เนื่องจากเราไม่อาจรู้ได้ว่าขณะที่ลูกกำลังง่วนอยู่กับสิ่งที่เขาสำรวจนั้นเขามีประสบการณ์อย่างไร
เราจึงไม่ควรแทรกแซงการเรียนรู้ของเขาด้วยการพยายามสอนเขาในขณะที่เขากำลังเล่นอยู่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เรียกอย่างไร
แต่ควรรอจนกว่าเขาหยุดสนใจหรือว่าเขาาอาจมาหาเราพร้อมยื่นของที่อยู่ในมือให้**
**คำแนะนำที่มีค่าของ แดเนียล อูโด เลอ แฮส์(ส่วนหนึ่งจากหนังสือเรื่อง "คุณคือครูคนแรกของลูก" หน้า 178)
ไม่ รู้ว่าแม่ๆหลายคนเป็นเหมือนกันหรือเปล่า? ที่เรามักบอก หรือชี้นำลูกทันที..
โดยไม่เปิดโอกาสให้วัตถุหรือสิ่งที่ลูกเห็นได้สื่อสารกับลูกก่อน
ตัวอย่างเช่น..พอเราเห็นลูกหมาพุดเดิ้ลน่ารักตัวหนึ่งเดินมากับเจ้าของ..
ลูกของเราให้ความสนใจและกำลังมองเจ้าหมาพุดเดิ้ลตัวน้อยอยู่..
เราก็รีบชี้ไปที่หมาพุดเดิ้ล และบอกลูกทันทีว่า..
"ดูสิลูก นั่นเรียกว่าหมาพุดเดิ้ล ขนปุกปุยทีขาวน่ารัก และชอบส่งเสียง'โฮ่งๆ'ทักทายเด็กๆ ดูสิ ดูสิ ดูสิ.."
ทีนี้แทนที่ลูกจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง ผ่านประสบการณ์ตรงที่ได้เห็นตรงหน้า..
กลับกลายเป็นการรับข้อมูลที่แม่รีบป้อนให้ทันที..
ก็คงเหมือนกับเวลาที่เราไปชมภาพศิลปะในแกลลอรี่ และกำลังสร้างจินตนาการกับภาพเขียนที่อยู่ตรงหน้า..
แล้วอยู่ๆก็มีผู้รู้เดินเข้ามาแนะนำเราทันที ว่าภาพนี้สื่อถึงอะไร..
อารมณ์ของศิลปินตอนวาดเป็นอย่างไร และภาพสื่ออะไรกับเราบ้าง..
โอเค เราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน..
แต่สิ่งที่หายไปคือจินตนาการ และประสบการณ์การรับรู้ของเราที่เกิดกับภาพนั้นในตอนแรก
ที่ถูกตัดทอนโดยคำอธิบายจากผู้รู้ไปเสียก่อน อะไรประมาณนั้น
ตั้งแต่ได้อ่านประโยคที่ยกมาข้างต้น** ก็เลยลองเปลี่ยนวิธีการสอน จากที่ส่งข้อมูลให้ลูกในทันที..
เป็นรอให้ลูกได้สื่อสาร&สร้างประสบการณ์จากสิ่งที่เห็น ที่สัมผัสด้วยตนเองก่อน..
แล้วค่อยแนะนำว่าสิ่งที่ลูกพบคืออะไร ลองทำได้สักระยะแล้วพบว่าวิธีนี้เวริคมากเลย..
เพราะทำให้มีโอกาสให้เราได้มองเห็นว่าลูกคิด&มีปฎิกิริยากับสิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสตรงหน้าอย่างไร..
และเราเองก็ได้มีเวลาเตรียมคำที่จะสอนจะอธิบายเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่ลูกเห็นได้ดียิ่งขึ้นด้วย..
ลองเอาเทคนิคง่ายๆนี้ไปปรับใช้กันดูนะคะ..
เค้าว่าเป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาและความเข้าใจของเด็กน้อยวัยเตาะแตะได้ดีทีเดียว^^