การขับขี่มอเตอร์ไซด์ให้ปลอดภัย และเหตุการณ์อุทรหรณ์ที่เกิดขึ้นจากคนใกล้ตัว
การขับขี่มอเตอร์ไซด์จากสายตาผู้คนทั่วไปนั้นเป็นพาหนะที่ค่อนข้างอันตรายมาก เพราะเราจะเห็นได้ว่าอัตราการเกิตอุบัติเหตุจากพาหนะชนิดนี้สูงมาก
การที่ตัวเองทำงานเกี่ยวกับสุขภาพ รวมทั้งการที่ตัวเองรักการขี่มอเตอร์ไซด์ ทำให้ได้พบเห็นภาพผู้ป่วยจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซด์ในแต่ละวันบ่อยครั้งกว่าพาหนะชนิดอื่น ได้ยินข่าวจากคนรอบๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา เบาะๆ ก็แค่บาดเจ็บ หรือร้ายแรงที่สุดคือเสียชีวิต
การขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เคารพและเกรงใจเพื่อนร่วมทางจึงเป็นสิงสำคัญอย่างยิ่ง
เรามาดูปัญหาจากมอเตอร์ไซด์ทั่วไปก่อน ซึ่งเกิดปัญหาทางสังคมค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเกิดจากความรำคาญในสายตาของผู้ใช้ยานพาหนะชนิดอื่น
การขับขี่โดยไม่เคารพกฏจราจร เช่น การขี่ย้อนศร, ฝ่าไฟแดง, ขี่ช้าไม่ชิดซ้าย, ขี่ตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด
แจกแจงเป็นกลุ่มๆ ดังนี้
กลุ่มบุคคลที่ต้องใช่มอเตอร์ไซด์เป็นส่วนหนึ่งในอาชีพ
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้มอเตอร์ไซด์ มักเป็นแรงงานระดับล่าง กรณีรถยนต์โดนเฉี่ยวชน มีมากมายที่คู่กรณีที่เป็นมอเตอร์ไซด์นั้นหนี หรืออ้างว่าไม่มีจ่ายเอาซะดื้อ หรือมาชนรถยนต์เองด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ผิด แต่ก็ยังมั่วนิ่มอ้างว่ารถมอเตอร์ไซด์จัดเป็นรถเล็ก รถใหญ่ต้องรับผิดชอบ (ซึ่งปัญหาข้อหลัง ก็ถืว่าดีขึ้นมาในปัจจุบัน เพราะตำรวจว่ากันตามผิดถูก)
ความรีบร้อนในงาน ทำให้บุคคลผู้ใช้มอเตอร์ไซด์ในกลุ่มพนักงานนั้นเร่งรีบ ขี่เร็ว ไม่ค่อยเคารพกฎจราจรและขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
กลุ่มเด็กแว๊นซ์
กลุ่มเด็กกวนเมืองเหล่านี้ มักสร้างปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง คือมักรวมเป็นกลุ่มแก๊งค์ แล้วออกขี่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เวลานั้นๆ แหละ ที่ทำให้ชาวบ้านเดือนร้อน และวุฒิภาวะในการควบคุมรถที่ออกไปในแนวบ้าระห่ำกว่าผู้ใหญ่ ทำให้กฏจราจรแทบใช้ไม่ได้เลยกับคนกลุ่มนี้ (กรณีซึ่งๆ หน้าก็พอควบคุมได้ แต่หลับหลังตำรวจ...ไม่ต้องพูดถึง)
