...แต่ละคืนวันที่ผันผ่าน มีเรื่องราวหลากหลายให้ค้นหา ...วานนี้ พรุ่งนี้ มินำพา ...เพียงรู้ว่า ทำวันนี้ให้ดีก็เพียงพอ ...มีความสุขกับทุกจังหวะของชีวิต
Group Blog
 
All blogs
 

ประสบการณ์จากการลองลดความเร็วชีวิตลงบ้าง



ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่สองสามเล่ม เป็นหนังสือของน.พ.วิธาน กับหนังสือเรื่องลดความเร็วชีวิต อาทิตย์ก่อนลองใช้เวลานั่งทานอาหารมื้อเที่ยงแบบช้าๆ ลองดูว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง วันแรกผมนั่งทานผัดมะเขือยาวกับผัดพริกหยวกใส่หมู ค่อยๆเคี้ยวไป ตั้งสติจับความรู้สึกภายในปาก ผมเคี้ยวไปเกือบ40-50ครั้งก่อนจะกลืน ความรู้สึกภายในปากนั้นรู้ตั้งแต่การกัดลงบนผิวมะเขือที่แข็งจนปริ สัมผัสเนื้อในมะเขือที่นุ่ม เคี้ยวผ่านเนื้อหมูที่ผ่านการหมักมาเพราะเนื้อนุ่ม เคี้ยวไปเรื่อยๆจนรู้ว่าเนื้อหมูถูกบดถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เนื้อที่ละเอียดมากขึ้นให้ความรู้สึกที่ลิ้นแบบละเอียดขึ้นเรื่อยๆ น้ำในเนื้อหมูถูกบีบออกมา รับรู้ว่ามันหวานอย่างนี้เอง ลิ้นที่ตวัดให้อาหารคลุกเคล้ากันนั้น ตวัดไปซ้ายทีขวาทีจนรู้ได้เอง เมื่ออาหารละเอียดขึ้นสัมผัสที่ลิ้นก็รับรู้มาเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปเอง จนอาหารผ่านลำคอลงไป ผมค่อยๆตักอาหารคำใหม่ขึ้นมา ค่อยๆเคี้ยวไป ผมนั่งทานอยู่ครึ่งชั่วโมง เป็นการทานอาหารที่อร่อยที่สุด เพราะผมรับรู้ทุกอย่างได้หมด และท้องก็รู้สึกไม่อึดอัดมากเพราะอาหารถูกบดเคี้ยวอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้ผมเร่งเวลาทานอาหาร ตักใส่ปากเคี้ยวไม่กี่ทีก็กลืน ไม่ได้รับรู้ว่าอาหารนั้นเป็นยังไง

...อีกวันหนึ่งผมทดสอบต่อ คราวนี้มาเรื่องกลิ่น ลองหลับตา ยกถ้วยกับข้าวมาดม พอดีวันนั้นผมทานข้าวต้ม กลิ่นที่ผมได้เป็นกลิ่นของไอร้อนๆเข้ามาแตะจมูก กลิ่นข้าวสุกปนกับกลิ่นใบเตยลอยตามมา ผมยกถ้วยกับข้าวมาดมอีก คราวนี้เป็นถ้วยผัดเปรี้ยวหวาน หลากหลายกลิ่นลอยเข้ามา กลิ่นคล้ายมะเขือเทศ น่าจะเป็นซอสมะเขือเทศ กลิ่นออกเปรี้ยวๆของสัปปะรด กลิ่นของแตงกวาที่ถูกผัด และกลิ่นของต้นหอมที่หั่นมาใส่ และมีกลิ่นของหอมหัวใหญ่ปนมาด้วย กับข้าวอีกอย่างเป็นไข่พะโล้ คงคิดว่าไม่มีกลิ่นใช่ไหมครับ ผมดมได้กลิ่นเพียบเลย กลิ่นของซีอิ้ว กลิ่นของโป๊ยกั๊ก กลิ่นของเต้าหู้ อย่าคิดว่าเต้าหู้ไม่มีกลิ่นนะ มันมีจริงๆ แต่ที่ผมดมไม่ได้กลิ่นคือ กลิ่นของไข่พะโล้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจในกลิ่นของอาหารเลย สักก็ดู ตักใส่ปากแล้วกลืน ขบวนการเคี้ยวอย่างช้าๆก็เริ่มต่อ ผมซึมซับรสชาติภายในปากได้อย่างเต็มรส ไม่เขียนเดี๋ยวมันยาว

