เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

เราฝากประเทศไทยไว้กับ "ยิ่งลักษณ์" ได้หรือ?

ขณะปวงประชาทุกข์ระทมขมขื่นเพราะเหตุอุทกภัยที่หนักกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ มีสักขณะจิตที่รู้สึกเห็นใจ เข้าใจ ห่วงใยพวกเขาอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่

ในเวลาเดียวกัน ได้แสดง "ความมีสมอง" ออกมาบ้างหรือเปล่า

คำตอบอยู่ที่ จะปลูก "หญ้าแพรก" ชะลอน้ำ แทน "หญ้าแฝก"

อยู่ที่ "เรือดำน้ำ" แทน "เรือดันน้ำ"

อยู่ที่ "จะโยนหินลงทะเล" ที่ประตูน้ำบางโฉมศรี จังหวัดสิงห์บุรี

อยู่ที่ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)

และล่าสุด อยู่ที่ "แพไม้ไผ่" จากภูมิปัญญาของ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่ง ได้ประสานงานไปยังกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ช่วยตัดไม้ไผ่จากป่ามาต่อเป็นแพ กว้าง 1 วา ยาว 2 วา เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม ได้ใช้สัญจรแทนเรือไฟเบอร์ที่ขาดตลาด หลังประเมินสถานการณ์ว่าอาจจะมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณทุ่งนานานนับเดือนหลังจากนี้

ลำพังต้องเป็นทุกข์กับสภาวะน้ำท่วม ก็หนักหนาสาหัสสำหรับประชาชนมากพออยู่แล้ว ยังจะต้องให้เขาซึมเศร้ากับภาวะ "โง่เขลาเบาปัญญา" กับผู้นำรัฐบาลและคณะกันอีกสักกี่หน

ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า ยิ่งลักษณ์และพวก ได้ใช้ "ปัญญาทั้งหมดที่มี" มาแก้ไขปัญหาขณะนี้แล้วครับ แต่เพราะมันมีอยู่เท่านี้ไงครับ มันจึงออกมาในรูปนี้

ประกอบกับยิ่งลักษณ์และพวก พะวงกับ "ปัญหาการเมือง" จนมองไม่เห็นว่า ภาวะน้ำท่วมหนักขณะนี้เป็น "ปัญหาบ้านเมือง" เธอกับพวกจึงเอาแต่ระแวงระวัง ว่าใครจะได้ออกโทรทัศน์ ใครจะเป็นคนลงพื้นที่ให้นักข่าวสัมภาษณ์ ใครจะเป็นหัวหน้าศูนย์สร้างปัญหาอย่าง ศปภ. บทบาทของทหารจะเป็นยังไง ภาพลักษณ์ของพวกเธอจะเป็นยังไง

"ปัญหาที่แท้จริง" จึงไม่เคยได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด

ซ้ำปัญหายังทวีความหนักหน่วงขึ้น จากการเอาแต่ "สร้างภาพ" ทางการเมืองรายวันอยู่นั่นเอง

หลังยิ่งลักษณ์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เกิดพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมขึ้นหลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางตอนบน โดยเฉพาะที่จังหวัดพิษณุโลกกับสุโขทัยนั้น ประชาชนเดือดร้อนกันเป็นวงกว้าง

สิ่งที่ยิ่งลักษณ์และทีมงานทำ คือ ออกแคมเปญโก้เก๋ชื่อ "บางระกำโมเดล" ที่ไม่เคยอธิบายแก่สังคมได้ว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร และจะทุเลาหรือขจัดปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนในเขตอำเภอบางระกำและนำไปใช้เป็น "แม่แบบ" หรือ "โมเดล" ให้แก่พื้นที่อื่นๆ ได้อย่างไร

เมื่อล่วงรู้ว่า พรรคฝ่ายค้านจะตั้งกระทู้ถามสดแทนชาวบ้าน ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาในจังหวัดพิษณุโลก ลพบุรี ฯลฯ ที่มีปัญหาน้ำท่วมหนักอยู่ในขณะนั้น ทีมภาพลักษณ์รีบส่งยิ่งลักษณ์ลงพื้นที่ ถ่ายรูป เป็นข่าวในวันรุ่งขึ้น และยิ่งลักษณ์เข้าประชุมสภาโดยใช้เวลาสั้นๆ และเลือกตอบเฉพาะกระทู้ของคนพรรคเดียวกันที่เตรียมบทมาถามตอบกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

จากนั้น พวกเธอก็สาละวนอยู่กับการหาทางอภัยโทษให้แก่ทักษิณ หาทางแก้กฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ถวายความคุ้มครองสถาบันเบื้องสูง โดยมีคณะกรรมการ คอป. ของ ดร.คณิต ณ นคร ช่วยสร้าง "หลักการนำ" ตามด้วยข้อเสนอของอาจารย์ 7 คน ที่เรียกตัวเองว่า "คณะนิติราษฎร์" เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เป็นข้ออ้างว่ามีผู้เสนอและมุ่งหมายสร้างความสงบ ปรองดอง

