เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

ขับรถตาม Girls gang ไปแว๊นซ์ ...แอ่วพะเยา

ทริปนี้เก่าพอสมควร หลายเดือนละ ตั้งแต่มกรา พอดีมีการบ้านให้เขียนเรื่องราวส่งนิตยสาร ก็เลยเอามาลงในนี้ด้วย (แต่ไม่รู้ว่านิตยสารจะเอาเรื่องที่เราเขียนนี้หรือเปล่า ฮาาาา)

ความเดิมตอนที่แล้ว...ด้วยความที่ตัวเองยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า แต่ได้รับคำเชิญชวนจากนักบิดสาวถึง 4 ทริปนี้เป็นทริปแรกก็ว่าได้ ที่ได้เคยร่วมทางในขบวนที่มีสิงห์นักบิดเป็นสาวๆ มากขนาดนี้ นี่หมายความว่าจะเป็นครั้งแรกที่จะมีการรวมตัวสาวๆ นักบิดได้ถึง 5 คน ถึงแม้ทริปนี้ตัวเองจะยังขี่ไม่ได้ แต่ด้วยความห้าวววว ...เอาวะ ขับรถตามไปสังสรรค์ก็ยังดี

เย็นศุกร์ที่ 27 บินลัดฟ้าไปพบปะกันที่เชียงใหม่ 4 นักบิดสาวรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

เริ่มต้นค่ำคืนแรก ด้วยการสังสรรค์กันด้วยความชื่นมื่น ม่วนหลาย เมื่อผู้หญิงอยู่รวมกันเยอะๆ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน



ลองนับดูดีๆ จะเห็นผู้สาวอยู่ทั้งหมด 5 คน



สาวเอ้เปิดบ้านต้อนรับ จัดความบันเทิงเต็มรูปแบบ ร้องคาราโอเกะเกือบเช้า


รุ่งขึ้นเรามีแผนการเดินทางคือขี่ไปเที่ยวพะเยา โดยจะแวะเยี่ยมชมตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ตลอดระยะทาง
เพราะจากเชียงใหม่ไปพะเยานั้น ใกล้นิดเดียว ถ้าปล่อยพวกสปอร์ดบิดรวดเดียวไปพัก รับรองหายจ้อย

เรามาดูโฉมหน้าของสาวนักบิดแต่ละคน กับยานพาหนะประจำตัว ก่อนออกเดินทางดีกว่า



เจ๊แฮปปี้ เจ้าถิ่นจากเชียงใหม่ ใช้นิกเนมว่า HappyKaa อยู่สังกัน JiboRacing
กับ Suzuki K6 พาหนะคู่ใจ สีฟ้าพาสเทลลาย Rizla เดียวกับลายประจำทีมของค่ายนี้ที่ใช้ในการแข่งขัน MotoGP



เอ้ หรือชื่อในเวปต่างๆ ว่า Koonae (อ่านว่า คุณเอ้) สาวเจ้าถิ่นจากเชียงใหม่อีกคน กับ Handa Transalp 600

และด้วยความที่คลุกคลีกับมอเตอร์ไซด์ใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆ เอาเป็นว่าขอให้เป็น 2 ล้อ ไม่ว่าจะรุ่นไหนขี่ได้หมด แต่ถ้าคนเคยคุ้น จะจำได้ว่า เมื่อก่อนนั้นฝักใฝ่ไปทางฮาเลย์เสียมากกว่า สาวร่างเล็กที่สามารถขี่และเข็นรถฮาเลย์ได้สบายๆ แบบที่ผู้ชายหลายคนยังต้องอาย



หมู กับนิกเนม MooZingJungHaha (หมูซิ่งจัง) สาวร่างใหญ่ (ที่สุดในกลุ่ม) นักบิดจากพิษณุโลก กับ SuZuki DRZ400SM รถสไตล์โมตาร์ท ที่เบาะสูงปรี้ด
ทริปนี้บิดฝ่าความมืดมาร่วมเฮฮา เพราะต้องทำหน้าที่ลูกหลานที่ดี ประกอบพิธีไหว้เจ้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถึงจะมาได้



