Just......
 
 

ฝนตกหนักนะครับ

หนักจริงๆเสียด้วยสิครับ
อย่างไรก็ตาม
หมั่นตรวจตราบ้านช่องให้ดีนะครับ
โดยเฉพาะผู้อยู่บ้านทาว์นเฮาส์ หรือ ตึกแถว
ที่ชั้นบนสุด มักจะเป็นหลังคาแบบไม่มีจั่ว
หรือแบบหน้าตัดตรงๆนั่นหล่ะครับ

ท่อระบายน้ำของเรา บางทีก็อุดตัน
โดยไม่รู้ตัว ไม่สามารถระบายน้ำออกไปได้
กลับบ้านมาอีกที
น้ำเอ่อล้น ร่วงหล่น ไหลลงไม่ขาดสาย


เหมือนหัวใจคนเรา
ปล่อยละเลยเมื่อไหร่
ไขมันจะอุดตัน
ระบายเลือดไม่ทันหล่อเลี้ยงร่างกาย

เขาเรียก หัวใจไม่ชุ่มชื้น

หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ (หลังคาบ้านด้วย) นะครับ




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2550 19:29:44 น.   
Counter : 344 Pageviews.  


อ้าว

เคยหงุดหงิดจากการหาอะไรไม่เจอไหมครับ ?

วันนี้ผมเงยหน้าจากการฟุบหลับบนโต๊ะทำงาน ตื่นขึ้นจากการงีบหลับไป
เพราะความเหนื่อยล้า และ อาการป่วย
พอดีผมเป็นคนสายตาสั้นครับ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือหาแว่นมาสวม
เพื่อให้เห็นโลกอันสดใส

แต่มันหาไม่เจอหง่ะ

ผมเริ่มรื้อของบนโต๊ะ เพื่อควานหาแว่น ด้วยความที่โต๊ะก็มีของเยอะไปหมด
เอกสารบ้าง หนังสือบ้าง อะไรก็ไม่รู้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง
กองกันอยู่บนโต๊ะ ไหนจะจดหมาย โปสการ์ด จากแดนไกล
ยกโน่น พลิกนี่ คลี่นั่น เปิดกล่องโน้น กล่องนี้
สมบัติแทบจะเทมาทับตัวเอง

ยกลิ้นชักออกมา รื้อทีละชั้น ก็ยังหาไม่เจอ
เจอแต่อะไรไม่รู้ ซุกไว้เต็มช่อง บางอย่างไม่น่าเก็บ ก็ยังเก็บ
บางอย่างเก็บไว้เพราะคิดว่าต่อไปจะได้ใช้ เหอะๆๆๆๆ
ผ่านไปหลายเดือน เพิ่งเห็นมันอีกทีนี่หล่ะ แถมยังคิดจะเอาไปทิ้งด้วยซ้ำ

เริ่มลนลานครับ กลับไปรื้อของบนโต๊ะใหม่ พลิกกองสมบัติทั้งหลาย
หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พล่านไปหาโต๊ะเพื่อนร่วมงาน หวังว่าที่พวกมันจะมี
ปรากฎว่าก็ยังหาไม่เจออยู่ดี ที่เพื่อนๆผมมันก็ไม่มี

ทำไงดีหล่ะ ตามองอะไรก็ไม่เห็น
ทำอะไรก็ไม่สะดวก ทำอะไรก็วุ่นวาย
วิ่งหาแว่นจากที่ไหนๆก็ไม่เจอ

สุดท้ายเอามือกุมหัว ตามประสาคนหมดหนทาง
.
.
.
.
.
มันอยู่แค่ตรงนี้ นี่เอง





ของบางอย่าง บางสิ่ง ไม่ต้องขวนขวาย ค้นหาจากที่ไหนๆหรอกครับ
มันอยู่แค่ตรงนี้ นี่เอง

สุขสันต์วันพืชมงคล ครับ




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 10 พฤษภาคม 2550 12:17:52 น.   
Counter : 276 Pageviews.  