...อีกวันหนึ่งขณะฝนตก เพื่อนๆรู้ไหมครับ ผมนั่งฟังเสียงฝนตก มีอะไรให้ได้ยินเยอะเลยครับ ถ้าลองตั้งใจฟังให้ดี เราจะรู้เลยว่า เสียงที่ได้ยินนี้ เป็นเสียงฝนตกใส่อะไร ตกลงพื้นเสียงก็ยังต่างกันเลย ตกลงพื้นดินที่ไม่มีแอ่งน้ำเสียงอีกแบบ เสียงเม็ดฝนตกลงแอ่งน้ำก็อีกแบบ เสียงฝนตกลงบนพื้นซีเมนต์ก็อีกแบบ เสียงเม็ดฝนตกลงบนหลังคาผ้าใบให้เสียงอีกแบบ ตกลงบนหลังคาแบบแผ่นซีแพคมันก็อีกแบบ ซีแพคแผ่นบางเสียงจะโปร่งๆ เสียงจากแผ่นอย่างหนาก็ออกทึบๆ ความหนักเบาของเสียงฝนยังบอกอีกว่าเม็ดฝนล่วงมาจากที่ๆสูงแค่ไหน เสียงหนาๆหนักๆมันตกมาจากชั้นที่สูง เสียงบางๆโปร่งกว่ามันตกมาจากชั้นที่ไม่สูง แม้แต่การตกลงบนใบไม้ก็ยังบอกอะไรได้ ใบไม้หนาหรือบาง ผมลองตั้งใจฟังเสียงฝนช่วงที่หนาเม็ดมากๆ ฟังเสียงที่ตกลงบนหลังคา ผมฟังแยกได้ว่าแต่ละเม็ดนั้นตกในเวลาที่ต่างกันแม้เสียงมันจะออกมาเกือบชิด กัน นั่งฟังเสียงฝนไปสักพัก ทีนี้ได้เรื่องเลยครับ เหลือเพียงตัวผมกับเสียงฝนเท่านั้น ใจนิ่งใจสงบไปเยอะเลย

..เรื่องที่ผม เล่านั้นเป็นประสบการณ์ที่ผมประสบจากการลองให้เวลากับตัวเองได้ลองฝึกทักษะ การฟัง ทักษะการรับรู้ความรู้สึก แม้แต่ความเงียบก็มีเสียงให้ได้ยิน นึกถึงเพลงตอนเป็นเด็กที่พ่อเปิดให้ฟังบ่อยๆTHE SOUND OF SILENCE ของSimon & Garfunkel...ผมหวังเพียงว่าทักษะที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยให้ผมได้ยินเสียงจากใน ใจตัวเอง ช่วยให้ผมรู้สึกความรู้สึกข้างในตัวเอง




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 22:48:52 น.
Counter : 1146 Pageviews.  

แล้วอย่างนี้จะเชื่อหมอดูระดับประเทศคนนี้ดีไหมครับ...



เหตุการณ์ความวุ่นวายจะจบไปได้สามวันแล้ว ผมนั่งอ่านโพสต์ทูเดย์ฉบับ 16 เม.ย.2552 มีอยู่มุมหนึ่งอ้างคำพูดของหมอดูชื่อดัง......ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าต่อไปนี้จะเชื่อคำพูดตรงไหนดี คำทำนายทายทักทั้งหลายนั้นน่าเชื่อถือได้แค่ไหน ตรงไหนดูจากดวงตามตำราจริง ตรงไหนใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไป.....คิดในแง่หนึ่งยังมีเวลาอีก 4 วันตามคำทำนายที่รัฐบาลต้องยุบสภาแล้วคืนอำนาจให้ประชาชน ก็คงต้องติดตามกัน...เนื้อข่าวตามนี้