ทั้งยังสาละวนกับการแก้แล้วแก้เล่า ในเงื่อนไขของนโยบายบ้านหลังแรกกับรถคันแรก ซึ่งมิได้ก่อประโยชน์ใดๆ ให้แก่ประชาชนที่กำลังเดือดร้อน เหล่านั้นเลย แถมสะท้อนให้เห็นว่าเป็นนโยบายที่ไม่เคยลงรายละเอียดมาก่อน ถึงเวลาทำ จึงต้องมั่วไปมั่วมาอยู่ตลอดเวลา

แถมยังเอาจริงเอาจังกับการแต่งตั้งคนเสื้อแดง ที่มีข้อหาก่อการร้าย ขัดกฎหมายความมั่นคง และหมิ่นพระบรมราชานุภาพ และร่วมกันเผาบ้านเผาเมืองมากินตำแหน่ง กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติชี้ชัดว่ามีความรู้ความสามารถอันใด ที่จะเป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขาฯ รัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ ขณะที่ปากก็พล่ามแต่คำว่า "ปรองดอง-สมานฉันท์" ยังไม่รวมการแต่งตั้ง นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา ที่พัวพันกับเหตุการณ์ให้สินน้ำใจสื่อในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จนถูกตั้งกรรมการสอบ กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี ฐานนำความลับของศาลรัฐธรรมนูญมาเปิดเผย ให้มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลด้วย

เร่งรีบเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่ประเทศที่มีความสำคัญหรือสัมพันธ์กันด้านเศรษฐกิจ-การเมือง อย่างที่ต้องเร่งรีบไปพบ ทั้งประเทศบรูไนและกัมพูชา ซึ่งจริงๆ แล้วควรกล่าวว่า เป็น 2 ประเทศที่ไม่ควรคบหาเป็นมิตรประเทศต่อไปด้วยซ้ำ เพราะล้วนให้ที่พักพิงแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องโทษที่รัฐบาลไทยมีหน้าที่ติดตามควบคุมตัวมาลงโทษ เปิดทางและบางครั้งก็เข้าร่วมให้มีการปลุกปั่นทางการเมือง ทั้งๆ ที่อยู่ในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน และเป็นสองประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน ควรที่จะเคารพกันและยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องต่อกัน

และในการเดินทางเยือนกัมพูชานั้น ก็มีคนเสื้อแดงติดสอยห้อยตามไปหาความสำราญจาการชมฟุตบอลกระชับมิตร นปช.ไทย กับ ครม. กัมพูชา ในเวลาที่หลายจังหวัดน้ำท่วมหนักมาก และเป็นจังหวัดที่ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่หลายจังหวัดด้วย

ยิ่งลักษณ์ดูจะเลือกให้ "ธุระของวงศ์ตระกูล" มาก่อนทุกข์ของชาวบ้าน จนสังคมอดเคลือบแคลงไม่ได้ว่า ทำไมเธอไม่ใส่ใจทุกข์ของชาวบ้าน แต่กลับนุงนังอยู่กับแนวทางคืนเงินของทักษิณที่ถูกยึด คดีที่ดินรัชดา การรื้อฟื้นการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ คดีก่อการร้ายของทักษิณ และ นปช. ตลอดจนเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ดูจะมีคนจ้องจะดันก้น พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ขึ้นนั่งให้จงได้

ยิ่งลักษณ์และคณะ ปล่อยให้ปัญหาอุทกภัยลุกลามบานปลาย จ่อเข้ามาสร้างความเสียหายที่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศ โดยไม่เคยแสดงความกระตือรือร้น ที่จะเห็นปัญหา บรรเทาปัญหา ป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เอาแต่หากิจกรรม (Event) สร้างภาพสวยงามให้ยิ่งลักษณ์ จนมองข้ามหัวชาวบ้านที่ลอคอรอคอยการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงอยู่กลางน้ำ

พวกเขามาพล่านเมื่อน้ำจะเข้ากรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ คือ ที่มั่นสุดท้ายที่มีผลกระทบต่อสถานภาพทางการเมืองใช่หรือไม่ เก้าอี้นายกฯ ถึงได้ร้อนขึ้น คำถามที่สำคัญก็คือ ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพฯ แล้วมีผลต่อการ "เป็นข่าว" ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงในความเป็นนายกฯ และคะแนนนิยมจะตกลงอย่างฮวบฮาบ ยิ่งลักษณ์กับพวกจะลนลานตั้งศูนย์ "ไร้สมอง" ขึ้นมารับหน้าสื่อมวลชน ด้วยการแถลงข่าวผิดๆ ถูกๆ โง่ซ้ำซาก ผิดซ้ำซาก เป็นรายวันรายชั่วโมงหรือไม่

การแถลงข่าวให้คำมั่น รับประกันว่า นิคมอุตสาหกรรมนวนครจะปลอดภัยจากน้ำท่วมได้ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นความจริง คือ จุดล่มสลายทางความน่าเชื่อมั่น น่าเชื่อถือ ของยิ่งลักษณ์และพวกไปแล้ว

