|
|
ตรวจอะไรบ้าง...เมื่อตั้งครรภ์
ตรวจอะไรบ้าง...เมื่อตั้งครรภ์
Week 1 คุณเพิ่งผ่านช่วงการมีรอบเดือนมาหมาดๆ ระหว่างทางก่อนที่รอบเดือนใหม่ของคุณจะมาเยือนอีกครั้ง จะเป็นช่วงที่ไข่ของคุณกำลังสุกพร้อมที่จะหลุดออกจาก รังไข่และเข้าไปในท่อนำไข่ ก่อนการตั้งครรภ์ คุณควรจูงมือคู่ชีวิตไปตรวจร่างกายเพื่อเช็คดูว่า คุณทั้งคู่มีใครเป็นโรคที่สามารถติดต่อ ไปยังทารกในครรภ์ ได้บ้าง การตรวจพบ และรับการรักษาล่วงหน้าไม่เพียงแต่จะป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณเองในระหว่างตั้งครรภ์แล้ว ยังป้องกันโรคหรือความพิการต่างๆที่อาจ จะเกิดขึ้นกับลูกของคุณได้อีกด้วย Week 2 ช่วงต่อระหว่างสัปดาห์ที่1 และ 2 ไข่ที่สุกจะหลุดออกจากรังไข่ และเข้าไปคอยท่ารอเวลารับการปฏิสนธิจากอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุด คุณมีเวลาที่จะสร้างโอกาสให้เกิดการปฏิสนธิได้ในช่วง 72 ชั่วโมงก่อนไข่ตกจนถึง 24 ชั่วโมงหลังไข่ตกเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากอสุจิจะมีชีวิตอยู่รอดภายในท่อนำไข่ประมาณ 72 ชั่วโมง และไข่จะมีชีวิตอยู่รอดภายใน 24 ชั่วโมง ภายหลังหลุดออกมาจากรังไข่ จากนั้นก็จะฝ่อไปในช่วงที่มีการตกไข่เกิดขึ้น ภายในร่างกายของคุณจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติ 0.5 – 1.6 องศาเซลเซียส คุณสามารถหาซื้อเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมินี้ได้ตามร้านขายยาทั่วไป ใช้อมไว้ใต้ลิ้นก่อนล้างหน้าแปรงฟัน การได้รู้ช่วงเวลาแน่นอนอย่างนี้ รับรองไม่มีทางพลาดที่จะได้ลูกมาเชยชม
Week 3 ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะใช้เวลาเดินทางไปยังโพรงมดลูก 36 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ ไข่จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนมีขนาดกว่าร้อยเซลล์เมื่อเดินทางไปถึงยังมดลูก ในจำนวนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่อยู่ด้านในจะพัฒนาไปเป็นตัวเด็กส่วนที่อยู่ติดกับผนังมดลูกจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นรก ซึ่งจะหลั่งฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (hCG) ออกมา ฮอร์โมนตัวนี้เองที่มีผลทำให้ร่างกายของคุณมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงอาการเหงือกบวม และมีเลือดออกได้ง่าย คุณจึงควรไปเช็คสุขภาพปากและฟันเสียแต่เนิ่น
Week 4 ขณะที่ไข่กำลังฝังตัวลงในผนังมดลูก คุณแม่บางรายอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย และอาจเข้าใจผิดว่าเป็นรอบเดือน เพื่อความมั่นใจคุณสามารถไปหาซื้อแผ่นทดสอบได้ โดยคุณจะต้องใช้ปัสสาวะในตอนเช้า ขณะที่ท้องยังว่างอยู่เพราะอาหารบางชนิดอาจมีผลให้ฮอร์โมนการตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ผลที่ออกมาคาดเคลื่อนได้ หากคุณเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยาก ควรระมัดระวังไม่ทำอะไรที่ต้องออกแรงมาก เดินให้น้อยลง และพักผ่อนให้มากขึ้น
Week 5 ในระยะแรกๆของการเติบโต ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะอาศัยดูดซับอาหารและซึมผ่านของเสียผ่านเยื่อบุมดลูก จนกระทั่งรก และสายสะดือได้เริ่มทำหน้าที่นี้แทนในอีก 2 – 3 สัปดาห์ต่อมา ในช่วงเวลานี้คุณจะเริ่มรู้แล้วว่าประจำเดือนขาดไปแน่นอนคุณควรไปพบหมอเพื่อตรวจเช็คความสมบูรณ์ของการตั้งครรภ์ คุณหมอจะซักประวัติคุณ ตรวจวัดส่วนสูง และน้ำหนัก เพื่อคำนวณดูขนาดของทารก พร้อมกับกำหนดวันคลอดให้กับคุณ
Week 6 อาการแพ้ท้องต่างๆอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันต่อมน้ำนมก็เตรียมผลิตน้ำนม จึงทำให้เต้านมคุณขยาย และคัดตึง เพราะน้ำนมไม่สามารถไหลผ่านออกมาได้ ช่วงแรกของการตั้งครรภ์คุณหมอจะเว้นช่วงห่างของการนัดตรวจก็จะนัดถี่ขึ้นเป็นทุก 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการผิดปกติขึ้น คุณควรรีบปรึกษาหมอทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลานัด
Week 7 ขณะนี้ลูกของคุณเท่าเมล็ดถั่วเล็กๆเม็ดหนึ่ง แต่ถึงจะมีขนาดที่เล็ก หนูน้อยอวัยวะสำคัญหลายอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หากคุณมองทะลุผนังมดลูกเข้าไปได้ คุณจะเห็นได้ว่าเขามีหัวที่ใหญ่กว่าลำตัว มีจุดสีดำเล็กๆบริเวณตา และสมองมีร่องรอยของหู มีปุ่มแขนขาเล็กขึ้นมา หัวใจของเขาเริ่มแบ่งออกเป็นห้องซ้ายและขวาและเต้นประมาณ 150 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า ในช่วงนี้คุณลองถามคุณหมอถึงระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในตัวคุณดูบ้างว่าอยู่ในระดับต่ำหรือสูงเกินไปหรือไม่ เพราะการทำงานที่ผิดปกติของไทรอยด์อาจส่งผลต่อลูกในท้องของคุณเองได้
Week 8 หากคุณยังไม่เคยไปฝากครรภ์ คุณควรรีบไปในสัปดาห์นี้(อย่าช้า 2 สัปดาห์นับจากที่รู้ว่ารอบเดือนขาดไป) เพราะลอด 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะเป็นช่วงที่ตัวอ่อนสร้างอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง หากมีเหตุอะไรที่ไปขัดขวางพัฒนาการอวัยวะที่สำคัญเหล่านี้ ก็จะส่งผลให้ทารกพิการหลังคลอดได้ การไปฝากครรภ์หากเร็วได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของแม่และลูกในครรภ์มากเท่านั้น เพราะหากคุณหมอตรวจพบสิ่งผิดปกติใดขึ้น ก็สามารถให้การรักษาได้ทันหรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความรุนแรงลงได้
Week 9 จากปุ่มเล็กๆคู่บนและล่าง ที่บ่งบอกว่าเป็นจุดเริ่มของแขนขาของตัวอ่อน ในสัปดาห์นี้แขนของตัวอ่อน ในสัปดาห์นี้แขนของตัวอ่อนยาวขึ้นจนเห็นได้ชัดว่ามีสองส่วน โดยมีส่วนโค้งของข้อศอกเป็นส่วนเชื่อม หัวใจและสมองของเขามีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น เปลือกตา และจมูกเริ่มปรากฏรูปร่างขึ้นบนศีรษะที่มีขนาดใหญ่ ในการฝากครรภ์ครั้งแรกคุณหมอจะต้องวัดส่วนสูงให้กับคุณด้วย เนื่องจากส่วนสูงเป็นตัวบอกขนาดของกระดูกอุ้งเชิงกรานของคุณหากพบว่าอุ้งเชิงกรานมีขนาดเล็กเกินกว่าที่ศีรษะของเด็กจะรอดออกมาได้ คุณหมอก็จะแนะนำให้คุณผ่าท้องคลอด
Week 10 หางเล็กๆของตัวอ่อนหดมาเป็นกระดูกก้นกบเรียบร้อยแล้วในสัปดาห์นี้ อวัยวะที่เป็นโครงสร้างสำคัญก็มีครบแล้วเพียงแต่ว่ายังมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น ตอนนี้หัวใจของคุณทำงานอย่างหนัก เพื่อสูบฉีดเลือดไปบำรุงทุกส่วนของร่างกายให้พร้อมสำหรับการเจริญเติบโตของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ การทำงานที่หนักทำให้หัวใจของคุณขยายใหญ่ขึ้น ในการนัดฝากครรภ์ช่วงแรกๆทุกครั้งคุณหมอจะทำการตรวจความดันของเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าความดันไม่สูงเกินไป เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงลักษณะอาการของโรคครรภ์เป็นพิษได้ นอกจากนี้คุณหมอยังต้องตรวจปัสสาวะ ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ตรวจเลือดและเช็คดูระดับการพองตัวของข้อมือและข้อเท้า