ยุ้ย กับนิกเนมในเวปต่างๆ ว่า Evil_yui ผู้ริเริ่มทริปขี่จากกรุงเทพขึ้นไป พร้อมกับเจ้าเขียว Kawasaki ZX-10 ที่เพิ่งถอยใหม่ออกมาได้ไม่นาน แม้จะยังใหม่ แต่หัวใจเกินร้อย



และสาวคนสุดท้าย...หมอแหวว (คนเขียนเอง) ใช้ชื่อตามเวปต่างๆ ส่วนใหญ่ คือ SweetSyrup
ปกติขี่ BMW F800GS เป็นรถ Enduro-Touring แต่งานนี้ ยังไม่สามารถขี่ได้ ทำได้เพียงขับรถตามอยู่ห่างๆ อย่างห่วง และใจที่อยากจะขี่...อย่างมาก

ล้อหมุน 7 โมงเช้า จุดแวะแรกบ่อน้ำพุร้อนแม่กระจาน







มาครบ 5 คนแล้วววว



แวะจุดชมวิวกว๊านพะเยา





ความโกลาหลซุกซนของเหล่าสาวๆ นักบิด



แวะวัดศรีโคมคำ ไหว้พระให้เป็นศิริมงคล





ยกช้างเสี่ยงทาย



บรรดารถที่ร่วมทางในทริป สิบกว่าคัน... ใช่แต่สาวๆ หนุ่มๆ ก็มี


จากเชียงใหม่จนถึงจุดหมายของวันนี้ คือ กว๊านพะเยา ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง ขี่ช้าๆ ชิวๆ เน้นหนุกหนานตลอดเส้นทาง เพราะรถในทริปนี้มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งสปอร์ตตัวจี้ด โมตาร์ท แม้กระทั้งช๊อปเปอร์ก็มี หลังจากแวะกินข้าวกลางวันกันเรียบร้อยและพักผ่อนตามอัธยาศัย เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัด จึงต้องมีการพักเอาแรงกันเล็กน้อย ก่อนกลับเชียงใหม่ช่วงบ่ายแก่ๆ ยิงยาวตามเร็วแค่ไหนแล้วแต่ใจอยากและกำลังรถของแต่ละคน

เรามาดูลีลาของ 4 สาว ในทริปนี้กัน









ส่วนตัวเองไม่มีรูปในทริปนี้ ได้แต่ขับตามหลังไวๆ มองก๊วนมอเตอร์ไซด์ข้างหน้าตาปริบๆ คราวหน้าไม่ยอมพลาดแน่ ชิ






 

Create Date : 22 มีนาคม 2554    
Last Update : 28 มีนาคม 2554 0:19:34 น.
Counter : 2800 Pageviews.  

ครั้งแรกกับการขี่เอ็นดูโร่ (KLX250) จากน่านสู่หลวงพระบาง [ตอนที่2]

Blog นี้เป็นตอนที่ 2 แล้ว ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก กลับไปอ่าน ครั้งแรกกับการขี่เอ็นดูโร่ (KLX250) จากน่านสู่หลวงพระบาง [ตอนที่1] ก่อนนะคะ



ถึงหลวงพระบาง ราวๆ 3 โมงเย็น ยังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่า (เพราะรอรถเซอร์วิสขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้) ก็ตั้งวงกันหน้าโรงแรมแล้ว



ตั้งวงหน้าโรงแรมทุกเย็น



เพื่อนคู่ใจทุกค่ำคืน เบียร์ลาวหาง่ายที่สุด และดูเหมือนคนลาวเองก็ไม่ค่อยจะดื่มอย่างอื่นเสียด้วย แต่สามารถหาซื้อโซจูเกาหลีได้ตามร้านขายเฝอ ...เป็นงง



