สิวหายแน่!! ขอแค่ทำตามนี้ก็พอ...


ต้นเดือนแบบนี้เป็นไงกันบ้างครับ คิดว่าช่วงนี้หลายคนก็คงเงินสะพัดกันเลยทีเดียว หรือไม่ก็ใช้หนี้จนหมดตัวแล้ว สำหรับผมก็เช่นเดียวกัน... เป็นอย่างหลังอะนะ หนี้บานเบอะ เพราะซื้อกองทุนไปเยอะมาก แล้วตลาดหุ้นดันลงอีก... เรียกว่าแทบกระอักเลือด.... แต่สำหรับคนที่มีเงินอยู่ในบัญชีเฉย ๆ ไม่ได้ มันร้อน ต้องรีบจ่ายออก วันนี้ผมก็มีเรื่องชวนมาเสียตังค์กันอีกแล้ว... แต่เป็นการเสียตังค์เพื่อให้สวยให้หล่อกันขึ้น เป็นไงล่ะ คิดว่าน่าจะคุ้มกว่าไปทำอย่างอื่น เนอะ ๆ ฮ่า ๆ “เป็นคำพูดปลอบใจตัวเองเวลาจะซื้อของ” วันนี้ผมก็มีเครื่องสำอางค์มารีวิวสำหรับคนเป็นสิว และวิธีการดูแลรักษาตัวเอง ให้ผิวพรรณดูดีขึ้น ในที่นี้ผมของไม่รีวิวโชว์ผิวหน้าตัวเองนะครับ ไม่มั่นพอ เพียงแต่คิดว่าช่วงนี้ผิวพรรณหน้าตาดูสว่างสดใสขึ้น เลยคิดว่าต้องใช่แน่ ๆ เพราะการลงทุนซื้อเครื่องสำอางค์ดี ๆ และการบำรุงร่างกายดี ๆ แน่เลย

สำหรับสิ่งที่จะรีวิวต่อไปนี้อาจใช้งบประมาณสักนิดนึง แต่คิดแล้วก็ไม่แพงมากไป ถ้าจะทำให้บุคลิกภายนอกเราดูดี แค่หน้าตาดี บุคลิกดี ผิวพรรณดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ผมขอบอกก่อนว่าการรับชมต่อไปนี้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครคิดว่าดีก็ Copy แล้ว Paste เลยก็ได้ แถมมีการการประเมินราคาเพื่อการตัดสินใจลงทุนด้วยนะ แต่จะถามว่า Break even หรือ Payback period เป็นเท่าไหร่ คงตอบไม่ได้ เพราะสิ่งที่ดูดีออกมามันตีเป็นราคาโดยตรงไม่ได้ บางคนพอดูดี อาจได้แฟนเลย ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าสิ่งใด ฮ่า ๆ 

เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย... เคยมั้ย ที่เพื่อน ๆ เป็นสิว แบบเป็นอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวหาย วนกันมาหลายปี เดี๋ยวขึ้นคางบ้าง ขึ้นแก้มบ้าง ขึ้นจมูกบ้าง ขึ้นวนกันไปอยู่นั่นล่ะ ไม่หายเกลี้ยงเต็มใบหนาสักที เสียความมั่นใจตลอด พอสิวขึ้นก็ไม่อยากออกไปไหน ไม่กล้าไปเจอผู้คน ต้องเสียเงินเข้าคอร์สรักษาอยู่เป็นเรื่อย ๆ ไป หมอก็ชวนให้ทำนู่นนี่นั่นอีก วนลูปกันไปเรื่อย ๆ.... เอาล่ะ วันนี้ผมจะชี้ทางสว่างให้.... ฮ่า ๆ สำหรับเคสผมนี่เป็นมาเรื่อย ๆ เบื่อมาก ตอนนี้คิดว่าดีขึ้นเยอะเลย เลยคิดว่าดีพอที่น่าจะแชร์ต่อได้ งั้นมาเริ่มกันเลย....