Week 11 อวัยวะสำคัญทั้งหมดพัฒนาเต็มที่แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นนาทีของการเก็บรายละเอียดเช่น เล็บมือ เส้นผมบางๆส่วนอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกเริ่มปรากฏรูปร่างให้เห็นเป็นเค้าโครงแล้ว อีกประมาณ 3 อาทิตย์ คุณก็รู้ได้แล้วว่า ลูกของคุณ เป็นหญิงหรือชายนัดพบกับคุณหมอคราวหน้า คุณรอเตรียมตัวฟังเสียงหัวใจของลูกได้เลยคิดดูว่ามันจะน่าอัศจรรย์เพียงไร ถ้าคุณจะได้ยินเสียงหัวใจน้อยๆของคุณเขาเต้นแข่งกับเสียงหัวใจของคุณ
Week 12 นิ้วมือ และนิ้วเท้าแยกออกจากกันแล้ว กระดูกบางชิ้นเริ่มที่จะแข็งขึ้น ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า จนถึงสัปดาห์นี้ คุณหมอจะทำการตรวจชิ้นเนื้อจากเยื่อหุ้มตัวอ่อน หรือที่เรียกว่า CVS (Chori-onic villus sampling) เพื่อเช็คดูว่ามีความผิดปกติของโครโมโซมหรือไม่ หรือเดกมีอาการของโรคดาวน์ซินโดรมหรือไม่ ในการตรวจคุณหมอจะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กมากเจาะผ่านเข้าไปในมดลูกของคุณแล้วเพื่อนำเอาเซลล์จากเนื้อเยื่อที่หุ้มตัวอ่อนออกมาทำการทดสอบภายในห้องทดลอง ซึ่งคุณจะรู้ผลหลังจากนั้นอีก 2 – 3 สัปดาห์ต่อมา การตรวจในลักษณะนี้อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการคลอดก่อนกำหนดได้
Week 13 ตอนนี้ความกว้างของมดลูกจะขยายออกไปกว่า 4 นิ้วแล้ว และเคลื่อนตัวจากบริเวณอุ้งเชิงกรานมาที่บริเวณท้อง มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น แต่อาการนี้จะหายไปได้เองเมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในระยะที่สองในการไปตรวจครรภ์ทุกครั้ง คุณหมอจะตรวจปัสสาวะให้กับคุณด้วยเพื่อตรวจเช็คระดับโปรตีน และน้ำตาลในปัสสาวะหรือสารเคมีที่เรียกว่า ‘คีโทน’ ทั้งสามชนิดสามารถบ่งบอกอาการของโรคครรภ์เป็นพิษโรคเบาหวาน และโรคครรภ์เป็นพิษโรคเบาหวาน และโรคที่เกี่ยวกับไต
Week 14 ขณะอวัยวะต่างๆของทารกกำลังพัฒนาในส่วนที่เป็นรายละเอียด บนใบหน้าของทารกก็เริ่มมีการเคลื่อนย้ายอวัยวะสำคัญๆเช่น ดวงตาเคลื่อนจากด้านข้างทั้งสองมาอยู่บนใบหน้า หูเคลื่อนจากด้านล่างขึ้นมาสู่ตำแหน่งปกติ ขณะนี้มดลูกของคุณจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอตรวจขนาดของมดลูก โดยการคลำหน้าท้องหาตำแหน่งของยอดมดลูก เพื่อเช็คดูขนาดของเด็กในท้อง คุณหมอจะสามารถประมาณวันครบกำหนดคลอดของคุณได้แม่นยำขึ้นจากการตรวจอัลตราซาวนด์
Week 15 ลูกน้อยของคุณจะเริ่มมีเส้นผมขึ้นเต็มศีรษะ และมีขนตาแล้ว ผิวของเขาบางใส สามารถมองเห็นทะลุเส้นเลือดที่กำลังพัฒนากล้ามเนื้อมีการทำงานที่ยืดหยุ่น ข้อมือ และข้อแขนงอ และกำมือได้แล้วในช่วงนี้คุณจะเริ่มทุเลาจากอาการแพ้ท้องแล้ว และเริ่มมีกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง คงเหลือไว้เพียงความรู้สึกปลาบปลื้มที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องเท่านั้น สำหรับคุณแม่บางท่านอาจมีอาการแพ้ท้องยืดออกไปจาก 3 เดือนแรกบ้าง แต่ถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ให้ช่วยวินิจฉัยดูเพราะบางทีอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่คุณนึกไม่ถึงได้
Week 16 ลูกของคุณมีขนาดเท่าฝ่ามือของคุณได้แล้วล่ะ ถึงตัวจิ๋วขนาดนั้นแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเริ่มพัฒนาการ เขาสามารถขยับใบหน้า อ้าปาก และขมวดคิ้วได้ประมาณสัปดาห์ที่ 11 – 16 คุณหมอทำการตรวจวัดความหนาของหน้าอกคอ ซึ่งเป็นการใช้อัลตราซาวนด์เช็คดูปริมาณของเหลวที่อยู่ด้วนหลังของทารก ผลที่จะได้นำไปคำนวณร่วมกับอายุ และระดับฮอร์โมนในเลือดของคุณ เพื่อเช็คดูความน่าจะเป็นในการเกิดโรคดาวน์ซินโดรมในทารกอีกครั้ง แต่ผลที่ได้จากการตรวจนี้ จะต้องนำไปวินิจฉัยร่วมกับการตรวจแบบ CVS และการตรวจเจาะถุงน้ำคร่ำด้วย
Week 18 ระบบภายในร่างกายของทารกหลายอย่าง เริ่มมีการทำงานขึ้นบ้างแล้ว กระดูกชิ้นเล็กๆในหูที่เป็นทางผ่านของเสียงเข้าสู่หูชั้นในแข็งขึ้น เซลล์สมองส่วนที่รับรู้และส่งสัญญาณจากหูกำลังพัฒนา ทำให้เขาสามารถได้ยินเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาได้แล้ว ในสัปดาห์นี้คุณหมอจะทำการตรวจเพื่อเช็คดูความสมบูรณ์ของทารกที่เรียกว่า AFP test (Alpha feto pretein) ซึ่งเป็นการตรวจหาระดับค่า AFP ในเลือด ถ้าหากมีค่าสูงมาก นั่นอาจหมายถึงว่าเด็กมีความสมบูรณ์ดีมาก หรือคุณได้ลูกแฝด แต่ถ้าค่า AFP ออกมาต่ำมาก อาจบอกถึงอาการของโรคกระดูกสันหลังไม่ปิด หรือดาวน์ซินโดรมได้ แต่ผลที่ได้จากการตรวจเจาะถุงน้ำคร่ำร่วมด้วย
Week19 หากผลการตรวจหาค่า AFP ออกมาต่ำ คุณจะต้องได้รับการตรวจเจาะถุงน้ำคร่ำอีกครั้ง เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมและอาการของโรคดาวน์ซินโดรม ในการตรวจลักษณะนี้อาจเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้แต่ไม่มากนัก เนื่องจากการตรวจคุณหมอจะต้องใช้เข็มเล็กๆเจาะผ่านผนังมดลูกเข้าไปดูดเอาน้ำคร่ำในรกออกมาทำการตรวจ ซึ่งนอกจากผลของค่า AFP ต่ำแล้ว หากพบว่าภายในครอบครัวของคุณมีคนที่เคยมีอาการผิดปกติของโครโมโซมเกิดขึ้น หรือถ้าคุณมีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปคุณหมอจะทำการตรวจในลักษณะนี้ให้เช่นกัน
Week20 เซลล์ประสาทภายในสมองกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ในสัปดาห์นี้ รกมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อมีน้ำหนักมากกว่า 1 ปอนด์อุดมไปด้วยโครงข่ายเส้นเลือด ส่วนหลอดเลือดของทารกขยายใหญ่ขึ้น จึงเหมาะกับการตรวจเจาะผ่านผนังช่องท้อง และสอดเข็มผ่านเส้นเลือดในสายสะดือที่อยู่ใกล้กับรกเพื่อนำเอาเลือดของเด็กมาทำการตรวจสอบหาความผิดปกติของโครโมโซมและอาการของโรคหัดเยอรมัน และโรคทอกโซพลาสโมซิส
Week 21 สมองของทารกกำลังพัฒนาเซลล์ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แก่ การได้กลิ่น ลิ้มรส การได้ฟัง ได้เห็น และการสัมผัส คุณจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกอย่างชัดเจนขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ การทำบันทึกจำนวนครั้งของการดิ้นของทารกในครรภ์เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่คุณสามารถตรวจเช็คสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วยคุณเอง หากคุณรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยดิ้น หรือไม่ดิ้นเลย ควรรีบบอกให้คุณหมอทราบทันที