ค่ำคืนแรก พวกเราไปเดินเที่ยวที่ตลาดมืด เป็นตลาดที่ขายของยามค่ำคืน เหมือนถนนคนเดินที่เชียงใหม่บ้านเรา



เช้าวันที่ 2 เหล่าสิงห์นักบิด ก็ถูกต้อนขึ้นรถทัวร์ เพื่อเที่ยวชมเมือง สถานที่แรกที่แวะ...พิพิธัณฑสถานแห่งหลวงพระบาง



ฟังไกด์อธิบายเรื่องราวความเป็นมาของหลวงพระบางและพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ได้ถูกเปลี่ยนแปลงมาจากพระราชวังหลวงพระบาง ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ อันเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1904 เพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงค์
ลักษณะ เป็นศิลปะแบบลาวผสมฝรั่งเศส มีแผนผังเป็นรูปกากบาท และ สร้างฐานซ้อนกันหลายชั้น



แหกตาสามัคคี....



ดูเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในหลวงพระบางจะไม่ได้มีมากนัก แม้จะมีวัดเยอะ แต่ที่สำคัญๆ ก็มีเพียงไม่กี่วัด



ศิลปะการตกแต่งภายใน...สวยงามทีเดียว



แห่งที่ 2 ที่ได้มาเที่ยวคือ วัดเชียงทอง เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุด และปัจจุบันเป็นวัดหลวงที่ใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาที่สำคัญๆ ในวาระต่างๆ ของประเทศ



ราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งเก็บไว้ในโรงเก็บราชรถ (โรงเมี้ยนโกศ) ภายในวัดเชียงทอง



ลักษณะการสร้างบ้านในสมัยโบราณ นำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงแล้วเอาปูนโบกทับ ซึ่งเหมือนกับที่พบเห็นได้แถวๆ เชียงคาน



ตกบ่าย...แวะจิบน้ำชากันที่ Joma Cafe ที่เขาว่าเค้กอร่อยที่สุดในหลวงพระบาง หรือเป็นเพราะมันมีร้านแบบนี้อยู่ร้านเดียวกันแน่หว่าาาา



^______^



พระธาตุพูสี...ทางขึ้นอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ต้องขึ้นไปตอนเย็น เพื่อไปดูวิวของเมืองและรอชมพระอาทิตย์ตก

ถ้าไม่ขึ้นไปตอนเย็นก็จะเหมือนข้าพเจ้า...ที่ต้องขึ้นไป 2 รอบ ขึ้นไปรอบแรกตอนเช้าพอลงมาก็สงสัย ทำไมไม่มีใครขึ้นไปเลยว้าาา ถึงบางอ้อ...เพราะไกด์บอกว่าจะพามาตอนเย็น จะได้ดูพระอาทิตย์ตกด้วยนั่นเอง



วิวเมือง...มองจากเขาพระธาติพูสี



ผู้คนคลาคล่ำ หลากเชื้อชาติ มารอคอยดูพระอาทิตย์ตก แต่เชื่อมั๊ยว่าที่เยอะที่สุด ก็คือพี่ไทยเรานี่เอง



ยามอาทิตย์อัสดง



เครื่องบินเตรียมร่อนลงยังสนามบินหลวงพระบาง



ในลาวก็มีคนขับแฮมเมอร์



สองคันนี้ไม่รู้มาจากไหน ประกาศขายอีกต่างหาก



ริม (แม่) น้ำคาน [ภาษาลาว น้ำ = แม่น้ำ ภาษาไทย]



สายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตและผู้คนริมน้ำ มาช้านาน



เด็กๆ เล่นน้ำอย่างสนุกสนาน



แสงสุดท้าย...



วันที่ 3 ของทริป พวกเราไปเที่ยวน้ำตก ( = ตาด) กวงสี อยู่ห่างจากหลวงพระบาง 25 km.