1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม


ช่วงนี้ที่คิดว่าหน้าดีขึ้นหลัก ๆ เลย ผมว่าเป็นจากลดการทานไขมันลง จริง ๆ เพราะมีเป้าหมายจะสร้างซิกแพคล่ะ ตอนเย็นเลยทานแต่ผลไม้แทน โดยทานกล้วยหอมแค่ 2 ใบก่อนออกกำลังกาย เฉพาะแค่วันออกนะครับ วันอื่น ๆ ก็ทานตามปกติ แต่ก็จะงดของมัน ของหวาน และทานข้าวแค่ทัพพีเดียว


ในส่วนการดื่มเครื่องดื่มนั้น ผมก็เคยอ่านรีวิวหลาย ๆ ที่นะ เค้าบอกว่าดื่มน้ำมะเขือเทศแล้วจะทำให้ผิวพรรณดี ผมก็เลยไปจัดน้ำมะเขือเทศดอยคำมา ของโครงการหลวง เลือกสูตรโซเดียมต่ำ วันละ 1-2 กล่อง จะมีลาเบลสีฟ้าคาดอยู่ครับ ผมทานอยู่ประมาณ 2 เดือนได้ แม่ก็บอกพักนี้ผิวใสขึ้นนะ เด้งด้วย ฮ่า ๆ แต่บางคนก็เห็นผลไวกว่านี้ อาจเพราะผมตัวสูงด้วยประมาณ 180 อาจจะใช้เวลาสักหน่อยในการบำรุง แถมน้ำมะเขือเทศยังบำรุงอื่น ๆ นอกจากผิวด้วย เช่น ลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งก็ดีเลย สำหรับผู้ชาย ลองไปหาอ่านดูได้ครับ ผมเคยลองทานสูตรปกติดู โอโห ดื่มสองวัน บวมน้ำเลย ข้อมือนี่แน่น รู้สึกเลยว่าใส่นาฬิกาข้อมือแล้วรัด เลยเปลี่ยนเป็นสูตรโซเดียมต่ำ ราคาจะสูงกว่าไม่มาก สำหรับแหล่งซื้อ ก็หาได้ตาม Supermarket หรือ Hypermarket ทั่วไปครับ ราคาส่วนมากไม่ค่อยลด ประมาณแพ็คละ 68 บาท ตกกล่องละ 17 บาท แต่ถ้าซื้อที่ Amway ราคาจะถูกกว่าเหลือแพ็คละ 62 บาท ตกกล่องละ 15.5 บาท ถ้าใครเป็นสมาชิกก็คุ้มเลยครับ ของโครงการหลวงอุดหนุนเถอะครับ รายได้ส่วนหนึ่งก็แบ่งให้ชาวเขาบนดอย คุณภาพก็ดี


2. หมวดเครื่องสำอางค์


หมวดนี้สำคัญมาก ๆ เลย ที่ผมจะเน้นคือ การล้างหน้าและบำรุงผิว ขออ้างอิงจากตัวเองก่อนนะครับว่า อายุ ก็ 28 แล้วจะเข้า 30 บวกกับเป็นคนเป็นสิวอุดตันค่อนข้างเยอะ และเป็นคนหน้ามัน แต่ขาดความชุ่มชื้น (ตรงนี้รู้ได้ไง สังเกตจากพอเราลองซับมัน จะรู้สึกหน้าแห้ง หรือถ้าหน้าหนาว หน้ายังมันแต่ผิวแห้ง เค้าเรียกผิวขาดน้ำน่ะครับ BA บอกมา) ถ้าใครเข้าข่ายผิวแบบผมก็ลองใช้คล้าย ๆ กันได้... มาเริ่มกันที่ตัวแรกครับ


