เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

กรณี...คนไข้โดน"มอมยา" และมันคือยาอะไร??!


ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หมอได้มีโอกาสตรวจคนไข้ที่มาด้วยประวัติว่าถูกมอมยาแล้วรูดทรัพย์ถึงสองราย ยิ่งฟังรายละเอียดด้วยแล้ว ยิ่งขนลุกขนพองว่าในสังคมเรามีภัยใกล้ตัวขนาดนี้เชียวหรือ มิจฉาชีพเหล่านี้คิดอะไร ของหายหรือโดนทำร้ายก็ล้วนแล้วแต่เสียใจเจ็บใจทุกคน แต่ทำไมยังทำกับคนอื่นได้ เข้าเรื่องกันต่อ รายละเอียดของคนไข้แต่ละคนมีอยู่ว่า


รายแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคน (ขอเรียกว่าคนไข้ละกันนะคะ) เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ขณะกำลังเดินเลือกของใน BIG C บริเวณชั้นวางแชมพู ก็มีคนเดินเลือกอยู่ข้างๆ คนนั้นเปิดขวดแชมพูในชั้นดมแล้วก็พลางยื่นมาให้ดม แล้วก็พูดกับคนไข้ว่าหอมดีนะ คนไข้ก็ยื่นหน้าไปดม แล้วก็มีอีกคนเดินมาใกล้ๆ แล้วทำกระเป๋าเงินหล่นใส่ไปในตะกร้า คนไข้จึงหันไปบอก เขาก็ทำหน้าดีใจ รับกระเป๋าไป แล้วก็พูดกับคนไข้ว่าขอบคุณมาก แล้วยังบอกว่าเค้ามีเงินในกระเป๋าตั้งเยอะ ต่อมาคนไข้รู้สึกมึนๆ และก็จำไม่ได้อีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็คือมานั่งในร้านอาหารแล้วเด็กในร้านเดินมาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า คนไข้ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วก็สำรวจพบว่าสร้อยทอง กระเป๋าสตางค์หายไป ถามเด็กในร้านอาหาร เขาบอกว่าเห็นว่าคนไข้เดินมากับผู้หญิงสองคน แล้วก็นั่งอยู่ด้วยกันซักพัก แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ จนสองคนนั้นแยกไป แต่เด็กสังเกตเห็นคนไข้นั่งเหม่ออยู่นานจึงเดินเข้ามาถาม ในห้างกลางวันแสกๆ แถมคนพลุกพล่านยังโดนได้ ขนลุกชะมัด


รายที่สอง เป็นหญิงชาวฟิลิปปินส์ ลงเครื่องที่สุวรรณภูมิ ขณะกำลังจะเรียกแท็กซี่มิเตอร์ แต่ขณะผ่านรถคันก่อนที่จะถึงคันที่มองไว้ ก็มีผู้ชายที่เดินตามดันให้เข้าไปรถอีกคัน แล้วก็บอกว่าไปคันนี้ก็ได้ นี่ก็แท็กซี่เหมือนกัน (หมอคิดว่าคงเป็นรถป้ายดำ คือรถที่ไม่ได้เป็นแท็กซี่มิเตอร์ แต่มายืนรอดักผู้โดยสาร เคยเห็นบ่อยๆ ซึ่งก็มักจะพูดกับคนขับแท็กซี่ปรกติว่าพวกนี้ดูน่ากลัวออก เราขึ้นไปแล้วจะปล่อยเราลงรึเปล่าก็ไม่รู้) ตอนแรกคนไข้จะลง บอกว่าจะไปแท็กซี่มิเตอร์ แต่คนในรถคันนี้ไม่ยอม บอกว่าเค้าก็เป็นแท็กซี่เหมือนกัน รับรองส่งถึงที่ ผู้ป่วยก็พยายามโทรหาเพื่อนที่เมืองไทยนี่ แต่ติดต่อไม่ได้ ระหว่างทางคนที่ดันผู้ป่วยเข้ามาในรถส่งน้ำให้กิน แล้วก็บอกว่า "If you’re good. I'll good." ตอนแรกคนไข้จะไม่กิน เขาก็บังคับให้กินซะ แล้วจะพาไปส่ง คนไข้ก็เลยกินเข้าไป กินไปนิดหน่อย จะเลิกมันก็มองแบบโหดๆ จนคนไข้กินเกือบครึ่งขวดมันก็หันหน้าไปไม่สนใจแล้ว ต่อมาคนไข้ก็บอกว่าเริ่มมึนๆ มารู้ตัวอีกทีก็อยู่หน้าที่พักของเพื่อนซึ่งเป็นสถานที่ๆบอกให้มาส่งตั้งแต่แรก แต่ก็พอจะจำได้ว่าก่อนลงหน้าที่พัก ได้ลงไปกด ATM ห้คนพวกนี้ไปอีกหกพันบาท หมอก็ถามว่าทำไมตอนนั้นตัดสินใจกดให้ คนไข้บอกว่ามันขู่ว่าเป็นตำรวจหรือพูดว่าจะส่งให้ตำรวจอะไรทำนองนี้ แต่คนไข้บอกว่าเขาเข้าประเทศมาอย่างถูกกฎหมาย ตอนที่กดให้ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่ากลัวคำว่าตำรวจก็เลยกดให้ เป็นโชคดีของชาวต่างชาติคนนี้ที่ไม่โดนอะไรไปมากกว่านี้



