ปรุงก่อนชิม
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปรุงก่อนชิม's blog to your web]
Links
 

 
เล็กน้อยมหาศาล

วันนี้ตื่นไว้ ยังมีเวลาสัก 1 ชั่วโมง ก่อนปลุกลูกอาบน้ำ ไปโรงเรียน จึงถือโอกาสนี้เข้าห้องพระ ผมกราบพระ และนั่งสมาธิ วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆตัวรอให้มันปลุก ระหว่างนั่งจิตก็ไม่ยอมจะนิ่ง มันเผลอไปคิดเรื่องอื่นอยู่เรื่อยๆ แถมยังปวดหลังและปวดแขนอยู่ตลอดต้องคอยขยับ คอยบิดคอ โยกไหล่อยู่เรื่อยๆทุกครั้งที่อาการปวดเริ่มเพิ่มขึ้น อาการปวดไหลและแขน ปวดมาได้เกือบเดือนแล้ว เคยไม่นวดที่หัวเฉียว แพทย์แผนจีน ก็ไม่หาย ขณะนวดก็รู้สึกดี ทำให้คิดว่าคิดถูกแล้วที่มารักษาที่นี่ แต่พอกับมาบ้านอาการก็ปวดก็เกิดขึ้นอีก และถ้าทำงานกับคอมพิวเตอร์จะปวดแขนมาก เมื่อวันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2554 เป็นวันหยุดชดเชยวันเข้าพรรษา ได้มีโอกาสได้วัดสังฆทาน ที่วัดนี้มีการนวดแผนโบราณ ผมได้เข้าไปใช้บริการ เพราะเป็นคนชอบนวดอยู่แล้ว และบางทีอาการปวดหลังหรือปวดแขนอาจจะหายดีขึ้นบ้าง เข้าไปในห้องที่นวด พี่ที่นวดหรือจะเรียกว่าหมอก็ได้เขาก็ให้ เสียค่าครู 20 บาท ผมใส่ให้ไป 100 เพราะคิดว่าการนวดข้างนอกอย่างน้อยก็ 150 บาทหรือมากกว่า พี่เขานวดดี น้ำหนักไม่แรงไปหรือเบาไป กำลังพอดี โดยเฉพาะตอนใช้เท้าเหยียบ รู้สึกหายเมื่อยเลย แต่ไม่ชอบตอนเอาปลายเท้าเหยียบจิกลงไปตามจุดต่างๆที่ท้อง เพราะช่วงที่กดจะหายใจลำบาก แล้วพี่เขาตัวใหญ่ถ้าออกแรงมากไป กลัวท้องจะแตก ขณะที่นวดอยู่ ผมสังเกตภายในห้อง ที่มีหลายคนกำลังได้รับการนวดจากพี่หมอนวด ผู้ที่เคยมาหลายครั้งแล้ว คุ้นเคยกับหมอและสถานที่ ก็จะนวดไปด้วยคุยกันไปด้วย เรื่องที่คุยก็เป็นเรื่องทั่วๆไป อยู่ทำตัวในฐานะผู้ฟังที่ถนัดอยู่แล้ว หมอนวดทำหน้าที่ไปพูดไป บ้างยืนเหยียบ บ้างนั่งกดนวด ส่วนผู้ที่ถูกนวดก็นอนให้หมอเหยียบ จับยกแขนยกขา เสียงพูดคุยไม่เคยขาด เดี๋ยวคุยเรื่องโน้นเดี๋ยวคุยเรื่องนี้ ผมเห็นความงามภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้ ความงดงามของชีวิตในแง่มุ่มของการพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ทำร้ายกัน พูดคุยกัน บีบนวดให้กัน จากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน แบบหวังให้ฝ่ายหนึ่งหายทุกข์กาย หายปวดเหมื่อย โดยไม่คิดหวังว่าจะทำเพื่อค่าจ้าง หากเป็นการทำเพื่อการจ้างจะไม่มีโอกาสเห็นภาพนี้ ผมรู้สึกประทับใจในความงดงามที่เกิดขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมเก่าๆแห่งนี้ แม้จะเหลือบสายตาไปเห็นกระดาษขนาด A4 เขียนข้อความติดผนังไว้ว่า “ค่านวดแล้วแต่จะให้กับหมอเอง” ความงามที่ผมรู้สึกในตอนแรกก็ไม่ได้เลือนหายไป แม้จะรู้ตัวว่าหลังจากนวดเสร็จต้องเสียเงินเพิ่มอีกเป็นแน่แท้ นอกเหนือจากค่าครู ที่ให้ไว้แล้ว 100 บาท เพราะนานๆจะได้เป็นวิถีแห่งการพึงพาอาศัย