Week22 ผิวทารกหนาขึ้นเป็น 4 ชั้น ต่อมพิเศษในร่างกายหลั่งไขเคลือบผิวที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งออกมาเพื่อปกป้องผิวบอบบาง ขณะที่ขนอ่อนยึดไขเคลือบผิวไว้ ในช่วงนี้น้ำหนักของคุณจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณควรเช็คระดับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคครรภ์เป็นพิษได้ โดยปกติคุณควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ ? - 1 กก. ต่อสัปดาห์ ตลอดการตั้งครรภ์คุณควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 6 – 19 กก. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนสูง และขนาดตัวของคุณเองด้วย
Week 23 เจ้าตัวน้อยมีเซลล์เม็ดเลือดแดงจำนวนมาก และเริ่มที่จะผลิตเม็ดเลือดขาว ส่วนตัวคุณเองก็ยังคงมีปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นต่อไป แต่ส่วนใหญ่ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นเป็นพลาสมา ซึ่งจะไปเจือจางเม็ดเลือดแดงทำให้คุณเกิดภาวะโลหิตจางซึ่งจะต่ำสุดในช่วงนี้และถือเป็นเรื่องปกติในหญิงตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่ควรประมาท คุณควรให้แพทย์ตรวจดูว่าร่างกายได้ธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ ที่จะไม่ทำให้ภาวะโลหิตจางเลวร้ายจนเข้าขั้นอันตรายได้
Week 24 ริมฝีปากของทารกเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในสัปดาห์นี้ มีปุ่มฟันโผล่ดุนเหงือกขึ้นมาเรียงเป็นแถว ส่วนตัวคุณเองน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่คงที่ และมีตกขาวมากขึ้นกว่าปกติ อย่าตกใจไป เพราะนั่นเป็นอิทธิผลของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ถ้าตกขาวมีสีสันแปลกๆ แถมมีกลิ่นด้วย อย่างนี้ต้องไปปรึกษาคุณหมอให้ช่วยตรวจเช็ค เพราะบางทีอาจมีสาเหตุมาจากการที่ช่องคลอดติดเชื้อ ซึ่งถ้าปล่อยไว้จนอักเสบมากอาจส่งผลให้คุณต้องคลอดก่อนกำหนดได้
Week 25 เส้นเลือดในปอดของลูกคุณกำลังพัฒนาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการหายใจด้วยตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้เขายังอาศัยออกซิเจนจากคุณอยู่ จนกว่าจะคลอดออกมา อาหารเสริมของเขาในช่วงนี้ ของเหลวในน้ำคร่ำ เขาชอบที่จะกลืนและขับถ่ายน้ำคร่ำในรกและสะอึกบ้างในบางครั้ง ช่วงปลายสัปดาห์ มดลูกของคุณจะหดรัดตัวเพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการเจ็บท้องคลอด คุณอาจรู้สึกว่าหน้าท้องมีก้อนแข็งนูนขึ้นมาเป็นระยะๆโดยไม่มีอาการเจ็บปวดและท้องขยายใหญ่มากอาจเป็นอาการลอกตัวก่อนกำหนดได้ คุณควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากช้า อาจทำให้ลูกของคุณขาดออกซิเจนจนเป็นอันตรายต่อสมอง และอาจถึงชีวิตได้
Week 26 ปอดของหนูน้อยเริ่มขยับ ขึ้น – ลง คล้ายกับว่าเขากำลังหายใจด้วยตัวเองแล้ว แต่ความจริงแล้วเป็นการซ้อมทำหน้าที่ของปอดเท่านั้น ทันทีที่หัวใจของทารกเริ่มเต้น คุณหมอจะตรวจดูจังหวะการเต้นว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งนอกจากการตรวจโดยใช้ฟังเสียงหัวใจทารกเต้นแล้ว คุณหมอก็จะทำการอัลตราซาวนด์เพื่อดูพัฒนาการของกล้ามเนื้อหัวใจในเด็กด้วย
Week 27 ลูกของคุณลืมตาขึ้นได้แล้วในสัปดาห์นี้ อวัยวะทุกอย่างของเขามีการทำงานเกือบสมบูรณ์แล้ว ถ้าต้องคลอดออกมาเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ การดูแลเป็นพิเศษจากหมอ ช่วงนี้คุณอาจมีความดันเลือดสูงขึ้นเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าน้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด เพราะสายตาพร่ามัว มือและเท้าบวม ลามมาถึงหน้า และคอ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นโรคของครรภ์เป็นพิษได้
Week 28 ช่องต่างๆในสมองของทารกพัฒนาพัฒนามากขึ้น ขณะที่เนื้อเยื่อต่างๆเพิ่มเป็นจำนวนมากนับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป คุณหมอจะเริ่มนัดคุณถี่ขึ้นเป็นทุกๆ 2 สัปดาห์ คุณหมอจะทดสอบภาวะในร่างกายหลายอย่างด้วยกัน เช่น การวัดระดับธาตุเหล็ก และกลูโคสในร่างกาย ถ้าผลการทดสอบภาวะในร่างกายหลายอย่างด้วยกัน เช่น การวัดระดับธาตุเหล็ก และกลูโคสในร่างกาย ถ้าผลการทดสอบภาวะในร่างกายหลายอย่างด้วยกัน เช่น การวัดระดับธาตุเหล็ก และกลูโคสในร่างกาย ถ้าผลการทดสอบออกมาเป็นลบคุณหมอจะตรวจสอบดูว่าภูมิต้านทานในร่างกายของคุณสร้างปฏิกิริยาต่อต้านกับกระเลือดของทารกหรือไม่ ปฏิกิริยาดังกล่าวจะมีผลต่อการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป ซึ่งจะทำให้ทารกคนต่อไปเป็นโรคตัวเหลือง ดีซ่าน และโรคโลหิตจางได้
Week 29 ถ้าลูกของคุณยังไม่ลืมตาในสัปดาห์นี้เขาควรจะลืมตาได้แล้ว เล็บของเขาขึ้นมาเป็นปุ่มให้เห็น ชั้นไขมันก่อตัวขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในโลกภายนอก มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจนไปเบียดทับกระเพปัสสาวะ ทำให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น หากมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย หรือมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัวคุณควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้ ในการตรวจ คุณหมอจะเจาะเลือดของคุณในขณะที่ผ่านการงดอาหารมา จากนั้นจะให้คุณดื่มน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม และเจาะเลือดอีก 3 ครั้ง ห่างกันทุก 1 ชั่วโมง ถ้ามีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงผิดปกติก็คือว่าเป็นเบาหวานคุณจะต้องได้รับการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด
Week 30 สมองของลูกน้อยของคุณกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หัวของเขายังคงมีขนาดใหญ่พอสำหรับการเติบโต ในสัปดาห์นี้คุณหมออาจสแกนให้คุณดูว่าภายในสมองของเจ้าตัวน้อยจะตอบรับการสัมผัสได้ดีเพียงใด ถ้าหากคุณหมอฉายไฟส่องไปที่ท้อง แล้วลูกคุณหันศีรษะไปตามแสงไฟที่ส่องมา ก็แสดงว่าประสาทตาของเขาเริ่มทำงานแล้วนั่นเอง
Week 31 เครือข่ายเนื้อเยื่อในถุงลมปอดพัฒนาขึ้น และหลั่งสารที่ช่วยป้องกันไม่ให้ถุงล้มเหลวในการใช้งานเมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว เลือดประมาณ 16 ออนซ์จะไหลเข้าไปผนังมดลูกบริเวณรกเส้นเลือดของคุณแม่จะอยู่ใกล้กับเส้นเลือดของทารก โดยมีเยื่อบางๆเป็นผนังกั้นไว้ ป้องกันไม่ให้เลือดของแม่ผสมปนกับเลือดของทารกหากคุณหมอตรวจพบว่าคุณมีเลือดเป็นอาร์เอชลบ คุณหมอจะแดยาแอนตี้บอดี้ (anti – D gammaglobulin) ให้กับคุณเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดอันตรายใดๆกับลูกน้อยของคุณ และจะฉีดให้กับลูกน้อยของคุณ และจะฉีดให้กับลูกของคุณอีกครั้ง ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่เขาคลอดออกมา
Week 32 ตอนนี้ลูกของคุณกำลังอยู่ในท่ากลับหัวลงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะคลอดแล้ว อวัยวะต่างๆของเขาเติบโตขึ้นผิวนับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป คุณหมอจะเริ่มนับนัดคุณถี่ขึ้นเป็นทุก 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจสุขภาพของคุณ และลูกในท้องอย่างใกล้ชิด คุณควรให้คุณหมอช่วยตรวจดูว่าภาวะโลหิตจางในตัวคุณเริ่มลดลงหรือยัง ถ้าลดลงแล้ว คุณควรเลิกรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้อาการริดสีดวงทวารของคุณเป็นมากขึ้น