สวยมากๆ ^^



เป็นคนเดียวที่บ้าเดินขึ้นไปยังน้ำตกชั้นบน



เมื่อถึงบนสุดก็เห็นแค่เนี้ยยยย



สาวลาวสวยยยย....มาก



ไม่ต้องมีคำบรรยาย ^____^ ใครทำอะไรดูเอาเอง



ขี่กลับจากน้ำตก





หลักกิโลที่ 0 เห็นทีไรเป็นอดใจไม่ไหว ต้องหยุดเก็บภาพทุกที



ใส่บาตรเข้าเหนียวยามเช้า คนถ่ายรูปเยอะกว่าคนใส่บาตรเสียอีก



ใส่กันมือเป็นระวิง...แทบจกข้าวเหนียวไม่ทันพระเดินผ่าน



ตลาดเช้า...เป็นตลาดท่ี่ขายของยามเช้า (ชื่อก็บอกอยู่แล้วนิ)



ก้อนเขียวๆ คือสาหร่าย ส่วนข้างๆ กันก็พวงปู



ข้างโรงแรมมีจัดงานปีใหม่ ความบันเทิงยามค่ำคืน



น้ำเต้า ปู ปลา



คนมุงเพียบ



รำวง



แล้วก็...ตั้งวง



ไม้ท่อนโตๆ ไม่อยากคิดว่าอายุสักกี่ปี...แสนเสียดาย



ช้าง...พบเห็นได้ประปราย น่าจะเอาไว้ใช้ลากซุง



มิตรภาพที่พบได้ระหว่างทาง นักเดินทางกับผู้คนในท้องถิ่น



แม้ไม่รู้จักกัน...แต่น้ำใจที่หยิบยื่นให้แก่กัน ก็สามารถสร้างมิตรภาพและรอยยิ้มได้อย่างไม่ยากเย็น



ออกจากหลวงพระบาง 7 โมงเช้า ขี่กันเรื่อยสบายๆ แวะถ่ายภาพและก็หม่ำตลอดทาง ถึงด่านห้วยโก๋น 6 โมงเย็นพอดิบพอดี

จบทริปด้วยระยะทาง 400 กว่ากิโล ระยะทางไม่ใช่ประเด็นเสมอไป ระยะทางแค่นี้ก็ให้อะไรได้มากมายไม่แพ้ทริปยาวๆ ของตัวเองที่ผ่านมา


ขอบคุณรูปสวยๆ บางส่วนจากพี่แอนดี้ ช่างภาพประจำทริป และต้องขออภัยน้าบ๊วยที่ปาดหน้าแอบเอารูปของพี่แอนดีเมาลงก่อน เพราะมัวแต่คอยน้าคอยแล้วคอยเล่าเฝ้าแต่คอย รูปมันสวยจนอดใจไม่ไหวค่ะ ^^




 

Create Date : 19 มกราคม 2554    
Last Update : 20 มกราคม 2554 15:27:13 น.
Counter : 2984 Pageviews.  

ครั้งแรกกับการขี่เอ็นดูโร่ (KLX250) จากน่านสู่หลวงพระบาง [ตอนที่1]

ทริปนี้จอด F800GS ไว้บ้าน แล้วลองไปขี่รถเอ็นดูโร่ ตะลุยทางฝุ่นดูบ้าง

ได้ไปเช่ารถที่จังหวัดน่าน ไปกับทัวร์ชาวน่าน ที่มีการจัดไปหลวงพระบางเป็นประจำ


จากน่านไปหลวงพระบางนั้นสามารถไปได้หลายเส้นทาง แต่วันนี้เราเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด และเคยได้ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุด เพราะทางยังไม่ได้ผ่านการทำ แต่คราวนี้ปรากฏว่าถนนสายนี้ได้ทำการปรับพื้นผิวไปเสียแล้ว จากที่คาดการณ์ว่าต้องเป็นหินลอย ร่องน้ำ กรวดก้อนใหญ่ๆ จึงกลายเป็นเพียงทางลูกรังหน้าเรียบ เรียกว่ากินฝุ่นกันตลอดทริป กับระยะทาง 180 กิโลมุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง
คราวหน้าว่าจะเอา F800GS มาเส้นทางนี้อีกครั้งค่ะ



