่องเพจเจอร์ ราคาถูกแค่ไหน ก็ไม่มีใครซื้อ ใช่ไหมครับ

ทำไมของบางอย่าง ยิ่งแพง ลูกค้ายิ่งแย่งกันซื้อ แต่ของบางอย่าง ยิ่งถูกลง ผู้ขายกลับยิ่งแข่งขันกันลดราคา

หุ้นก็เหมือนกันครับ ช่วงไหน คนในตลาดให้ความสำคัญกับหุ้นกลุ่มไหนมาก ถึงแพงแล้ว ก็ยังมีแพงกว่า ขณะที่หุ้นบางกลุ่ม บางตัว หมดความน่าสนใจลงซะแล้ว ถูกอย่างไร ก็ไม่มีใครเอา

www.ThaiDayTrade.com






Free TextEditor




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2551    
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 17:02:08 น.
Counter : 1417 Pageviews.  

#1 ทำเป็นเก่ง เจ๊งสถานเดียว

การเริ่มต้นของหลายๆท่าน จะเริ่มต้นคล้ายๆกัน เอาตำรามาอ่าน, print เอกสารและข้อมูลดิบมากมาย ที่ใครๆ ก็รู้กันทั่วไป เช่น งบการเงิน ค่าพีอี ค่าบีวี และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ มาศึกษา แล้วทำเป็นวิเคราะห์นั่น วิเคราะห์นี่ แล้วก็คิดเองเออเอง ว่าข้าเก่ง วิเคราะห์เก่ง มั่นใจ จนลืมไปว่า ก่อนที่ท่านจะวิเคราะห์ มีกองทุนมากมายหลายกอง นำข้อมูลไปประกอบ การวิเคราะห์ก่อนท่านแล้ว และถ้ามันดี เขาก็ซื้อไปก่อนท่านแล้ว

ไม่ต้องมองใครเลยครับ ผมเองก็เริ่มแบบนั้น แหมๆ ก็จบ เกียรตินิยมทางการบัญชี มานี่ครับ และต่อโทสายตรงทางด้าน Finance ซะด้วย แถมยังมี ประสบการณ์ ทำงานเป็น Financial Consultant สังกัดบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอีก ดูเหมือน จะได้เปรียบคนอื่น ด้วยซ้ำ หากจะเล่นหุ้น เพราะเราวิเคราะห์เองได้หมด ทั้งงบการเงิน ชำแหละกระแสเงินสดของกิจการ หาอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ วิเคราะห์แนวโน้ม เจาะลึกนโยบายธุรกิจ ติดตามกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัท ฮี่โธ่ ซำบายอยู่แล้ว สุดแสนจะชิวๆ

ตอนเริ่มต้น ผมนั่งค้นคว้า สำรวจหุ้นเกือบทุกตัวที่มีอยู่ในตลาด แล้วเลือกเอาเฉพาะหุ้นที่มี พี/อีต่ำๆ ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากๆ คัดมาได้ 40 ตัว พร้อมทั้งแปลกใจ ว่าทำไม มีแต่เพียงเราเท่านั้น ที่เป็นผู้ค้นพบแต่เพียงผู้เดียว ว่าหุ้นพวกนี้ เป็นหุ้นราคาถูก เพราะหากเซียนหุ้นคนอื่นหรือกองทุนค้นพบ มันก็น่าจะโดนซื้อ จนราคาแพงไปมากกว่านี้แล้วนะเนี่ยะ

จากหุ้น 40 ตัว ที่เลือกมาอย่างชาญฉลาด ผมก็เอา มาคัดเลือกอีก เลือกเฉพาะที่ปันผลสม่ำเสมอ เงินสดดี หนี้สินน้อย และ ROE สูงๆ

หลังจากทุกทฤษฏีในตำรา ได้แปรเป็นการวิเคราะห์ ในที่สุด ผมก็ลงทุนครั้งแรก ด้วยหุ้นชั้นเลิศราคาถูก จำนวน 5 ตัว …… เป็น 5 ตัว ที่แน่นิ่ง และ มั่นคง ตลอด 2 ไตรมาสเลย …… ฉันจะขอคงอัตราส่วน พีอี พีบีวี ไว้อย่างงี้แหละ ว่างั้น
ตลอด 2 ไตรมาสของการเริ่มลงทุน มีโอกาส ได้ฟัง นักวิเคราะห์บ่อยขึ้น ได้อ่านบทวิเคราะห์ไทยๆ มากขึ้น ฟังดูเข้าท่าแหะ มันรื่นหูดี ทุกสรรพสิ่งความดีในบริษัท ออกมาอธิบายเป็นฉากๆ อย่ากระนั้นเลย ขายทิ้งชุดเก่า เข้าชุดใหม่ตามนักวิเคราะห์ น่าจะทำให้เงิน งอกเงยงดงาม

