We don't care Bear or Bull! ... ThaiDayTrade.com
Group Blog
 
All Blogs
 
#4 ยิ่งไม่กล้าเสี่ยง กลับยิ่งเสี่ยง

“ผมถือว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า บนสวรรค์มีไม่รู้ตั้งกี่ชั้น แต่เวลาลงนรกก็มีไม่รู้ตั้งกี่ขุมเช่นกัน จะไม่มีคำว่าถูกว่าแพงในตลาดหุ้น" ………… วัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) นักลงทุนรายใหญ่มืออาชีพ

ความเสี่ยงที่สุดในชีวิต ของการที่ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย

หลายครั้งมาก ที่จุดที่ดีที่สุดในการซื้อ คือ จุดที่ไม่มีใครอยากซื้อ และ จุดที่ดีที่สุดในการขาย คือ จุดที่ไม่มีใครอยากขาย

หากราคาหุ้นขึ้นไปแรงเกินเหตุ บางทีก็น่าเสี่ยงขายนะครับ และถ้าหุ้นนั้นมีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ลงมาเกินเหตุเพราะตลาดไม่ดี และราคาหุ้นก็หยุดการไหลลงได้แล้ว ก็น่าเสี่ยงซื้อเช่นกัน

ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลง คนกลุ่มแรกที่จะซื้อหรือขายหุ้นก่อนเสมอ คือ เจ้าของ หรือ ผู้บริหาร ซึ่งรู้แนวโน้มของกิจการตัวเองก่อนคนอื่นอยู่แล้ว ว่ากำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ……… ในช่วงนี้ ไม่มีใครเข้าใจหรอกครับ ว่าทำไมหุ้นขึ้น หรือ ทำไมหุ้นลง

คนกลุ่มต่อมาที่จะซื้อหรือขาย ในขณะที่หุ้นยังขึ้นหรือลง ไม่มากนัก ได้แก่กลุ่มรายใหญ่ กลุ่มกองทุน ซึ่งกลุ่มนี้ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด และพยายามเกาะแนวโน้มตลอดเวลา

เมื่อคนกลุ่มนี้ ซื้อหรือขาย ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ ที่จะต้องอธิบายปรากฏการณ์ หาเหตุผลมาใส่ให้ได้ ว่าทำไมหุ้นถึงขึ้นหรือทำไมหุ้นถึงลง

วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ สื่อ และ ข้อมูลตามเว็บบอร์ด จะออกมาขยายผล จนข่าวนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป

เมื่อแรงซื้อของกลุ่มคนจำนวนมาก มาแย่งกันซื้อ คนส่วนใหญ่ก็จะมาช่วยกันผลักราคาให้ขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่ตั้งขายอยู่ ก็รีบถอนที่วางขายออก เพราะกลัวว่า ขายแล้ว เดี๋ยวมันจะขึ้น ทั้งๆที่ราคานี้อาจจะวิ่งรอข่าวดีนั้นมาเป็นเดือน จนเกินปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นแล้วก็ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้าว ราคากลับมาเท่าทุนซะแล้ว

ในทำนองเดียวกัน ครับ เมื่อแรงขายของกลุ่มคนจำนวนมาก มาแย่งกันขาย คนส่วนใหญ่ก็จะมาช่วยกันผลักราคาให้ลงไปเรื่อยๆ คนที่ตั้งซื้ออยู่ ก็รีบถอนที่วางซื้อออก เพราะกลัวว่า ซื้อแล้ว เดี๋ยวมันจะลง ทั้งๆที่ราคานี้อาจจะไหลลงรอรับข่าวร้ายนั้นมาเป็นเดือน จนเกินเหตุกว่าที่ควรจะเป็น แล้วก็ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้าว วิ่งขึ้นไปไหนต่อไหนซะแล้ว

เคยเห็นบ่อย ใช่ไหมครับ ผลประกอบการออกมาแย่ หุ้นกลับดีดขึ้นทันที แต่พอผลประกอบการออกมาดี ราคาหุ้นดันร่วงลงซะอย่างงั้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พี่คนหนึ่ง เธอเล่าให้ผมฟังว่า จะซื้อหุ้นบริษัท ABC เพราะญาติเธอเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทนี้ บอกเธอมาว่า บริษัทกำลังจะได้งานประมูลเป็นหมื่นล้าน

ผมเองก็หูผึ่งเลยล่ะ ไปดูกราฟหุ้นประกอบ ก็เห็นดีเห็นงามด้วย โครงสร้างกราฟมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเห็นๆ ถึงมันจะขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้วตั้งครึ่งเดือนก็ยังไม่เห็นว่าแนวโน้มการขึ้นจะชะลอตัวลงเลย เออ แหะ ท่าทางจะเป็นจริง อย่างที่พี่บอก