ครั้งแรกกับการขี่เอ็นดูโร่ KLX250 จากน่านไปหลวงพระบาง มีคนบอกว่าให้มาลองขี่เอ็นดูโร่ดูบ้าง การลองรถหลากหลายรูปแบบ ไม่ยึดติดก็เป็นการพัฒนาตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่รอช้าตอบตกลงกับคำชวน ที่จำไม่ได้แน่ๆ ว่าใครชวนกันแน่ แต่คนที่ปลุกความรู้สึกอยากอีกครั้งได้แก่น้าบ๊วย ขอขอบคุณที่ยอมสละรถให้ลองของก่อนจะตัดสินใจว่ากล้าขี่หรือไม่

หากจะถามว่าเคยขี่รถใหญ่ๆ แล้วจะกลัวอะไรกับรถเล็ก ขอบอกเลยว่ากลัวกว่า เพราะการขี่รถเอ็นดูโร่ทางดินเป็นที่รู้กันอยู่แล้วไม่ตาย แต่ถ้าพลาดก็มักจะเจ็บหนึบๆ แบบหนักๆ ได้ไม่ยาก



เสียงตามสายจากน้าบ๊วยผู้ใจดีและแสนจะหล่อเหลาแว่วมาไถ่ถามว่าจะไปเมืองน่านเช่นไร
พร้อมๆ กับหยิบยื่นไมตรีว่าล้อยังว่าจะเกาะไปไหวไหม เอ้ยยย...รถตู้ยังมีีที่ว่าง นั่งไปด้วยก็ได้

ล้อหมุนเกือบ 11 โมงจากหน้าสวนสยาม บวกกับการลากหางไปด้วย
ทำให้ไม่สามารถทำความเร็วได้มากนัก (แต่ก็แอบชำเลืองเห็นว่ามีแตะ 150km/hr อยู่บ้างเหมือนกัน) กว่าจะถึงเมืองน่านก็ปาเข้าไป 1 ทุ่มตรง

ขอบคุณน้าบ๊วยมากๆ จากใจค่ะ ^^



หลังจากได้พบปะกับผู้ร่วมทาง ก็มารวมตัวกันที่ปั๊มพี่ชูเพื่อทำการเช็ครถ ครั้งแรกที่ได้เห็นรถ KLX250 กับความสูงของรถ แม้จะได้เคยไปลองขี่รถประเภทนี้อยู่บ้างแล้ว ก็เสียวๆ อยู่ในใจไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับ F800GS ที่ใช้ประจำแล้ว ก็ได้เปรียบเรื่องน้ำหนักที่เบากว่ามากนี่หละ



รุ่งขึ้นเราเดินทางออกจากตัวเมืองน่าน ไปยังด่านห้วยโก๋น เพื่อออกสู่ลาว ตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง มีอยู่ 4 คันที่เอาเปรียบด้วยการนำขึ้นรถลากไป (คือก๊วนข้าน้อยเอง ^^)
เก็บภาพสวยๆ เหล่านี้ได้ ก่อนจะถึงด่านห้วยโก๋นเล็กน้อย



ทะเลหมอกยามเช้า



อรุณรุ่งและอากาศที่แสนสดชื่น ทำให้ความเหนื่อยล้าผ่อนคลายละลายหายไป เตรียมใจให้พร้อมกับความสนุกสนานและยากลำบากต่อหนทางข้างหน้า



นำรถตู้และรถลากมาจอดไว้ที่สถานีตำรวจ จัดการแพ็คสัมภาระ



ทัวร์ไปหลวงพระบางนี้มีจัดเป็นประจำ โดยคณะชาวน่าน ผู้ใดสนใจติดต่อคุณบีได้นะคะ มีรถให้เช่า และมีการจัดการให้ทุกอย่างตลอดเส้นทาง เรียกว่าไปแต่ตัวก็ยังได้