เพื่อนซี้ที่เรียกว่า "หมา"

ทางเดินกลับบ้าน ผมจะต้องเดินผ่านหมา 2 แห่ง
และถ้าวันไหนต้องแวะซื้อข้าวก่อนกลับ ก็จะผ่านหมาถึง 3 แห่งด้วยกัน

แรกๆพวกเราไม่ถูกกันนักหรอกครับ
ตรงร้านข้าว เป็นหมาลูกอ่อน มักจะแง่งๆ เวลาเดินผ่าน
ต่อมาตรงหัวโค้ง เป็นหมาใหญ่อยู่ที่โรงจอดรถบ้านหลังหนึ่ง
และสุดท้าย เป็นหมาใต้ตึกตรงกันข้ามกับบ้านผม ตัวนี้
พิเศษหน่อยคือ ไม่ถูกกันตรงที่มันมักจะวิ่งหนีผมบ่อยๆ
ทั้งๆที่ไม่เคยทำร้ายอะไรมันเลยนี่หน่ะซิ

ทุกวันนี้พวกเราปรองดองกันแล้วครับ โชคดีที่พวกมัน
เห็นแก่กิน
คือวันไหนถ้าพอมีโอกาส ผมก็จะเอาของกินเล็กๆน้อยๆ
มาฝากพวกมัน แต่ไม่ประจำเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็น
ผู้ให้ความอนุเคราะห์ โดยเฉพาะแม่ลูกอ่อนที่ร้านข้าว
ที่เป็นพันธุ์ middle road แท้ๆ
ส่วนหมาที่โรงรถ เวลาเดินผ่านถ้าเรียกก็หางกระดิก อย่างกับเจ้าของมาหา
แต่กระนั้น เจ้าตัวที่อยู่ใต้ตึก มันก็ยังวิ่งหนีผมอยู่ทุกวันนี้
ทำไมฟระนี่

ด้วยความญาติดีกันแล้วระหว่างผมกับหมาๆ
ก็ทำให้นึกถึงโบราณกาลว่า หมา มาเป็นเพื่อนซี้คนเรา ได้ยังไง?

ลอง search ดูในเนท ก็มีปรากฎให้เห็นเกลื่อนเลยว่า
เราเป็นคู่ซี้กันมานานแล้ว อย่างเมืองจีนนี่ เลี้ยงหมามา
ตั้งแต่ราชวงศ์ไหนๆก็ไม่รู้ ซึ่งไอ้ความนานเนี่ยเข้าใจ
แต่ทำไมนะ ทำไม

ก็เลยลองตั้งสมมติฐานเอาเองไว้หลายๆข้อ
โดยย้อนไปโน่นเลย สมัยยุคหิน

1.เห็นแก่กิน
เอาจากที่ผมทำนี่หล่ะเป็นข้อแรกไว้ก่อน เป็นไปได้ไหมว่า เราสนิทเพราะแบ่งกันกิน
สมมติว่า มนุษย์หินคนหนึ่ง กำลังนั่งกินอาหารที่เขาเพิ่งล่ามาได้หมาดๆ
กลิ่นเนื้อนี่ช่างยั่วยวนเสียกระไร หมาตัวหนึ่งผ่านมาพอดี มันก็นั่งมองอย่างโหยหา
อาหารไม่ตกถึงท้องมันสองวันแล้ว ถ้าได้เนื้อสักชิ้นคงดี
มนุษย์หินเห็นเข้า ก็นึกขำ ประกอบกับเขากินอิ่มแล้วพอดี จึงโยนเนื้อชิ้นที่เหลือ
ให้กับมัน แน่หล่ะ มันวิ่งหนี แต่จากนั้นก็มาดมๆ พร้อมกับกินเนื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อย

จนหมาเริ่มเคยชิน มารออยู่ที่เดิมเป็นประจำ
แหม เข้าหลักทฤษฎีอะไรนะ ที่มีการสั่นกระดิ่งก่อนหมากินข้าว เป็นประจำ
จนวันหนึ่งสั่นกระดิ่งเปล่าๆ แต่ไม่มีข้าว หมามันยังน้ำลายไหล

นี่เหมือนกันครับ หลายวันเข้า ระยะห่างของการนั่ง
ก็น้อยลงเรื่อยๆ ทั้งมนุษย์และหมา รู้ว่าต่างคนต่างไม่ทำร้ายกัน
ในที่สุด หมามันก็มาหมอบอยู่ข้างๆมนุษย์หินคนนั้น แถมยังไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
บางครั้งมันช่วยวิ่งไปลากหมูป่า มาให้เขาหลังจากที่เขาขว้างก้อนหินใส่หมูนั่นจนสลบเหมือด