Week 33 ผมที่ศีรษะของเจ้าหนูน้อยหนาขึ้นสีผมในช่วงนี้อาจเปลี่ยนไป เมื่อทารกโตขึ้น ขณะเดียวกัน ขนอ่อนตามส่วนต่างๆจะหลุดร่วงไปเกือบหมด และสร้างผมชุดใหม่ที่หนาขึ้นปกคลุมไขเคลือบผิวหนัง สำหรับคุณมดลูกจะหดรัดตัวเป็นก้อนแข็งนูนเป็นจังหวะสม่ำเสมอคุณจะรู้สึกเกร็งที่ยอดมดลูกและค่อยๆคลายตัวลงมา หากมีของเหลวไหลออกมาด้วย คุณต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
Week 34 ลูกของคุณอยู่ในท่ากลับหัวและเตรียมพร้อมที่จะออกมาดูโลกแล้ว ต่อมหมวกไตของเขาจะผลิตฮอร์โมนสเตียรอยด์มากขึ้นเป็น 10 เท่า หากมีแนวโน้มว่าทารกมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนด คุณหมอจะเจาะกรวดน้ำคร่ำ เพื่อทดสอบความเจริญเต็มที่ของปอดหากพบว่าปอดยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่คุณหมอจะฉีดยาเร่ง เพื่อขยายการเติบโตในปอดของทารก
Week 35 กระดูกสันหลังของยังอ่อนบาง และมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะหลุดออกมาสู่โลกภายนอก ในช่วงใกล้คลอด คุณไม่ควรเดินทางไปไหนไกลๆแต่ถ้าหากมีเหตุจำเป็นให้ต้องเดินทางจริงๆควรพกพาสมุดบันทึกประวัติสุขภาพครรภ์ไปด้วย (คุณหมอจะต้องทำการบันทึกไว้ทุกครั้งที่คุณไปตรวจตามนัด) เพื่อที่ว่า หากคุณเกิดไปเจ็บท้องคลอดกะทันหันที่ไหน สูติแพทย์ที่อยู่บริเวณนั้นจะได้ให้การช่วยเหลือคุณได้ถูกต้อง
Week 36 คุณสังเกตได้ว่าลูกของคุณในช่วงนี้เริ่มดิ้นน้อยลง นั่นเพราะตอนนี้เขามีขนาดลำตัวที่ใหญ่จนเต็มพื้นที่ภายในช่องท้องของคุณ และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกอีกต่อไป ในช่วงนี้คุณหมอจะนัดคุณถี่ขึ้นทุกสัปดาห์เพื่อเตรียมแผนการคลอดและการเลี้ยงทารกแรกเกิด และให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างช่วงการเบ่งท้องคลอด
Week 37 ตอนนี้ลูกของคุณพร้อมที่จะออกมาดูโลกได้ทุกขณะ แต่ถ้าปากมดลูกยังไม่เปิดเขาก็ยังจะเจริญเติบโตขึ้นภายในมดลูกได้อีกต่อไปจนครบ 40 สัปดาห์ ระหว่างสัปดาห์นี้ ลูกของคุณกำลังหย่อนศีรษะลงมาถึงบริเวณกระดูกอุ้งเชิงกรานแล้ว ช่วงนี้คุณหมอจะตรวจดูว่าปากมดลูกใกล้ที่จะเปิดหรือยัง มีความหนามากเกินไปหรือไม่ และเด็กอยู่ในท่าไหน และตำแหน่งไหนแล้ว
Week 38 ไขเคลือบผิวของทารกจะลอกออกมาปะปนอยู่กับถุงน้ำคร่ำที่ทารกกลืนเข้าไป และขับออกมาเป็นของเสียขณะเดียวกันร่างกายของทารกก็จะขับของเสียออกมาที่ลำไส้ทำให้เมื่อคลอดออกมาทารกจะมีเมือกสีเขียวเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วตัว ถ้าลูกของคุณเป็นผู้ชาย ลูกอัณฑะของเขาจะเลื่อนลงมาอยู่ที่ถุงอัณฑะในช่วงนี้ เมื่อทารกคลอดออกมา แพทย์จะตรวจสอบอวัยวะส่วนนี้
Week 39 สารแอนตี้บอดี้ในร่างกายของคุณแม่จำนวนเล็กน้อยอาจซึมผ่านผนังกั้นรก และเข้าสู่ในกระแสเลือด ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรคชั่วคราว และจะหายไปภายใน 6 เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันของทารกจะเจริญเต็มที่คุณหมอจะให้คำแนะนำกับคุณถึงอาการหดรัดตัวของมดลูกแรงขึ้น เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายเป็นจังหวะสม่ำเสมอและบ่อยครั้ง ถุงน้ำคร่ำแตก และมีของเหลวไหลออกมาพร้อมกับเลือด คุณควรรีบไปโรงพยาบาลได้เลย
Week 40 สิ่งสุดท้ายที่คุณไม่ควรลืมที่จะตรวจเช็คสภาพให้แน่นอนนั่นคือ ความพร้อมที่จะทำหน้าที่ “แม่” คุณหมออาจตรวจดูสภาพร่างกายของคุณและลูกพร้อมให้การรักษา และคำแนะนำดีๆในการดูแลที่ถูกต้อง แต่สำหรับความเป็นแม่แล้ว คงไม่มีใครจะบอกคุณได้ถึงความพร้อม
ขอบคุณภาพจาก .com
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 17:23:39 น. |
| |
Counter : 488 Pageviews. |
| |
|
|
|
การแท้งบุตร
การแท้งบุตรตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก การแท้งบุตรคือการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ หรือเมื่อเด็กมีน้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม การที่ใช้น้ำหนัก 1,000 กรัมเป็นเกณฑ์เพราะเราถือว่า โดยทั่วไปเด็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัมจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หลักเกณฑ์ของการแท้งบุตรอาจแตกต่างจากนี้ เพราะเขาสามารถเลี้ยงเด็กให้รอดได้ตั้งแต่เด็กมีน้ำหนักเพียง 500 กรัม ซึ่งเท่ากับการตั้งครรภ์เพียง 20 สัปดาห์ ดังนั้นการแท้งบุตรของเขาจึงหมายถึงการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ก่อนครรภ์อายุ 20 สัปดาห์ หรือเมื่อเด็กมีน้ำหนักต่ำกว่า 500 กรัม การแท้งบุตรแบ่งออกเป็น 2 จำพวก คือ การแท้งเอง และการแท้งจากการกระทำหรือการทำแท้ง ซึ่งอาจกระทำเพื่อการรักษาหรือกระทำโดยผิดกฎหมาย การแท้งบุตรอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อุบัติการณ์ของการแท้งบุตรเองเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 20 - 30 ของการตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะบอกตัวเลขได้แน่นอน เพราะว่าถ้ามีการตกเลือดหลังจากประจำเดือนขาดไปเพียง 2 - 3 สัปดาห์ อาจบอกได้ยากว่าเป็นการแท้งบุตร การแท้งเองตามธรรมชาติร้อยละ 80 เกิดในระหว่างเดือนที่ 2 และที่ 3 ของการตั้งครรภ์ และการแท้งบุตรระยะนี้ทั้งเด็กและรกจะออกมาพร้อมกันแต่ถ้าการแท้งบุตรเกิดในระยะหลัง 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ไปแล้วกระบวนการก็เหมือนการคลอด คือจะมีอาการปวดท้อง ถุงน้ำทูนหัวแตก แล้วทารกก็คลอด การแท้งบุตรเป็นกระบวนการ การแท้งบุตรจะเริ่มโดยมีเลือดออกทางช่องคลอด เพราะรกลอกตัวจากผนังมดลูก มีอาการปวดท้องหรือปวดหลังเนื่องจากมดลูกรัดตัว ปากมดลูกเปิด และเด็กกับรกจะถูกขับออกมา การแท้งบุตรตามธรรมชาติมีลักษณะทางคลินิกหลายอย่าง ขึ้นกับระยะของกระบวนการแท้งบุตร ได้แก่ - "การแท้งคุกคาม" (Threaten abortion) หมายถึง มีการตกเลือดและปวดท้องเพราะมดลูกรัดตัว แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด และเด็กยังไม่ออกจากมดลูก - "การแท้งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" (Inevitable abortion) คือระยะหลังจากมีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดท้อง และปากมดลูกเริ่มเปิด ทำให้การแท้งจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ - "การแท้งครบ" (Complete abortion) คือ กระบวนการที่กล่าวข้างต้นร่วมกับที่เด็กและรกถูกขับออกมาด้วย แต่ถ้าเด็กออกมาโดยที่รกยังค้างอยู่ เรียกว่า "การแท้งไม่ครบ" (Incomplete abortion) หรือกรณีที่ทารกตายในครรภ์ แต่ไม่ถูกขับออกมาก็เรียกว่า "การแท้งค้าง" (Missed abortion) ในบางครั้งอาจมีสภาวะแทรกซ้อนของการแท้งบุตรเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ จึงเรียกว่า "การแท้งติดเชื้อ" ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีที่มีการทำแท้งโดยผิดกฎหมาย (Criminal abortion) และหญิงบางคนอาจแท้งบุตรติดต่อกันถึง 3 ครั้งขึ้นไป เรียกว่า "การแท้งเป็นอาจิณ" หรือ "การแท้งเป็นนิสัย" (Habitual abortion) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการแท้งบุตร การแท้งบุตรอาจเกิดจากการที่เด็กเสียชีวิตหรือมีการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีความผิดปกติในตัวเด็ก เช่น มีความผิดปกติของโครโมโซม หรือมีความพิการ บางครั้งเด็กอาจได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ซึ่งเกิดจากการที่รกทำงานไม่ดี หรือจากความผิดปกติของสายสะดือ เช่น สายสะดือพันกันหรือผูกเป็นปมรวมทั้งการที่บางส่วนของรกลอกตัวจากผนังมดลูก ก็ทำให้เลือดมาเลี้ยงทารกน้อยลง บางกรณีเลือดแม่กับเลือดลูกอาจเข้ากันไม่ได้ หรือเด็กได้รับสารมีพิษหรือยาบางอย่าง เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ก็อาจทำให้เกิดการแท้งได้ การอักเสบ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อซิฟิลิส เชื้อท็อกโซพลาสมา (Toxoplasma) และไวรัส รวมทั้งการที่แม่มีไข้สูง ก็อาจทำให้ทารกเสียชีวิต โรคเบาหวานและโรคของต่อมไทรอยด์ก็อาจทำให้แท้งบุตรได้เช่นกัน ความผิดปกติที่มีมดลูก หรือการที่แม่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเตรียมมดลูกให้พร้อมที่จะรับการตั้งครรภ์ ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้มดลูกรัดตัว เช่น การตกใจอุบัติเหตุหรือได้รับการผ่าตัดก็อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์ นอกจากนั้น การที่หูรูดของปากมดลูกไม่แข็งแรงเพราะฉีกขาดจากการคลอดครั้งที่แล้วหรือการขูดมดลูก ก็จะทำให้ปากมดลูกเปิดอ้า ไม่สามารถเก็บทารกไว้ภายในได้ สำหรับการแท้งเป็นอาจิณหรือการแท้งเป็นนิสัยเกิดจากระดับฮอร์โมนเพศต่ำ การติดเชื้อ เช่น เชื้อซิฟิลิสหรือท็อกโซพลาสมาเลือดแม่กับเลือดลูกเข้ากันไม่ได้ ความผิดปกติของมดลูกแต่กำเนิดหรือรูรูดของปากมดลูกฉีกขาด เนื่องจากสาเหตุของการแท้งบุตรมีมากมายดังที่กล่าวแล้ว และการแท้งบุตรในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดจากหลายปัจจัย ดังนั้นถ้าไม่มีการตรวจเป็นพิเศษ เรามักจะไม่ทราบสาเหตุของการแท้งบุตรที่แท้จริงในผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาแตกต่างกันตามประเภทของการแท้งบุตร วิธีการรักษาขึ้นกับระยะของการแท้งบุตร ในกรณีที่มีการแท้งคุกคาม หญิงมีครรภ์จะต้องพักและได้รับการรักษาด้วยยาที่ทำให้มดลูกคลายตัว รวมทั้งอาจต้องใช้ยากล่อมประสาทร่วมด้วย การร่วมเพศในระยะนี้จำเป็นต้องงดชั่วคราว เพราะอาจกระทบกระเทือนต่อมดลูก และในระหว่างการรักษาต้องตรวจปัสสาวะเป็นระยะๆ เพื่อดูว่าการตั้งครรภ์ยังดำเนินไปด้วยดีหรือไม่ การรักษาด้วยยาฮอร์โมนชนิดฉีดอาจช่วยให้การแท้งคุกคามดีขึ้นและการตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปได้ ในกรณีที่ปากมดลูกและถุงน้ำทูนหัวแตกแล้ว มดลูกจะรัดตัวเพื่อขับเด็กออกมา ซึ่งเรียกว่า "การแท้งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" การรักษาในระยะนี้จำเป็นต้องใช้ยาเร่งมดลูกให้ขับเด็กออกมาและขูดมดลูกเสีย เพราะถ้าทิ้งไว้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดและตกเลือด การขูดมดลูกอย่างรีบด่วน เพราะถ้าภายในมดลูกยังมีเศษของรกติดค้างอยู่ อาการตกเลือดจะไม่ดีขึ้น ทั้งยังอาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อตามมาอีกด้วย ส่วนกรณีที่เป็น "แท้งค้าง" เมื่อวินิจฉัยแน่นอนว่าทารกในครรภ์เสียชีวิตแล้วจากการตรวจการเต้นของหัวใจเด็กด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวนด์) แพทย์ก็จะขูดมดลูกให้โดยเร็วเช่นกัน เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ถ้าการแท้งบุตรเกิดจากหูรูดของปากมดลูกไม่สมบูรณ์ แพทย์จะผ่าตัดเย็บปากมดลูกเพื่อเสริมให้หูรูดแข็งแรงและเก็บทารกไว้ได้ เมื่อครรภ์ใกล้ครบกำหนด แพทย์จึงจะตัดไหมหรือด้ายที่ผูกนั้นออก เพื่อให้การเจ็บครรภ์และการคลอดดำเนินไปตามปกติ ลูกเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดของพ่อแม่ การแท้งบุตรจึงเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของมนุษย์ นอกจากนั้นการแท้งยังมีผลกระทบต่อสุขภาพ หญิงมีครรภ์จึงควรศึกษาและทำความเข้าใจปรากฎการณ์นี้ให้ถ่องแท้ เพื่อจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 17:12:42 น. |
| |
Counter : 621 Pageviews. |
| |
|
|
|
สารพัดนม ที่คุณแม่ควรรู้
สารพัดนม ที่คุณแม่ควรรู้นมเป็นอาหารสำคัญสำหรับตัวอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต เป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญได้แก่ โปรตีน ไขมัน น้ำตาลแลคโตส วิตามินและเกลือแร่ นมวัวหรือนมโคซึ่งนิยมนำมาบริโภคมีสารอาหารที่สำคัญได้แก่ น้ำประมาณ 87% น้ำมันเนย (milk fat) 4% น้ำตาลแลคโตส 4% โปรตีน 3% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเคซีน (casein) และเถ้า 0.7% เกลือแร่ที่มีมากในนมคือ แคลเซียมและฟอสฟอรัส นมเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ ดี และบีสอง
1. นมสดพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized Milk) คือนมสดที่ผ่านกรรมวิธีการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 63 องศาเซลเซียส และไม่น้อยกว่า 30 นาที แล้วทำให้เย็นลงทันทีที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ความร้อนและเวลาที่ใช้นี้พอสำหรับฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเท่านั้น แต่ไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ทั้งหมดในนมได้ ดังนั้นนมพาสเจอร์ไรซ์จึงมีอายุการเก็บรักษาสั้นเพียงประมาณ 7 วัน และต้องเก็บในที่เย็นเท่านั้น (อุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียสตลอดเวลา เพราะหากเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม จะมีจำนวนเชื้อโรคหรือแบคทีเรียเจริญขึ้น ในจำนวนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้)
2. นมสดสเตอร์รีไรซ์ (Sterilized Milk) คือนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 140 องศาเซลเซียส เป็นเวลาไม่เกิน 15 นาที แล้วทำให้เย็นลงทันทีที่อุณหภูมิไม่เกิน 80 องศาเซลเซียส และบรรจุลงในกระป๋องที่ฆ่าเชื้อแล้ว วิธีนี้จะทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในนมได้ทั้งหมด แต่จะทำให้วิตามินที่สำคัญบางตัว เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 สูญเสียไปด้วย ดังนั้นนมสดสเตอร์รีไรซ์จึงไม่เหมาะกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และห้ามใช้เลี้ยงทารก เพราะจะทำให้เด็กเป็นโรคขาดสารอาหารได้ นมชนิดนี้สามารถเก็บไว้ได้นาน 1-2 ปี เวลาที่ซื้อนมควรสังเกตดูวันที่ผลิตและวันที่หมดอายุของนมให้ดี และหลังจากที่เปิดใช้แล้ว ควรเก็บนมไว้ในที่เย็น เพื่อที่นมจะได้ไม่เสื่อมคุณภาพแล้ว