กลุ่มผู้ขี่มอเตอร์ไซด์ในต่างจังหวัด
กลุ่มนี้จะขี่เรื่อยๆ ช้าๆ แต่มักไม่ค่อยมองรอบข้าง นึกจะแบบรถออกมาก็ออก นึกจะออกจากซอยก็พุ่งออกมาเลยโดยไม่มองว่ามีรถหรือเปล่า และไม่ค่อยสนใจกฏจราจร เข้าใจว่าเกิดจากความเคยชิน เพราะถนนหนทางรอบๆ บ้านมันก็ไม่ค่อยมีรถรา ทำให้ละเลย
สภาพรถก็มักไม่สมบรูณ์ ขับขี่กลางคืนไม่มักไม่มีไฟหน้า ไฟท้าย
ใครว่าขี่ช้าจะไม่สร้างปัญหา บางครั้งเพราะขี่เงอะๆงะๆ ก็ทำให้ถูกคนอื่นชนได้โดยไม่รู้ตัว
กลุ่มผู้ขี่รถใหญ่ หรือ Big Bike ที่เขียนบทความนี้ก็เพราะเกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง เพราะตัวเองเป็นคนหนึ่งที่รักและขี่มอเตอร์ไซด์ประเภทนี้
รถ BB คือรถที่มี cc หรือความจุของกระบอกสูง มากกว่า 250 cc ขึ้นไป เป็นรถที่สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 km/hr คนที่มองรถประเภทนี้มีหลายความคิดหลายความรู้สึกแตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเท่ห์สวย บ้างก็ว่าไร้สาระ ซึ่งในความจริง คงไม่มีใครปฏิเสธว่ารถประเภทนี้สวยงามอย่างที่ว่าจริงๆ
แต่เพราะความแรงของมันนั้นเอง ทำให้ผู้ที่นำมาขับขี่บนท้องถนนด้วยความเร็วสูง เป็นที่เสียวไส้ต่อคนมองอยู่ไม่น้อย และตัวผู้ขับขี่รถประเภทนี้โดยทั่วไปก็มักเป็นคนที่พิศมัยต่อความเร็วเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องของเสียงรบกวนจากเสียงท่อไปเสีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาในปัจจุบันที่ถูกมองจากบุคคลภายนอกอยู่ในขณะนี้ คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อขี่มาเป็นกลุ่ม
ไหนจะเสียงดัง
ไหนจะขี่เร็ว
และสุดท้าย บางกลุ่ม...ที่ไม่เคารพกฏจราจร
ใช่จะว่าแต่ผู้ขี่มอเตอร์ไซด์เล็กหรือใหญ่ หรือใคร จริงๆ แล้วไม่ว่ายานพาหนะไหนๆ ก็ล้วนแต่มีผู้ควบคุมนิสัยแย่ๆ หมดทุกชนิด...เราทุกคนคงเห็นด้วย ขับรถเก๋งชนแล้วหนี หรือ ขับระรานชาวบ้านก็มีเยอะไป ไม่ว่าจะขับขี่ยานพาหนะชนิดใดๆ ก็ตาม
"เหตุการณที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ"
เพียงแค่...
...ขี่ช้าลงอีกนิด ---> ไม่จำเป็นต้องขี่ช้าขนาดเต่าคลาน... ...ใจเย็นลงอีกหน่อย... ...สังเกตสภาพรอบๆ ตัวให้ถี่ถ้วน... ...คิดเผื่อรถคันอื่นในสถานการณ์หลายๆ รูปแบบ... ...เคารพกฏจราจร... ...พักผ่อนให้เพียงพอ... ...อย่าดื่มสุราขณะขับขี่ยานพาหนะทุกชนิด...