2.กักขังหน่วงเหนี่ยวหมาตัวหนึ่งถูกจับมาพร้อมๆกับสัตว์หลายๆตัว ที่มนุษย์หินคนหนึ่งได้ล่ามา
บังเอิญว่าเป็นหมาลักษณะดี สวยงาม จึงถูกเลือกเก็บไว้แทนที่จะเป็นอาหาร
แน่นอนหล่ะ ไม่ว่ามนุษย์หินจะให้อาหาร จะดูแลมันดียังไง
แต่อิสรภาพ ก็เป็นสิ่งที่มันโหยหา ซึ่งพอนานเข้า ประสบการณ์ก็ทำให้รู้ว่า
อยู่ที่ยอมรับมัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน แล้วมันก็เคยชินกับการถูกกักขัง
อาจจะเป็นการมองโลกในแง่บวกของมันก็ได้ ตอนนี้คอก ได้กลายเป็นบ้านมันแล้ว
ถึงเวลาก็มีอาหารมาให้อีกต่างหาก
ผู้กักขังมันตามที่มันเคยคิด ก็กลายเป็นเจ้านายที่มันรักไปเสียนี่
เมื่อต่างฝ่ายต่างเปิดใจให้กัน มันก็ได้มานอนสบายตัวอยู่ข้างๆมนุษย์ไปแล้ว

3.เป็นมาแต่กำเนิด
ลูกหมาตัวหนึ่งเดินกระเสาะกระแสะ มาที่ถ้ำของมนุษย์ พ่อกับแม่มันเพิ่งโดนสิงโตจัดเป็น brunch เมื่อสิบนาทีก่อน
มนุษย์จึงเก็บเอาไว้หวังว่าจะเป็นอาหารในภายภาคหน้า พอเลี้ยงๆไป เจ้าลูกหมา
กลับน่าเอ็นดูขึ้นทุกวัน ความซนความน่ารักของมัน ทำให้มนุษย์กินไม่ลง
เมื่อมันโตขึ้น ยังกลับทำประโยชน์ให้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเฝ้ายาม หรือช่วยล่าสัตว์
เรียกว่าเป็นการแลกกันอย่างคุ้มค่า เจ้าหมาได้ที่พักพิง ได้อาหาร ได้การดูแล
มนุษย์ได้สัตว์เฝ้าถ้ำ ได้ผู้ช่วยในการหาอาหาร

ก็เป็นตัวอย่างสมมติฐานที่เอาไว้เล่ากันเล่นๆละกันครับ จริงไม่จริงนี่ไม่รู้หรอกครับ
ไว้จะพยายามค้นคว้าเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้คำตอบอย่างน้อยก็ได้สมมติฐานเพิ่มอีกหล่ะน่า

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ ที่สนิทกันได้ก็เนื่องจาก หมา เป็นสัตว์ที่รู้คุณคน ครับ
จะเพราะ อาหาร ที่พัก ความรัก หรือ ผลประโยชน์ ก็ช่าง
แต่มันรู้คุณคน มันรู้ว่าใครดีกับมันอย่างไร ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละตัว

มันรู้จักการ ดีตอบ คนที่ดีกับมัน ไม่ทำร้ายคนที่ดีกับมัน แถมบางครั้งยังเอาใจใส่คนที่ดีกับมันด้วย
(เคยเห็นเวลาหมามองอย่างเป็นห่วง เวลาเราป่วยไหมหล่ะ)

เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คน ลงไปสนิทและรัก แล้วหล่ะครับ

แล้ว คนกับคน หล่ะ
อายหมามันมั๊ย




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 6 พฤษภาคม 2550 22:25:59 น.   
Counter : 242 Pageviews.  