คำที่แสดงความมั่นใจจาก ศปภ. โดยนายวิม รุ่งวัฒนจินดา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ตลอดจนจากปากของยิ่งลักษณ์เอง ทำให้เครื่องจักรในโรงงานยังเดินหน้า คนงานยังทำงาน เจ้าของกิจการยังคงดำเนินการผลิตสินค้าของเขาตามปกติ กระทั่งน้ำทะลักเข้าท่วม คนสามแสนกว่าโกลาหล โรงงานหลายแหล่งได้รับความเสียหาย คือ "ใบเสร็จ" แห่งความเหลวแหลกของรัฐบาลนี้ ที่ไม่แค่ไม่อาจทุเลาปัญหา กลับสร้างปัญหาเสียเอง

ถ้ารัฐบาลโดย ศปภ. ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นจริง แม่นยำ และด้วยความห่วงใย โรงงานหลายแห่งคงปิดไปเพื่อป้องกันความเสียหาย คนงานคงไม่มากมายและวิ่งหนีน้ำกันจ้าละหวั่นเช่นนั้น และภาพเหตุการณ์นั้นเสียวแปลบไปถึงนักลงทุนต่างชาติที่เคยเล็งประเทศไทยเอาไว้ ให้เขามองหาที่ใหม่ ประเทศใหม่ในทันที

เลยความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า นึกว่ารัฐบาลชุดนี้จะเหลือสมองไว้ไตร่ตรองและปรับเปลี่ยน เอาคนที่ "รู้จริง" มาทำงาน เปิดทางให้ทหารเข้าดูแลสถานการณ์อย่างเต็มที่ หันไปอ่านแผนการแก้ไขปัญหาที่ผู้นำฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บากหน้าไปนำเสนออีกสักที และสำคัญที่สุด ระลึกถึงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปี่ยมพระปรีชาสามารถด้านการจัดการระบบน้ำ

เปล่าเลย กลับยังไม่รู้สึกรู้สา กลับยังมองเป็นปัญหาทางการเมือง ที่ต้องสร้างภาพลักษณ์มากลบเกลื่อนกันต่อ กลับยังเดินหน้า ตั้ง "เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์" เป็น ผบ.ตร. กลับยังนำเสนอแพไม้ไผ่ ที่ชาวบ้านเห็นแล้วอยากจะกลั้นใจตาย กลับยังปล่อยให้ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เข้าไปด่าประเทศไทยให้คณะกรรมาธิการ โดยการนำของนายสุนัย จุลพงศธร ทั้งๆ ที่อัมสเตอร์ดัมมิใช่ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายไทยหรือมีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนที่ใดๆ ในโลกมาก่อนเลย รู้กันทั้งประเทศว่านายคนนี้ มีทักษิณเป็น "ลูกค้า" ใช้บริการด้านกฎหมายและการล็อบบี้เท่านั้น!!

ดูๆ ไป วังเวงหัวใจเหลือเกินครับ

เคยเสนอให้ยิ่งลักษณ์ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับผู้นำฝ่ายค้าน นักวิชาการเก่งๆ อย่าง ดร.เสรี ศุภราทิตย์ และอีกหลายท่านที่เคยร่วมถวายงานด้านการจัดการน้ำ ใต้เบื้องพระยุคลบาท ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าฯ เพื่อให้พระองค์ท่านพระราชทานแผนการจัดการลงมา แล้วผนึกประชาชนที่มีความรักในพระองค์ท่าน ซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาลทั้งแผ่นดินมาร่วมกันสู้กับภัยธรรมชาติที่เกินเยียวยาแล้วในเวลานี้ด้วยกัน เธอก็ไม่เคยสนใจ

ไม่ว่าจะเป็นสถาบันเบื้องสูง ทหาร นักวิชาการ ฝ่ายค้าน ดูเหมือนยิ่งลักษณ์กับคณะชายชาตรีที่มุดกระโปรงของเธอซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง ตั้งแง่กีดกัน ไม่อยากให้มีความสำคัญเหนือตัวนายกฯ โดยไม่คิดเลยว่านายกฯ คนนี้มีสมองแค่ไหน มีบารมีเท่าไหร่ รู้สึกรู้สากับทุกข์ของชาวบ้านหรือไม่ แถมปล่อยให้พวกโรคจิต เสพติดการออกโทรทัศน์ แย่งซีนกันแถลงนั่นแถลงนี่โดยไม่มีภูมิรู้อะไร สุดท้ายใครล่ะครับที่ซวย ที่ทุกข์ ที่สิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าไม่ใช่ประชาชนคนไทย ที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนยากคนจน

หลังจากนี้ ยังมีจะปัญหาเรื้อรังอีกยาวนานอันเนื่องมาจากน้ำท่วมและรัฐบาลโง่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจของประชาชนที่แช่น้ำมาหลายเดือน ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากคนไม่มีเงินซ่อมบ้าน โรงงานปิดกิจการเพราะเครื่องจักรเสียหาย คนจากภาคเกษตรและแรงงานจะเคว้งคว้าง หางานทำไม่ได้ ผู้ประกอบการหลายรายไม่อาจแบกรับค่าแรง 300 บาท ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ถึงเวลานั้นสังคมจะโกลาหลขนาดไหน

ภัยหนาวก็จะตามมาอีกระลอก วิกฤติหนี้ในยุโรปจะถึงจุดระเบิด ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมของโลกเจ็บป่วยตามๆ กันไป

คุณว่าในสภาพการณ์อย่างนั้น คนไทยยังไว้ใจ ฝากประเทศไว้กับยิ่งลักษณ์และพวกอยู่อีกหรือ?