ที่มนุษย์พึงจะมีต่อกัน ใช้เวลาประมาณ 2 ชัวโมงเมื่อนวดเสร็จผมให้หมออีก 200 บาท จริงให้เท่าไรหรือไม่ให้ก็ได้ แต่ดูสถานการณ์แล้วควรให้ดีกว่า แต่พอให้ไปแล้วยังนี้เจ็บใจตัวเอง น่าจะให้น้อยกว่านี้หน่อย เพราะจะกลายเป็นสร้างมาตรฐานไว้สำหรับครั้งต่อไป ขณะที่เขียนก๊อกนึกถึงธรรมะที่ว่าการให้ทานเพื่อลดความตระหนี่ มันยังมีอยู่ในตัวเราอีกมาก น่าอายเสียนี่กะไร แต่ความงามที่กล่าวมาก็ยังมีค่าที่ควรจดจำ จึงเป็นส่วนหนึ่งของบทความนี้ และอาจจะเป็นเพราะสืบเนื่องจากภาพดีๆ อีกเรื่องหนึ่ง ที่ได้เห็นจากวัดสังฆทานนี้เหมือนกัน คือก่อนหน้านี้ 3 วันคือวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 เป็นวันอาสาฬหะบูชา ผมไปเวียนเทียนที่วัดหลังจากเวียนเทียนเสร็จ ก็เข้าไปนั่งในโบสถ์ ภายในโบสถ์มีคนที่นั่งและสวดมนต์กันอยู่หลายคน และเข้าในว่าการสวดมนต์ได้เริ่มมานานสักพักหนึ่งแล้ว ผมเข้าไปทีหลังแล้วคอยๆหาที่นั่งลง เพื่อจะไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนคนอื่นที่กำลังสวดมนต์อยู่ การสวดมนต์นั้นยาวมาก ไม่รู้ว่าสวดอะไรกัน เพราะไม่เคยมาวัดนี้มาก่อน ไม่รู้ทำเนียบปฏิบัติ ต้องอาศัยการสังเกต สังเกตเห็นว่าแต่ละคนมีหนังสือในมือกันทุกคน มีเสียงพระสวดนำ ทั้งภาษาบาลี และคำแปล สวดไปพร้อมๆกัน พอนั่งพนมมือได้ไม่นานก็มี ผู้หญิงไวกลางคนหันมาสะกิด แล้วชีไปที่โต๊ะ ที่โต๊ะนั้นมีหนังสือ ผมก็เข้าใจในทันทีว่าท่านต้องการจะบอกให้เราไปหยิบหนังสือนั้นมา จะได้สวดไปพร้อมๆกัน ผมพนักหน้าแสดงความของคุณ แทนการส่งเสียง เพราะจะรบกวนการสวดมนต์ที่กำลังดำเนินอยู่ พอผมได้หนังสือแล้วก็หาที่นั่งแต่ไม่ใช้ที่เดิม เพราะเห็นว่ามีที่ที่เหมาะกว่า พอนั่งลง ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้าก็หันมา แล้วเอาหนังสือที่ถืออยู่ยื่นมาให้ผมดูพร้อมกับชี้เลขหน้า ผมเข้าในในเจตนาดีของท่านผู้นั้น ว่าถึงหน้านี้แล้ว ผมยิ้มและพยักหน้าแสดงความขอบคุณ ทั้งๆที่ผมยังมองเลขหน้าไม่ชัด เพราะสายตาไม่ดี ไม่ได้ใส่แว่น แต่ก็แกล้งทำเป็นรู้เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับผม ผมจึงต้องมางงต่อ แต่สักพักก็ตามได้ทันแล้วสวดต่อตามกันไปมีพระนำสวดอยู่ ท่านผู้ชายยังคงให้ความช่วยเหลือคนอื่น ที่มาทีหลังอีก เหมือนกับที่ได้ทำกับผม ผมเห็นความงามที่เกิดขึ้น จากท่านผู้หญิงที่แนะนำให้ไปหยิบหนังสือ ผมเห็นความงามของท่านผู้ชายที่หันมาบอกเลขหน้าว่าสวดมนต์ถึงหน้าที่เท่าไรแล้ว ทำให้ผมรู้สึกว่า การมาทำบุญเวียนเทียนในครั้งนี้ได้มากกว่าที่คิด ความงามที่ปรากฏอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตในความรู้สึกของบางคน หากเปรียบความงามเล็กนั้นเหมือนแสงดาวบนท้องฟ้า ถ้ามีหลายๆดวงรวมกันท้องฟ้าก็สวยสว่างขึ้นมาได้ หรือคืนใดแหงนมองท้องฟ้าแล้วพบแต่ความมืดมน มีดาวเพียงดวงเดียวให้แสงอย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย อดทนอย่างทระนง