เหล่าบรรดาแท็กซี่ป้ายดำหน้าสนามบินนี่น่ากลัว หมอไม่เคยคิดจะใช้บริการอยู่แล้ว บ่อยครั้งที่เดินผ่านแล้วเจอคนเหล่านี้เดินตามตื้อมันช่างดูน่ารำคาญ น่าคิดว่าทำไมถึงปล่อยให้มีได้ เพราะมีรถในลักษณะส่วนบุคคลจอดกองเต็มไปหมด ทั้งที่เจ้าหน้าที่สนามบินควรจะมาไล่ แต่กลับเอาแต่กวดขันแท๊กซี่แท้ๆที่ถูกกฎหมายบนชั้นขาออกอยู่ได้


กรณีเหล่านี้พบเห็นได้บ่อยครั้ง เรียกว่า การถูกมอมยาย้อนกลับมาเรื่อง "ยา" หมอกลับมาคิด พยายามคิดว่ายาอะไรหนอมันจะแรงขนาดสูดไม่กี่ที ป้ายหนึ่งแปะ แล้วมันจะทำให้มึนได้ขนาดไม่รู้ตัว ไอ้ยาที่ผสมน้ำเครื่องดื่มนะพอจะเข้าใจอยู่ เพราะน่าจะได้รับเข้าไปในปริมาณที่มากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมอมยาในสถานบันเทิง มักมีแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งเป้าหมายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรามากกว่าปลดทรัพย์ จึงมักได้รับยาในปริมาณที่มากพอสมควร แต่ไอ้ดมกับป้ายนี่สิ ยาอะไรหว่า ??? คิดตั้งนานก็คิดไม่ออก ถามหมอคนไหนก็ไม่มีใครตอบได้ซักคน ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้ว ยาในรูปแบบของแก๊สที่ทำให้สลบมีไหมหรือยานอนหลับอย่างแรงที่อยู่ในรูปแบบของเหลวและก๊าซที่ใช้ในการเตรียมผู้ป่วยก่อนทำผ่าตัด มีแน่นอนค่ะ แต่จากตอนที่เรียนได้เห็นว่ามันต้องใช้ปริมาณพอสมควรเหมือนกันที่จะทำให้มึนงงขาดสติได้ เพราะคิดอย่างนี้ จึงคาดไม่ถึงด้วยความสงสัยที่มี จึงลงมือค้นคุ้ยในอินเตอร์เน็ทอยู่ ก็ได้พบว่ามีการขายของเหล่านี้อย่างมากมาย ก็ได้ตามเข้าไปดู พอจะสรุปได้ว่ามียาสองกลุ่ม นั่นก็คือกลุ่มของยาเสพติดและยาในการรักษาโรคทางการแพทย์ที่มีฤทธิ์สามารถทำให้มึนงง ง่วง สลบ


เรามาดูกลุ่มของยาเสพติดคร่าว มีดังนี้

1.กลุ่มที่เข้าสู่ร่างกายโดยการสูบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ยาสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย อาจเริ่มจากมีบริกรหรือคนแปลกหน้ามาแจกมวนบุหรี่ให้สูบ แสร้งสร้างมิตรภาพบ้าง หรืออ้างเป็นการบริการของสถานบันเทิงบ้าง สารเสพติดที่ใช้อัดใส่มวนบุหรี่คือ กัญชา หรือ เฮโรอีน กลิ่นกัญชาจะเหมือนเชือกหรือหญ้าแห้งไหม้ไฟ หลังสูบใหม่ๆ จะกระตุ้นประสาท ร่าเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย ต่อมาจะคล้ายคนเมาเหล้าอย่างอ่อน เพราะออกฤทธิ์กดประสาท ง่วงนอน ซึม มีภาพหลอน หูแว่ว สับสน ควบคุมตัวเองไม่ได้