เมื่อ 12 เม.ย.2552 เวลา 21.20 น.หมอลักษณ์ฟันธง-หมอลักษณ์ เรขานิเทศ ขึ้นเวทีเสื้อแดงพร้อมกับปราศรัยว่า"ฟันธงรัฐบาลหมดบุญแล้ว ตำรวจทหารจงฟังผมอย่าทำร้ายประชาชนตามคำสั่งทรราช"

ทั้งนี้หมอลักษณ์ได้นำจตุคามรุ่นสัจจะอธิษฐาน จำนวน 6 พันองค์มาแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุม โดยได้ขึ้นเวทีมอบผ่านนายวีระ มุสิกพงษ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง จากนั้นหมอลักษณ์ ได้กล่าวปราศรัย ตอนหนึ่ง ว่า ตนเคยฟันธงไว้แล้วเมื่อปีก่อนว่ารัฐธรรมนูญปี 50 ที่มาจากการปฏิวัติจะทำให้บ้านเมืองเดินไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือด เป็นรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ความตาย

จากการดูดวง ดาวพบว่า ใน 2-3 คืนนี้ดวงเมืองของเราเหมือนกับดวงเมืองเมื่อตอนเสียกรุงศรีอยุธยา ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ยุบสภาจะเกิดการนองเลือด นอกจากจะนำจตุคามมาแจกให้กับผู้ชุมนุมแล้วยังจะแจกจ่ายให้ตำรวจ ทหาร เพื่อให้มีหัวใจรักชาติไม่รับใช้ทรราชย์ การรักษาอธิปไตยต้องไปรบกับเขมรไม่ใช่รบกับคนไทยด้วยกันเอง ถ้าทหารทำร้ายประชาชนจะเป็นตราบาปและบ้านเมืองชิบหายทั้งชาติ

ผมดูดวงแล้วดวงรัฐบาล ดวงนายกฯอภิสิทธิ์หมดวาสนาแล้วครับ คุณอยู่ไปไม่ทำให้คนไทยรักกันสามัคคีกัน ไม่ใช่อะไรก็จะใช้กฎหมายจัดการ คุณบ้ารึเปล่า ผมรักชาติ ผมเลยไม่แทงกั๊ก รัฐบาลมีสิทธิ์อะไร คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามความสนุกสนานในวันปีใหม่ไทย ห้ามคนมารวมกลุ่มกัน บ้ารึเปล่า ทำให้ผมทนไม่ได้ เลยนำของขลังมาแจกคนเสื้อแดงให้ไว้คุ้มครองตัว และแจกทหารตำรวจเอาไว้เตือนสติตัวเองหากจะยิงประชาชนก็ไปมุดก้นไก่ตายดีกว่า

คนอย่างผมใครจ้างไม่ได้หรอกครับ หรือใครคิดว่าผมถูกใครซื้อได้ ผมทำบุญทำกุศลมาตลอดชีวิต วันนี้มันทนไม่ได้แล้ว ใครที่อยู่บ้านไม่ต้องแทงกั๊กให้ออกมา

ตอนท้ายหมอลักษณ์ได้อวยพรชุมนุมเทวดาให้คนเสื้อแดงมีชัยชนะ เป็นชัยชนะของประชาชน และขอให้ทรราชพ่ายแพ้..........."




 

Create Date : 17 เมษายน 2552    
Last Update : 17 เมษายน 2552 16:32:49 น.
Counter : 393 Pageviews.  

