อกสั่นขวัญแขวน...เมื่อคนไข้จิตเวชอาละวาด
ตอนเรียนปี 5 จะมีการเรียนวิชา minor หรือวิชาที่ไม่ได้เป็นวิชาหลัก เช่น แผนกตา, หูคอจมูก, ดมยา, และวันนี้เราต้องเข้าเรียนแบบกลุ่มในวิชาจิตเวช โดยอาจารย์นำผู้ป่วยมาเพื่อให้นักศึกษาแพทย์หัดสองคนทำการสัมภาษณ์เพื่อซักประวัติหน้าห้อง โดยนักศึกษาที่เหลือ(เกือบร้อยชีวิต)เป็นผู้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ผู้ป่วยคนนี้เป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง เฝ้าแต่คิดว่าชีวิตไร้ค่า
เรามาลองดูเรื่องราวของผู้ป่วยกัน... ผู้ป่วยได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็กว่าค่อนข้างยากลำบาก จนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ในปีแรกผู้ป่วยได้ทุน แต่เมื่อขึ้นปีที่สองผู้ป่วยการเรียนตกลง จึงถูกริบทุนการศึกษา และต้องออกจากมหาวิทยาลัยไปในที่สุด เมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ผู้ป่วยต้องทำงานอย่างหนัก จนสามารถสร้างฐานะได้ เมื่อมีครอบครัว ผู้ป่วยเหมือนไม่ได้รับการยกย่องจากภรรยาและบุตร
จากเรื่องราวทั้งหมดจึงสรุปได้ว่าผู้ป่วยมีความกดดันอย่างสูง และค่อนข้างจะโกรธแค้นสังคมในความไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเรียน เหมือนผู้ป่วยจะคิดว่าถ้าเขาได้เรียนจบมหาวิทยาลัย ชีวิตจะดีกว่านี้
ระหว่างที่เล่าไปเรื่อย สังเกตุถึงลักษณะน้ำเสียงเริ่มรุ่นแรงขึ้นเรื่อย และการเล่าเริ่มวนย้อนมาถึงเรื่องการต้องออกจากมหาวิทยาลัยเพราะถูกริบทุนการศึกษาซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง
ผู้ป่วยเริ่มแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ลุกขึ้นชี้หน้าด่าบรรดานักศึกษา "พวกคุณคงรวยสินะ พวกคุณทุกคนต้องมีเงินแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาเรียนปริญญาหรอก เพราะไอ้อาจาย์เฮงซวย ริบทุนการศึกษาผมไม่งั้นผมคงได้เรียนต่อ ไม่งั้นครอบครัวผมคงไม่เป็นแบบนี้ ไม่มีคุณค่าในสายตาภรรยาเลย" พูดไปพร้อมๆกับเริ่มเดินเข้าหา นักศึกษาแถวหน้าก็กระเจิงซิคะที่นี้ ดีที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่หน้าประตู เพื่อป้องกันผู้ป่วยหนีและเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด
ทำให้ความรู้สึกของหมอที่เคยชอบวิชาจิตเวชกลายเป็นกลัวคนไข้ แต่ก็ยังชอบตัววิชาอยู่นะ จะเห็นว่าผู้ป่วยรายนี้ิยึดติดกับเรื่องความล้มเหลวในการได้เข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้จนจบสมความตั้งใจมาก ทั้งๆที่จากลักษณะแล้วผู้ป่วยน่าจะเป็นที่มีความสามารถจนประสบความสำเร็จในการงานได้ แต่ก็ไม่ยอมเรียนที่อื่นในภายหลัง คิดแต่ว่าการที่ต้องออกจากมหาวิทยาลัยที่หวังเป็นความล่มเหลวที่แก้ไม่ได้
หลังจากที่เจ้าหน้าที่แยกตัวผู้ป่วยไปสงบสติอารมณ์สักครู่ โดยมีอาจารย์จิตเวชเข้าไปพูดคุยด้วย ผู้ป่วยก็ได้เข้ามากล่าวขอโทษนักศึกษา ...ในท้ายที่สุด (ความจำเป็นในการที่ต้องให้มาขอโทษ ทางอาจารย์หมอกล่าวว่าเพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับว่าได้เกิดเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ และตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ เพื่อกลับเข้าสู่สังคมได้อีกครั้งค่ะ)
ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งดี เพราะมันจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้า แต่การยึดติดต่อฝันที่ล้มเหล้ว ก็ทำให้เราจมอยู่กับที่ได้เช่นกัน ผู้ป่วยรายนี้จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่สามาารถควมคุมความรู้สึกได้ทุกเวลา แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือควบคุมได้มากน้อยหรือเวลาไหนๆ ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปในการจะรู้เท่าทันโลกแห่งความจริง
Create Date : 03 มิถุนายน 2552 | | |
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 14:32:37 น. |
Counter : 634 Pageviews. |
| |
|
|
|