ง่ายๆ ใช่ไหมคะ
____________________________________________________________________________________________________
ตั้งแต่เปิดฤดูท่องเที่ยว ตั้งแต่ปลายปี 09 จนถึงวันนี้ (มค 10) ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ Rider แล้วกว่า 5 คน ฉันเองไม่ปฏิเสธว่าเป็นคนขี่รถเร็ว (รวมทั้งขับรถด้วย) แต่จะยึดในกฏจราจรและพยายามที่จะให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมเส้นทางอยู่เสมอ
มีคนกล่าวว่า...อยากขี่เร็ว ให้ขี่ในสนามสิ แต่สำหรับนักขับขี่มอเตอร์ไซด์คงปฏิเสธไม่ได้ได้ ว่าการได้ขับขี่บนเส้นทางสวยๆ พร้อมกับความเร็วนั้น สร้างความสุขสนุกให้กับเราๆ ท่านๆ อย่างมากมาย แต่อยากให้มีสติกับสิ่งที่ทำสักเล็กน้อย ทำอะไรก็ตามให้เพียงพอเหมาะสม พยายามประมาณตนเอง และคำนึงถึงสังคมตลอดเวลา
นี่เป็นสิ่งที่ฉันเองพึงสำเนียกให้ขึ้นใจยามที่ได้ขึ้นคร่อมรถแล้วออกตัวไปเที่ยวยังที่ต่างอ เพียงแต่ฉันก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ซึ่งคงมีบางเวลาที่สติตามใจไม่ทันเช่นกัน หากผู้ใดพบเจอกันบนถนนหนทาง แล้วฉันสร้างความไม่พอใจให้แก่พวกท่าน ขอโทษไว้ ณ ที่นี้ค่ะ ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองและให้อภัยกันด้วย
อาทิตย์ที่ผ่านมาได้รวมตัวกันขี่ไปเขาใหญ่รอบที่ 2 ของเดือนนี้ โดยมีกันทั้งหมด 15 คัน โดยมี 3 คันเป็นรถตระกูล sport
และหนึ่งใน 3 คันนี้ เกิดอุบัติเหตุ ไม่อยากให้ถามว่าใครผิด แม้บ่อยครั้งอุบัติเหตุที่เกิดกับรถ BB มักจะเกิดจากตัวผู้ขับขี่เองที่ประมาท หรือรวมทั้งไม่มีความสามารถในการควบคุมรถให้ดีพอ ยามเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้าจึงไม่สามารถแก้ไขได้ เป็นผลให้เกิดอุบัติเหตุตามมา สุดท้ายต้องมีคนที่บาดเจ็บหรือเสียหาย ร้ายแรงที่สุด คือ สูญเสียชีวิต
สภาพรถ การปะทะ...จากรูป ดูรุนแรง ทั้งๆ ที่ความเร็วของทั้งคู่ไม่ได้รุนแรงมากนัก รถกระบะเกือบหยุดนิ่งแล้วตอนปะทะ รถมอเตอร์ไซด์ประมาณ 60 km/hr เพราะพยายามเบรคเต็มที่ หลังจากรถมอเตอร์ไซด์ปะทะเข้ากับกระจังหน้ารถกระบะ ผู้ขี่กระเด็นตีลังกาไปตกอยู่ข้างๆ เกือบท้ายรถ
ทริปนี้ออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ เกิดเหตุราวๆ สิบโมงกว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมีกะใจจะขี่เที่ยวเล่นไหนอีก เป็นครั้งแรกของฉันค่ะ ที่คนในทริปเดียวกันเกิดอุบติเหตุ สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
สุดท้าย...คนเจ็บในภาพ ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ไม่แม้แต่กระดูกหัก มีเพียงแค่ข้อกระดูกเคลื่อนเพียง 3 แห่งเท่านั้น
แต่คราวหน้า...เราจะโชคดีอย่างนี้ไหม