ยังจะมีประเทศไทยและงบประมาณให้พวกเธอถลุงเล่นกันอยู่หรือ?

บทความโดย: จิตกร บุษบา เผยแพร่ใน หนังสือพิมพ์แนวหน้า




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2554    
Last Update : 20 ตุลาคม 2554 19:28:56 น.
Counter : 835 Pageviews.  

เกมส์การเมือง ระบอบกษัตริย์ กับ การปิดหูปิดตา

วันนี้ก็นั่งอ่านนู่นนี่ไปเรื่อย เกิดไปเจอบล็อคนึงเข้า มีเนื้อหาที่พูดถึงระบอบกษัตริย์ในแง่ไม่ดี เขามองว่าการมีตัวตนนั้นจริงหรือ และการเกื้อกูลให้ยังระบอบนี้ต่อไปนั้นควรหรือไม่ โดยนำเสนอเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องไปในทางที่ไม่ดี

ก็ได้ไปโพสไว้ใน FB แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เพียงแต่ต้องการให้คนอื่นๆ ได้เข้าไปเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการประกอบการพิจารณาว่าต่อไป เราจะเป็นประชาชนที่มีบทบาทอย่างไรต่อสังคม รู้เท่าทันต่อเกมส์ที่ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นทางการเงิน ทางการทหาร หรือทางไหนๆ ก็ตาม ที่กำลังพยายามปั่นหัวเรา ผู้ซึ่งเป็นประชาชนตาดำๆ ตัวเล็กๆ ที่เป็นเพียงมดงานทางสังคม

ประเทศอื่นๆ เค้าก็ผ่านวิฤติแบบนี้ทั้งนั้น กว่าจะได้มาซึ่งความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพ ดังที่มีอยู่ นั่นหมายความว่าเราเองต้องพยายามทำตัวมีส่วนร่วม อย่าปิดหูปิดตาตัวเองด้วยความงมงาย ความเชื่อมั่นที่มีอยู่เดิม แต่ต้องหมั่นเปิดหูเปิดตารับข่าวสารที่มีอยู่อย่างมากมายและล้นหลาม มีทั้งจริงและไม่จริงเหล่านี้ รวมทั้งเราเองก็ไม่มีทางรู้ถึงความจริงที่แท้ด้วยซ้ำ

ข้อมูลที่ได้ ให้ลองพิจารณาให้ถี่ถ้วนบนพื้นฐานของความดี ก่อนจะเชื่อจะปักใจ แม้ว่าเชื่อไปแล้ว ก็อย่าปิดใจ ว่าความเชื่อนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีอะไรขาวหรือดำ ทุกอย่างมีแต่สีเทาๆ เทาเข้มเทาอ่อน แล้วแต่เราจะเอนไปทางไหน

โพสไว้ไม่ทันไร ก็มีผู้หวังดีตามมาบอกว่าให้ลบเถอะ เด๋วจะโดนเล่นงานได้ โทษฐานเป็นผู้ร่วมเผยแพร่เวปไซด์หมิ่นเบื้องสูง (เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกับเจตนา) บางครั้งการพยายามปิด ก็ทำให้คนยิ่งพยายามคุ้ย ว่ามีอะไรซุกไว้ใต้พรม ในเรื่องนี้ฉันเห็นด้วยว่า การปล่อยให้มีเสรีภาพกลับน่าจะดียิ่งกว่าในการจะดำรงไว้ซึ่งสิ่งๆ หนึ่ง สิ่งที่ดีๆ จะยังคงอยู่ได้แม้จะถูกใส่ร้ายป้ายสี ท้ายที่สุดของดีจริงเท่านั้นจึงจะอยู่รอด

น่าสงสาร...




 

Create Date : 01 เมษายน 2554    
Last Update : 1 เมษายน 2554 17:55:49 น.
Counter : 435 Pageviews.  

อนาคตร่วมกัน

บทความจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

โดย : อานันท์ ปันยารชุน

ผลพวงจากเหตุการณ์น่าสลด ใจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะพิสูจน์กับตัวเองและชาวโลกให้เห็นถึงธาตุแท้ของ คนไทยที่มีความเข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นที่จะได้มาซึ่งความเป็นธรรม การส่งเสริมความปรองดองแห่งชาติ และการสร้างสรรค์สังคมที่รวมทุกกลุ่มทุกฝ่ายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ในความเป็นชาติ เราได้วนเวียนในวังวนแห่งความโกลาหลและสับสนวุ่นวายมา นาน บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมกันหายใจลึกๆ และเรียกสติกลับคืนมา ให้มีความสมดุลและความพอดี ถึงเวลา แล้วที่เราจะต้องกลับมาเน้นและส่งเสริมค่านิยมไทยที่สั่งสมมาแต่ช้านาน ค่านิยมที่ว่านี้คือ ความอดทนอดกลั้น การยึดทางสายกลาง และความเมตตากรุณา ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมประจำชาติของเราทั้งสิ้น