ขั้นตอนที่ 1 Cleanser


สำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า ผมเลือกที่เป็นลักษณะของเหลว คือ เนื้อเป็นเจล หรือครีม ที่ไม่ใช่โฟม เพราะมีความรู้สึกว่ามันอุดตันง่ายกว่า ส่วนจะทำจากธรรมชาติหรือสารเคมีนั้น อันนี้ไม่ได้เจาะจง เพราะไม่เคยลองแบบธรรมชาติ ฮ่า ๆ... โดยปกติผมจะใช้ Clinique Liquid Facial Soap ที่เป็นขวดปั๊มสีเขียว เหตุผลที่ใช้ คือ พอล้างแล้ว หน้าไม่แห้งลอก หลังเช็ดหน้า หน้ายังรู้สึกชุ่มชื้นไม่มากไป ไม่เหอะหนะ กำลังดีเลย

นอกจากนี้ระหว่างในระหว่างสัปดาห์ อาจจะสครับหน้าเป็นบางครั้งบ้าง ประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อผลัดเซลล์ผิว แต่ทำมากก็ไม่ดีครับ หน้าจะบาง และก็แพ้ง่าย การใช้นี่ต้องค่อนข้างเบามือหน่อย ไม่งั้นผิวอาจแพ้ได้ ในที่นี้ผมเลือก Clinique For Men Face Scrub เม็ดบีตจะค่อนข้างใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ ของ Clinique


ขั้นตอนที่ 2 Toner******


ขอลงเครื่องหมายดอกจันทร์ร้อยล้านตัวเลยครับว่า การใช้ Toner ในที่นี้ผมเลือกใช้ของ Clinique for men Oil Control Exfoliating Tonic เป็นสิ่งสำคัญมาก... มันเป็นการเช็ดทำความสะอาดผิวหลังจากหน้าเราไปเจอมลภาวะ หรือความมัน หรือเหงื่อระหว่างวันมา... ถ้าใครไม่เคยใช้และลองใช้ครั้งแรกจะเห็นว่าสำลีที่เช็ดออกมาดำมาก คือตกใจว่าเราล้างหน้าไม่เกลี้ยงหรอ ทั้งที่ก็ล้างนานอยู่... วิธีการเช็ดผมก็เช็ดย้อนรูขุมขน คือเช็ดขึ้นไปก่อน แล้วก็เช็ดลงอีกทีเป็นอันเสร็จ ส่วนสำลีที่ใช้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อน ๆ ควรจะเลือกสำลีแผ่นที่ไม่เป็นขุย ราคาอาจจะสูงกว่าสำลีทั่วไป แต่ก็ไม่แพ้ จริง ๆ ก็มีของ Amway อีกเช่นกันที่มีขายและได้คุณภาพอยู่... นี่ผมไม่ใช่ตัวแทนนะ แต่เป็นแค่สมาชิกเลยเห็นว่ามีขาย... ใครมีที่ถูกกว่าก็ใช้ทดแทนกันได้ขอแค่ไม่เป็นขุยก็พอ ฮ่า ๆ... สำหรับผลลัพธ์ที่ได้หลังจากใช้ Toner คือ สิวอุดตันหายลงไปเยอะมาก และรอยสิวต่าง ๆ ที่เราเคยเห็น ผมว่ามันก็จางลงไวด้วยนะ อาจจะเพราะการเช็ด เป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวก็ได้ ผมแนะนำว่าจำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้ครับ และยังทำให้เรารู้สึกสดชื่นอีกด้วย




ขั้นตอนที่ 3 ครีมบำรุงผิว


จริง ๆ ผมอาจจะใช้หลายตัวหน่อย ในส่วนนี้แล้วแต่ทางเลือกว่าใครจะเอาไปปรับใช้แล้วกันครับ แล้วแต่ความกังวลที่แตกต่างกันไป ซึ่งสำหรับผมนอกจากสิวแล้ว ก็มีเรื่องรูขุมขนกว้าง รอยเหี่ยวย่น และความชุ่มชื้น ซึ่งในส่วนของสิว ผมคิดว่าแค่ล้างหน้าให้สะอาด และรักษาความชุ่มชื้น ก็เพียงพอแล้วครับ เดี๋ยวในส่วนถัดไปผมจะรีวิวเรียงจากขั้นตอนการใช้ครีมบำรุงแล้วกันครับ