3. นม ยู เอช ที (U.H.T-Ultra High Temperature Milk) คือนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงเพื่อฆ่าจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำนมทั้งหมด ระดับความร้อนที่ใช้มีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 133 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-3 วินาที เพื่อรักษากลิ่นและรสชาติของนม รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในนมให้ยังคงอยู่ สามารถเก็บรักษานมชนิดนี้ได้ที่อุณหภูมิห้องธรรมดาโดยที่ไม่ต้องแช่เย็น และสามารถเก็บรักษานมไว้ได้นานถึง 6 เดือน ดังนั้นการเลือกซื้อควรดูวันผลิตและวันที่หมดอายุของนม เพื่อที่จะได้นมที่ผลิตมาใหม่ๆ เสมอ
4. นมพร่องมันเนย (Low Fat) คือนมสดที่รีดมาจากแม่วัวและแยกเอามันเนยบางส่วนออก นมพร่องมันเนย เป็นนมที่แยกเอาไขมันส่วนใหญ่ออกไป เหลือไขมันประมาณ 0.05-0.1 ไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก คุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน
5. นมสดขาดมันเนย (Skim Milk) คือนมสดที่รีดมาจากแม่วัวและแยกมันเนยออกเกือบหมด หรือที่เรียกว่า หางนม คือนมที่ถูกดึงไขมันออกไปทำเนย น้ำนมที่เหลือเรียกว่านมขาดมันเนย
6. นมเปรี้ยว (Cultured Milk หรือ Yogurt) เป็นนมที่หมักจากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์โดยจุลินทรีย์นั้นจะหมักทำให้นมมีค่า pH 0.75-0.8 ของกรดแลคติก และทำให้น้ำตาลแลคโตสที่เป็นองค์ประกอบของนมแตกตัว ทำให้ย่อยง่าย อาจมีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส ด้วยความเปรี้ยวของนมนอกจากยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแล้ว ยังทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคได้หลายชนิด ดังนั้นคนที่ดื่มนมแล้วท้องเสียจึงควรมาดื่มนมเปรี้ยวแทน นมชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดื่มนมไม่ได้เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อน้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance) สามารถบริโภคนมเปรี้ยวได้ไม่มีปัญหาท้องเสียหรือเกิดก๊าซ เพราะน้ำตาลแลคโตสในนมถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก การบริโภคนมเปรี้ยวนอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่ในนมแล้ว นมเปรี้ยวนั้นยังผ่านการฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์ หรือบรรจุแบบปลอดเชื้อ ผู้บริโภคก็จะได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ด้วย เรียกผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ (probiltics) ซึ่งมีข้อมูลยืนยันว่าจุลินทรีย์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือช่วยสร้างสภาวะเป็นกรดในทางเดินอาหาร ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเจริญและเพิ่มจำนวน นอกจากนั้นสารบางชนิดที่สร้างโดยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ยังมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้อีกด้วย แต่ถ้าผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยระบบยูเอชที ผู้บริโภคก็จะได้รับเพียงสารอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในนมเปรี้ยว แต่จะไม่ได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่ยังมีชีวิตเข้าไปด้วย ถ้ามีการนำนมเปรี้ยวมาเจือจางด้วยน้ำนมพร่องไขมันแต่งด้วยสีหรือกลิ่นต่างๆ หรือเติมน้ำผลไม้เพื่อทำให้เป็นนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม (drinking yogurt) ผู้บริโภคจะได้รับปริมาณโปรตีนลดลง เพราะถูกเจือจางด้วยน้ำ และได้รับน้ำตาลทรายเพราะมีการเติมน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานนำรสเปรี้ยว ปัจจุบันนมเปรี้ยวพร้อมดื่มเป็นผลิตภัณฑ์นมที่ได้รับความนิยมเพราะมีรสชาติที่อร่อย
7. นมคืนรูป (Reconstituted Milk หรือ Recombined Milk) คือนมที่ทำมาจากการนำส่วนประกอบที่สำคัญของนม เช่น นมผงหรือนมผงพร่องมันเนย น้ำมันเนย มารวมกับน้ำ โฮโมจิไนซ์ให้เป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะคล้ายนมสด ได้เป็นผลิตภัณฑ์นมคืนรูป และนำมาแปรรูปต่อเป็นนมข้นหวานหรือนมข้นจืด อาจมีการใช้ไขมันอื่นแทนน้ำมันเนย เช่นน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เป็นต้น ได้เป็นนมคืนรูปแปลงไขมันเป็นการลดต้นทุนการผลิต แต่ต้องระบุฉลากให้ผู้บริโภคทราบ
8. นมข้นหวาน (Sweetened Condensed Milk) เป็นนมที่มีน้ำน้อยกว่าที่มีอยู่ในน้ำนมดิบและมีการเติมน้ำตาลทรายเพื่อให้มีความหวานมาก มักนิยมใช้ชงเครื่องดื่มต่างๆ ปริมาณน้ำตาลในนมข้นหวานประมาณ 47-56% ทำให้นมข้นหวานไม่เสื่อมเสียง่ายแม้เก็บที่อุณหภูมิห้อง การผลิตนมข้นนั้นอาจใช้วิธีนำน้ำนมดิบมาระเหยน้ำออกไปบางส่วนหรืออาจใช้นมผงพร่องมันเนยผสมน้ำ เติมน้ำมันเนยหรือน้ำมันพืชแล้วไปผ่านกระบวนการ ทำให้เป็นเนื้อเดียวกันที่เรียกการโฮโมจิไนซ์ (hormogenization) และปรับมาตรฐานให้มีปริมาณน้ำในผลิตภัณฑ์ตามต้องการ ห้ามใช้นมข้นหวานเลี้ยงทารกเพราะนอกจากมีน้ำตาลมากแล้วจะมีสารอาหารอื่นๆ อยู่น้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของทารก
9. นมข้นจืดหรือนมข้นไม่หวาน (Unsweetened Condensed Milk) หรือนมข้นแปลงไขมันไม่หวาน มักบรรจุในกระป๋องและฆ่าเชื้อแบบสเตอริไรซ์ เพื่อให้มีอายุการเก็บนาน นมชนิดนี้ใช้สำหรับทำอาหารหรือขนมอบหรือใช้ใส่ในชา กาแฟ เป็นต้น
10. นมผง (Dried or Powder Milk) เป็นนมที่ผ่านการระเหยเอาน้ำออกด้วยกรรมวิธีต่างๆ จนได้เป็นนมผง เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อาจแบ่งตามปริมาณไขมันเป็นนมผงธรรมดา (มีไขมันไม่น้อยกว่า 26%) นมผงพร่องมันเนย (มีไขมันประมาณ 1.5-26%) และนมผงขาดมันเนย (มีไขมันน้อยกว่า 1.5%) หรืออาจแบ่งตามการใช้เลี้ยงทารกเป็นดังนี้คือ
11. นมผงดัดแปลง (Humanized Milk หรือ Modified Milk) เป็นนมผงสำหรับใช้เลี้ยงทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เนื่องจากปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ในนมโคผงสูงเกินไปสำหรับทารกจึงต้องมีการดัดแปลงให้มีสารอาหารต่างๆ ใกล้เคียงนมมารดามากที่สุด หรืออาจมีการเสริมสารอาหารบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อทารกให้มากกว่าที่มีปกติในนมารดา ผู้บริโภคจึงควรขอความรู้จากกุมารแพทย์เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้ถูกต้อง