2.กลุ่มที่เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน ที่เรารู้จักกันดี ได้แก่

- ยาบ้า (Amphetamine) เป็นสารสังเคราะห์มีแอมเฟตามีนเป็นส่วนประกอบ

- ยาอี (E=Ecstasy) กับยาเลิฟ เป็นยาในกลุ่มเดียวกันแต่แตกต่างกันในแง่โครงสร้างทางเคมี อาจเรียกชื่ออื่นตามรุ่นหรือรูปแบบของยาเช่น Enjoy ,Adam , Batman , Yin Yang ยามีสีสันอ่อนๆและรูปภาพต่างๆบนเม็ดยาเช่น รูปนก รูปคน รูปหัวใจ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทในช่วงเวลาสั้นๆ ออกฤทธิ์หลังเสพประมาณ 30-45 นาทีและอยู่ได้นาน 6-8 ชั่วโมง มองเห็นภาพและเสียงผิดปรกติ รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนเป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรมมั่ว ภาพหลอน ควบคุมตัวเองไม่ได้ ขาดสำนึกผิดชอบชั่วดี ซึ่งจะเป็นสาเหตุนำไปสู่การ "ข่มขืน" และ "มั่วเพศ" !!!....ในบางรายหากได้รับยาในปริมาณมากจะส่งผลให้ หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าสั่น กระทั่งถึงขั้น "ระบบหายใจล้มเหลว"!!! อีกทั้งทางการแพทย์ยังพบว่า หลังจากใช้ยาดังกล่าวผ่านไป 3 วัน ผู้ใช้จะเกิดอาการซึมเศร้า เนื่องจาก " ยาอี " จะไปกดทับประสาทให้สมองหลั่ง "สารเซโรโทนิน" ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ เกิดความรู้สึกมีความสุขออกมาจนหมด... เมื่อหมดฤทธิ์ยาร่างกายจะปรับตัวไม่ทันต้องโหยหาหวนกลับไปเสพอีกครั้งซึ่งนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ วังวนยาเสพติด

- เมจิก เปปเปอร์ส (Magic papers) หรือ POP เสพโดยการอม มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆคล้ายแสตมป์ สารเสพติดคือ LSD โดย LDS นี้ก็มีในรูปแบบเม็ด หรืออาจผสมกับสารเสพติดอื่น เช่น FiveFive เดิมทีเดียวใช้เป็นยารักษาคนไข้โรคจิตบางประเภท แต่ปัจจุบันเลิกใช้เนื่องจากมีฤทธิ์หลอนประสาทรุนแรง ก้าวร้าว เพ้อฝันในสิ่งเป็นไปไม่ได้เช่น คิดว่าตนเองเก่ง เหาะได้ กล้ากระทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างกรีดแขนทำร้ายตนเอง ฆ่าตัวตาย สารเสพติดชนิดนี้สังเกตได้ไม่ยาก หากคนแปลกหน้าหยิบยื่นสิ่งที่ดูแปลกตาให้เป็นแผ่นบาง เพื่ออมแล้วละก็ ต้องปฏิเสธไว้ก่อนเป็นดี

- ยาเค (K-Katamine) ทางการแพทย์ใช้เป็นยาสลบก่อนการผ่าตัด มีทั้งเป็นผง น้ำ หรือ ผลึก ในขณะที่มิจฉาชีพก็นำมาใช้เป็นยามอมได้เช่นกัน แต่นักเสพยามักนำมาใช้เพื่อการเสพติดได้ด้วย เมื่อเข้าจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย ตาพร่ามัว เสียสติ ประสาทหลอน น่ากลัวที่สุดคือกดการหายใจได้ อาการประสาทหลอนอาจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้แม้ไม่ใช้ยาเรียกว่า Flashback

3.ขอกล่าวถึงยาเสพติดชนิดที่ใช้ในการสูดดม

- เฮโรอีน, โคเคน, ยาเค สามอย่างนี้เป็นผงสีขาว นำมาเสพโดยการสูดดมจะใช้วิธีดมผงเล็กๆเหล่านี้เข้าทางระบบทางเดินหายใจ