ลำดับที่ 1 เพิ่มความชุ่มชื้น


ผมเลือกใช้ Clinique for Men Watery Moisture Lotion ชื่อเป็นโลชั่น แต่จริง ๆ แล้วเหมือนโทนเนอร์ วิธีใช้ก็ใช้หลังจากเช็ดโทนเนอร์เลยครับ หยดบนมือเราประมาณเท่าเหรียญ 10 แล้วก็ตบหน้าประหนึ่งว่าเป็น SK-II เลย ฮ่าๆ... จะรู้สึกได้ทันทีถึงความชุ่มชื้น เหนียว ๆ แต่ไม่เหนอะน่ะ แต่สำหรับใครที่ต้องการหน้าขาวใสด้วยก็แนะนำ Clinique Even Better™ Brighter Essence Lotion เนื้อโลชั่นก็คล้าย ๆ กับ Men watery ครับ เพียงแต่อันนี้จะช่วยเพิ่มความกระจ่างใส จริง ๆ ตัวนี้ผมได้ตัวทดลองมาเลยติดใจ คิดว่าถ้าหมดจะเปลี่ยนเป็นตัวนี้เลย แต่ราคาสูงกว่า 2 เท่าน่ะ ถ้าใช้ตัวนี้ก็ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลได้ว่าหน้าเรากระจ่างใสขึ้นครับ ตามจริงแล้วของ Clinique เค้าจะมีให้เลือกว่าเราเหมาะกับสูตรเบอร์ไหน ถ้าสำหรับของผมคือผิวผสม ไม่ได้เป็นคนผิวมัน แต่ขาดความชุ่มชื้น ก็จะเลือก เบอร์ 3 ครับ





ลำดับที่ 2 กระชับรูขุมขน


ในส่วนของเรื่องรูขุมขนจริง ๆ ตอนแรกมีความคิดว่าถ้ารูขุมขนเล็กลง หน้าก็น่าจะมันน้อยลง แต่ไม่เลย!!! ฮ่า ๆ... แต่สิ่งที่ช่วยและเห็นได้ชัดคือรูขุมขนเล็กลงมาก คือจะเห็นว่ารูจุด ๆ บนจมูกนี่เล็กลงไปเลย และเรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้นด้วย ฮ่า ๆ เกี่ยวกันมั้ย.... และก็ยังช่วยให้ผิวเราดูเรียบเนียนขึ้นด้วย ซึ่งผมเลือกใช้ Clinique Pore Refining Solutions Correcting Serum ความรู้สึกหลังจากใช้ตัวนี้จริง ๆ แรก ๆ คิดว่าแพ้ เพราะหลังจากทาจะรู้สึกแสบตาเบา ๆ แต่ด้วยความที่มันแพง เลยทนใช้ต่อไป คิดว่าเดี๋ยวไม่เห็นผล ผ่านไปสักอาทิตย์นึง ก็เลยปรับตัวได้ Clinique เค้าเคลมตัวนี้ว่าเป็น Serum ซึ่งพอทาเข้าจริง ๆ มันเหมือนมีอะไรเคลือบบนหน้าเลย แต่ไม่เหนอะนะ ผิวหน้าเราจะแห้ง ๆ ไม่มัน ตอนทดลอง BA ก็บอกย้ำว่าไม่อุดตันค่ะ ๆ ตอนนั้นตัดสินใจอยู่นานมาก จน BA เริ่มทนไม่ไหว แต่แล้วก็แพ้ใจ ความอยากได้มากกว่าความกลัวล้วน ๆ