เคล็ดลับมังกรโบราณ....หนังสือเก่าที่น่าอ่าน



"เคล็ดลับมังกรโบราณ"....เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเลือกซื้อจากกองหนังสือลดราคาในร้านดวงกมลลำปางมาหลายปี แปลและเรียบเรียงโดย ศักดิ์ระวี พิมพ์ครั้งที่ ๒ สำนักพิมพ์ธรรมชาติ พ.ศ. ๒๕๓๘.....เพิ่งค้นเจอในกองหนังสือที่กองไว้ข้างตู้ หยิบมาอ่านดูแล้วก็วางไม่ลง อ่านไปพลางสะท้อนใจตัวเองว่า...บรรดาบัณฑิตทั้งหลายที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน เท่าที่ได้บันทึก ผ่านการฝึกฝน ผ่านความยากลำบากด้วยความอดทนอย่างที่คนรุ่นนี้อาจทนไม่ได้ หล่อหลอมคุณสมบัติของบัณฑิตจนเพียบพร้อมแล้วเป็นบุคคลที่สูงส่งยิ่ง.ในยุคเราที่ใครๆต่างเสาะหาความสำเร็จข้ามวันชื่อเสียงเพียงข้ามคืน สูตรลับสูตรเฉพาะในการก้าวสู่ทำเนียบความสำเร็จที่มีเร่ขายออกมาอย่างเกร่อถนน ยิ่งทำให้คนยุคนี้ชักสับสนว่าอะไรใช้ได้จริง คนรุ่นก่อนในหนังสือเล่มนี้ กลับทิ้งความลังเลสงสัย ทิ้งความงมงายในสูตรสำเร็จ มุ่งตรงเข้าหาสุนทรียภาพแห่งการเป็นผู้รู้และบัณฑิต ด้วยการมุ่งมั่น ทุ่มเทอย่างยิ่งยวด......ผมอ่านได้หนึ่งส่วนสามแล้วรู้สึกตัวเองอยู่ไปอย่างไร้ความมุ่งมั่น อยากพลิกผันตัวเองไปสู่การมีชีวิตอย่างมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้รู้.ผมไปพบบทความที่นำเอาบทแรกของหนังสือเล่มนี้มาลงไว้ให้อ่าน หนังสือเล่มนี้เขียนออกมาครั้งแรกในปี 1989 ด้วยการรวบรวมบุคคลระดับบัณฑิตในพงศาวดารจีนมาให้อ่าน

....ขงจื้อเรียนขิม.....
เมื่อขงจื้ออายุ ๕๕ ปี ท่านทราบว่า “ซือเซียง” เป็นคนที่มีความสามารถในการบรรเลงเพลงขิมฝีมือระดับปรมาจารย์ ด้วยความอยากเรียนวิชาบรรเลงเพลงขิม ท่านก็ไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ โดยที่ไม่รู้สึกว่า จะเป็นการเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีอะไร

ครั้งแรกที่พบกันและทราบจุดประสงค์ของขงจื๊อ ซือเซียงก็ไม่กล้ารับเป็นครูสอนให้เพราะเห็นว่า ขงจื๊อเป็นนักปราชญ์ แต่เมื่อเห็นว่าขงจื้อแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตนและออกอาการมุ่งมุ่นที่จะเรียนรู้อย่างแท้จริง ซือเซียงจึงตกลงรับว่าจะสอนให้อย่างสุดความสามารถ แบบฝึกหัดบทแรกที่ซือเซียงให้ขงจื๊อฝึกคือ หัดบรรลงเพลงบทหนึ่งในเวลาสองวัน

ปรากฏว่า ผ่านไปสิบวัน ซื้อเซียงก็ยังไม่เห็นขงจื๊อมาขอต่อบทเพลงใหม่ เกิดความรู้สึกประหลาดใจ จึงไปหาลูกศิษย์ใหม่ที่บ้าน ภาพที่ปรากฏต่อหน้า คือ เขาเห็นขงจื๊อกำลังนั่งฝึกบรรเลงเพลงขิมบทที่หนึ่งอย่างสำรวมและเอาจริงเอาจัง เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซือเซียงเห็นว่า บทเพลงที่หนี่งนี้ขงจื้อบรรเลงได้ชำนาญดีแล้ว จึงเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า “บทเพลงบทนี้เธอได้ฝึกฝนจนชำนาญพอสมควรแล้ว อาจารย์เห็นว่าเธอควรจะเริ่มฝึกบทเพลงใหม่ได้แล้ว”