12. นมผงครบส่วน (Whole Milk) เป็นนมโคที่มีการระเหยน้ำออก โดยไม่ต้องปรับปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ให้ลดลง เพราะใช้สำหรับทารกอายุเกิน 6 เดือน และในเด็กโต เมื่อละลายน้ำตามสัดส่วนที่ถูกต้องจะได้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงน้ำนมวัว
13. เนยแข็ง (cheese) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ครีม บัตเตอร์มิลค์ (Butter Milk) หรือเวย์ (Whey) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างมาผสมกับเอ็นไซม์หรือกรด หรือจุลินทรีย์จนเกิดการรวมตัวเป็นก้อน แล้วแยกส่วนที่เป็นน้ำออก นำมาใช้ในลักษณะสดหรือนำไปบ่มให้ได้ที่ก่อนใช้ เนยแข็งเหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีนและแคลเซียม
14. ครีม (cream) คือไขมันที่ได้จากการปั่นแยกจากน้ำนม และมีไขมันนมเป็นส่วนประกอบสำคัญ มี 3 ประเภทคือ ครีมแท้ ครีมผสม และครีมเทียม นิยมใช้ในเครื่องดื่มและผลิ ตภัณฑ์ขนมอบ เป็นต้น
15. เนย (Butter) คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากครีมซึ่งผ่านกรรมวิธีการผลิตและอาจเติมวิตามิน หรือสารที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิต เช่น เกลือ วิตามินดี และเบต้าแคโรตีน เพื่อปรุงแต่งรสชาติและสี เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการปั่นแยกไขมันนมให้มีน้ำอยู่ในปริมาณต่ำ คือไม่เกิน 16% และมีไขมันไม่น้อยกว่า 80% หากมีการลดความชื้นจนต่ำกว่า 1% จะได้น้ำมันเนย (Butter Oil) ซึ่งนิยมใช้เป็นวัตถุดิบผสมกับนมพร่องไขมันในการทำผลิตภัณฑ์นมคืนรูป เนื่องจากไขมันในนมมีกรดไขมันสายสั้นปริมาณมากทำให้เนยมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าและหืนได้ง่าย จึงควรเก็บในตู้เย็นถ้าต้องการให้เป็นก้อนและไม่ให้หืนเร็ว
16. ไอศกรีม (Ice Cream) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำ อากาศ โปรตีน น้ำตาล และไขมัน ได้จากการปั่นส่วนประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันที่อุณหภูมิต่ำจนน้ำในส่วนประกอบเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง ไขมันที่ใช้ทำอาจเป็นไขมันอื่นๆ แทนน้ำมันเนยได้ มีการเติมสารปรุงแต่ง สี กลิ่นรส และสารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier) ช่วยรักษาความคงตัวของอิมัลชั่นและฟองอากาศในไอศกรีม
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 17:01:47 น. |
| |
Counter : 406 Pageviews. |
| |
|
|
|
คุยกับลูกในท้อง
คุยกับลูกในท้องเป็นธรรมดาค่ะ เมื่อเป็นคุณแม่มือใหม่ทั้งที่ก็ยอมต้องสรรหาสารพัดวิธีมาบำรุงครรภ์เพื่อลูกและการลูบไล้สัมผัส เจ้าตัวเล็กผ่านผนังท้องก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เค้าเติบโตอย่างมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งความรัก ความผูกพัน และความฉลาด ซึ่งเรื่องนี้มีการวิจัยมาแล้วในหลายๆประเทศนะคะเราเลยรวบรวมมาให้คุณแม่ทดสอบดูค่ะ เตรียมตัวก่อนทักทายอย่างแรกเลย คุณแม่ก็ทำใจสบายๆนะคะ เอาความเครียด ความกังวลทิ้งไปก่อนจากนั้นก็ปิดโทรศัพท์มือถือเสีย จะได้ไม่มีใครโทรมารบกวน อะไรที่ทำค้างไว้ก็หยุดเสียก่อน แล้วเลือกสมเสื้อผ้าสบายๆแล้วนั่งบนพื้นนิ่มๆให้ท่าที่สะดวกสบายที่สุด อาจหาหมอนรองไว้ที่ใต้เข่าเพื่อช่วยหนุนให้เลือดลมไหลเวียนดียิ่งขึ้น แล้วเปิดเพลงเบาๆอย่างเพลงคลาสสิก พร้อมกับฉีดสเปรย์แต่งกลิ่นห้องให้สดชื่นจะได้รู้สึกแจ่มใส 1.นวดสื่อภาษารักให้คุณแม่ผสมเบบี้ออยส์กับแป้งฝุ่นบนฝ่ามือ แล้วลูบไล้ไปที่หน้าท้องในทิศทางตามเข็มนาฬิกา พยายามนวดอย่างเบามือ แต่ไม่ต้องถึงกับเกร็ง ไม่ต้องกลัวว่าทารกจะเป็นอันตรายนะคะ เพราะในครรภ์มีน้ำคร่ำที่ช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนให้เค้าอยู่แล้ว เมื่อนวดไปสักพัก คุณแม่รู้สึกได้ค่ะว่าทารกน้อยกำลังดิ้นเบาๆตอบมา นั่นแสดงว่าเค้ารับรู้ได้ถึงแรงกระตุ้นที่คุณแม่ส่งไปหาเค้าค่ะ 2.พูดคุยกับลูกผ่านผนังท้อง แม้ว่าทารกน้อยจะยังอยู่ในท้อง แต่เค้าก็ได้ยินเสียงของคุณแม่นะคะ ซึ่งเรื่องนี้มีการวิจัยกันมา ดังนั้นแล้ว คุณแม่ลองทักทายเค้าด้วยการเรียกชื่อดูสิคะ ไม่ก็ใช้คำที่ต้องใช้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน เช่นสวัสดี พ่อรักลูกนะ แม่รักลูกนะเป็นต้น แรงสั่นสะเทือนของเส้นเสียงจะค่อยๆซึมผ่านผนังหน้าท้อง น้ำคร่ำ แล้วมายังทารก ซึ่งมีรายงานว่า นั่นจะช่วยให้ทารก ซึ่งมีรายงานว่า นั่นจะช่วยให้ทารกคุ้นเคยกับคำต่างๆและมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้นเมื่อเติบใหญ่ค่ะ 3.ให้ลูกฟังเพลงเบาๆขณะสัมผัสเขาผ่านผนังหน้าท้องคุณแม่ก็อย่าลืมเปิดเพลงให้เค้าฟังไปด้วยนะคะ เรื่องนี้ได้รับการส่งเสริมจากหลายสถาบันทีเดียวว่าเป็นการช่วยพัฒนาทั้งความฉลาดและอารมณ์ของทารกได้มาก เพียงแต่ต้องเลือกแนวเพลงหน่อย อย่างเพลงคลาสสิกยิ่งดี หรืออาจเป็นเพลงน่ารักๆของเด็กๆแต่สำหรับแม่และเด็ก แนะนำว่าเพลงไทยเดิมก็ไม่เลวนะคะ 4.ใช้แสงไฟกระตุ้นการมองถึงแม้จะไม่มีผลยืนยันว่า การใช้ไฟฉายส่องไปที่หน้าท้องจะมีผลให้ทารกตอบสนองกลับมา แต่ก็เป็นความเชื่อของคุณแม่หลายๆท่าน และปฏิบัติกันมา ว่าวิธีจะช่วยพัฒนาการทักษะการมองของลูกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำโดยใช้ไฟฉายหลอดเล็กที่มีแสงไม่จ้า ฉายส่องไปที่หน้าท้องประมาณ 5 วินาที แล้วสังเกตว่าทารกแสดงปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหวเบาๆตอบกลับมา 5.ล้อมวงสนทนาประสาคณาญาติไหนๆก็ไหนๆแล้ว อย่าสนุกอยู่กับลูกคนเดียวเลยค่ะ ลองชวนคุณสามี คุณย่าคุณยาย และคณาญาติทั้งหลายแหล่มาร่วมวงสนทนาพาทีกันเถอะ เพราะมีผลยืนยันมาแล้วนะคะ เทียบระหว่างคุณแม่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีญาติสนิทมิตรสหายมาเยี่ยมเยียนพูดคุยทักทายบ่อยครั้ง กับอีกกลุ่มค่อนข้างสันโดษ ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมเยียนพูดด้วย ผลปรากฏว่า ทารกที่คลอดจากคุณแม่กลุ่มแรก มีทักษะความฉลาดและอารมณ์ดีกว่ากลุ่มที่สอง ซึ่งทารกค่อนข้างเป็นเด็กเลี้ยงยาก มักจะงอแง แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวจนโตเรื่องนี้ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทารกได้ซึมซับความรัก ความอบอุ่นจากคนรอบข้างอย่างเดียวกับที่แม่ได้รับด้วย และอีกเหตุผลคือ เมื่อมีคนมาเยี่ยม แม่ก็ความสุข เบิกบาน และสดชื่น และเป็นผลพลอยได้ส่งต่อมายังทารกด้วย ดังนั้นแล้ว ถ้าอยู่บ้านว่างๆก็ลองโทรชวนเพื่อนๆหรือญาติมาเที่ยวบ้างนะคะ ไม่ก็หาโอกาสรวมญาตินัดทานข้าวกัน รับรองสนุกทั้งแม่และทารกน้อยค่ะ เล่นกับลูกในท้องได้อะไรเอ่ยไม่ว่าจะเป็นการนวด ภาษาน่าเล่น หรือการใช้ไฟฉาย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างความเพลิดเพลินเท่านั้นค่ะ แต่ยังให้ประโยชน์มากมายเลยค่ะ อาทิเช่น- ช่วยพัฒนาด้านระบบหมุนเวียนสารอาหารและออกซิเจน ไปสู่ทารกดีขึ้น- ช่วยพัฒนาด้านการเคลื่อนไหว- ทารกรู้สึกอบอุ่นใจ เพิ่มความผูกพัน ขอขอบคุณนิตยสาร แม่และเด็ก