ลำดับที่ 3 ครีมบำรุงทั่วไปตามความต้องการ


สำหรับผมอย่างที่บอกไปคือ กังวลเรื่องความชุ่มชื้นและรอยเหี่ยวย่น พวกรอยตีนกา เพราะมันมาไวมาก ยิ้มทีนี่ยับทั้งหน้า แล้วก็พวกความชุ่มชื้น คือ โรคจิตตัวเดียวไม่พอไง เลยต้องเสริมอีกตัว โดยเรื่องความชุ่มชื้นผมใช้ Clinique moisture surge เนื้อครีมตัวนี้เบามากกกกกกกกก ก.ไก่ ล้านตัว เป็นของขึ้นชื่อของ Clinique เค้าเลยล่ะ ขายดีมาก หาซื้อยากมาก ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นได้ดีมาก ทาปุ๊บชุ่มปั๊บ แล้วยังช่วยเรื่องสิวอุดตันให้ลดลงด้วย ตัวนี้ผมว่าขาดไม่ได้เลย ผมว่าตัว Watery อย่างเดียวยังเอาไม่อยู่สำหรับผม แต่ตัวนี้ผมจะใช้เฉพาะตอนนอนเท่านั้นครับ เพราะคิดเอาเองกลัวว่าพอหน้าชุ่มมาก ๆ ฝุ่นเกาะ แล้วเผลอเป็นสิวเอา...



ในส่วนของความกังวลเรื่องริ้วรอย ผมแนะนำ Clinique For Men Anti-Age Moisturizer ตัวนี้เป็นตัวท็อปของไลน์สำหรับผู้ชายเลย สำหรับครีมบำรุงผิว จริง ๆ ตัวนี้ผมใช้ก่อนตัวอื่น ๆ เพราะเหมือนจะได้ทั้งริ้วรอยและความชุ่มชื้นด้วย แต่หลัง ๆ ผมว่ามันได้เรื่องริ้วรอยเด่นกว่า เลยต้องหาครีมตัวความชุ่มชื้นเพิ่ม สำหรับผลลัพธ์ถือว่า ดีอยู่นะ จริง ๆ ผมไม่เคยใช้ของแบรนด์อื่นเรื่องริ้วรอย เลยไม่รู้จะเทียบยังไง แต่ตอนนี้ผมใช้มาหลอดที่ 2 แล้ว ตีนกาลดลงมาก รอยย่นหน้าผากก็ลดลงมากด้วย ประทับใจตัวนี้เลยครับ เนื้อครีมก็ไม่เหนอะน่ะ เบาบาง สมราคาดี





สุดท้ายในส่วนของครีมกันแดด ที่ขาดไม่ได้เลย แต่ก่อนผมไม่เคยทา จนเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทารู้สึกขาดอะไรบางอย่าง ออกจากบ้านไม่ได้ เป็นโรคกลัวแดดไปเลย ผมเลือก Clinique For Men UV Defense SPF 50/PA++++ ขวดเล็กและราคาสูงมาก แต่เนื้อครีมก็ดีมากเช่นกัน ครีมไม่เหนอะน่ะ หน้าไม่ขาววอก  นอกนั้นตัวอื่น ๆ ของแบรนด์นี้จะเป็นแบบเหนอะน่ะซะมากกว่า แต่ราคาก็ถูกกว่ามากด้วยเช่นกัน