เสียงถามของซือเซียงทำให้ขงจื๊อรู้ว่าอาจารย์มาเยี่ยมก็ลุกขึ้นทำความเคารพ และกล่าวตอบไปว่า “เรียนท่านอาจารย์ เนื่องจากกระผมได้รับการส่งเสริมและการให้กำลังใจจากท่าน จนถึงขณะนี้ กระผมทำได้แค่ยึดกุม จังหวะ และ เทคนิค ของบทเพลงนี้เท่านั้น ยังไม่สามารถยึดกุม กฎเกณฑ์ของบทเพลงนี้ ขออนุญาตฝึกต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเถิด”

เมื่ออาจารย์อนุญาต ขงจื๊อก็ฝึกต่อไปอีก ผ่านไประยะหนึ่งเมื่ออาจารย์มาถาม ก็ตอบไปว่า “ตอนนี้ยึดกุมกฎเกณฑ์ได้แล้ว แต่ยังยึดกุม เนื้อหา และแนวคิด ของบทเพลงไม่ได้ ขอเวลาฝึกต่ออีกสักระยหนึ่งเถิด” ผ่านไประยะหนึ่ง อาจารย์ก็มาถามอีกเพื่อจะให้ขึ้นบทเรียนใหม่เพราะเห็นว่าขงจื๊อฝึกฝีมือถึงระดับเข้าถึงวิญญาณของบทเพลงแล้ว ขงจื๊อก็ตอบอาจารย์ไปว่า “กระผมยังไม่สามารถเข้าใจบุคลิกลักษณะของบุคคลซึ่งเป็นตัวเอกของบทเพลงนี้อย่างถ่องแท้ ขอเวลาฝึกหัดอีกระยะหนึ่งเถิด”

ผ่านไประยะหนึ่ง อาจารย์ก็มาเยี่ยมชมความก้าวหน้าของลูกศิษย์ ปรากฏว่า ขณะที่นั่งฟ้งขงจื๊อบรรเลงเพลงขิม บางขณะเขาได้ยินเสียงขิมสะท้อนภาพขุนเขา บางขณะสะท้อนภาพเมฆาลอยล่อง บางขณะสะท้อนภาพสายธารกำลังใหลริน บางขณะสะท้อนภาพสายลมและพายุที่โหมกระหน่ำ บางขณะสะท้อนภาพสายฝนโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ บางขณะสะท้อนภาพม้านับพันกำลังห้อโจนทะยาน ฯลฯ การบรรเลงเพลงขิมของขงจื๊อสะท้อนภาพหลายอย่างออกมาจากบทเพลง ซือเซียงฟังอย่างดื่มด่ำ และตื้นตันจนน้ำตาไหล ขณะนั้นเอง ขงจื๊อหยุดบรรเลง เขาลุกมาจับมืออาจารย์แล้วกล่าวว่า


“ท่านอาจารย์ กระผมเข้าใจบุคลิกลักษณะของบุคคลที่เป็นตัวเอกในบทเพลงนี้แล้ว ดูสิ บุคคลผู้ทรงมีพระวรกายอันสูงสง่า ทรงมีพระพักตร์อันคมเข้ม ดวงเนตรทั้งคู่ของพระองค์ก็ส่องประกายแวววับ และมักจะจ้องพระเนตรไปยังถิ่นอันไกลโพ้น ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของราษฎร พระองค์ทรงกำลังตรากตรำพระวรกายเพื่อราษฎรทั้งหลาย ทรงมุ่งจะปกครองบ้านเมืองโดยธรรม และทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ราษฎรของพระองค์ได้รับการกล่อมเกลาจากคุณธรรมที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในพระองค์ หากแม้พระองค์มิใช่บุ๋นอ๋อง แห่งราชวงศ์โจวแล้วไซร้ จะมีบุคคลอื่นใดอีกเล่าที่จักมีบุคลิกลักษณะเช่นนี้?”