“อ้าว เธอซื้อแล้วหรอ พี่ยังไม่ได้ซื้อเลย พี่เห็นว่ามันขึ้นมามากแล้ว อยากจะรอให้ลงมาที่เก่าก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะซื้อ” พี่เธอให้เหตุผลประกอบ เพราะเธอมองว่าเสี่ยงไปที่จะมาซื้อตอนนี้ แบบว่า ราคามันขึ้นมามากแล้ว

ตลอดเวลา 3 สัปดาห์นับจากนั้น ราคาหุ้นไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาหาพี่อีกเลย จนคนทั้งตลาดเริ่มให้ความสนใจ นักวิเคราะห์ก็รีบทำการเข้าสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทนั้นในทันที แล้วก็ออกมาแนะนำให้ซื้อหุ้น ABC เพื่อเก็งกำไรข่าวการได้งานโครงการใหญ่

พี่สาวคนสวยของเรา ถึงจะยอมปรับราคาขึ้นมานิดนึง ตามคำแนะนำซื้อเก็งกำไรที่ได้ยินมาแล้ว แต่ราคาก็ยังไม่มีทีท่าจะอ่อนตัวลงมารับพี่อีกเลย แม้พี่จะใช้ความพยายามในการปรับราคาขึ้นทีละนิดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม

ในที่สุด วันตัดสินใจก็มาถึงครับ หนังสือพิมพ์หุ้น 3 ฉบับ ต่างพาดหัวข่าวตรงกัน ว่าพรุ่งนี้ จะรู้ผลการประมูล แล้วมีการคาดการณ์กะเก็งกันว่า บริษัท ABC จะได้งานแน่ๆ ...... ราคาหุ้นก็ยิ่งเพิ่มความร้อนแรง กระโดดขึ้นทะยานไกล ไปแบบเร่งรีบ ในที่สุด ด้วยความกลัวตกรถ พี่สาวก็ตัดสินใจเคาะซื้อเดี๋ยวนั้น ในทันที

วันรุ่งขึ้น ผลประมูลงานใหญ่ออกมา บริษัท ABC ได้งานไปจริงๆด้วย ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกมุมนึง ผมกลับมองว่า นี่เก็งกำไรกันขึ้นมา จนราคาเว่อร์ไปแล้ว เลยขายเอากำไรออกมาก่อน ขายทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ในตลาดที่เพิ่งทราบข่าวดีจากทางหน้าหนังสือพิมพ์กำลังอยากซื้อนั่นแหละ

“อ้าว เธอขายแล้วหรอ ทำไมรีบขายล่ะค่ะ บริษัทกำลังมีข่าวดี ทุกโบรกฯก็เชียร์ซื้อกัน พี่ยังไม่ขายหรอก กลัวขายแล้วไปต่อ เดี๋ยวรอให้ได้กำไรมากๆก่อน แล้วค่อยขาย” พี่เธอให้เหตุผลประกอบ เพราะเธอมองว่าเสี่ยงไปที่จะมาขายตอนนี้ ก็บริษัทเพิ่งเซ็นงานโครงการหมื่นล้านไปนี่ มันน่าจะขึ้นต่อ

หลังจากที่ข่าวออก ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปอย่างร้อนแรง แล้วการขายทำกำไรก็ตามมา ดังเช่นขนบธรรมเนียมประเพณีของการเก็งกำไรที่มีมาแต่โบราณกาล

มันเป็นสูตรสำเร็จรูปเลยก็ว่าได้ “ขายเมื่อมีข่าวลือ, ซื้อเมื่อมีข่าวจริง” ถ้าอยากจะอินเตอร์หน่อย ก็ต้องบอกว่า “Buy on Rumor, Sell on Fact”

“เธอ พี่ยังไม่ได้ขายออกไปเลย ตอนนี้มันกลับมาที่ราคาที่พี่ซื้อแล้วอ่ะ เดี๋ยวมันคงขึ้นเนาะ บริษัทนี้ถือลงทุนได้ ปัจจัยพื้นฐานดี” ...... พี่เธอปลอบตัวเอง พูดเองคิดเองเออเอง และรอคอยวันนั้นมาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว

ถ้าหุ้นมีแนวโน้มจะขึ้น แพงแค่ไหน ก็น่าเสี่ยงซื้อครับ หากพลาดขึ้นมา ก็แค่ขายตัดขาดทุน เสียหายเล็กน้อย ดีกว่าไปไล่ซื้อตอนที่ใครๆก็รู้ข่าวดีนั้น แล้วแย่งกันขาย ออกมาแทบไม่ทัน

ในฝั่งของข่าวร้ายก็เช่นกัน ครับ หากหุ้นนั้นมีข่าวร้ายในทางจิตวิทยารออยู่ และใครๆก็ทราบกัน มันก็จะไหลลงมาเรื่อยๆ ท่ามกลางข่าวร้ายที่ออกมาทางสื่อและมาจากบทวิเคราะห์ หากมันปรับตัวลงมาเว่อร์เกิน ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น กลับน่าหาโอกาสเสี่ยงซื้อมากกว่า