- ยาไอซ์ เป็นเกล็ดออกสีใสๆ นำมาเสพโดยการเผา แล้วมักสูดดมผ่านอุปกร์ โดยให้ควันผ่านน้ำอีกที

- ยาบ้า นำมาเผาแล้วดม


เรามาดูกลุ่มยารักษาโรคทางการแพทย์ที่มิจฉาชีพนำมาใช้กันบ้าง กลุ่มยาหลักคงหนีไม่พ้นกลุ่มยานอนหลับ

1.กลุ่มยาที่นำมาผสมกับน้ำหรืออาหารเพื่อให้รับประทานเข้าไป

- กลุ่มหลักๆได้แก่ Benzodiazepine เป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ควบคุมการนำเข้าและจำหน่ายโดยกองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในทางการแพทย์จะใช้รักษา อาการวิตกกังวลเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรือคลายเครียด โดยทั่วไปจะใช้ในระยะสั้นๆ เนื่องจากหากเสพติดต่อกันจะทำให้เกิดอาการ "ติดยา" ได้ โดยตัวที่นิยมนำมาใช้ในการ “มอม” จะเป็นตัวที่ออกฤทธิ์เร็ว ได้แก่ Triazolam (Halcion) หรือที่เรียกว่า "ยาเสียตัว" ตัวยาจะมีลักษณะเป็น "เม็ดสีม่วงอ่อน", Midazolam (Dormicum) สองตัวแรกถือได้ว่าเป็น "ยาที่ออกฤทธิ์เร็ว"ภายในเวลา 5 นาที, ส่วนตัวอื่นๆ เช่น Flunitrazepam (Rohypnol), temazepam (Restoril), Alprassolam (Xanax), Diazepam (Valium) จะออกฤทธิ์ช้ากว่า แต่ก็พอจะใช้ได้

- อื่นๆที่นำมาใช้ได้บ้าง เช่น Chloral hydrate ป็นยานอนหลับอีกกลุ่มเช่นกัน

2. ชนิดสูดดมโดยมิจฉาชีพนำมาใช้ในรูปสเปรย์พ่นหรือทำให้มีการระเหยมาถึงยังบุคคลที่ต้องการมอม สารพวกนี้มีลักษณะเป็นไอระเหยได้รวดเร็วในอากาศ ที่แพร่ระบาดมีหลายชนิดเช่น

- Ether , Ethyl chloride , Buthly nitrite , Nitrous oxide ที่รู้จักกันดีในชื่อก๊าซหัวเราะหรือ Amyl nitrite ที่บรรดานักเล่นยาเรียกว่า ป๊อปเปอร์ส (Poppers)

- นอกจากนี้ในปัจจุบันได้พบว่าพวกมิจฉาชีพมีการนำยาสลบ (anesthetic drug) ทางการแพทย์ที่รุนแรงกว่าที่กล่าวไปข้างต้นมาใช้ ซึ่งหมอเองยังคิดไม่ถึงว่าจะมีการนำมาใช้เพื่อการนี้ หารายละเอียดเจอยังไม่พอ ยังเจอที่ขายอีกต่างหาก หาได้ไม่ยากเลย ช่างน่ากลัวจริงๆ ได้แก่ sevoflurane + norcurone ในโฆษณาขายเคลมว่าออกฤทธิ์ที่ไม่เกินสองนาที นานไม่เกินสามชั่วโมง แค่นี้ก็เพียงพอเหลือแหล่ต่อการประกอบอาชญากรรมใดๆแล้วจริงๆแล้วยาเหล่านี้มีในหลายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเม็ด ผง หรือน้ำ ล้วยแล้วแต่นำมาให้กินได้ทั้งนั้น ยิ่งรูปแบบน้ำด้วยแล้ว สามารถนำมาฉีดได้อีกด้วย


ทั้งหมดนี่คือยาต่างๆที่สามารถนำมาทำให้เราๆตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้คร่าวๆ โดยสรุป หลักๆ

1.แอบนำไปผสมในเครื่องดื่มหรืออาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (แอลกอฮอล์จะช่วยเสริมฤทธิ์ยาเหล่านี้) แล้วหลอกล่อให้เหยื่อดื่ม ซึ่งเมื่อยาดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศรีษะและหายใจขัด หลังจากนั้นจะหลับลึกปลุก หรือเขย่าไม่ตื่น สูญเสียความทรงจำในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อีกทั้งหากได้รับยาปริมาณมาก อาจมีอาการรุนแรงเนื่องจากยาไปกดระบบการหายใจ จนเสียชีวิตได้ อีกสาเหตุที่มักผสมในแอลกอฮอล์ เพราะยาเหล่านี้จริงๆแล้วมีรถขม ซึ่งแอลกอฮอล์มักลบรสชาติได้