จบสำหรับการรีวิว.... อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนคงสงสัย ไอนี่มันได้ค่าโฆษณาจาก Clinique ป่าววะ..... ตอบเลยว่า ใช่ ...........เอ้ย........... ไม่ !!! ต่างหาก จริง ๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยใช้ของแบรนด์เกาหลี แล้วหลัง ๆ ราคามันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนจะเท่าเคาน์เตอร์แบรนด์ เลยเปลี่ยนมาใช้ Clinique เหตุผลที่ใช้เพราะที่บ้านก็ใช้ครับ มันเลยเกิดความซึมซับมาว่าแบรนด์นี้ดี ประกอบกับเค้าอ้างว่า “เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และปราศจากน้ำหอม” ก็เลยเลือกใช้ อีกอย่าผมเป็นพวก Brand loyalty อยู่พอตัว คือนิยมใช้ของประเภทเดียวกันภายใต้แบรนด์เดียวกัน ตามจริงผมยังมี Shave โฟมโกนหนวด อีกตัวนึง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการบำรุงผมเลยไม่ได้เอามารีวิว




ในส่วนขั้นตอนที่ 3 ลองเลือกดูนะครับ ว่าต้องการเด่นในด้านไหน จะได้ไม่เปลืองงบประมาณไป ถ้าเน้นแค่ความชุ่มชื้นใช้แบบ Watery ก็เพียงพอครับ แต่ถ้าต้องการหน้าขาวใสเลือกแบบ Even better ก็ได้ครับ...


สำหรับใครที่ยังลังเล หรือคิดว่าใช้หลายตัวแบบนี้คุ้มมั้ย ผมทำตารางประเมินค่าใช้จ่ายมาให้ พร้อมกัยลำดับขั้นตอนการใช้ผื่อเข้าใจมากยิ่งขึ้น ใครคิดว่าคุ้มก็จัดไปเลยครับ




มาถึงตารางประเมินค่าใช้จ่ายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจไป ถ้าเพื่อน ๆ ลงทุนซื้อครั้งเดียวตู้ม!!! ก็อาจจะแพงอยู่ ผมแนะนำให้ซื้อตาม Priority ดีกว่าครับ สิ่งที่เน้น ๆ คือ โทนเนอร์เลย ต้องมีจริง ๆ เวลาซื้อผมแนะนำอย่าซื้อตอนไม่ลด ในตารางนี้ผมเอาราคาปกติที่ไม่มีโปรใด ๆ ทั้งสิ้น ผมไม่เคยซื้อใด ๆ ราคาเต็มเลย ฮ่า ๆ .... บางทีไปต่างประเทศก็ไปซื้อมาบ้าง ที่สนามบินบ้านเค้าถูกมาก เช่น ที่กัวลาลัมเปอร์หรือไม่ก็ญี่ปุ่น จะเป็นนาริตะ หรือเซ็นแทร์ ที่นาโกยา โดยเพาะตัว Clinique for men Anti-aging ราคาประมาณ 1,500 บาทไทย ถูกกว่าพันนึง นอกนั้นบางทีก็ซื้อจาก King power บ้านเรา หรือไม่ก็ห้างสรรพสินค้าใช้แต้มบัตรเครดิตแลก ไม่ก็แพงสุดคือช่วงลดปกติแค่ 10% ช่องทางอื่น ๆ ผมไม่แนะนำ กลัวโดนหลอกเอา... ส่วนถ้าในราคาเต็มแล้ว จะเห็นค่าใช้จ่ายต่อเดือน อยู่ที่ประมาณ 3,000 กว่าบาท ก็ถือว่าราคาค่อนข้างสูง... แต่นั่นล่ะครับ... แล้วแต่ว่าใครจะใช้ตัวไหน ในส่วนออปชั่นครีมบำรุงผิว....


หวังว่าเพื่อน ๆ น่าจะได้ประโยชน์จากการแชร์ครั้งนี้ ถ้าผิวหน้าดีขึ้นแล้วก็กลับมา รีวิว บอกกล่าวกันบ้างครับ...








Create Date : 08 มิถุนายน 2561
Last Update : 10 มิถุนายน 2561 13:50:54 น.
Counter : 780 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 4355757
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



การบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เปรียบเสมือนอิคิไก ที่ขับเคลื่อนให้เรามีวันพรุ่งนี้