เจ้าความว่างเปล่า จ้องมองเราอยู่

จู่ๆผมก็นึกถึงหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชื่อว่า จินตนาการไม่รู้จบ หรือที่ภาษาอังกฤษเขาใช้ชื่อว่า The Never Ending Story

ต้นฉบับเป็นภาษาเยอรมันเป็นผลงานเขียนของคุณ มิชาเอล เอ็นเด้ ขออนุญาต เล่าเรื่องย่อๆ เอาไว้สำหรับ ผู้ร่วมวงสนทนากับเราบางท่าน ที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ

หนังสือนี้เป็นเรื่องของเด็กน้อยนามว่า บาสเตียน เด็กที่มักจะถูกรังแกบ่อยๆ จนวันหนึ่งเกิดหลบเข้าไปในร้านหนังสือเก่า
บังเอิญเจอเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "จินตนาการไม่รู้จบ" จึงขโมยออกมาอ่านที่โรงเรียนตรงที่ซ่อนประจำ (รู้สึกว่าภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า borrows แฮะ)

เนื้อหาในเล่มเกี่ยวกับดินแดนในจินตนาการ (Fantasica) ที่กำลังจะล่มสลายด้วยอำนาจของ "เจ้าความว่างเปล่า" (The Nothing) โดยมี แอทริยู (Atreyu) ผู้กล้าชาวผิวเขียวซึ่งเป็นเด็กน้อย ที่ต้องออกเดินทางเพื่อปกป้องดินแดนให้รอดพ้นจากการล่มสลาย

ยิ่งบาสเตียน อ่านไปเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนกับว่า เขามีส่วนร่วมกับการผจญภัยของ แอทริยู มากขึ้นเท่านั้น บางครั้งที่บาสเตียนลุ้นจนตะโกนเอาใจช่วย แอทริยู ก็เหมือนกับ ตัวแอทริยู ได้ยินซะอีก แล้วยิ่งโดยเฉพาะประโยคที่ใครต่อใครพูดกับ แอทริยู ถึงเจ้าความว่างเปล่าว่า
"เขาจับตาดูเจ้าตั้งแต่แรก"
"เขาอยู่ในทุกๆที่"
"เขาดูเจ้าอยู่ตลอดเวลา"
"ไม่มีใครเห็นความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่าเห็นเจ้าเสมอ"
จนท้ายเรื่อง บาสเตียน เริ่มรู้สึกว่า เขานี่แหละคือ "ความว่างเปล่า" แล้วเขาเท่านั้นที่จะต้องเผชิญกับอำนาจมืดในตัวเอง ที่จะปกป้องดินแดนจินตนาการนี้

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ผมขอให้ลองไปหาอ่านดูครับ เป็นผลงานเขียนที่แยบยล เป็นที่กล่าวขวัญกันมาก ที่ผมเล่ามานี่เลือกพูดถึงเฉพาะเรื่องเนื้อหาเองนะครับ ยังไม่รวมถึงศิลปะการซ่อนนัยยะไว้ในเรื่อง, ภาษาการโยงเรื่องที่แนบเนียนระหว่างโลกจริง กับ ดินแดนจินตนาการ บางคนถึงกับว่ากันว่า เป็นการซ่อนแนวความคิดในการปลุกระดมทางการเมืองเลยซะนั่น

แต่ที่จู่ๆผมเกิดนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็คือความรู้สึกของตัวละครในเรื่องครับ
นึกถึง แอทริยู ที่ออกผจญภัยอย่างโลดโผน ให้ "ความว่างเปล่า" อย่าง บาสเตียน ได้อ่านได้มองได้จับจ้อง
ลองกลับไปอ่านประโยคต่างๆ ที่คนในดินแดนจินตนาการ พูดถึง "ความว่างเปล่า" หรือ บาสเตียน สิครับ

ผู้มีอำนาจชัดๆ ที่ก้มลงมองโลกใบที่เล็กกว่าเขา ดูการดำเนินชีวิตของพวกเขา มีอิทธิพลกับชีวิตและเมืองของพวกเขา
ทั้งๆที่ตัวบาสเตียนเอง ก็แทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป แล้วยิ่งเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ความหวาดกลัวของ แอทริยู ต่อความว่างเปล่า ก็ยิ่งทวีขึ้น แน่นอนหล่ะครับ เป็นใครก็ย่อมกลัวในสิ่งที่ตัวไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีอยู่แน่ๆ

เรียกได้ว่า เป็นข้อสังเกตทางอารมณ์ ครับ :)
เพราะที่เกิด sensitive กับตัวละครในหนังสือขนาดนี้ ก็เพราะหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อว่า เจ เค โรวลิ่ง ครับ
กับคำสัมภาษณ์ของเธอ ที่ได้ให้ไว้กับ Channel 4 television ในกรณีของตอนจบ แฮรี่ พอตเตอร์ว่า

===========
she added: "I can completely understand, however, the mentality of an author who thinks, 'Well I'm gonna kill them off because that means there can be no non-author written sequels. So it will end with me and after I'm dead and gone they won't be able to bring back the character'."

