เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

"หมอคะ...กินยาลดไข้แล้ว ทำไม่หายซักที?!!"

คนไข้หลายๆ คนมักมาบ่นกับหมอด้วยประโยคข้างต้น
ว่ากินยาลดไข้ไปตั้งหลายมื้อ แต่ทำไมทุกๆ สี่ชั่วโมงก็มักจะมีไข้กลับมาอีก
น่าแปลกที่บ้านเราไม่ค่อยจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพกันเลย
คนไทยไม่ได้โง่ แต่เราไม่เคยหาความรู้เรื่องสุขภาพให้กับตัวเอง
ไม่มีการเอาใจใส่ในเรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อสุขภาพ
หลายๆ คนกินยาไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ายาที่กิน กินไปทำไมมันจะช่วยอะไรได้
หลายๆ คนรู้แต่ว่าถ้าเป็นโรคนี้เคยได้ยาแบบนี้แล้วหาย ครั้งต่อไปก็ต้องได้ยาเท่าๆ เดิม

ยาหลายๆ อย่าง...ทำหน้าที่รักษาอาการ ไม่ใช่รักษาโรค
ยาทำหน้าที่ลดอาการเจ็บป่วย โดยอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ร่างกายแสดงออกมาเมื่อเจ็บป่วย
โรคต่างๆ จะมีอาการแสดงที่มีทั้งคล้ายคลึงกันและแตกต่างกันออกไป
โดยอาการที่แตกต่างจะนำมาใช้ช่วยในการวินิจฉัยโรค
การกินยาจึงเพียงเพื่อลดอาการเหล่านี้ลง เป็นการช่วยลดความรู้สึกไม่สบายตัว เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตหรือพักผ่อนได้
โรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกว่า 80% บนโรคใบนี้ เป็นโรคที่หายได้เอง
ผู้ที่ทำให้โรคเหล่านี้หายไปจากร่างกายก็คือภูมิคุ้มกันของเรา
โดยแต่ละโรคจะมีระยะเวลาในการเจ็บป่วยที่แตกต่างกันออกไป
บางโรคสองวัน บางโรคสามวัน จนบางโรคเป็นอาทิตย์

ยาที่อยากจะกล่าวถึงเป็นตัวแรกและตัวเดียว คือยาลดไข้
ยาลดไข้ทำหน้าที่ลดไข้ ไม่ได้รักษาโรค
แต่บางครั้งเมื่อเราเพิ่งเริ่มจะป่วย อาจจะรู้สึกว่าตัวรุมๆ หรือมีไข้ต่ำๆ
เมื่อกินยาไปเพียงหนึ่งหรือสองมื้อ พอดีกับการที่ร่างกายกำจัดโรคไปได้
จึงไม่มีไข้ขึ้นอีก หรือที่เราเรียกว่าหายนั่นเอง
ทีนี้คงไม่แปลกที่กินยาลดไข้เมื่อหมดฤทธิ์ยาจึงมีไข้กลับมาอีกนะคะ

บางครั้งเมื่อเราป่วย ที่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
อาจไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการได้รับการรักษาแบบประคับประคอง
จนกว่าร่างกายจะผ่านระยะวิกฤติ โดยอาจจะไม่ได้ยาฆ่าเชื้อหรือยาใดๆ เลย

ปล.วันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ พร้อมด้วยอารมณ์บ่จอย จากคนไข้ที่มากลางดึกด้วยเรื่องที่ไม่ฉุกเฉิน
มีคนเคยบอกเพราะคนไข้ไม่ใช่หมอ เพราะคนไข้ไม่รู้
บางเรื่องไม่ใช่เรื่องของความไม่รู้แต่เพราะไม่ใส่ใจต่างหาก
คนไข้ที่มากลางดึกด้วยเรื่องไข้กว่าสามสี่วัน แล้วพบว่าไม่ได้แย่ แต่มาเพียงเพราะว่านอนไม่หลับ
แม่ที่พาลูกมากกลางดึกด้วยเรื่องไข้ แต่น้องหนูนั่งตาแป๋วหัวเราะเอิ้กอ้ากสลับกับหาวหวอดๆ ใส่หน้าหมอ แถมมียากินอยู่แล้ว
และก็วัดแล้วไม่มีไข้ แสดงว่าถ้าจะมีก็คงมีไข้ต่ำๆ
ก็ไม่รู้จะพูดอะไรกันดีละคร้าบบบ...พี่น้อง
แม้จะได้เงินค่าตรวจพันบาทต่อเคสก็ไม่อยากได้ล่ะค่ะ...แบบนี้





 

Create Date : 22 มิถุนายน 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 10:10:25 น.
Counter : 4177 Pageviews.  