2.กลุ่มนี้มิจฉาชีพจะเข้ามาประชิดตัวเพื่อให้เหยื่อสูดดม ทำให้สลบได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาการที่เกิดขึ้นหลังได้กลิ่นสารระเหยเหล่านี้คือ ไอ จาม คลื่นไส้ จนอาจมีเลือดออกจากโพรงจมูกได้ จนกระทั่งหมดแรงในที่สุด ในปัจจุบันยังพบว่ามีการ "มอมยา" ผ่านทางช่องแอร์ในรถแท็กซี่บางคัน โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่โดยสารแท็กซี่คนเดียว โชว์เฟอร์อาจจะป้ายยาไว้ที่มือ และแสร้งทำเป็นเข้าเกียร์บ่อยๆ เพื่อให้กลิ่น ของ "ยามอม" ลอยตามลมแอร์ไปที่ตัวเหยื่อ หรือบางครั้งคนขับอาจ แกล้งจอดรถขอเข้าห้องน้ำ เพื่อให้เหยื่อสูดดม " สารมรณะ " ภายในรถ ซึ่งการ "มอมยา" ในลักษณะนี้ "เหยื่อ" หมดสิทธิ์ที่จะรู้ตัว!! หนทางป้องกันเห็นจะต้องเป็นคนช่างสังเกต หากได้กลิ่นแปลกๆ หรือเริ่มมึนและง่วงซึม วิธีแก้ปัญหาคือกลั้นหายใจเพื่อหยุดการสูดดม รีบตั้งสติและ รวบรวมกำลังลงจากรถหรือออกจากพื้นที่นั้นๆทันที

3.รูปแบบสุดท้ายที่เคยได้ยิน คือ การป้าย ผู้ป่วยมักเล่าให้ฟังว่ารู้สึกว่าถูกป้ายด้วยครีมหรือของเหลวที่ร่างกาย เพียงเล็กน้อย แล้วก็สะลึมสะลือลือ หรือมึนงงไปซักพัก แล้วก็มักจะมารู้สึกตัวพร้อมกับทรัพย์สินที่สูญเสียไปแล้ว อันนี้หมอไม่ทราบจริงๆค่ะว่าเป็นยาอะไร เพราะตามหลักการแพทย์ สารเคมีต่างๆ ที่สัมผัสผิวหนังส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมเข้าไปใต้ผิวหนังเพียง 10-20% เท่านั้น ในกรณีที่สารเคมีถูกผิวหนังจนทำให้เกิดพิษต่อร่างการนั้น เท่าที่หมอเคยเจอคนไข้กับตัวนี่ก็เรียกว่าแทบจะตกไปในบ่อสารเคมี หรือต้องสัมผัสมาด้วยเวลาที่นานมากๆ แต่เท่าที่ได้คุยกับคนไข้เหล่านี้ จะจำได้ว่ามีการเข้ามาพูดคุยก่อน บางคนจำได้ตลอดว่าได้สนทนาอะไร แล้วแทบจะเป็นคนถอดทรัพย์สินของตนให้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ลักษณะที่หมอสังเกตพบว่าผู้ป่วยมักจะเป็นผู้หญิงวัยกลางคนถึงสูงอายุที่มาคนเดียว และมีลักษณะดูหัวอ่อนค่ะ หมอคิดว่าน่าจะใช้หลักจิตวิทยาเกี่ยวกับการสะกดจิตเข้าช่วย


อื่นๆที่หาได้จากบทความทางอินเตอร์เน็ท แต่ไม่เป็นความจริง

1. Progesterex เป็นยาที่ใช้ในการทำหมันม้า ทำให้สามารถ ป้องกันการตั้งครรภ์จากการข่มขืนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นนักข่มขืนจึงมักไม่ต้องคอยกังวลเรื่องของการเรียกร้องค่าเสียหายหรือ การตรวจสอบเพื่อระบุตัวพ่อของเด็กอีกด้วยนอกจากนี้ยา Progesterex ยังทิ้งผลกระทบกับเหยื่อในระยะยาว กล่าวคือผู้หญิงที่ได้รับยาตัวนี้เข้าไปในร่างกาย จะทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อาจถาวร โดยจะถูกใช้ควบคู่กับ "Rphypnol" จากที่พยายามค้นหา สรุปแล้วยาตัวนี้ไม่มีจริงค่ะ (อ้างอิง1,อ้างอิง2)