เห็นแวบแรกนึกว่า F800GS หันไปดูอีกที... ^^



พียงไม่นานก็ข้ามมาด่านฝั่งลาว ทริปนี้มีผู้ร่วมทาง 19 คัน มี GS 3 คัน, Triumph classic 1, KSR 1, Suzuki DR750(?),
Dtracker 125 1, ที่เหลือเป็นรถเอ็นดูโร่ 250-400cc หลายหลายยี่ห้อ มีครบ



การจะเข้าไปขี่รถเที่ยวในลาวได้ ตามกฏหมายต้องมีตำรวจนำเป็นธรรมเนียมตอนผ่านแดนค่ะ กว่าตำรวจนำจะมา เราก็ได้แต่รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ
แต่พอผ่านเข้าไปได้ซักพัก ตำรวจก็หายไป (แอบลงที่หมู่บ้านข้างหน้า) เราก็ขี่ต่อไปเองไม่เห็นมีมาตรวจอะไรอีกค่ะ แล้วก็ต้องมีไกด์ลาวไปด้วย



มีพี่เลี้ยงตลอดทริป ^^



BMW ก็ไปได้ จะว่าสบายๆ เลยก็ว่าได้



น้าบ๊วยยยยย กรี้ดๆๆๆ เท่ห์ที่สุด



รอจนเบื่อ



ไม่ใช่แค่เบื่อธรรมดา...หลับเลย



เท่ห์กันทุกคน



ภาษาลาว การอ่านและเขียน คล้ายบ้านเรามากเสียจนไม่ยากที่จะอ่าน แม้จะได้มาเยียนเป็นครั้งแรกก็ตาม


เกร็ดเล็กน้อย ภาษาลาว ไม่มีพยัญชนะบางตัวเหมือนไทย เช่น ช ช้าง ร เรือ รวมไปถึงไม่มีคำควบกล้ำ ไม่มีตัวการันต์ ฯลฯ
ดังนั้น หากออกเสียงชื่อเมืองที่ถูก คือ ไซยะบุลี (Xainyabuli); หลวงพะบาง (Loung pabang) **หล ไม่ใช่คำควบกล้ำ เป็นเสียงอักษรนำ**
และ บางพยัญชนะ ก็มีคำสร้อยที่ต่างกันเช่น ก กา , ย ยุง ,ฟ ไฟ , ว วัว ฯลฯ

เครดิต: Backpacker



รอกันจนกระจัดกระจาย รวมกลุ่มกันอย่างที่เห็น



^____^



พอตำรวจมา แล้วบอกให้ไปได้ ก็เป็นอย่างที่เห็น ฟิ้ววววววว



น้ำมันในลาวตกลิตรละ 40 บาทค่ะ โดยทั่วไปคนลาวจะรับเงินไทยค่ะ และก็มักจะเป็นเราที่เสียเปรียบ
เช่น จะข้ามสะพานไม้ที่มีการเก็บตังค์ ถ้าแปลงจากเงินลาวเป็นไทยก็อาจจะ 16 บาท แต่เค้าจะไม่รับเหรียญ เค้าจะเอาแต่แบ็งค์ 20 อย่างเดียวเลย



จากหน้าด่านห้วยโก๋น (น่าน) 40 กิโล ก็มาถึงเมืองหงสา ซึ่งมีเส้นทางแยกไปหลวงพระบางได้ถึง 3 เส้นทาง



เฮียหมง ขี่คันนี้ขึ้นมาจากหาดใหญ่ เพื่อไปหลวงพระบางด้วยกัน ขี่จากบ้านมากว่า 1800 กิโล เพื่อมาขี่ 400 กิโล
ขากลับไม่มันในอารมณ์ เฮียจึงแยกไปซัมเหนือแต่เพียงลำพังผู้เดียว
เสียงเล่าจะเฮียหมงว่าปีนี้ขี่คันนี้ไปกว่า 40000 หมื่นกิโลแล้ว ...สุดยอดมากค่ะ



กลุ่มรถใหญ่แยกจากหงสาไปอีกเส้นทางที่ไกลกว่า แต่คิดว่าถนนน่าจะดีกว่า ผิดคาด...ได้ยินว่าลำบากกว่าทางที่เราไปเสียอีก
จึงมาถึงที่หลวงพระบางช้ากว่าและด้วยสภาพเละมากเลยทีเดียว...