“สาเหตุที่หุ้นแบ็งค์ใหญ่ BBB ขึ้น เพราะ ปีนี้เป็นปีทองของแบ็งค์ เราแนะนำซื้อหุ้น BBB เพราะ (อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น) ……… ” แหะๆ ลืมแล้วครับ ว่า ไนล์ ฮวงโห แยงซีเกียง มิสซิปซิปปี้ และ เจ้าพระยา ที่ยกแม่น้ำทั้งห้า มาสาธยาย มีอะไรบ้าง จำได้ขึ้นใจอยู่อย่างเดียวว่า “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ”

โอ้โห ราคาตอนนี้ 102 บาทเอง มีโอกาสงอกเงยขึ้นอีกตั้ง 28 บาทแน๊ะ ซื้อครับซื้อ ปีทองของแบ็งค์เชียวนะ ผมต้องซื้อลงทุนแล้วล่ะ

หลังจากที่ผมซื้อไปแล้ว ราคาไม่ยักกะขึ้น มีหนำซ้ำ ยังลงมาเหลือ 98 บาท ด้วยซ้ำ …. นักวิเคราะห์คนเดิมออกทีวี บรรยายว่าดี อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ” นั่นนะซิ ได้ราคาถูกกว่าเดิมตั้ง 4 บาท ทำไมผมจะไม่ซื้อล่ะ

อ้าว 1 สัปดาห์ผ่านไป ไฉนลงมาเหลือ 96 บาทล่ะ แต่ผมก็ “คลายกังวล” เมื่อนักวิเคราะห์คนเดิม ออกทีวียืนยันความมั่นใจ ในหุ้น BBB พร้อมบรรยายว่าดี อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น
“เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ” เอาล่ะ ซื้อก็ซื้อ ถือว่า ถัวเฉลี่ยต้นทุนแล้วกัน

สัปดาห์ที่สอง ราคายังลงต่ออีก เหลือ 92 บาทเอง นักวิเคราะห์คนนั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้ ต่อให้โผล่หน้า มาออกทีวี แล้วยืนยันให้ซื้อ เพราะมันดี อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น ก็ไม่ซื้อแล้วล่ะ ผมไม่มีเงินซื้อแล้วครับ

สัปดาห์ที่สาม ราคาลงมาเหลือ 88 บาท ผมยังเฉยๆนะ เพราะจำที่นักวิเคราะห์บอกได้ ว่าปีนี้เป็นปีทองของแบ็งค์ ยังไงเดี๋ยวก็ต้องกลับไป 130 บาทอยู่ดี ….. แต่แล้ว สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนักวิเคราะห์คนเดิม โผล่มาทางทีวี แบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมเอื้อนเอ่ย วจีอันโหดร้ายว่า
“สาเหตุที่หุ้นแบ็งค์ใหญ่ BBB ลง เพราะ(อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น) ……… ” แหะๆ ลืมแล้วครับ ว่า น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งทั้งห้า ที่สาธยายมา มีอะไรบ้าง จำได้ขึ้นใจ อยู่อย่างเดียวว่า “เราปรับประมาณการลง ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท Recommend
ขาย” …… (ฮา) จากที่ผมเฉยๆ ที่หุ้นลง เลยกลายเป็น ความกังวลในทันที อ้าว เป็นปีที่ย่ำแย่ของหุ้นกลุ่มแบ็งค์ซะแล้ว

ในที่สุด บทเรียนบทที่ 1 ของผมก็เริ่มต้น คอร์สนี้ เสียค่าลงทะเบียนเกือบแสน ขืนผมยังลงทะเบียนเรียนซ้ำ เห็นทีจะพลาดท่า หมดตัวแน่!