เรื่องที่เกิดขึ้นเแล้ว...การที่เราได้รับรู้ อยากให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจและจดจำไว้ ช่วนกันดูแลกันและกัน จะดีมากถ้าไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยเพื่อให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด....ก็ยังดี
ขับขี่ปลอดภัย...เป็นหัวใจของการใช้ยานพาหนะทุกชนิด
Create Date : 18 มกราคม 2553 | | |
Last Update : 9 มีนาคม 2553 2:22:29 น. |
Counter : 1609 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตะลุยเดี่ยวเที่ยวแม่ฮ่องสอน...อีกครั้ง กับ BMW F800GS
ทริปใหม่...เวลาใหม่...กับรถคันใหม่ แต่ใช้ชื่อเดิม คิดอยู่นานว่าจะตั้งชื่อเจ้าหนูคันใหม่ว่าอย่างไรดี สุดท้ายก็ยังขอเรียกว่า หนูดี เหมือนเดิม
ประเดิมทริปแรกกับหนูดี ด้วยการพาไปแอ่วเหนือ แต่เป็นการไปครั้งที่สาม ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางกันเล็กน้อย เพื่อเพิ่มอรรถรส ยังคงคอนเซ็ปเดิมค่ะ เที่ยวไทยถ้าไปคนเดียวไม่ได้ ก็แย่แล้ว เส้นทางปีนี้แม้จะเริ่มที่เชียงใหม่ ไปปาย แต่คราวนี้ไม่ยอมพลาดปางอุ๋งอีกแล้ว แวะดอยแม่อูคอ ออกแม่แจ่ม ขึ้นดอยอินทนนท์ และยิงยาวกลับกรุงเทพมันซะเลย เอาให้สะบักสะบอมกันไปข้าง ไม่รถก็คนละงานนี้ ^_^
จริงๆ แล้วทริปนี้เป็นอะไรที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้ไป วันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนที่เคยขึ้นปายด้วยกันเมื่อปีที่แล้วว่าปีนี้เขาก็จะขึ้นอีก แต่เขาจะขี่จากกรุงเทพกันตั้งแต่วันที่ 4 ไอ้เราก็ไม่สามารถหยุดงานได้ตั้งแต่วันนั้น เพื่อนก็บอกว่าตามมาขึ้นปายวันที่ 7 ก็ได้นี่ อืม...น่าสนใจ แต่ให้ขี่จากกรุงเทพคนเดียวใจก็ยังไม่กล้าพอ เกิดอะไรขึ้นคงจะลำบาก เลยตัดสินใจเอาขึ้นรถไฟมาเหมือนเดิม ปีนี้โชคดีหน่อยจองได้ได้รถไฟชั้นสองตู้นอนพัดลม ตั้งใจเลือกพัดลม เพราะอากาศดีๆ แบบนี้...
ตื่นเช้ามามีอาหารเช้ามาเสริฟถึงที่ ความสบายผิดกับปีที่แล้วลิบลับ นอนหลับสบาย...แต่เสียอย่างเดียว หวานเย็นเช่นเคย กว่ารถไฟจะออกก็ล่าช้าไปกว่าชั่วโมง (ทีปีที่แล้วเราไปช้า รถไฟดันออกตรงเวลาแป๊ะเลย) ไม่ต้องคิดละว่าจะถึงตรงเวลา...ช้าหลายชั่วโมงชัวร์ แล้วก็จริงดังคิด...ถึงช้าไปเกือบสามชั่วโมง
คราวนี้รถขนาด 800cc คิดค่าระวางแค่ 1350 บาท ทีหนูดี (คันเก่า) หนักน้อยกว่าตั้งเกือบ 50 kg ดันคิดค่าระวางตั้ง 1190 บาท เป็นงง...
เพราะถึงช้า...เราก็ต้องใช้เวลาชิวๆ ไปเรื่อย ...ภาพชีวิตแม่ค้าริมทางรถไฟ ...อีกทั้งบรรดาหมาๆ ที่อ้วนพี พอเห็นรถไฟมาจอด ก็วิ่งเข้ามาอย่างรู้งาน มายืนทำตาละห้อยขอของกินกันเป็นแถบ ก็ได้กินสมใจเขาล่ะ เพราะบรรดาอาหารที่แม่ค้าเอามาขาย ไม่ว่าจะเป็นไก่ย่างหรือหมูทอดล้วนแต่แข็งจนกินได้ลำบากนัก ทำให้บรรดาหมาๆ ลาภปากไปซะงั้นเลยค่ะ ^_^
หัวรถจักร รฟท. ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ ...จริงๆ มันน่าจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้แล้วรึยังนะ?