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 16:50:53 น. |
| |
Counter : 410 Pageviews. |
| |
|
|
|
หลับตาย…สายใจของแม่
หลับตาย…สายใจของแม่โดย คณะแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า ชื่อเรื่องฟังแล้วใจหาย มีด้วยหรือที่ทารกเข้านอนแล้วก็หลับไม่ตื่น เคยได้ยินแต่ผู้ใหญ่อายุมาก ชราภาพแล้วปลิดจากขั้วเหมือนใบไม้แห้งกรอบ และคนอีสานที่ไปขายแรงงานยังถิ่นไกล กินแต่ข้าวเหนียวจิ้มแจ่วแล้วไหลตาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากสถิติของทารกที่หลับตายพบว่าทารกมีอายุระหว่าง 1 เดือน ถึง 1 ปี โดยทารกจำนวน 95% มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ส่วนใหญ่มีอุบัติการสูงสุดเมื่อทารกอยู่ระหว่าง 2 เดือน ถึง 4 เดือน ลองนึกภาพเด็กทารกอายุ 3 เดือน กำลังน่ารักน่าชัง แม่เห่กล่อมจนหลับพริ้มอยู่ข้างกาย ตื่นเช้าขึ้นมาตัวเขียวและเย็นเฉียบ แม่เขย่าปลุกเท่าไรก็ไม่ตอบสนองเสียงหวีดร้องของแม่ที่หัวใจแตกสลายจะดังแค่ไหนคงวาดภาพออก ในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา “หลับตาย” (Sudden Infant Death Syndrome:SIDS) เป็นสาเหตุของการตายในทารกอายุต่ำกว่า 1 ปีเป็นอันดับที่ 1 การตายกระทันหันแบบนี้พ่อแม่ยอมรับไม่ได้เลย พาไปโรงพยาบาลให้หมอช่วย ในประเทศไทยเราไม่ได้พบบ่อยนักคงเป็นเพราะเมื่อทารกหลับตาย พ่อแม่ไม่พามาโรงพยาบาล เพราะเห็นว่าหมอคงช่วยให้ฟื้นไม่ได้ เราเป็นชาวพุทธจะรับเรื่องการตายได้เร็ว เพราะ “แล้วแต่บุญกรรมหรือทำบุญมาเท่านี้” คุณยายของข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคุณยายแต่งงานกับคุณตาได้ไม่นาน ก็มีลูกคนแรกมาเชยชมเป็นหญิงผิวขาวเนียน ตาโต ผมดำขลับ เหมือนตุ๊กตา คุณยายตั้งชื่อให้ว่า หนูริกิ ริกิอ้วนจ้ำม่ำ กินเก่ง หัวเราะเก่ง เพื่อนบ้านขอบขออุ้มเพราะน่ารักเหลือหลาย คุณยายจำได้ว่าริกิโตจนเริ่มคว่ำได้แล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาในบ้านขณะที่คุณยายกำลังอุ้มริกิเดินอยู่หน้าบ้านชายแปลกหน้าถามทางไปบ้านเพื่อนแถวนั้น คุณยายก็ชี้ทางให้ก่อนจะออกจากบ้านเขาออกปากขออุ้มหนูริกิ คุณยายใจดีก็ให้อุ้ม เขาอุ้มเชยชมอยู่ครู่ใหญ่ ก็ส่งคืนให้แล้วพูดว่า “น่ารักเหมือนลูกเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเด็กน่ารักอย่างนี้บนพื้นดิน” คุณยายรู้สึกใจหายวาบ ตัวเย็นรับริกิมาโอบกอดไว้อย่างกลัวจะหลุดหายเขาหัวเราะหึๆ แล้วก็เดินจากไป คืนนั้นคุณยายกลุ่มริกิจนหลับคาเต้านมแล้วก็วางไว้ข้างตัวบนที่นอน รุ่งเช้าริกิตัวเขียว เย็นเฉียบ ไม่มีอาการใดที่แสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ คุณยายหัวใจแตกสลาย เป็นลมสลบแล้วสลบอีก เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง คุณยายบอกว่าเทวดาคงจะมารับกลับ และมาบอกให้รู้ว่าหนูริกิคือเทวดาหนีมาเกิดในโลกมนุษย์ เมื่อคิดอย่างนี้คุณยายก็รู้สึกดีขึ้น มีลูกต่อมาเป็นแถวถึง 11 คน สมัยนั้นข้าพเจ้ายังเรียนชั้นมัธยมตอนต้น คิดว่าตัวเองเชื่อคุณยายเรื่องหนูริกิหนีมาเกิดในโลกมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเป็นหมอเด็ก วินิจฉัยโรคของป้าริกิได้ว่าคงเป็นเหยื่อคนหนึ่งของโรคหลับตายหรือ SIDS ขณะเรียนแพทย์ไม่มีใครสอนเรื่องนี้กันเท่าใดนัก เพราะไม่พบ “หลับตาย” ในเมืองไทยกันบ่อย เมื่อข้าพเจ้าไปทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกเด็กที่สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งอยู่เวรที่ห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลพาแม่ลูกคู่หนึ่งเข้ามา แม่กอดห่อผ้าแนบอก ปากร้องหวีดและโวยวาย น้ำตานองหน้า ผมเป็นกระเชิง ไม่มีสติสตังติดตัวอยู่เลย คุณพยาบาลเข้าไปแกะห่อผ้าอยู่นาน อธิบายจนสำเร็จยอมส่งห่อผ้าให้เราจากนั้นคุณพยาบาลก็พาเธอออกไปคอยนอกห้องปฐมพยาบาลซึ่งเธอยังคงหวีดร้องไม่ยอมหยุด แถมด้วยการตีอกชกหัวตัวเอง ในห่อผ้านั้นเป็นเด็กทารกอายุราว 3 เดือน อ้วนจ้ำม่ำ แต่ตัวเขียวคล้ำ และเย็นเฉียบ เราพยายามปฏิบัติการช่วยชีวิต แต่ไร้ผล เพียงครู่เดียวญาติพี่น้องของแม่เด็กก็มากันเต็มไปหมดนับได้เกินห้าสิบคน คุณพยาบาลบอกว่าเป็นพวกยิปซี พวกนี้อยู่เป็นกลุ่มก้อนรักกันเหมือนพี่น้องรับผิดชอบต่อคนในกลุ่มดีมาก เมื่อสามีของแม่เด็กเข้ามา คำแรกที่เขาถามข้าพเจ้าก็คือ “เด็กตายแล้วใช่ไหม” ข้าพเจ้าโกรธมาก นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโทษกัน นี่เป็นเวลาที่ต้องปลอบโยนเห็นใจกัน ข้าพเข้าอธิบายให้เขาฟังว่าไม่ใช่การนอนทับตายแต่เป็นการหลับตายที่ยังไม่มีใครรู้สาเหตุ ในวงการแพทย์รู้สาเหตุของการหลับตายของเด็กแต่เพียงว่าเด็กที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการหลับตาย ได้แก่ เด็กคนนั้นเคยมีพี่หลับตายมาก่อน, เป็นเด็กผู้ชายกินนมขวดเพิ่มผ่านการเจ็บไข้ได้ป่วยมาหยกๆ , มีคนสูบบุหรี่ในบ้าน หรือนอนคว่ำบนที่นอนซึ่งนุ่มนิ่ม ความจริงอัตราเสี่ยงพบได้ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์แล้ว โดยแม่ที่สูบบุหรี่ติดยาเสพติดลูกก็มีอัตราเสี่ยงต่อการหลับตายสูงเด็กที่คลอดน้ำหนักตัวเบากว่าสองกิโลครึ่ง หรือเด็กคลอดก่อนกำหนดพวกนี้อัตราเสี่ยงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จากการผ่าศพเด็กที่หลับตาย จะไม่พบคำอธิบายสาเหตุการตายที่พิสูจน์ได้ว่ามีพยาธิสภาพ สมัยก่อนนี้ในอเมริกานิยมให้เด็กทารกนอนคว่ำ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเด็กที่นอนคว่ำมีอุบัติการหลับตายสูงกว่าเด็กนอนหงาย จึงมีการรณรงค์ให้พ่อแม่รุ่นใหม่จับเด็กนอนหงาย โดยสมาคมกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics : AAP) ให้คำแนะนำแก่สังคมทั่วไปให้พร้อมใจกันจับเด็กนอนหงายพบว่าอุบัติการของการหลับตายลดลงร้อยละ 32 คนไทยมีความเชื่อว่านอนคว่ำเด็กจะหัวทุยสวยงามตามอย่างเด็กฝรั่งจึงมีการนอนคว่ำมากขึ้นทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่าเพราะคนไทยนอนหงายเราจึงไม่ค่อยหลับตายหรือว่ามีเด็กหลับตายบ้าง แต่พ่อแม่ไม่พามาโรงพยาบาล แต่ถ้าเรานิยมนอนคว่ำเลียนแบบฝรั่งที่เขาเลิกกันแล้ว ใครจะรู้ว่าเราอาจจะมีเด็กหลับตายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเหมือนครั้งหนึ่งในอเมริกาก็ได้ ขึ้นชื่อว่าคนไทย อะไรที่เป็นของต่างชาติเรานิยมว่าดีกว่าของเราเสมอจนทิ้งเอกลักษณ์ของเราไปตามก้นฝรั่งวันหนึ่งเถอะ โรคหลับตายจะนำหน้าเป็นอันดับหนึ่ง
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 16:39:53 น. |
| |
Counter : 519 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
beaushi |
|
|
|
|