2. PENISEX เท่าที่ค้นๆเจอ พบแค่ว่าเป็นชื่อของ cream ที่ใช้ภายนอกที่ช่วยในการเพิ่มความรู้สึกทางเพศ มีขายทั่วไปตาม Sex shop ในต่างประเทศใน


กลุ่มยาเสพติดหลากหลายรูปแบบดังที่กล่าวไว้ซึ่งเราคงพอรู้จักกันดีอยู่แล้ว ในความเป็นจริง ถ้าเราไม่นำพาตัวเองให้เข้าไปสู่สถานการณ์ล่อแหลมก็ยากที่จะได้สัมผัส เพราะสารเสพติด มักได้ได้ออกฤทธิ์เร็วขนาดที่จะทำให้มึนงงหรือสลบได้ในสองสามนาที แต่ต้องใช้เวลา เราจึงพบเห็นเสมอว่าเหยื่อที่ถูกมอมด้วยยาเสพติดหรือยานอนหลับมักถูกกระทำในสถานบันเทิง แต่ก็ไม่มีน้อยที่ถูกกระทำจากบุคคลใกล้ชิดในที่อื่นๆ


ดังนั้นวิธีป้องกันการถูก "มอม" ที่ดีที่สุดคือต้องไม่นำพาตัวเองไปสู่สถานการณ์ สถานที่เสี่ยงต่อการถูกกระทำอาชญากรรม รวมทั้งต้องไม่ไว้ใจรับอาหารหรือเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า และหากมีอาการมึนงงคล้ายถูกมอมยาให้รีบออกจากสถานที่แห่งนั้นโดยทันที


ในปัจจุบันจะสังเกตได้ว่าตัวยาที่เหล่ามิจฉาชีนิยมนำมาใช้นั้นส่วนใหญ่มักจะเป็น "ยาที่ถูกควบคุม" ในลักษณะของผู้ที่จะซื้อต้องมีใบสั่งยาจาก "แพทย์" เท่านั้น หากแต่ที่ผ่านมายังมีการลักลอบขายกันตามร้านขายยาบางแห่ง ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบผู้ขายก็มักจะอ้างว่าผู้ที่มาซื้อจะมีใบรับรองจากแพทย์ถูกต้อง ทำให้ที่ผ่านมาก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ เพราะยังไม่มีกฎระเบียบบังคับชัดเจน อีกทั้งใน "โลกไซเบอร์" หรือ "อินเตอร์เน็ต" ในปัจจุบันก็ยังมีการโฆษณาลงประกาศข้อความหรือเปิดเว็บไซต์เพื่อขายยานอนหลับ ยาสลบ ยาปลุกเซ็กซ์กันอย่างเปิดเผย มีการบรรยายสรรพคุณของยาโอ้อวดเกินจริง แม้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้พยายามปิดเว็บไซด์ ตามสืบและเข้าจับกุม แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดได้หมดสำหรับ


หนทางที่พอจะเป็นทางออกในเรื่องนี้...จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนโดยทั่วไป ต้องคอยเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแสคนกระทำผิดให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองรับทราบและหากทใครที่ทราบเบาะแส เกี่ยวกับการลักลอบขายยา ที่ผิดกฎหมายสามารถร้องเรียนได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 045 - 661490 ตลอด 24 ชั่วโมง


ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้คือ...เราต้องรู้เท่าทัน คนชั่ว เพื่อที่จะรู้จักรักษาตัวให้อยู่รอดอย่างให้ปลอดภัย



ใน FWM พูดถึง coca cola ผสมผงชูรส (monosodium glutamte) ใช้มอมสาวได้ อันนี้ก็ไม่เป็นความจริงค่ะ อ่านเพิ่งเติมได้ที่ snops




 

Create Date : 23 เมษายน 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 15:07:25 น.
Counter : 10430 Pageviews.  