แหงนมองคราวใด ก็เห็นแต่ดวงเดียวอยู่อย่างนั้นตลอดคืน งามในแบบดวงเดียวก็งามได้ ควรหาความงามนั้นให้เจอ งามในแบบดวงเดียว และเมื่อใดที่เมฆหมอกหายไป หรือมุ่มมองเปลี่ยนไป กับเห็น ดวงดาวมากมาย ไม่โดดเดี่ยวอย่างที่เคยเห็น ก็พบความงามในแบบสว่างไสวอีกแบบหนึ่ง แต่ในความจริงดาวไม่เคยมีดวงเดียว แท้จริงแล้ว ดาวมีหลายดวงตลอดเวลาหากแต่จุดที่มองและภาวะเมหหมอกต่างหากที่บดบัง ในความเป็นจริง ดวงอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก ดวงอาทิตย์ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน โลกต่างหากที่เคลื่อนที่และไปโมเมเอาว่าดวงอาทิตย์เคลื่อนที่โพล่ทางตะวันออก และไปตกทางทิศตะวันตก และที่เรานั่งอยู่นิ่งๆ ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน ความจริงเราเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว เร็วๆเท่ากับที่โลกหมุน อย่าได้ทึกทักว่าการนั่งนิ่งๆและบอกว่าฉันนิ่งแล้ว ไม่ถูกต้อง เมื่อเอ่ยถึงคำว่าถูก มนุษย์มีปัญหาในการสรุปเรื่องถูก-ผิดมานานมากแล้ว ยิ่งถ้าขณะที่พิจารณาเรื่องใดถูกหรือผิดนั้นอยู่ในภาวะมีการเห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่พวกพ้อง เห็นแก่ผลประโยชน์ อยู่ในอำนาจของสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดแล้ว การตีความว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูกกลับผิดเพี้ยนไป อย่างฟ้ากับเหวเลย เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด ไม่รับผิด เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ใช้อำนาจในทางที่ผิด ผลที่ตามมาคือการทำลายคนอื่นที่ดูแล้วจะเป็นภัยต่อตัวเอง เพราะความที่ตนเองมีจุดบกพร่อง กลัวว่าคนอื่นจะมาเปิดเผยความจุดอ่อนของตนเอง เลยชิงลงมือก่อน เสมือนคนที่ตีงูเพราะกลัวงูกัด ทั้งๆที่งูมันไม่ได้คิดจะทำร้ายใคร เว้นแต่ว่ามันถูกรังแกก่อน หรือไม่มีที่จะไป หนีไม่ทัน เป็นการทำลายหลักการที่ดีงาน ทำลายคนดี คนดีหมดกำลังใจ คนดีไม่มีที่ที่จะยืน เพราะคนไม่ดีรังแก บ้านเมืองก็เต็มไปด้วยคนไม่ดี ฉะนั้นอย่าให้คนไม่ดีได้มีอำนาจ มิฉะนั้นทุกอย่างพังหมด ตามพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ของเรา

ชีวิตผมไม่ได้โรยด้วยหลีบกุหลาบ ลำบากมาตั้งแต่เด็ก อาศัยว่าช่วงวัยเด็กได้รับโอกาสเข้าศึกษาในโครงการพระดาบส จนสำเร็จ และมีโอกาสเรียนต่อ จนจบปริญญาตรี จึงระลึกถึงโอกาสที่ได้ตลอดเวลา พอทำงานก็คิดอยู่เสมอว่าจะตั้งใจทำงานให้ดี ใช้ความรู้ความสามารถที่มีทั้งหมดทำให้องค์กร สถานที่ทำงานที่ทำมาทั้งชีวิตคือ--- งานที่ทำก็ทำได้ทุกอย่าง ทำมาได้ 18 ปี ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับองค์กร ระลึกถึงรายรับที่ได้ ที่ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถมีบ้านมีรถเลี้ยงดูลูกๆและแม่หรือพี่ๆน้องๆได้ ถือว่าเป็นหลักของครอบครัว จึงระลึกถึงบุญคุณที่ ---ให้ในทุกๆสิ่งอย่าง จึงทำงานด้วยความตั้งใจ มาโดยตลอด แต่ไม่นึกเลยว่า จะมีคนไม่ชอบ จ่องทำลาย ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดทำร้ายใครเลย ไม่รู้เป็นเวรกรรมแต่ปางใด คนที่ทำร้ายก็เพื่อให้ตนเองได้ดี เท่านั้น ทำร้ายกันแบบใช้อำนาจที่มีอยู่รังแก ไม่ให้ความยุติธรรม ไม่สอบสวน ไต่ถาม อะไรเลย เสมือนตำรวจยัดยาบ้าแล้วแจ้งข้อหาให้ผู้บริสุทธิ์ แล้วนำเข้าคุก โดยที่ไม่ได้สอบสวนด้วยความยุติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะชีแจ้ง ไม่รู้แม้กระทั้งว่าผิดข้อหาอะไร ผู้ที่ลงโทษ ฟังความจากผู้ใกล้ชิดหรือกลุ่มคนที่ไม่สมประโยชน์ หรือทำงานด้อยคุณภาพ เพราะรู้ตัวว่าด้อยคุณภาพแต่ไม่พัฒนาตนเอง กับใช้วิธีทำลายคนที่จะเผยมันออกมา ผมทำงานเปรียบเสมือนว่า--- เป็นเรือลำใหญ่ ผมคนหนึ่งที่ร่วมพายมาไม่เคยหยุดตลอดเวลา 18 ปี มีลูกน้องที่ยังพายไม่ค่อยเป็นที่ได้พร่ำสอน บางก็ไม่ออกแรงพายบ้าง พายผิดวิธีบาง ว่ากล่าวก็ไม่พอใจ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ลูกน้องเหล่านี้ทรยศหักหลัง หัวหน้าใหญ่ก็ไม่สอบถามจากผมว่าทำไม่ กลับฟังจากลูกน้องฝ่ายเดียว แล้วจู่ๆกัปตันเรือที่ไม่ใช้เจ้าของเรือมาถีบผมตกน้ำไปโดยที่ไม่บอกสาเหตุ ผมว่ายน้ำตามเพื่อความอยู่รอดของชีวิต กัปตันเรือคนนั้นก็หันหน้าหนี ไม่มีใครสักคนที่จะยื่นมือมาฉุดผมขึ้นเรือ ในทางตรงข้ามคนที่เราหวังจะให้ช่วยกับช่วยถีบซ้ำให้ผมไม่มีโอกาสขึ้นเรือได้อีก หวังเพื่อเอาใจเจ้านายที่เป็นกัปตันเรือ เพราะรู้ว่าหากช่วยอาจจะโดนอย่างผม ผมว่ายน้ำตามอย่างเหนื่อยอ่อน ตามลำพังเป็นเวลานาน หมดทั้งกำลังใจ ทั้งๆที่สุขภาพร่างกายก็เต็มไม่ด้วยโรคภัย เบาหวาน สายตา ถ่ายเป็นเลือด มีภาระบ้าน ภาระลูก พอได้ทบทวนเรื่องต่างๆ ว่าทำไม ทำดีไม่ได้ดี ก็พบว่าหลักทางพุทธศาสนากำหนดว่าเป็นเรื่องของกรรม ผมหาหลักธรรมมะหมวดต่างๆ มาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ปฏิบัติสมาธิ ต่างๆนาๆ ก่อนที่จะเครียดหรือเป็นบ้าผิดฟั่นเฟือนไปเสียก่อน ผมนอนกวดลูกเวลาหลับคิดว่า ต้องกอดเพราะไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่กอดได้อีกนานแค่ไหน ถ้าขาดผมแล้วเขาคงจะลำบาก ผมสังเกตคนที่ได้ดี ไม่เห็นต้องทำงานเก่งเลย อาศัยว่าเอาใจหัวหน้า ก็ได้ดิบได้ดี ถ้าเป็นแบบนี้ องค์กร --- ไปได้แบบมีตัวถ่วง แทนที่จะแล่นด้วยความเร็วที่ควรจะเป็นก็จะไปแบบช้า ผิดทิศผิดทาง แต่เนื่องจากองค์กร --- เป็น องค์กรใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจและมีความเป็นธรรม มีภารกิจมาก มองไม่เห็นภาพเล็กๆหรอก มีหลายจุดที่หัวหน้ารังแกลูกน้อง หลบซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งมองไม่เห็น




Create Date : 11 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2555 10:08:09 น. 0 comments
Counter : 692 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.