เราควรหยุดชี้นิ้วกล่าวหากันอย่างไม่มีสติ การโยนความผิดใส่กันอย่างที่กำลังนิยมทำกันในขณะนี้ การมีอารมณ์อกุศลเช่นความโกรธแค้นและเกลียดชังมีแต่ความหายนะ เราจะต้องก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้และเหนือสิ่งอื่นใดคือ แสวงหาความจริงให้ได้ การสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างอิสระและน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น รวมทั้งการดำเนินการตามครรลองของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา จะต้องเกิดขึ้นอย่าง จริงจังนับแต่นี้ไป

นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องเร่งกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติและ สันติภาพที่ยั่งยืน คนไทยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมพูดคุยหารือกันโดยยอมรับและเคารพใน จุดแตกต่าง ความสนใจ และค่านิยมของกันและกัน การยอมรับกันและการสำนึกผิด ของทุกฝ่ายสามารถนำไปสู่การให้อภัย ซึ่งเป็นกุญแจที่แท้จริงที่นำไปสู่การเยียวยาจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของคน ไทยทุกคน

เราจำต้องพยายามรีบปิดช่องว่างทางสังคมที่นับวันมีแต่ลึกและกว้างขึ้น ทุกที โดยต้องมุ่งแก้ไขความยากจนในโครงสร้าง การกีดกันทางสังคม และความไม่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าเราจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความไม่พอใจของผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยมีน้ำหนัก เราจึงต้องเร่งกำหนดมาตรการให้ครบถ้วนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ต่อไปนี้

(1) ความไม่สมดุลของการกระจายรายได้ (2) ความสามารถที่ถูกลิดรอน และ (3) ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงและโอกาส

หากเราเพิกเฉย ไม่ยอมรับ ไม่แก้ไขข้อร้องเรียนเหล่านี้ บาดแผลที่กรีดลึกจากความรุนแรงในประวัติศาสตร์ไทยบทนี้ก็จะกลายเป็นแผล เปื่อยเน่า ซึ่งจะยิ่งทำให้ช่องว่างแห่งความแปลกแยกกลายเป็นหุบเหวที่กว้างขึ้นกว่าเดิม อันจะนำไปสู่ความโกลาหลและความรุนแรงต่อไปอีก

ประเทศของเราได้สูญเสียมากมายในครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในห้วงที่ สำคัญยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ ถ้าหากในอนาคตเรามองย้อนหลังไป ก็อาจมองว่าการที่พี่น้องที่ยากจนในชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทางการเมืองมาก ขึ้นนับเป็นก้าวที่สำคัญและขาดไม่ได้ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย

เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับรู้ข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมและ รับฟังเสียงของกลุ่มสังคมเหล่านี้ ไม่ว่าในกระบวนการเลือกตั้งหรือกระบวนการตัดสินใจอื่นๆ

ในความเป็นชาติ เราได้ก้าวมาถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเราทุกคนล้วนมีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตของประเทศชาติ และต้องมีส่วนช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์

ขอให้เราจงมาร่วมกันแปรวิกฤตนี้ให้กลายเป็นโอกาส เพื่อที่จะสร้างฉันทามติใหม่ทางการเมือง ให้มี “วาระของประชาชน” เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมที่รวมทุกหมู่เหล่า สังคมที่มีความเท่าเทียมกัน และสังคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับคนไทยทุกคน




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2553    
Last Update : 1 มิถุนายน 2553 15:46:03 น.
Counter : 448 Pageviews.  

สี...การแบ่งแยกทางการเมือง ผลประโยชน์เพื่อชาติ ฤาผลประโยชน์ส่วนตน

ทุกวันนี้เราเอาแต่แบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งฝ่าย
ไม่มากก็น้อย
บ้างก็หัวชนฝา...ไม่มองอะไรเลย
จริงอยู่ไม่มีใครที่อยู่ตรงกลางอย่างแท้จริง
แต่ก็อยากให้มองและรับฟังข้อมูลอย่างไตร่ตรอง
ว่าจริงๆ แล้ว...เราเลือกข้างจริงหรือ
ทุกหัวใจมีคำถาม...พร้อมคำตอบ และคำว่า...แต่
เห็นได้ชัด...ว่าไม่มีใครฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างแท้จริง

แล้วจะโกรธจะเกลียดกันเอาเป็นเอาตายไปใย
หัวขบวนทุกขบวนนั้น...ก็ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น
แต่ขบวนไหน ให้ประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองมากที่สุด
นี่เป็นผลพลอยได้...ที่ตกลงมาสู่ประชาชนต่างหาก

ข้ามเรื่องการเมือง...มามองเรื่องพ่อหลวงของเรากันบ้าง
ไม่ได้อยากจะเข้าข้างบรรดาประชาชนเสื้อแดง
แต่เราก็ต้องยอมรับ...
ถ้าเขาเหล่านั้นไม่อดอยากกว่าเดิม
ไม่ได้รู้สึกว่าได้รับการเหลียวแลน้อยลง
เขาก็คงไม่ออกมา