ฝ่ายผู้เป็นอาจารย์ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกแปลกใจและนับถือในตัวขงจื้อ จึงกล่าวตอบไปว่า “ถูกต้องแล้ว ถูกต้องอย่างที่สุด อาจารย์ของอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า บทเพลงนี้มีชื่อว่า บุ๋นอ๋องผู้ทรงตรากตรำ”

....หลังจากอ่านแล้ว ทึ่งกับปรมาจารย์อย่างขงจื้อ....ยิ่งสูงส่งยิ่งอ่อนน้อม...ขงจื้อนั้นเป็นผู้มีความรู้เรื่องขิมอย่างแตกฉาน เมื่อรู้ว่า"ซือเซียง"เป็นผู้เด่นด้านขิม ก็เข้ามาขอเรียนรู้อย่างนอบน้อม ไร้ความหยิ่งยะโส สมกับคำที่ผมเคยได้ยินมาว่า ยิ่งเรียนยิ่งศึกษายิ่งอ่อนน้อม และเมื่อตั้งใจจะศึกษาสิ่งใดก็ทุ่มเทศึกษาจนเข้าถึงแก่น.....บทเพลงที่"ซือเซียง"มอบให้ไปฝึกนั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นเพลงอะไร จนเมื่อขงจื้อได้ศึกษาจนถึงแก่นของเพลงกลับบอกได้เลยว่าบทเพลงนี้เป็นของใคร ช่างเป็นบัณฑิตระดับปรมาจารย์ได้โดยแท้จริง....ยังมีตัวอย่างอีกหลายท่านที่พออ่านจบแล้วอยากให้เด็กรุ่นนี้ได้ศึกษาประวัติของบัณฑิตจริงๆ

เนื้อความนำมาจากบล็อกคุณManapol....ในบล็อกโอเคเนชั่น




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2552 12:13:00 น.
Counter : 1311 Pageviews.  

สปิริตรัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น



นายโชอิจิ นาคางาวะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นเผยว่า จะลาออกหลังจากเมื่อวันก่อนปฏิเสธว่าไม่ได้เมาในการแถลงข่าวการประชุมกลุ่มประเทศ อุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (จี7) ที่กรุงโรมของอิตาลี
นายนาคางาวะ วัย 55 ปี เผยกับผู้สื่อข่าวว่า จะยื่นหนังสือลาออกทันทีที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างงบประมาณและร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ขณะนี้ร่างงบประมาณปี 2552/2553 ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ กำลังอยู่ระหว่างการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎร ส่วนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณพิเศษอยู่ระหว่างการภิปรายของ วุฒิสภา
การลาออกของนายนาคางาวะ จะส่งผลกระทบครั้งใหม่ต่อนายกรัฐมนตรี ทาโร อาโซะ ที่มีคะแนนนิยมไม่ถึงร้อยละ 10 เขาขอให้นายนาคางาวะอยู่ในตำแหน่งต่อไป แต่ สำนักข่าวเกียวโด รายงานอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ว่า นายนาคางาวะ ควรลาออกก่อนสายเกินไป เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้ประชาคมโลกเห็น ด้านพรรคการเมืองฝ่ายค้านเตรียมซักฟอกนายนาคางาวะ ในรัฐสภา หากเขาชี้แจงได้ไม่น่าพอใจ ก็จะยื่นญัตติไม่ไว้วางใจในวุฒิสภาที่ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก

...ตอนแรกที่เห็นข่าวนี้ ยังหัวเราะและขำอยู่เลย พอมานั่งคิดดูอีกที เรื่องนี้ไม่น่าหัวเราะเลย คนที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงอย่างระดับรัฐมนตรี ควรมีวิจารณญาณที่ดีกว่านี้ ตั้งแต่เริ่มจากการใคร่ครวญก่อนจะดื่มไวน์ที่เลี้ยงกันแล้วว่า ไม่สบายเป็นหวัดร่างกายไม่พร้อมควรจะปฏิเสธการดื่มไวน์ก่อน ถ้าจะดื่มก็เพียงจิบเป็นพิธีเท่านั้น จำกัดตัวเองไว้ และเมื่อรู้ตัวเองว่าถลำลึกไปจนดูเหมือนเมาขนาดนั้น ก็ควรจะงดการแถลงการณ์ มีเหตุผลมากมายที่บอกปัดไปได้ ควรจะคิดและนึกให้ดีก่อนว่าสภาพตัวเองที่ออกต่อสาธารณะแบบนั้นจะเสื่อมเสียขนาดไหน...เรื่องเล็กน้อยไม่ระวังไม่คิดให้รอบคอบแล้วเรื่องใหญ่สำคัญจะให้ไว้ใจได้อย่างไร






 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 17:02:02 น.
Counter : 1130 Pageviews.  