เหยียบเชียงใหม่ปุ๊บ บึ่งไปบ้านเพื่อนสาวชาวเชียงใหม่คนเดิม ที่ต้อนรับขับสู้ดีเสมอ ...ไม่ต้องพักหายใจหายคอกันเลย รถใหม่ต้องเพิ่มความมั่นใจด้วยการเอาไปลุยทางเขาซักหน่อย แต่เย็นแล้วก็ต้องเลือกไปใกล้ๆ จึงตกลงใจเลือกไปพิสูจน์ถนนเจ็ดพับบนเส้นทางสายสะเมิงกันนั่นเอง
คราวนี้เพื่อนสาวไม่น้อยหน้า เอารถคู่ใจไปลุยเป็น Honda Transalp 600 ซึ่งสูงไล่เลี่ยกันเลยทีเดียว
กว่าจะถึงจุดชมวิวก็เย็นย่ำ...ทันเห็นแสงสุดท้าย ยิ่งทำให้ภาพวิวทิวทัศน์สวยขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ อากาศเย็นมาเยือน...บ่งบอกให้ได้สัมผัสรับรู้ว่า สมกับเป็นหน้าหนาว และเทศกาลขี่รถท่องเที่ยวที่รอคอย
ใจจริงไม่ได้สนใจงาน bike week แม้แต่น้อย แต่ไหนๆ ก็ผ่าน เลยแวะเข้าไปชมเสียหน่อย ในงานไม่ค่อยคึกคัก แม้ปีนี้จะไม่ได้เก็บค่าเข้าเสียด้วยซ้ำ
ได้มีโอกาสได้ลองขี่ HD ตัวนี้ (จำรุ่นไม่ได้) บังเอิญถามเซลล์เล่นๆ ว่าลองได้ไหม ปรากฏว่าได้...เอาออกไปซัดถนนนอกงาน ของเขาดีจริงๆ ทำเอาติดใจเลยค่ะ ^_^
เช้าวันที่ 7 ออกเดินทางขึ้นปายตอนเที่ยงตรง ปีนี้รวมรวมได้ 6 คัน ไม่ซ้ำรุ่นกันเลย... ขี่กันไปสบายๆ สไตล์ใครสไตล์มัน เน้นปลอดภัยเป็นหลัก วันที่ขึ้นคนอื่นเริ่มลง...รถขาขึ้นเลยไม่เยอะเท่าไหร่ รถสวนลงมีมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไปซะ อิอิ
ระหว่างทางเจอ BB ไม่เยอะเท่าปีที่แล้ว...มีแค่พอประปรายให้โบกมือทักทายกันเล็กน้อย
กับเพื่อนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มเดิมที่เคยแจมขึ้นปายเมื่อปีที่แล้ว แต่ปีนี้คึกคัก เพราะนอกจากรถมอเตอร์ไซด์ทั้งหมด 6 คนที่ว่า ยังมีรถขับตามขึ้นมาอีกสามคัน เราพักกันที่รีสอร์ท...รักริมปาย จริงๆ แล้วก็เอาเต้นท์ไปเหมือนเดิม แต่ในเมื่อเต้นท์ของโรงแรมออกจะกล้างขวางใหญ่โต จะปฏิเสธไปไย หน้าเต้นท์เป็นนาข้าง และมีแปลงปลูกผักโดยรอบ อยู่ติดกับแม่น้ำปาย ^_^ โรแมนติกมาก แต่...นะ มาแบบไร้คู่
โฉมหน้าผู้ร่วมขี่ในทริป ในอิริยาบทต่างๆ และบรรยากาศระหว่างเดินทาง