นึกว่ามา "โรงแรม หรือ โรงพยาบาล"

ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิด
แต่เมื่อป่วยแล้ว ที่พึ่งพิงก็คงไม่พ้นโรงหมอหรือโรงพยาบาลนั่นเอง
ทุกวันนี้เรามีทางเลือกด้วยตัวเองในการเดินเข้าออกโรงพยาบาลมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นสถานบริการทางการแพทย์ของรัฐหรือของเอกชนก็ตาม
แน่นอนความแตกต่างย่อมมีแน่...
โรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า รวมทั้งการบริการที่แทบจะอุ้มคนไปในทุกๆ ที่
แต่นี่ต้องเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับสี่ถึงห้าดาวเท่านั้นนะ
แน่นอนที่เขาบริการขนาดนี้เพราะมันรวมค่าบริการในค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นค่าห้องระดับหรู รวมทั้งค่าแรงของพนักงานเข้าไปด้วย
น่าแปลก...ทั้งๆที่เราก็ทราบดีว่าการบริการเหล่านี้ ที่ได้มาขึ้นอยู่กับอะไร
แต่เดี๋ยวนี้ทั้งคนไข้และญาติที่ตบเท้าเดินเข้ารับบริการในโรงพยาบาล
ทั้งของรัฐ และเอกชนระดับล่างถึงกลาง กลับเรียกร้องถึงการบริการในระดับหรู
จะให้หมอตรวจนู่นนั่นนี่ตามใจที่คิดว่าอยากจะได้ตรวจ
ประมาณว่าไปโรงพยาบาลเอกชนอื่นมาแล้วเขาจะตรวจ ก็เลยมาขอตามสิทธบัตรที่มีในมือ
จริงอยู่ว่าการตรวจบางอย่างเหล่านี้อาจต้องทำ แต่ตามหลักการอาจไม่ใช่สิ่งแรก ต้องตรวจอย่างอื่นซะก่อน
ต้องยอมรับว่าบ้านเราไม่ใช่เมืองนอก การตรวจบางอย่างมีราคาค่อนข้างสูง
จึงต้องใช้ดุลยพิจของแพทย์ในการเลือกส่งตรวจเป็นรายไป
ซึ่งสุดท้ายอาจจะจบด้วยการตรวจตัวนี้ก็ได้ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้
บางคนมาชี้นิ้วสั่งว่าจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ให้ได้ดังใจนึก
พอไม่พึงพอใจก็ขู่จะฟ้องเอาๆ ซะงั้น ทั้งๆที่จ่ายนิดเดียว บางทีไปจ่ายที่ไหนๆมาได้ตั้งเยอะ
แต่มาใช้สิทธิ์ประกันสังคม หรือ ประกันสุขภาพถ้วนหน้า พอเงินต้องกระเด็นออกจากกระเป๋า ก็หน้าเขียวขึ้นมาทันที
พูดกันตามหลักความจริงที่เราก็รู้ๆ กันอยู่ การแบ่งเกรดโรงพยาบาลก็เหมือนโรงแรม คือ มีทั้งระดับสุดหรูแล้วลดหลั่นไป
ถ้าจะสังเกตุให้ดี ยิ่งโรงพยาบาลหรูเท่าไหร่ จะไม่รับประกันสังคมและประกันสุขภาพถ้วนหน้า
มันก็เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคุณใช้เงินซื้อระดับการบริการทางการแพทย์

มันเป็นหลักการง่ายๆ ที่รู้กันอยู่แก่ใจ แต่ทำเพิกเฉย
คุณคงรู้สึกได้ว่าทำไมไปโรงพบาบาลแบบที่ต้องจ่ายเงินเองแล้วเขาให้คุณนอนโรงพยาบาลง่ายจัง
(ถ้าคุณแสดงให้เห็นว่ามีจ่ายแน่ๆ นะ)
แน่ละสิเพราะเขาได้เงิน โรงพยาบาลเอกชนจัดว่าเป็นธุรกิจ ดังนั้นถ้าทำอะไรแล้วได้เงินเขาก็พยายามทำสิ
แต่ทำไมไปใช้บริการตามสิทธิ์ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ได้นอน แน่นอนเพราะเป็นสิทธ์มูลฐาน
กลับกลายเป็นว่าพวกคุณๆ ทำเป็นไม่เข้าใจซะอย่างนั้น...น่าขำ