เพื่อนๆหน้าใหม่ ที่เข้ามาในตลาดหุ้น คงเคยลงคอร์สเดียว กับผมกันมาแล้วทั้งนั้น ใช่ไหมครับ ไม่จำเป็น ต้องลงทะเบียนเรียนซ้ำอีกนะครับ หากที่เรียนมาแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ขอเสนอให้ไปอ่าน ใน Chapter ต่อจากนี้ไป น่าจะดีกว่า นอกจากจะช่วย ให้ท่านประหยัดตังค์ได้เยอะแล้ว ยังแจกเงินให้นักเรียนอีกต่างหาก ถ้าสอบผ่าน!

หลังจากเสียค่าวิชาไปแล้ว ผมถึงเข้าใจว่า ตัวเลขในอดีตที่เรา หรือ ผู้อื่น วิเคราะห์โดยว่าไปตามตำรา เพียงอย่างเดียว มันยังไม่พอเพียง ในการใช้ ประกอบการตัดสินใจลงทุน แต่ต้องนำ แนวโน้มในอนาคต มาร่วมการตัดสินใจด้วย

ในอดีต ผู้ทำธุรกิจเพจเจอร์ รุ่นแรกๆ กำไรกันถ้วนหน้า ใครๆก็หลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจนี้ เพราะเป็นธุรกิจ ที่ทำกำไรงาม แต่เมื่อเทคโนโลยี่ก้าวหน้าขึ้น SMS บนโทรศัพท์มือถือ ก็เข้ามาทดแทน เพจเจอร์ และ ธุรกิจเพจเจอร์ก็ถึงกาลอวสาน

ตัวเลขในอนาคตที่นักวิเคราะห์ทำการประเมินมา มันแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ตามปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบกิจการ เช่นกัน

นักวิเคราะห์ไม่ใช่ผู้บริหารกิจการนะครับ เขาจึงไม่รู้ลึกพอ ที่จะวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ และก็คงจะไม่ม ีผู้บริหารกิจการคนไหนเช่นกัน ที่จะบอกนักวิเคราะห์ว่า บริษัทเขา กำลังจะย่ำแย่ ในทางตรงข้าม นักวิเคราะห์โดนผู้บริหารกิจการ หลอกเรื่อยแหละว่า กำไรจะดีขึ้น
จะจ่ายเงินปันผลได้เพิ่มขึ้น

โลกทุกวันนี้ มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และราคาหุ้นจะแปร ไปตามปัจจัยต่างๆที่กระทบต่อกิจการตลอดเวลา เร็วจนหมดเวลาที่จะมานั่งวิเคราะห์ตามตำรา แล้วคิดเองเออเองแล้วครับ อย่าลืมว่า สิ่งที่ท่านวิเคราะห์อยู่ มีเซียนหุ้น มีกองทุนต่างๆ วิเคราะห์ก่อนท่านหมดเกลี้ยงแล้ว แล้วถ้าเขายังไม่ใส่เงินเข้ามาซื้อ ท่านจะซื้อ รออะไร

หุ้นที่ดีในอดีต อาจจะไม่ใช่หุ้นดีในวันนี้ และ หุ้นที่ดีในวันนี้ อาจจะเป็นหุ้นที่แย่ ในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ได้ ใช่ไหมครับ

เก็บตำรา จับตาดูความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันดีที่สุดครับ รายใหญ่หรือกองทุน เขาวิเคราะห์มามากแล้ว ในทุกแง่ทุกมุม ก่อนที่จะขนเงินหลายสิบล้าน หรือ หลายร้อยล้านบาท มาลงทุนในหุ้นแต่ละตัว จนเกิด “สัญญาณซื้อ” ให้เราเห็น

แล้วทำไมเราจะต้องเสียเวลามาวิเคราะห์ถูกๆผิดๆเองล่ะครับ ในเมื่อเราสามารถเกาะกระแสเงินลงทุนของเขาขึ้นไปได้เลย ภายในเวลาไม่นานนัก

อย่าผิดพลาดซ้ำๆ เหมือนกับที่ผมเคยทำมา
เอาตำราไปบริจาคห้องสมุด เถอะครับ


//www.ThaiDayTrade.com

Free TextEditor




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2551    
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 22:10:47 น.
Counter : 2651 Pageviews.  

ถอดรหัสตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า

"ถ้าสามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำในตลาดหุ้น เราจะมานั่งทำงานประจำอยู่ทำไม ในเมื่อ นั่งค้าขายหุ้น มันทำกำไรได้มากกว่า และ เร็วกว่าตั้งเยอะ" ......... นี่เป็นความคิดแรก ของคนที่รักสบาย หวังใช้เงินทำงานให้ อย่างผม

วิชาการ ความมั่นใจ ความร้อนวิชา และ ความหวัง ค่อยๆสลายไป ในช่วงแรกๆของการลงทุน เราทุกคนต่างเอาเงินที่หาได้มา ด้วยความยากลำบาก มาถมทิ้งในตลาดหุ้น วันแล้ววันเล่า ถือเป็นบทเรียนราคาแพง แพงกว่า คอร์ส การอบรมใดๆ ในโลกนี้ที่เคยมีมา

คำถามในขณะนั้นที่เกิดขึ้น ก็คือ เราจะถอย หรือจะเริ่มต้นใหม่ ให้ถูกทิศถูกทาง? คำถามถัดไปก็คือ แล้วทำไม คนอื่นถึงประสบความสำเร็จ แล้วเขาทำอย่างไร จึงประสบความสำเร็จ อะไรคือความลับในตลาดหุ้น ที่คนส่วนใหญ่ ไม่เคยรู้ ว่ามีอยู่จริง!

ถึงแม้ แต่ละคนในห้องค้า จะไม่รู้จักกัน แต่ทำไม ข้อผิดพลาดเดิมๆ จึงเกิดขึ้นในแต่ละวันซ้ำๆกันได้ ทั้งที่มิได้นัดหมายกันมา แม้กระทั่งกลุ่มเราเองตอนเริ่มต้นเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น เทรดแบบนี้แล้วเจ๊ง ก็ยังผิดซ้ำๆกันอย่างต่อเนื่อง แล้ว ทำไม รายใหญ่ในห้อง VIP ของห้องค้า ที่เล่นหุ้นเป็นอาชีพ ถึงสามารถทำเงินก้อนโตได้ ....ทำไม กองทุนต่างชาติ ถึงเล่นยังไงก็ได้กำไรวันยังค่ำ หรือ ผู้จัดการกองทุนเหล่านั้น จะมีสูตรลับในการลงทุน หรือ เราเรียนมา คนละตำรากัน?

หลังจากขนตำราด้านการเงินการลงทุน บริจาคเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เริ่มต้นใหม่หมด ด้วยการปรับความคิดใหม่ เสมือนว่าไม่มีความรู้อะไร ติดตัวมาเลย แล้วเฝ้าสังเกต สไตลล์การเทรดของบรรดาเซียนหุ้นที่อยู่ในตลาดมานาน และ ขอเข้าพบ เข้าสัมภาษณ์ รายใหญ่ทั้งหลาย ที่อยู่ตามห้องค้าต่างๆ รวมทั้ง ขอเชิญผู้จัดการกองทุนต่างชาติ มาดินเนอร์ เผื่อแกจะเบลอๆ แล้วเผลอ คายความลับ ให้เราทราบบ้าง


ถึงแม้ตลาดหุ้นจะเอาเงินมาถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แต่ในอีกมุมหนึ่ง โอกาสทำเงินในตลาดหุ้น ก็มีมากมายเหลือเกิน แล้วทำไม เส้นผมบังภูเขาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ถึงเป็นความลับมานานแสนนาน ว่าแล้วก็ พิมพ์ เรื่องราว เพื่อ ถอดรหัสตลาดหุ้น เพื่อแยกกลุ่มคน ที่พร้อมจะเรียนรู้ ออกจากกลุ่มคน ที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล และ หวังเห็นรายย่อยวันนี้ เป็นแมงเม่ารุ่นสุดท้าย ของตลาดหุ้นไทย

"ถอดรหัสตลาดหุ้น" นี้ เราจะเริ่มจากคำนำ ที่ท่านอ่านอยู่นี้ จากนั้น จะกล่าวถึงเทคนิคที่หากท่านปฏิบัติตาม จะทำให้จนฉับพลัน (รับรองผล) ตามด้วยเทคนิคแห่งความรวยเรื้อรัง ตบท้ายด้วยการตีแผ่กลยุทธ์กลวิธี ของผุ้เล่นรายใหญ่ ในตลาดหุ้น และส่งท้ายด้วยบทความ "อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของเราไป" ........ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน ตามสมควร โดยเฉพาะมือใหม่






Free TextEditor




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2551    
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 17:01:36 น.
Counter : 1771 Pageviews.  

1  2  3  4  

thanapononline
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




Friends' blogs
[Add thanapononline's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.