เย็นย่ำค่ำคืน...การไปเดินถนนคนเดินที่ปาย เป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้...ว่าเป็นสิ่งจำเป็น บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไทย ข้าวของมากมายที่นำขาย...ล้วนแล้วแต่เป็นของแฮนเมด หรือไม่ก็เป็นของที่บ่งบอกว่ามาจากหัวคิดของพ่อค้าแม่ค้าที่รักอิสระภาพ แล้วนำพาชีวิตตนออกจากความวุ่นวายของสังคมมาใช้ชีวิตชิวๆ อยู่ที่นี่ ...อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้ นั่นคือ ถนนนี้เป็นถนนแห่งอาหารการกิน มากมายหลายหลาก...ให้เลือก กินกันจนพุงกางก็ยังมีของที่อยากกินอีกตั้งหลายอย่าง ...และกิจกรรมสุดท้ายที่ขาดไม่ได้...นั่นก็คือ การลอยโคม ^_^
เช้าวันรุ่งขึ้น โปรแกรมถัดไปคือ ถ้ำน้ำลอด มุ่งหน้าจากปายไปทางปางมะผ้า ...แม้ในทริปจะมีคนที่รถมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ ...รถเต่าเปิดประทุนคันนี้ คนขับอุตสาห์ขับมาจากกรุงเทพเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อมาเปิดประทุนที่นี่ อยากจะบอกว่ารถน่ารักชะมัดเลย
จากถนนหลัก...เข้าไปอีกประมาณ 8 กิโลเมตร ดำเนินการโดยชาวบ้านในพื้นที่ ถ้ำน้ำลอด...ได้ชื่อมาจากการลักษณะของถ้ำที่แม่น้ำลอดเข้าไป
เมื่อล่องแพเข้าไป ก็จะมีการจอดยังจุดต่างๆ เพื่อให้เราเข้าไปเดินเที่ยวชมในถ้ำต่างๆ ซึ่งมีถ้ำหลักๆ 3 ถ้ำ ซึ่งแต่ละถ้ำก็ต้องเดินขึ้นไปสูงเอาเรื่อง เล่นเอาลิ้นห้อยเลยทีเดียว
การดำเนินงานในพื้นที่ท่องเที่ยวกระทำโดยชาวบ้านท้องถิ่น แพหนึ่งลำนั่งได้ 4-5 คน ค่าบริการ 450 บาท ต่อการเข้าชมทั้งสามถ้ำ (แต่ใครจะเข้าไปไม่ครบกันละเนี่ย) และบวกอีก 150 บาทสำหรับค่าไกด์ 1 คน
ภายในถ้ำ...หินงอกหินย้อนอันแสนสวยงาม ได้รับการตั้งชื่อต่างๆ ตามแต่จินตนาการ
ออกจากตรงถ้ำลอดก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น...แยกออกมาเดินทางต่อคนเดียว ตั้งใจจะไปนอนปางอุ๋งให้ได้ เพราะพลาดไปเมื่อปีที่แล้ว ขี่ทำเวลาเต็มที่เพราะนี่ก็ใกล้จะมืดเต็มที กว่าจะเฆี่ยนไปถึงปางอุ๋ง หรือบ้านรวมไทยก็โพล้เพล้แล้ว ตัดสินใจเลยเข้าไปนอนที่บ้านรักษ์ไทยดีกว่า เพราะว่ามีโรงแรมแน่ อยากนอนสบายๆ ขึ้นมาซะงั้น...กลายเป็นปีนี้เต้นท์เป็นหมันไม่ได้ใช้ซะงั้น
ขี่ไปถึงหมู่บ้านรักษ์ไทย พร้อมกับแสงสุดท้ายที่จากไป ความรู้สึกแรกที่คิด...หมู่บ้านอะไรเนี่ย ไม่เห็นสวยเลย แต่เพราะมืดแล้ว ไม่มีทางเลือก...ขี่ดุ๋ยๆ ไปจอดหน้าร้านขายชา เดินไปถามว่ามีโรงแรมที่ไหนบ้าน ปรากฏว่าร้านนี้เขามีโรงแรม จึงให้เด็กพาไป... เด็กร้านขี่มอเตอร์ไซด์นำไปตามทางลูกรังหลังร้าน ไอ้เราก็คิดในใจ...เอาไงดีวะ ไว้ใจได้มั๊ยวะเนี่ย แต่เห็นโรงแรมอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก ดูดีทีเดียวเชียว...จึงโอเค