โรงพยาบาลต่างๆ มีมาตรฐานในการรักษาทั้งนั้น
แต่รายละเอียดของแต่ละโรงพยาบาลไม่เหมือนกัน จึงมีการจัดการที่แตกต่างกันออกไป

อยากให้มองเสียใหม่ว่า โรงพยาบาล ไม่ใช่...โรงแรม
ให้มองถึงการบริการในแง่ผลของการรักษา ไม่ใช่การเอาใจของบุคลากร


จริงๆ แล้วไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ก็อยากให้มองว่าการที่คนต้องมาบริการคนด้วยกัน
แม้ว่าจะซื้อการบริการด้วยเงินก็ตาม แต่ถ้าซื้อจากคนด้วยกัน
ก็ให้เรียกร้องพอประมาณ ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเป็นเราแล้วถูกคนอื่นมากระทำแบบนี้ใส่จะทนได้ไหมเช่นกัน
บางทีคุณอาจจะทนหรือทำให้ได้น้อยกว่านี้ซะอีก

มีคนไข้ถามเคยหมอว่าทำไมไม่ยอมให้เขานอนโรงพยาบาล
เพราะเขาก็จ่ายเงินเอง เขาบอกว่าเขารู้นะว่าหมอก็ได้เงินจากการให้คนไข้นอนโรงพยาบาล
หมอไม่รู้หรอกว่าหมอคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับตัวหมอเอง ถ้าไม่จำเป็นคือไม่จำเป็น
มีคนไข้เคยถามหมอว่าทำไมยาจากประกันสังคมกับจ่ายเงินเองไม่เหมือนกัน
ถ้าพูดจากใจหมอเอง...หมอไม่ชอบ แต่มันก็เป็นเรื่องนโยบายของโรงพยาบาล
ยาก็เหมือนรถยนต์...คนขับเบนซ์ กับ คนขับโตโยต้า วิ่งได้เหมือนกันแต่มันก็มีความต่าง
แต่กับยา...อยากให้มองว่า ถ้าเรากินยาราคาถูกหรือกินตัวที่อ่อนๆ แล้วหาย
จะดีกว่าทั้งในแง่การประหยัดเงิน และทรัพยากร
ทุกวันนี้คนไทยกินยากับแบบผิดๆ มากมาย โดยชอบพูดว่ากิน(ป้อง)กันไว้ก่อน ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เรื่องของความเชื่อส่วนตัวเป็นเรื่องที่แรง ทำให้
บางเรื่องหมอก็ไปบังคับคนอื่นให้เชื่อให้เปลี่ยนไม่ได้...ก็ต้องปล่อยไป ขี้เกียจไปงัดข้อด้วย
งานนี้ก็ตัวใครตัวมันละกันค่ะ...จนปัญญา
และก็เพราะอย่างนี้หมอในบ้านเราถึงได้เปลี่ยนไปทุกๆ วัน จากตั้งใจทำตามอุดมการณ์
เป็นทำงานไปแกนๆ ไม่อยากจะมัวมานั่งพูดนั่งอธิบายให้เมื่อยตุ้ม...

ว่าแต่ว่า...ไอ้"ตุ้ม"เนี่ยมันอยู่ตรงไหนของร่างกายก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าพูดมากๆ แล้วคนที่ฟังไม่รู้เรื่อง ก็จะเมื่อยตรงนี้มันซะทุกทีเลย




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 9:59:05 น.
Counter : 692 Pageviews.  