ข้อคิดจาก...ขนมครก



ขั้นตอนหรือกระบวนการเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตสินค้า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามที่จะหาวิธีลดกระบวนการการผลิต เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า กระบวนการต่างๆ ในการผลิต มีผลต่อต้นทุน ดังนั้นกระบวนการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่าย ต้นทุนเวลา และต้นทุนอื่นๆ เพิ่มขึ้นตามมาด้วย

มีอยู่วันหนึ่งหัวหน้าถามว่า "เคยเห็นคนขายขนมครกสมัยนี้หรือเปล่าว่าเขาทำกันยังไง" ตอนแรกก็คิด เอ... อยู่ดีๆ ถามถึงขนมครกทำไม หัวหน้าก็บอกว่าไม่มีอะไร พูดให้ฟังเฉยๆ เราเลยบอกวิธีที่เราเคยเห็นที่เขาทำกัน นั่นคือเอาแป้งที่เตรียมมาเทใส่เบ้า โรยผักนิดหน่อยแล้วก็ปิดฝา พอสุกก็ใช้ช้อนตักมาประกบกัน แล้วก็ขาย ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลกเลย

แต่หัวหน้ากลับบอกว่า เราอธิบายรายละเอียดข้ามขั้นตอนไปมาก ควรจะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ หัวหน้าก็เลยอธิบายว่า "สมัยนี้คนขายขนมครกส่วนใหญ่ จะต้องเอาแป้งที่เตรียมมาใส่ในกาต้มน้ำ (ส่วนใหญ่ที่เห็นก็ใช้พาชนะนี้ทั้งนั้น) แล้วก็เทราดทีเดียวโดยไม่ต้องยกมือ ซึ่งอาจจะมีแป้งที่ไม่ลงเบ้าบ้าง จากนั้นก็แต่งหน้าโรยผัก ปิดฝาซึ่งอาจจะใช้ฝาหม้อครอบทั้งหมด พอสุกได้ที่ก็ยกขึ้นมาทั้งแผง เพราะทุกเบ้าขนมครกจะติดกันเป็นแผ่นเดียว แล้วก็เอากรรไกรมาตัดแยกเป็นฝาๆ..."

พอฟังจบก็งง…! แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ ก็ออกมาเป็นขนมครกเหมือนกันแถมเร็วกว่าใช้ช้อนแคะอีก



หัวหน้าอธิบายว่า "ประเด็นมันอยู่ตรงที่ขาดความประณีตในขั้นตอน ไม่เหมือนกับขนมครกในสมัยก่อน ซึ่งคนขายขนมครกจะบรรจงใช้ช้อนหยอดทีละเบ้า ครึ่งหนึ่งของกระทะ พอแต่งหน้าโรยผักแล้ว ก็จะปิดฝา ซึ่งฝาสมัยนั้นจะเป็นฝาดินเผา ขนาดพอดีกับเต้าขนมครก เมื่อครอบฝาแล้ว ก็จะไปหยอดขนมครกในส่วนอีกครึ่งหนึ่งของกระทะ พอหยอดเสร็จแต่งหน้าเสร็จ อีกฝั่งหนึ่งก็จะสุกได้ที่ ก็จะเอาฝาครอบย้ายไปครอบฝั่งที่เพิ่งหยอด แล้วแคะฝั่งที่สุก ไปประกบกันพักรอไว้จำหน่าย แล้วก็เตรียมหยอดใหม่"

อธิบายแบบนี้ ลองนึกตามก็เห็นภาพจริงๆ (แหม..อธิบายซะละเอียดเลย)