ตกกลางคืน...ตอนแรกก็ขี้เกียจออกไปไหน ก็แหมรถเราเองก็แสนจะใหญ่ เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วใครจะอยากขี่ ต้มมาม่ากินไปหนึ่งห่อ แต่ก็ไม่ชนะความหิวที่มี จึงเดินออกไปขอยืมรถมอเตอร์ไซด์เด็กดูแลโรงแรมออกไปขี่เที่ยวหมู่บ้านมันซะเลย พอได้ขี่ออกไปตามซอกซอยและได้มีเวลาพินิจพิจารณามากขึ้น และได้ไปแวะที่ร้านอาหาร ลีไวน์รักไทย ซึ่งอยู่ติดริมบึงใหญ่ เอ...หมู่บ้านนี้สวยมากเลยทีเดียว แถมได้ไปเห็นอาหารที่เขานั่งๆ กินกันอยู่ โอว...ขาหมูยูนาน หมั่นโถ อดใจไม่ไหวซื้อมากินทั้งๆ ที่ขามันใหญ่มาก รู้เลยว่ากินไม่หมด กะว่าเอาไว้กินเป็นมื้อเช้าต่อก็แล้วกัน แต่ที่ไหนได้...ตื่นมาซุปขาหมูแข็งกลายเป็นเยลลี่ไปหมดเลยซะงั้น เสร็จคุณหมาๆ แถวนั้นเลย -_-
ตื่นแต่เช้าด้วยความแจ่มใสสดชื่น คิดในใจว่าดีใจมากที่ไม่ได้นอนเต้นท์ เพราะเมื่อคืนหนาวมาก ออกเดินทางจากบ้านรักษ์ไทย 9 โมงตรง จุดแรกที่แวะเยี่ยมเยือน...หนีไม่พ้นปางอุ๋ง หรือ บ้านรวมไทย กว่าจะความหาในแผนที่เจอว่าเจ้าปางอุ๋งนี่มันอยู่ตรงไหน ก็เกือบจะเข้าไปผิดไปหมู่บ้านปางอุ๋งแถวๆ ดอยแม่อูคอซะแล้ว
ปางอุ๋งเป็นพื้นที่ปลูกป่า ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริ ในบริเวณมีอ่างเก็บน้ำ บ้านพักของทางราชการ และลานกลางเต้นท์ แต่ถ้าใครไม่อยากนอนเต้นท์ แถวนี้ไม่มีโรงแรมแม้แต่ที่เดียว จะมีก็แต่โฮมสเตย์ ซึ่งเป็นบ้านของชาวเขาในบริเวณนั้นที่ทำอย่างเป็นลำเป็นสัน...มีการตกแต่งน่ารักน่าอยู่ไม่น้อยเลย
...เขาว่าในปางอุ๋งมีหงส์...สองตัว ขาวกับดำ แต่วันนี้เห็นแต่สีขาวตัวเดียวเอง แถมอยู่ลิบๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา ...มาคราวนี้คงเพราะเป็นช่วงวันหยุดที่ไม่ติดกันยาว จึงมีคนทยอยขึ้นสลับกับลงเป็นระยะ ทำให้ปริมาณผู้คนไม่แออัดยัดเยียด ออกแนวสบายๆ ^_^