นับตั้งแต่ รัฐบาลของคุณทักษิณ โดนยึดอำนาจ ก็มีคนโยงหุ้นบ้านเอสซี กับ หุ้นดาวเทียม ว่าจะได้รับผลลบเลวร้ายเป็นผลพวงตามมา นับตั้งแต่วันที่แบ็งค์ชาติออกมาตรการสำรอง 30% ก็มีคนมองว่า หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะเฉา เน่าสุดขีด

เมื่อทุกคน มองในทางลบ แรงขายก็ตามมา หนักหน่วงต่อเนื่อง จนบางที ก็ลงมาเกินเหตุนะครับ จริงอยู่ เวลาที่กระแสข่าวร้ายกำลังมาแรง เราก็ไม่ควรจะทำเก่ง พายเรือทวนน้ำ ให้เรือล่ม แต่เมื่อโอกาสเข้าเก็บมาถึง มันก็น่าเสี่ยง

ไม่ซื้อตอนที่คนส่วนใหญ่กลัว จะไปซื้อตอนที่คนส่วนใหญ่มั่นใจสุดขีด ก็จะยิ่งเสี่ยงกว่า

“ท่านครับ ทำไมท่านซื้อหุ้นบ้านเอสซี กับ หุ้นดาวเทียม เขาว่ากันว่า หุ้น 2 ตัวนี้ เจอพิษการเมืองอยู่ไม่ใช่หรอครับ แล้วบริษัทหลักทรัพย์ใหญ่ด้วย ท่านซื้อทำไมครับ เห็นเขาว่าตลาดซบเซาอย่างงี้ โบรกเกอร์เจ๊งระนาว” ผมไปเจ๊าะแจ๊ะ กับเซียนหุ้นชั้นครูท่านหนึ่ง ถามท่านตรงๆเลย จนท่านแทบจะสำลักกาแฟ

“มันลงมาสุดแล้ว ผมก็ซื้อ” ผมยัง งง อยู่ดี ท่านรู้ได้ไงล่ะเนี่ยะว่าลงมาสุดแล้ว

“ก็คุณดูหน่อยสิ ไม่เห็นรึไง หุ้น 3 ตัวนี้ มันนิ่งแล้ว ไม่มีคนอยากขายแล้ว ก็แสดงว่า ราคาหุ้นต่ำเกินไปแล้วไง ไม่มีใครอยากขายแล้วที่ราคานี้ไง เข้าใจไหม” เอาล่ะ ผมพอจะเข้าใจ แต่ลาท่านไปก่อนดีกว่า ท่านกำลังใช้สมาธิอยู่กับหุ้น เดี๋ยวเจ็บตัวเปล่าๆ

ปรากฏการณ์ที่พบเห็นบ่อยในห้องค้า คือ นักลงทุนส่วนใหญ่ จะขึ้นเครื่องหมายแบล็คลิสต์ให้กับหุ้นที่มีข่าวร้าย แล้วท่องแต่ข่าวร้ายนั้นๆ จนลืมดูไปว่าราคาหุ้นได้ลงมารับข่าวร้ายจนเกินเหตุแล้วหรือยัง ในทำนองเดียวกัน นักลงทุนส่วนใหญ่ จะยอมจ่ายค่าความนิยมให้กับหุ้นที่มีข่าวดี แล้วท่องแต่ข่าวดีนั้นๆจนขึ้นใจ จนลืมดูไปว่าราคาหุ้นได้ขึ้นมารับข่าวดีไปมากเกินพอแล้วหรือไม่

คนส่วนใหญ่ จึงมักต้องซื้อเป็นคนท้ายๆและขายเป็นคนท้ายๆเสมอ เพราะไม่ได้ทำการประเมินไว้เลย ว่าราคาหุ้นได้ซึมซับข่าวดีหรือข่าวร้ายนั้น มากพอแล้วหรือยัง

และที่แปลกแต่จริง ...... เวลาราคาหุ้นลงมามากจนนิ่งแล้ว ก็ไม่กล้าซื้อ เพราะมองว่า เสี่ยงเกินไปที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ เห็นเขาว่าไม่ดี พอขึ้นไปมากแล้ว ก็ไม่กล้าขาย เพราะมองว่า เสี่ยงเกินไปที่จะขายหุ้นตัวนี้ เห็นหุ้นกำลังขึ้น

จะทำอะไรก็กลัวเสี่ยง เลยเสี่ยงหนักเลยล่ะคราวนี้ ซื้อก็ช้ากว่าเขาแล้วยังจะขายช้ากว่าเขาอีก

เมื่อคิดจะทำการค้าหุ้น ต้องตัดสินใจไว และ กล้าเสี่ยงครับ

เพราะความไม่ยอมเสี่ยงกับอะไรเลย อาจจะเป็นความเสี่ยงที่สุดในชีวิต


www.ThaiDayTrade.com






Free TextEditor


Create Date : 14 มิถุนายน 2551
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 17:02:34 น. 0 comments
Counter : 1101 Pageviews.

thanapononline
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




Friends' blogs
[Add thanapononline's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.