หัวหน้าบอกว่า "ขั้นตอนการเทราดและการเอากรรไกรมาตัดนั่นแหละ เป็นจุดที่แตกต่างและรู้สึกว่า คุณค่าและความสวยงามของขนมครกลดลง" หัวหน้าอธิบายเพิ่มเติมว่า "เวลาเทราดแป้งลงไปนั้น จะมีแป้งบางส่วนที่ไม่ลงเบ้า เมื่อเวลาขนมครกสุกแล้ว แป้งส่วนนั้นจะไหม้เกรียมเป็นปีก ซึ่งต้องเอากรรไกรมาตัดแต่งออก มิฉะนั้นพอประกบกันแล้วทำให้ไม่เสมอกัน ดูไม่สวยงาม" ฟังเขาพูดจนจบก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าต้องการจะบอกอะไร จนเขาอธิบายให้ฟังต่อว่า
"ฝ่ายผลิตที่ทำการผลิตสินค้านั้น เรื่องของขั้นตอนหรือกระบวนการถือเป็นเรื่องสำคัญการมีขั้นตอนมากถือเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในทำนองเดียวกัน สินค้าที่ขาดความประณีตหรือไม่สวยงาม ก็ไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้าเช่นกัน และทำให้คุณค่า (Value) ของสินค้าลดลงด้วย" ตอนนี้เลยงงกันเข้าไปใหญ่แล้วที่ใช้กรรไกรตัดแต่งมันเพิ่มขั้นตอนตรงไหนล่ะ?
เขาตอบกลับมาว่า "ถ้าอยากให้มันสวยงาม เท่ากัน ประกบกันได้พอดีนั้น ก็ต้องมาเสียเวลาตัดแต่งขอบอีกขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งแทนที่จะพิถีพิถันประณีตตั้งแต่ตอนแรก ก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาในขั้นตอนนี้อีก" พอฟังมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นคล้อยตามอย่างที่หัวหน้าพูด เพราะมันมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมาจริงๆ หัวหน้าบอกเพิ่มเติมว่า "คนขายขนมครกสมัยก่อน จะมีความประณีตและพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนแรก ขนมครกที่ได้ออกมาจึงสวยงามน่าทาน และไม่เสียเวลามาตัดแต่งขอบ ถ้าพูดแบบวิชาการสักหน่อยก็ต้องบอกว่า การหยอดขนมครกก็เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งนะ" โห..ว่าไปโน่นแน่ะ
สิ่งที่เล่าให้ฟังเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ฝ่ายผลิตเท่านั้น ในทุกๆ งาน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ขอให้คิดถึงกระบวนการทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอน อย่าคิดแต่เพียงว่า จะต้องทำให้เสร็จให้เร็วเพียงอย่างเดียว เสร็จเร็ว..แต่มีของเสีย หรือมีสินค้าที่เสียระหว่างกระบวนการ ก็จะทำให้เสียเวลาและต้นทุนโดยใช่เหตุ เนื่องจากจะต้องมีขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นในการแก้ไขหรือตรวจสอบคุณภาพ และยังทำให้คุณค่าของงานลดลงอีกด้วย

"ดังนั้นเวลาทำงานหรือทำอะไรก็ตาม กระบวนการที่เร็วขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ขั้นตอนที่รวดเร็วแต่ขาดความเรียบร้อย จะต้องมาเสียเวลาเพื่อทำให้เรียบร้อยอีกครั้ง ถ้าต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมเราไม่ทำให้ดีไปเลยตั้งแต่แรกล่ะ" (แค่ขนมครกยังคิดไปได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าที่ถามต้องการจะว่าอะไรลูกน้องหรือเปล่า)

อ่านมาจากบทความของ...สุณิสา ม่วงสุขศรี




 

Create Date : 28 มกราคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2552 12:44:32 น.
Counter : 6055 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

JazzLover
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




หนุ่มราศีมังกร เลือดกรุ๊ปโอ ตัวโต ขี้ใจน้อย เหงาบ้างเป็นบางอารมณ์ และชอบหาเพลงมาฟังแก้เหงาประจำ...ฟังเพลงทุกประเภท
New Comments
Friends' blogs
[Add JazzLover's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.