เตี๊ยมข้อมูล!!!...ก่อนเข้าพบแพทย์

เตี๊ยมข้อมูล...ไม่ผิดหรอกค่ะ ไม่ใช่เตรียมข้อมูล
มีอยู่วันหนึ่ง...บังเอิญห้องทำงาน (ต้องตรวจ) มันล็อคอยู่
ก็บอกน้องพยาบาลให้ไปหากุญแจมาเปิดให้ โดยที่ตัวเองก็นั่งรออยู่หน้าห้อง
เก้าถัดไปก็มีแม่ลูกคู่หนึ่งนั่งอยู่ สองแม่ลูกก็คุยกันไป
ซักพักคุณแม่ก็ถามลูกว่าตกลงอาการป่วยต่างๆ น่ะมันมีอะไรบ้าง และนานเท่าไหร่แล้ว
ตรงกับที่คุณแม่เห็นรึเปล่าทำนองนั้น
พอคุณลูกบอกว่าไม่ค่อยมีน้ำมูก คุณแม่ก็บอกว่าให้บอกไปเลยว่ามี
ไอยังไม่มากก็ให้บอกไปว่าไอแล้ว
ไม่เจ็บคอก็ให้บอกว่าเจ็บคอซะ
แล้วยังสำทับอีกว่าขืนบอกว่าไม่ๆๆๆ เด๋วหมอก็ไม่ให้ยา
หมอได้ฟังก็ตกใจ (ไม่ได้แอบนะ มันได้ยินเอง) ทำไมเป็นงี้ไปซะได้
พอเข้าใจว่าคุณแม่อาจไม่มีเวลามากพอที่จะมาหาซ้ำอีก
แต่การสอนลูกแบบนี้มันผิดมากกว่าแค่การอยากได้ยาไปเก็บไว้
เพราะจะทำให้เด็กเข้าใจว่าการโกหกเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการไม่ผิด
กลายเป็นเรื่องปกติไปซะ ขนาดแม่ยังสั่งให้ทำได้เลย
ไม่อยากจะคิดว่าต่อไปเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร

มันก็น่าเห็นใจคนสังคม ที่เป็นฟันเฟืองของระบอบทุนนิยม
ไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน
แต่ในกรณีนี้ หมอคิดว่าควรพูดตรงๆ กับหมอดีไหม ว่าเด็กมีอาการแต่ไม่มาก อย่างไรขอยาไปติดไว้
หมอคงไม่ใจร้ายไม่ให้ไปหรอกค่ะ

พอคิดไปถึงคุณแม่คนนี้ ว่าถ้าป่วย แล้วเขาคิดว่าตัวเองเป็นโรคนี้
และพอมีความรู้อยู่บ้างว่าถ้าจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ต้องมีอาการอย่างไรบ้าง
เขาจะมาบอกข้อมูลเท็จกับหมอไหม เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
หมอดีใจถ้าคุณๆ จะมีความรู้ทางการแพทย์มากขึ้น
แต่คงไม่ดีแน่ถ้าคุณนำความรู้เพียงบางส่วนมาวินิจฉัยตัวเอง
ถ้ามันถูกต้องก็เป็นผลดีในแง่ของการดูแลสุขภาพและทรัพยากรณ์
แต่ถ้าไม่ใช่ตั้งแต่ต้น นอกจากจะหลงทางแล้วยังทำให้เสียทุนทรัพย์เพื่อการดูแลสุขภาพโดยเปล่าประโยชน์

หมอไม่อยากให้มองเรื่องของประกันสังคนเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง
และต้องมาใช้กันให้คุ้ม อยากให้มองในแง่ของการซื้อประกันชีวิต
ถ้าทุกคนมาใช้บริการทั้งๆ ที่ไม่ได้ป่วยจริงๆ หรือได้ยาไปแล้วก็ทิ้งๆ ขว้างๆ หรือใช้ชีวิตให้ส่งเสริมต่อการเจ็บป่วย
ผลก็คือมีเงินในประกันสังคมเท่าไหร่ก็ไม่พอ
เพราะการที่เรามาใช้บริการประกันสังคมมากเกินความจำเป็น
ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ มีกฏระเบียบมากขึ้น จำกัดยา
หรือพยายามทำให้การมาใช้บริการเป็นเรื่องที่หน้าเบื่อหน่าย เพื่อทำให้คนมาใช้บริการน้อยลง
คุณอาจรู้สึกว่าประกันสังคมมีเงินมากมาย แต่ทางโรงพยาบาลก็ได้เงินมาแค่เพียงค่าหัวตามกฏที่
ประกันสังคมหรือแม้แต่ สปสช. เองก็ตาม ไม่ใช่ว่าคุณมาทุกครั้งทาง รพ.จะเบิกได้ทั้งหมด
ค่า ปกส. เต็มที่ 750 แต่ถ้าคุณป่วยเป็นมะเร็ง ค่าใช้จ่ายต่อคนบางครั้งเป็นล้านบาท
จะว่าไปมันก็คือประกันสุขภาพดีๆ นี่เอง พอมันเป็นอะไรที่ถูกบังคับให้ต้องจ่าย เรากลับมองว่ามันขมขื่นและไม่ได้มาตรฐาน
หลายครั้งที่ยาฟรีหรือจากเวลามาหา ปกส. กับยาซื้อเป็นตัวเดียวกัน เพียงแค่จะคิดราคาหรือไม่ก็เท่านั้น
แต่คนกลับมองว่าพอฉันเต็มใจจะจ่าย มันเป็นอะไรที่ดีกว่าอยู่แล้ว เป็นงั้นไปคนเรา

หมอคิดว่าพวกคุณๆ รู้ตัวเองอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่
แต่อยากให้ลองคิดทบทวนดูซักนิด ถ้าเรารู้จักใช้ทรัพยาที่มีอย่างมีสติ
ทุกๆอย่างก็จะที่ได้รับก็จะสมเหตุสมผลและมีคุณภาพค่ะ




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2552    
Last Update : 15 มิถุนายน 2552 16:49:14 น.
Counter : 454 Pageviews.  