ในเสื้อแดงนั้น...ไม่ได้มีเพียงหนึ่งกลุ่ม
มีกลุ่มคนหลายกลุ่มที่คิดว่าจะได้ผลประโยชน์ร่วมจากการล้มรัฐบาลนี้
ซึ่งจะได้หรือไม่ได้จริงเราไม่รู้
เช่น...
คนรักทักษิณ
คนล้มเจ้า
คนที่ขัดผลประโยชน์กับ ปชป.
นักธุรกิจข้ามชาติ
ฯลฯ
อื่นๆ อีกมากมาย สาธยายไม่หมด

แต่ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกัน
ว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงนี้
ก็มีคนที่รักในหลวงอยู่เช่นกัน

จะบอกว่าคนรักในหลวงก็ไม่ควรไปยุ่งกับคนเสื้อแดงก็ไม่ถูกต้องนัก

เราต่างก็รู้ว่าพ่อได้อยากเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
เราเองรึเปล่า...ที่นำท่านเข้าไปใส่ พยายามดึงท่านลงมา
ถ้ารักพ่อ...ก็แค่บอกว่า "หนูรักพ่อ" ก็เพียงพอแล้ว
อย่าได้เอ่ยว่าถ้ารักพ่อต้องอย่างนู้นต้องอย่างนี้อีกเลย
ไม่งั้นก็เป็นเพียงเชื้อไฟราดไปทางนู้นทีทางนี้...ไม่จบไม่สิ้น

และร่วมกระทำแต่ความดี...เพื่อถวายแด่ พ่อของแผ่นดินไทย
สิ่งที่ง่ายที่สุดที่สามารถทำเพื่อท่าน


ตอนนี้มันก็พันกันอีนุงตุงนัง...ยิ่งกว่าวัวพันหลักแล้ว
เพราะมันแต่แบ่งแยก... นั่นสีไหน โน้นสีใคร นี่สีกู
แล้วเมื่อไหร่จะเห็น...ปัญหา
แล้วเมื่อไหร่จะเกิด...ปัญญา

มองที่สาเหตุที่แท้จริง
ดีกว่าไปมองยุทธศาสตร์ที่ใครบางคนนำมาใช้
ให้คนไทยแตกกันเอง...ด่ากันเอง...ฆ่ากันเอง
ให้คนต่างชาตินั่งหัวร่องอก่องอขิงจนตกเก้าอี้
หยุดแสดงความโง่เขลาเบาปัญญาของเราเองกันเสียทีเถิด


ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
Long Live The King





 

Create Date : 01 มิถุนายน 2553    
Last Update : 1 มิถุนายน 2553 15:25:07 น.
Counter : 518 Pageviews.  

ปฏิบัติการกระชับพื้นที่วันที่ 19 พ.ค. 53 : ล้มเหลวหรือสำเร็จ?

เป็นบทความที่เจอจาก FB แต่ไม่มี reference นะคะ มีประเด็นน่าสนใจ เลยนำมาฝากกัน

-----------------------------------------------------------------------------


ก่อนหน้านี้เคยเขียนทัศนะไว้แล้วว่า สำหรับการชุมนุมย่านราชประสงค์ ทางเสื้อแดงปิดประตูชนะเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่บุกรพ. ตั้งแต่เล่นบทโยกโย้ในแผนปรองดอง ไม่มีทางที่เสื้อแดงจะชนะได้ แต่จริง ๆ แล้ว ระยะยาว คนที่แพ้จริง ๆ จากการชุมนุมครั้งนี้คือประเทศไทย เพราะปฏิบัติการใต้ดินมีต่อไปแน่ ๆ โดยเฉพาะทางอีสานเหนือและเชียงใหม่ ส่วนกรุงเทพฯคงตกอยู่ในภาวะคล้าย ๆ หาดใหญ่ของทางใต้นั่นเอง วันนี้เลยอยากขอแสดงความคิดเห็นต่อปฏิบัติการกระชับพื้นที่ และผลที่จะเกิดต่อไปกับประเทศไทย

ปฏิบัติการกระชับพื้นที่ในวันที่ 19 โดยส่วนตัวถือเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ฉลาดมากอันหนึ่ง ต่อเนื่องจากเม.ย. 52 ซึ่งโชว์ให้เห็นถึง "กึ๋น" ที่ไม่ธรรมดาของเสธ.ทหารในยุคนี้ แม้หลายๆ คนอาจจะตำหนิหรือหงุดหงิดใจกับความล่าช้าในการระงับเหตุจลาจลเผาเมืองรวมถึงการปล้นสถานที่ต่าง ๆ ก็ตาม ขอวิเคราะห์ 2 ประเด็นหลักดังนี้
1. ในแง่ของความล่าช้าในการระงับเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากการวางกำลังซุ่มยิงในจุดที่มีการวางแผนเผาเมือง ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยและดับเพลิงเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่มีการยึดครองของเสื้อแดงมากก่อนอย่างราชประสงค์ ดินแดง อนุสาวรีย์ บ่อนไก่ จะเห็นได้ว่า หากเป็นสถานที่อื่น การดับเพลิงนั้นจะทำได้อย่างรวดเร็ว เช่น มาลีนนท์ ธ.กรุงเทพสาขาต่าง ๆ ที่อยู่นอกพื้นที่ชุมนุมเดิม แต่หากเป็นในพื้นที่ชุมนุมของเสื้อแดง จะมีการซุ่มยิงกีดขวางการทำงาน แสดงถึงการเตรียมการล่วงหน้าของนปช.ในการสร้างการจลาจล (จากชุดความคิดที่ให้กับผู้ชุมนุมผ่านการปราศรัย ทั้งในแง่สถานที่ในเชิงสัญลักษณ์และพฤติกรรมที่เรียกว่า การ "ตกใจ") อย่างมีระบบ ทั้งการจัดตั้งกลุ่มผู้ก่อเหตุ และกลุ่มลอบยิง