เฉียดตาย...ใน ER

สมัยเรียนปีสุดท้าย ได้ถูกส่งไปฝึกงานที่ รพ.ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง วันนั้นกำลังเข้าเวรอยู่ในห้องฉุกเฉิน มีคนไข้ถูกยิงรายหนึ่งถูกเข็นเข้ามา บรรดาแพทย์และพยาบาลก็กรูกันเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ จนกระทั่งระยะวิกฤติผ่านพ้นไป ขณะที่คนไข้กำลังนอนรอเพื่อไปห้องผ่าตัด ไม่มีใครคาดคิด แม้ญาติผู้ป่วยจะยืนอออยู่หน้าห้อง ก็ได้มีชายอีกคนเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉิน แล้ววิ่งเข้าไปยิงผู้ป่วยคนนี้ซ้ำอีกหลายนัด ขณะวิ่งหนีออกไปก็วาดปากกระบอกปืนไปทั่วเพื่อแหวกทางเป็นที่น่าหวาดเสียวเป็นยิ่งนัก

ตอนที่เค้ายิงคนไข้นั้นหมอกำลังยืนดูผู้ป่วยอยู่เตียงถัดไปข้างๆพอดีเลย ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นั่งหมอบอยู่ข้างเตียง คนไข้เตียงที่หมอดูอยู่ก็โดดลงมานั่งกับหมอด้วย บอกว่าหายปวดท้องเลยซะงั้น

คนไข้ที่ถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด และก็ตามจับคนยิงได้อยู่ดี ยังเด็กกันอยู่ทั้งนั้นเลย คนนึงตาย ส่วนอีกคนต้องติดคุกยาว เสียอนาคตแน่นอน เฮ้อ...ไม่รู้ว่าสุดท้ายการใช้ความรุนแรงแลกกับสิ่งที่เราเรียกว่าศักดิ์ศรี จริงๆแล้วมันคุ้มหรือไม่กับผลลัพท์ที่เกิดขึ้น




 

Create Date : 10 เมษายน 2552    
Last Update : 15 เมษายน 2552 14:00:33 น.
Counter : 577 Pageviews.  

หมอคะ...จะให้เอาไปไว้ไหนดี?



ณ ห้องฉุกเฉิน ค่ำคืนหนึ่ง ชายคนหนึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการถูกงูกัด จะว่าถูกนำส่งก็ไม่ถูกนัก เพราะผู้ป่วยเดินมาเองได้ ก็ได้บอกกับหมอว่าตนเองถูกงูเห่ากัด ตอนมาใหม่ก็ยังดีๆอยู่แหละ อวดอ้างสรรพคุณในการจับงูซะยกใหญ่ สุดท้ายก็การหายใจล้มเหลว แต่สุดท้ายก็รอดชีวิต...ไม่ตาย

ตามปรกติแล้ว หมอจะขอดูตัวงูด้วยถ้าเป็นไปได้ ซึ่งญาติก็ได้หิ้วมาให้ดู เป็นงูเห่าที่ตัวใหญ่มาก เรื่องของเรื่อง...คนไข้ซื้อมาเพื่อทำอาหาร แต่ตัวเองกินเหล้าไปก่อนแล้ว ตอนล้วงไปจับออกจากถุงเลยพลาด ดูเสร็จ...พี่ชายคนไข้ก็จะเอากลับไปทำอาหารต่อ โหย...ขนาดมันกัดแล้วยังจะเอามันไปกินอีก หมอสงสารก็เลยขอไว้ กะจะเอาไปให้สถานเสาวภา แต่มันมาเป็นถุงตาข่าย เหล่าบรรดาพยาบาลก็ออกอาการขนพองสยองกล้ากันมาก หมอก็ถามว่ามีกล่องใส่ไหม ใส่กล่องว่างไว้หน้าโต๊ะ พยาบาลก็ยังทำหน้าสยองอยู่ดี

สุดท้ายหมอก็เลยเอามันเข้าไปไว้ใต้เตียงที่หมอนอนด้วย ก็กลัวๆเหมือนกัน แต่ก็สงสารพยาบาล เพราะเราเป็นคนต้นคิด

สุดท้ายก็ได้นำไปให้สถานเสาวภา เจ้าหน้าที่บอกว่า...งูตัวนี้จะอยู่ในห้องแอร์สุขสบาย และเค้าจะรีดพิษไปทำเซรุ่ม หมอก็ดีใจที่สามารถหาหนทางต่อบุญให้เจ้างูเห่าตัวนี้ได้อีกด้วย ซึ่งต่อมาก็ได้ทำหนังสือขอบคุณส่งมาให้จากสภากาชาด อิ่มอกอิ่มใจกันไป...