เส้นทางที่บรรดารถเอ็นดูโร่ไปเป็นเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด
จากเสียงล่ำลือว่าหนทางยากลำบางนั้นดูจะหายไปเสียแล้ว กลายเป็นทางที่ถูกเกรดหน้าถนนไปจนหมดแล้ว หินลอย ร่องน้ำไม่มีให้เห็น กลายเป็นเพียงทางลูกรังดินอัด
มีถนนบางช่วงที่ชื้นๆ เป็นเหมือนดินหนังหมูให้ไถลเสียวไส้เล่น

บทสรุป ของการเดินทางจาก "เมืองน่านไปยังเมืองหลวงพระบาง" นั้น สามารถวิ่งได้ทั้งหมด 3 เส้นทาง ดังนี้


เส้นทางแรกใกล้ที่สุด คืออกจากด่านห้วยโก๋น ไปเมืองหงสา 40 กม. แล้วมุ่งหน้าไปบ้านจอมเพชร (ฝั่งตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง) 125 กม.
- เป็นเส้นที่ขี่สนุกมาก เหมาะสำหรับรถวิบาก แต่ปีหน้าจะเริ่มมีการก่อสร้างถนนเส้นนี้ใหม่ คาดว่าน่าจะยากมากขึ้น

เส้นทางที่สอง คือ ออกจากด่านห้วยโก๋น ไปยังเมืองหงสา 40 กม.แล้วแยกไปทางเมืองไชยะบุรี 90 กม.ขึ้นเหนือไปที่ท่าเดื่อ เพื่อข้ามแพขนานยนต์ 35 กม. จากท่าเดื่อวิ่งไปถึงแยกเชียงเงิน 40 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายอีก 25 กม. ก็ถึงเมืองหลวงพระบาง
- ทางกำลังก่อสร้าง อาจต้องหยุดเป็ยบางช่วงเพื่อรอเครื่องจักรทำงาน ส่วนมากจะเป็นถนนลูกรังบดอัด ฝุ่นเยอะมากๆครับ

เส้นทางสุดท้าย วิ่งง่ายที่สุดแต่ก็ไกลที่สุด ออกจากด่านห้วยโก๋นแล้วแยกซ้ายมุ่งหน้าปากแบ่งเพื่อข้ามแพขนานยนต์ 50 กม. จากปากแบ่งก็มุ่งหน้าไปเมืองอุดมไช 140 กม. ก่อนเข้าเมืองอุดมไชจะเจอสามแยก ให้แยกขวามุ่งหน้าหลวงพระบาง
- จากสามแยกที่เมืองอุดมไชจนถึงสามแยกปากโมง 80 กม. ทางเริ่มเสียเป็นทางแห่ง..โดยเฉพาะหัวโค้งมักจะเป็นดินล้วนๆเลย เลี้ยวขวาที่สามแยกปากโมงมุ่งหน้าเมืองหลวงพระบาง ระยะทาง 100 กม. ทางดี ถนนเนียนใช้ได้เลย

ข้อมูล: คุณบี



บ้านปากห้อยยาว ...ไม่ใช่สิ บ้านปากห้วยยาง ต่างหาก



สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านยังดิบมาก มีไฟฟ้าเข้าถึงก็จริง แต่ก็ไม่ได้ใช้กันทุกบ้าน