2. ปฏิบัติการครั้งนี้ของทหาร ยังเป็นการเลือก ระหว่าง "ความเสียหายของตึก" กับ "ชีวิตของคน" เพราะเหตุการจลาจลเหล่านี้ แม้แต่พวกเราผู้เฝ้ามองเหตุการยังคาดการณ์ได้ เรียกว่า เปิดฟังถ่ายทอดการชุมนุมครั้งใด ก็ได้ยินแกนนำพูดถึงยุทธการตกใจกันเสมอ ดังนั้นรัฐเองคงคาดเดาถึงเรื่องนี้ได้ไม่อยาก แต่เหตุใดรัฐจึงไม่อาจวางแผนป้องกันได้ คำตอบที่คิดออกประการหนึ่งคือ หากจะหยุดการจลาจลอย่างรวดเร็ว ต้องแลกด้วยการจัดการอย่างเด็ดขาดกับผู้ชุมุนม ซึ่งหมายถึงการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่มากกว่านี้เป็นจำนวนมาก ขอย้อนรอยเหตุการณ์ 14 ต.ค. ที่เหล่าแกนนำนักศึกษาได้เจรจากับรัฐบาลแล้วว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งขึ้น รวมถึงการปล่อยตัวขบถ 13 แต่แล้วเหตุการณ์จลาจลก็ยังเกิดขึ้น (เหตุจากเจ้าหน้าที่มิให้ผู้ชุมนุมออกและใช้กำลังเข้าสลายที่ยังเป็นปริศนาว่าใครสั่ง? ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลเจรจากับแกนนำสำเร็จแล้ว และในตัวผู้ชุมนุมเองที่มีส่วน hardcore อยากให้ถนอมออก ไม่ใช่แค่ได้การเลือกตั้ง) นำมาสู่ความสูญเสียมากมายในชีวิตประชาชน จนส่งผลให้เกิดการบีบให้ถนอมต้องออกนอกประเทศ (ในหลวงทรงออกรวมการเฉพาะกิจ + ผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะกฤษณ์ สีวะราผบ.ทบ.บีบ) เป็นการพ่ายแพ้ของรัฐบาล

หากทหารเลือกระงับเหตุอย่างเข้มข้น ก็คาดได้ว่าประวัติศาสตร์คงจะซ้ำรอยเป็นแน่ กล่าวคือความเสี่ยงจากทั้งการจลาจลของผู้ชุมนุมในระดับที่ยากจะควบคุม ทำให้เสียชีวิตคนเป็นจำนวนมาก และการสวมรอยของฝ่ายที่ 3 อาจส่งผลให้รัฐเพลี่ยงพล้ำเอง คราวนี้จึงเป็นการแลก "อาคาร" กับ "ชีวิตคน" เพื่อชัยชนะของปฏิบัติการ

รวมถึงในแง่จิตวิทยา ซึ่งไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ การจลาจลระดับนี้ ได้ทำให้คนกลาง ๆ และคนแดงไม่จัด หันกลับมาเข้าข้างรัฐประณามแดง ซึ่งในทางกลับกัน หากเลือกปราบรุนแรง จะได้ผลตรงข้าม คือมีคนกลาง ๆ และแดงไม่จัด หันไปเป็นแดงมากเพิ่มขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ... เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ทำให้ คนทีเป็นแดง หันมาเป็น extremist กันมากขึ้น เช่นเดียวกับฝ่ายต่อต้านแดง ที่เพิ่มดีกรีความรุนแรงกลายเป็น extremist มากขึ้นเช่นกัน รอยร้าวที่ลึกของสังคมนี้ ส่งผลให้ต่อไปประเทศไทยคงได้เผชิญกับสงครามใต้ดินแน่นอน และ ณ ขณะนี้ เราจะเริ่มเห็นความไม่สงบในย่านอีสานเหนือ และเชียงใหม่ อย่างกรณีการเผาโรงเรียนในสกล หนองคาย และขอนแก่น

ทางแก้ปัญหานี้ อย่างแรกคือ ต้องใจเย็นกันก่อน การปรับเปลี่ยนระบบความคิดของผู้ที่ถูกล้างสมอง และผ่านเหตุการณ์สลายการชุมนุมมา ไม่สามารถทำได้ในไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่กี่เดือน ปัญหาที่สำคัญตอนนี้คือความไม่ไว้วางใจในเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะทหารของผู้ชุมนุม ความกลัวและไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้น จะยิ่งทำให้เชื่อใน "ข่าวลือ" ได้ง่ายมากขึ้น การเปลี่ยนความคิดนี้เพื่อประสานรอยร้าวในสังคม ต้องใช้ไม้อ่อนและไม้แข็งผสมกัน คือลงโทษแกนนำผู้กระทำผิดอย่างสมแก่เหตุ และหาทางเพิ่มความไว้วางใจรัฐให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่หลงผิดหรือถูกล้างสมอง รวมถึงการให้อภัยจากสังคม ไม่ใช่แยกคนเหล่านี้ออกจากสังคม