อกสั่นขวัญแขวน...เมื่อคนไข้จิตเวชอาละวาด

ตอนเรียนปี 5 จะมีการเรียนวิชา minor หรือวิชาที่ไม่ได้เป็นวิชาหลัก
เช่น แผนกตา, หูคอจมูก, ดมยา,
และวันนี้เราต้องเข้าเรียนแบบกลุ่มในวิชาจิตเวช
โดยอาจารย์นำผู้ป่วยมาเพื่อให้นักศึกษาแพทย์หัดสองคนทำการสัมภาษณ์เพื่อซักประวัติหน้าห้อง
โดยนักศึกษาที่เหลือ(เกือบร้อยชีวิต)เป็นผู้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
ผู้ป่วยคนนี้เป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง เฝ้าแต่คิดว่าชีวิตไร้ค่า

เรามาลองดูเรื่องราวของผู้ป่วยกัน...
ผู้ป่วยได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็กว่าค่อนข้างยากลำบาก
จนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ในปีแรกผู้ป่วยได้ทุน
แต่เมื่อขึ้นปีที่สองผู้ป่วยการเรียนตกลง จึงถูกริบทุนการศึกษา และต้องออกจากมหาวิทยาลัยไปในที่สุด
เมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ผู้ป่วยต้องทำงานอย่างหนัก จนสามารถสร้างฐานะได้
เมื่อมีครอบครัว ผู้ป่วยเหมือนไม่ได้รับการยกย่องจากภรรยาและบุตร

จากเรื่องราวทั้งหมดจึงสรุปได้ว่าผู้ป่วยมีความกดดันอย่างสูง
และค่อนข้างจะโกรธแค้นสังคมในความไม่เท่าเทียมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเรียน เหมือนผู้ป่วยจะคิดว่าถ้าเขาได้เรียนจบมหาวิทยาลัย ชีวิตจะดีกว่านี้

ระหว่างที่เล่าไปเรื่อย สังเกตุถึงลักษณะน้ำเสียงเริ่มรุ่นแรงขึ้นเรื่อย
และการเล่าเริ่มวนย้อนมาถึงเรื่องการต้องออกจากมหาวิทยาลัยเพราะถูกริบทุนการศึกษาซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง

ผู้ป่วยเริ่มแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ลุกขึ้นชี้หน้าด่าบรรดานักศึกษา
"พวกคุณคงรวยสินะ พวกคุณทุกคนต้องมีเงินแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาเรียนปริญญาหรอก
เพราะไอ้อาจาย์เฮงซวย ริบทุนการศึกษาผมไม่งั้นผมคงได้เรียนต่อ
ไม่งั้นครอบครัวผมคงไม่เป็นแบบนี้ ไม่มีคุณค่าในสายตาภรรยาเลย"
พูดไปพร้อมๆกับเริ่มเดินเข้าหา
นักศึกษาแถวหน้าก็กระเจิงซิคะที่นี้ ดีที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่หน้าประตู
เพื่อป้องกันผู้ป่วยหนีและเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด

ทำให้ความรู้สึกของหมอที่เคยชอบวิชาจิตเวชกลายเป็นกลัวคนไข้ แต่ก็ยังชอบตัววิชาอยู่นะ
จะเห็นว่าผู้ป่วยรายนี้ิยึดติดกับเรื่องความล้มเหลวในการได้เข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้จนจบสมความตั้งใจมาก
ทั้งๆที่จากลักษณะแล้วผู้ป่วยน่าจะเป็นที่มีความสามารถจนประสบความสำเร็จในการงานได้
แต่ก็ไม่ยอมเรียนที่อื่นในภายหลัง คิดแต่ว่าการที่ต้องออกจากมหาวิทยาลัยที่หวังเป็นความล่มเหลวที่แก้ไม่ได้