หลายๆครั้งที่การบาดเจ็บทางร่างกายเกิดขึ้นเพราะสุรา เฮ้อ...มันน่าจับพวกนี้มาตีซะให้เข็ดจริงๆ




 

Create Date : 10 เมษายน 2552    
Last Update : 11 เมษายน 2552 3:06:16 น.
Counter : 594 Pageviews.  

เฮฮา...ประสาหมอ (เรื่องขำขัน 3)

เรื่องราวสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ นำมาเล่าสู่กันฟังแบบขำๆ ค่ะ

"ขึ้นเตียง"

คุณป้าคนหนึ่งอายุราวหกสิบ แกยังครองตัวเป็นโสดจนถึงปัจจุบัน
มาด้วยอาการมีตกขาวมาผิดปกติ จึงมาพบสูตินรีแพทย์
เมื่อได้คุยกับแพทย์แล้ว ก็ต้องมีการตรวจร่างกาย ซึ่งก็คือการตรวจภายใจ
แพทย์: กรณีมีตกขาวในอายุมากแล้วนะครับคุณป้า ควรจะต้องตรวจภายในนะครับ เพื่อตรวจหาว่ามีมะเร็งปากมดลูกหรือไม่ครับ
คนไข้: อ๋อ...ค่ะ ตรวจอย่างไรคะ
แพทย์: เดี่ยวคุณป้าขึ้นเตียงเลยนะครับ
คุณป้าทำท่าตกใจ แล้วรีบลุกออกจากห้องไปทันที พยาบาลไม่ทันแม้จะรั้งไว้
วันถัดมา แกกลับมาอีกครั้ง แต่ขอให้หมอผู้หญิงเป็นคนตรวจ
ป้าแกบอกว่า "พอป้าได้ยินคำว่าขึ้นเตียงก็ตกใจ รับไม่ได้ ก็เลยหนีกลับทันที ก็ป้ายังไม่เคยน่ะ มันก็เลยกลัว แต่ป้ากลับไปถามใครๆดู เค้าบอกว่าจำเป็นต้องตรวจ พอทำใจได้แล้ว ป้าก็เลยกลับมาน่ะจ๊ะ แล้วหมอคนเมื่อว่าก็เป็นผู้ชายอีกด้วยน่ะ ป้าก็ไม่แน่ใจว่าถ้าวันนี้ไม่มีหมอผู้หญิงป้าจะกล้าตรวจหรือเปล่า" "




 

Create Date : 09 เมษายน 2552    
Last Update : 14 เมษายน 2552 12:44:08 น.
Counter : 1317 Pageviews.  

เฮฮา...ประสาหมอ (เรื่องขำขัน 2)

สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ด้วยน้อยความรู้ สิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำในยามนั้น ก็คือการเข้าไปคลุกคลีกับคนไข้ ทำให้ได้เห็นอะไรๆที่เป็นความน่ารักของเหล่าบรรดาพ่อแม่ในแผนกเด็ก เลยนำมาเล่าสู่กันฟังแบบขำๆ ค่ะ

"เปลี่ยนเสื้อ"

พยาบาลเดินนำพ่อของผู้ป่วยเด็กรายหนึ่งไปเนอะนำที่เก็บของใช้สำหรับผู้ป่วยในหอพยาบาล พร้อมๆกับอธิบายไปด้วย
"ตรงนี้ห้องน้ำนะคะ น้ำดื่มกดได้จากตรงนี้ ..... "
พาเดินไปเรื่อยๆจนมาถึงตู้เก็บเสื้อผ้า ซึ่งเป็นเสื้อผ้าผู้ป่วย จึงหยิบให้พ่อคนไข้แล้วพูดว่า
"เดี๋ยวเอานี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะคะ" แล้วจึงเดินจากไปทำงานของตน
สักพักคุณพ่อของผู้ป่วยรายนี้เดินมาที่เคาเตอร์แล้วพูดว่า
"คุณพยาบาลครับมีเสื้อตัวใหญ่กว่านี้มั๊ย นี่มันเล็กไป"
พร้อมกับอวดให้ดูความพยายามที่จะสวมชุดผู้ป่วยเด็กเข้ากับตัวเอง
พยาบาลถึงกับอึ้งไป ตอนนั้นจะขำก็ขำไม่ออก เพราะดูท่าคุณพ่อคนนี้แกพาซื่อจริง
ได้แต่บอกว่า "เอ่อ...เป็นเสื้อสำหรับน้องน่ะค่ะคุณพ่อ"




 

Create Date : 09 เมษายน 2552    
Last Update : 9 เมษายน 2552 23:49:08 น.
Counter : 467 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.