แต่การเพิ่มความไว้วางใจนี้ ปัจจัยสำคัญมี 3 อย่าง
1. ความพยายามทางนโยบายของรัฐ ที่เข้าถึงและเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว นโยบายทางด้านสวัสดิการ การพัฒนาพื้นที่และความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของรัฐต่อคนเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการยับยั้งสงครามข่าวลือและการล้างสมอง และใช้องค์กรและเครือข่ายทางสังคมค่อยๆ ป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้คนเหล่านี้

2. "สื่อกลาง" เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จากภาวะความไม่ไว้วางใจรัฐ แม้รัฐจะสื่อสารด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง มีเหตุมีผลอันเชื่อถือได้ขนาดไหน คนเหล่านี้ก็ไม่ฟังค่ะ เพราะความเชื่อใจไม่มี แถมซ้ำเติมด้วยความกลัวอีก สื่อกลางเป็นสิ่งสำคัญ ย้อนถึง 66/2523 ปัญหาการไม่ไว้ใจรัฐของแถบอีสานในช่วงนั้น เริ่มการแก้จากการตั้งหน่วยทหารพราน ถือเป็นจุดหนึ่งที่ช่วยดึงใจคนในพื้นที่ได้ ตอนนี้สื่อกลางที่ประสาน เราคิดถึง "ตำรวจ" ค่ะ อ่านไม่ผิดค่ะ อ้อ อย่าเพิ่ง รู้ว่าทุกคนโมโหเกียร์ว่างของตำรวจ เราก็ด้วยค่ะ แต่นี่เป็นหน่วยงานรัฐ ที่ถ้าใช้ความพยายามดึงกลับมาให้ได้ ซึ่งยาก แต่คุ้มค่าค่ะ ถ้าดึงกลับมาได้ ตำรวจจะเป็นสื่อกลางในการประสานและสื่อสารที่ดีให้กับรัฐ ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่เหล่าเสื้อแดงไว้ใจ

3. ตัวสังคมเอง เรารู้ว่าหลายคนยังโกรธกับการจลาจล เราก็โกรธค่ะ ไฟในกรุงยังปะทุอยู่บ้างเลย ระเบิดยังเจอกันอยู่ แต่ช่วยกันก้าวผ่านค่ะ เพราะหากสังคมต่อต้านคนเหล่านี้อย่างรุนแรง เค้าจะยิ่งกลายเป็น extremist และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ (เหมือนคนผิวสีในอเมริกาอ่ะค่ะ) แต่หากเราเปิดใจให้อภัย และพยายามสื่อสารให้เค้าเข้าใจ โดยเฉพาะเริ่มจากคนเสื้อแดงรอบตัวเรานี่ล่ะค่ะ เพราะคนรอบตัวเรา เพื่อนเรา ญาติเรา เค้ายังไว้วางใจเราบ้าง สื่อสารได้ง่ายกว่าเจ้าหน้าที่รัฐค่ะ สิ่งเหล่านี้จะช่วยบรรเทาเหตุการณ์ได้ มองว่าเค้าเหล่านี้เป็นเหยื่อของสงครามข่าวสารค่ะ รู้ว่ายากค่ะ เราเองก็ยังเป็นค่ะ โมโหบ้างอะไรบ้าง แต่นี่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญเช่นกัน ที่จะป้องกันการแตกแยกขนาดสงครามกลางเมือง ที่คงไม่มีใครอยากเห็น ...

สรุปสั้น ๆ ว่า แม้ปฏิบัติการครั้งนี้จะสำเร็จ แต่สิ่งที่พบกับความล้มเหลวคือเมืองไทยเรานี้ ที่เกิดความเสี่ยงกับสงครามใต้ดิน แต่คนไทยทุกคน ร่วมมือกันช่วยยับยั้งได้ค่ะ เหมือนที่หลายชุมชนผสานกำลังยับยั้งเหตุจลาจลในพื้นที่ตนได้ หรือช่วยกันทำความสะอาดกรุงเทพฯในวันนี้ หวังว่าเมืองไทยจะก้าวผ่านเหตุการณ์นี้อย่างเข้มแข็งค่ะ...

ปล. ฝากถึงนักวิชาการที่เทียบเหตุการณ์นี้เหมือนจลาจล 14 ต.ค. และพ.ค.ทมิฬว่า เหตุคราวนี้แตกต่างกันนัก ไม่ใช่จลาจลเพราะความโกรธ แต่เป็นการเตรียมชุดความคิดให้กับผู้ชุมนุมไว้ล่วงหน้า และแถมหน่วยลอบยิงป้องกันการดับเพลิงอีก เตรียมดีขนาดนี้ อย่าเทียบกับ 14 ต.ค.เลยนะคะ ...




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 19:48:59 น.
Counter : 380 Pageviews.  

1  2  3  4  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.