หลังจากที่เจ้าหน้าที่แยกตัวผู้ป่วยไปสงบสติอารมณ์สักครู่ โดยมีอาจารย์จิตเวชเข้าไปพูดคุยด้วย
ผู้ป่วยก็ได้เข้ามากล่าวขอโทษนักศึกษา ...ในท้ายที่สุด
(ความจำเป็นในการที่ต้องให้มาขอโทษ ทางอาจารย์หมอกล่าวว่าเพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับว่าได้เกิดเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
และตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ เพื่อกลับเข้าสู่สังคมได้อีกครั้งค่ะ)

ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งดี เพราะมันจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้า
แต่การยึดติดต่อฝันที่ล้มเหล้ว ก็ทำให้เราจมอยู่กับที่ได้เช่นกัน
ผู้ป่วยรายนี้จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่สามาารถควมคุมความรู้สึกได้ทุกเวลา แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือควบคุมได้มากน้อยหรือเวลาไหนๆ ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปในการจะรู้เท่าทันโลกแห่งความจริง




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2552    
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 14:32:37 น.
Counter : 634 Pageviews.  

หัดใส่สายสวนปัสสาวะ...กับคนไข้โด่ไม่รู้ล้ม [เฮฮาประสาหมอ...ฉบับทะเล้น 2]

พักนี้นึกเรื่องขำขันได้แต่แบบใต้สะดือยังไงไม่รู้แฮะ แต่ก็เป็นเรื่องของเหล่าเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของตัวเองหรอกค่ะ

ย้อนกลับไปนานกว่าเดิมอีก เหล่า นศพ. เมื่อผ่านพ้นปีสาม ขึ้นปี 4 เราจะเรียกกันว่า การข้ามฟาก เป็นการเปลี่ยนจากชีวิตนักศึกษานอกโรงพยาบาล
มาเรียนวิชาที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยจริงๆ มากขึ้น
(มีที่มาจาก ศิริราช เพราะต้องข้ามเรือจากฝั่งพระนครนั่นเอง)
แรกข้าม...ความรู้ยังน้อย ประกอบกับต้องฝึกหัดการทำหัถการเบื้องต้นก่อน เช่น ใส่สายอาหาร, สายสวนปัสสาวะ, เจาะเลือด

วันนี้ นศพ.หญิงคนหนึ่งได้รับการมอบหมายให้ไปใส่สายสวนปัสสาวะคนไข้ชายคนหนึ่ง วัยกลางคน
เพื่อนคนนี้ก็ได้ชักชวน นศพ.หญิงไปเป็นเพื่อนอีกสองคน
ไปถึงข้างตัวผู้ป่วยและก็ทำการบอกว่ากำลังจะทำอะไร

ผู้ป่วยก็เฉยๆ ไม่ได้แสดงอาการร้อนหนาวใดๆ
เริ่มปฏิบัติการด้วยการใช้สำลีชุบน้ำยาทำความสะอาดน้องชาย
ขณะที่กำลังทำการ...อยู่นั้น
น้องชายของคนไข้ก็ stand up
บรรดานักศึกษาแพทย์หญิงก็ตกใจวิ่งไปตามที่พยาบาลมาดู
พอพยาบาลมาถึงก็พยามยามผลัก ดัน ตีน้องชายคนไข้ (แรงพอประมาณ) กะว่าจะทำให้อ่่อนลงไป...ว่างั้น
พอดีพี่หมอเจ้าของไข้เดินมาก็เรียกทั้งนักศึกษาแพทย์และพยาบาลออกมาก
แล้วก็บอกว่าคนไข้เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่ง ที่มีเม็ดเลือดแดงสูงกว่าปกติมาก (Polycythemia Vera)
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการน้องชาย stand up แบบ non-stop ได้ หรือที่เรียกว่า Priapism นั่นเอง
พี่พยาบาลเลยจ๋อยไปเลย เพราะเหมือนไม่ได้ดูให้เรียบร้อยก่อนว่าป่วยเป็นอะไร
ส่วนน้องๆ ได้ความรู้แต่ก็อดกระอักกระอ่วนไม่ได้ บวกกับขำๆอีกเล็กน้อย
หลังจากนั้นเหล่านักศึกแพทย์ก็กลับไปใส่สายสวนปัสสาวะจนเสร็จเรียบร้อย
น้องชายของคนไข้ก็ยังไม่ sit down แต่อย่างใด
ทำให้ นศพ. ก็ไม่กล้ามองหน้าคนไข้อยู่นั่นเอง




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2552    
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 18:19:40 น.
Counter : 758 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.