จากปางอุ๋งมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เสียงตามสาย...บอกให้ไปรับใบประกาศนียบัตรด้วย แต่...ม่ายอาววว ขี้เกียจรอ ขนาดว่าจะแวะวัดในเมืองยังบายเลย ยิงยาวสู่ดอยแม่อูคอ ไปดูทุ่งดอกบัวตองดีกว่า แม้จะไม่บานสะพรั่งนัก แต่ก็เหลืองอร่ามเต็มยอดดอย นี่ขนาดไม่ใช่สัปดาห์ที่สวยที่สุด ยังสวยสดงดงามได้น่าประทับใจขนาดนี้ ถ้ามาช่วงพีคจะขนาดไหนเนี่ย
ยืนชื่นชมอยู่ซักพัก ดูนาฬิกา...ตายละวา สองโมงกว่าแล้ว โครงการแวะน้ำตกแม่สุรินทร์เป็นอันต้องพับไป แผนต่อมาคือจากที่ดูใน google map มันมีทางไปออกสะเมิงได้ แต่จาก GPS ที่ติดไปมันบอกว่าต้องลงมาตัวเมืองเชียงใหม่ ก็เลยพับไปอีกหนึ่ง
สรุปก็คือขี่ไปทางแม่แจ่ม ผ่านดอยอินทนนท์ แล้วลงเชียงใหม่ ทางจากดอยแม่อูคอไปแม่แจ่มไม่ค่อยดี ชำรุดพอสมควร ส่วนทางบนดอยอินทนน์ก็มีดินถล่มจนถนนพังอยู่สองช่วง แม้จะไม่ได้ไปซ้ำที่สะเมิง แต่เส้นทางจากดอยแม่อูคอจนมาถึงดอยอินทนนท์ก็ให้อรรถรถเต็มใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทางเขาโค้งแคบและชันพอสมควร กว่าถึงเชียงใหม่หกโมงเย็นพอดิบพอดี ^_^ เล่นเอาหมดแรงเลย เพราะวันนี้ขี่ไปกว่า 300km. ทางเขาล้วนๆ
ตอนแรกก็กะว่าจะเอาขึ้นรถไฟกลับเหมือนเดิม แต่ขามาก็หวานเย็นซะจนเลี่ยน เลยชักขยาด พอดีมีเพื่อนจากก๊วนปายขี่กลับกันหลายคัน เลยเอากะเค้าด้วย แต่ตื่นเช้า (วันกลับ) ปวดเมื่อยมาก คิดว่าจะเบี้ยวดีมั๊ย แต่กัดฟันคิดว่าเป็นการฟิตร่างกาย เพราะการมีรถอยู่ในมือแล้วนั้น...ถ้าไม่ขี่จะมีไปทำไม ขากลับขี่กันสบายๆ (แต่ก็มีบางช่วงกดไปสองกว่า o_O โอ...รถมันช่างตอบสนองได้ดีเหลือเกิน)ออกจากเชียงใหม่ 11 โมง ถึงกรุงเทพ 6 โมงแป๊ะเลย
จากทริปนี้...แม้รถจะสูง ทำให้เสียวไส้อยู่ไม่น้อย เวลารถติดนาน เพราะน่องพาลจะเป็นตะคริว แต่สมรรถนะของรถไม่ต้องพูดถึง เรียกว่ารักกันไปแล้วตอนนี้ ขี่ง่าย เป็นรถที่บาลานซ์ดีมากๆ เครื่องตอบสนองทันใจ สำหรับแรงสุภาพสตรีกับความเร็วสองร้อยนิดๆ น่าจะเพียงพอต่อความสามารถในการเกาะไม่ให้ตกรถไปซะก่อน
จบทริปด้วยความม่วนอีกครั้ง...ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ
ปล.ปีนี้ยำรูปเป็นก้อน จะได้ไม่ยาวเกิน และดูเพลินตา (รึเปล่าไม่รู้) ติชมกันได้ค่ะ
Create Date : 14 ธันวาคม 2552 | | |
Last Update : 14 ธันวาคม 2552 3:18:36 น. |
Counter : 2492 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]
|
มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|