มีนักเขียนเจ้าของผลงานชื่อดังมากมายที่ชอบจะทำให้ตัวละครหลักของเรื่องต้องตายในตอนจบ ซึ่งเธอก็กล่าวว่าตัวเธอเองเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นเป็นอย่างดี

"จริงๆ แล้วฉันเข้าใจความรู้สึกของนักเขียนเหล่านั้นอย่างดีทีเดียว พวกเขาจะคิดว่า 'แน่ละ ฉันจะต้องฆ่าพวกเขาเสีย เพื่อมั่นใจว่าจะต้องไม่มีตอนต่อที่ไม่ใช่ฝีมือฉันเกิดขึ้นมา...อย่างนี้แล้วทุกอย่างก็จะจบไปพร้อมกับฉัน และหลังจากที่ฉันตายไปก็จะไม่มีใครหน้าไหนนำพวกเขากลับมาได้อีก' (แปลโดยผู้จัดการ)
============

ไม่ได้ซีเรียสเรื่องจริยธรรม ความถูกต้อง ลิขสิทธิ์หรืออะไรเครียดๆเทือกนะครับ
แค่ อดน่าสงสารไม่ได้เฉยๆครับ คงต้องตะโกนดังๆให้แฮรี่ ได้ยินบ้างแล้วหล่ะ

ระวังเจ้าความว่างเปล่านะ แฮรี่ !!!


ขำขำครับ สำหรับสัปดาห์นี้




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2549 22:53:19 น.   
Counter : 782 Pageviews.  


จิปาถะ

เหมือนคืนสู่เหย้า หรือ กลับบ้านเก่า ประมาณนั้น
สืบเนื่องจากคันไม้คันมือ อยากมีบล๊อกกับเขาบ้าง
แต่ก็ไม่มั่นใจ ใน log in โบราณกาล ว่าจะยังใช้ได้ไหม

สารภาพตามตรง ว่าเป็นสมาชิกพันทิพ ที่ไม่ได้มีปฎิสัมพันธ์อะไรเสียนาน
ผ่านมาผ่านไปแค่ได้อ่านกระทู้เสียอย่างเดียว

ก็เรียกได้ว่า เป็นการทดสอบ ความละเอียดละออ ของทีมงานพันทิพได้เลย
เพราะชื่อสมาชิกของผม ที่ไม่ได้ log in มากว่าสามสี่ชาติ
มันยังคงใช้ได้ดี ไม่มีที่ติครับ

กับระบบต่างๆที่ยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน เพียงแค่รอการ update เพื่อความทันสมัยเท่านั้นเอง

อารมณ์คล้ายกับเปิดคอมสมัย XT หรือ 286 แล้วมันยังใช้ได้ดี เหมือนครั้งเก่าก่อน ย้อนวันวาน ให้เจ้าของได้ยิ้มมุมปาก พอฉ่ำใจ

ทิ้งท้ายไว้ที่ชื่อสมาชิก "ขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ" สารภาพตามตรง ว่าขณะนั้น เมื่อครั้งมีระบบสมาชิกพันทิพครั้งแรก (นานพอควร) นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอาชื่ออะไร หันไปเห็นหนังสือนี้อยู่หลังคอมฯ พอดี จึงมักง่ายเอาเสียเลย ประกอบกับเป็นผลงานของพี่จิก ประภาส ที่ชื่นชอบอ่านมาแต่เยาว์วัย แล้วมารู้เอาที่หลังว่าเป็นผลงานของแก ก็แหงหล่ะ สมัยนั้นสนที่ไหนว่าใครเขียน

เอาไว้คราวหน้า จะหาอะไรมาคุยต่อครับ




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2549   
Last Update : 25 มิถุนายน 2549 1:15:20 น.   
Counter : 286 Pageviews.  


1  2  

ขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add ขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com