แวะพักระหว่างรอขบวน



ธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทาง



กินฝุ่นหัวแดงตลอดการเดินทาง



ระหว่างเส้นทางจะต้องมีการผ่านลำธารทั้งหมด 7 แห่ง หลังจากจบทริป มานั่งคิดๆ ดู ว่าถ้าล้มในน้ำคงแย่เลย เพราะติด Tail bag ใส่กล้องไว้น่ะจิ

ทริปนี้้เป็นทริปไม่ยาว แต่รูปเยอะมาก สวยๆ อยากให้ชม ติดตามต่อตอน 2 ค่ะ

มีคลิปให้ดูเพลินๆ ด้วยค่ะ ต่อไปนี้จะมีคลิปทุกทริปแหละ ^^





อีกคลิป จากอีกหนึ่งมุมมองของเพื่อนร่วมทริปค่ะ





 

Create Date : 19 มกราคม 2554    
Last Update : 20 มกราคม 2554 14:52:07 น.
Counter : 4404 Pageviews.  

ทริปทรมานสังขาร ควบ F800GS ตะลุย...เชียงคาน-น่าน-เชียงราย-เชียงใหม่-อุ้งผาง ใน 6 วัน

ปีนี้ดูเหมือนลมหนาวจะมาเยือนเร็วกว่าทุกปี ร่ำร้องให้ออกไปขี่รถท่องเที่ยวนัก อดรนทนไม่ไหวต้องออกไปจนได้ซิน่าาาา แม้ทั้งปีจะไม่ได้ไปไหน อย่างน้อยเดือนธันวาคมก็จะต้องมีกันซักทริป เป็นเหตุให้ได้รับการชักชวนจากหลายกลุ่มให้มาพบเจอกันบ้าง ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาก็นับเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ทำให้กลายเป็นว่าต้องคิดเส้นทางที่พอจะได้พบเจอเพื่อนๆ ให้ได้มากที่สุด เป็นที่มาของทริป 6 วัน 5 คืน กับระยะทางกว่า 3 พันกิโลแม้ว ให้ทรมานสังขารเล่น อิอิ แต่...ขึ้นชื่อว่า sweetsyrup กลัวที่ไหน (ก็คิดเองนิ จะกลัวได้ไง)



ออกสตาร์ทด้วยเลยไมล์ตามในภาพ ถึงบ้านก็ทะลุ 2 หมื่นโลไปเรียบร้อยแล้ว ว่าแล้วลุยกันเลยดีกว่า ^____^


คืนก่อนเดินทาง ก็ได้ทำการแพครถ เห็นการ์แฮนด์หนีบสายเบรคอยู่ จึงจัดการให้เข้าที่เข้าทาง แต่ดันทำน็อตหล่นลงไปในตัวรถ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ทำให้ต้องถอดแฟร์ริ่งออกมาซะงั้น กรรม...แทนที่จะได้นอนให้เต็มอิ่ม กลายเป็นว่าได้นอนไป 1 ชั่วโมง T__T



เช้าวันแรก...ออกเดินทางตีห้าครึ่ง ปั๊มแรกที่แวะ ก็เจอก๊วน BB เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพกันแล้ว


วิ่งจากกรุงเทพไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านหล่มสัก เข้าด่านซ้าย เพื่อไปยังเชียงคาน จังหวัดเลย ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในคืนนี้



ทางเลี่ยงเมืองเพชรบูรณ์ที่สวยงาม ถนนดี รถราน้อย...



เพราะทำเวลาได้ดีกว่าที่คำนวนไว้ สถานที่ท่องเที่ยวจึงงอกเพิ่มมา...นั่นคือ ภูเรือ



เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่ (ภูเรือ)... สูงกว่าภูกระดึง



อุทยานแห่งชาติภูเรือ เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือมีส่วนหนึ่งเป็นผาชะโงกยื่นออกมาเหมือนหัวเรือสำเภาใหญ่



จากจุดจอดรถ เราต้องเดินหรือไม่ก็ขึ้นรถกระบะของชาวบ้านขึ้นไปอีกประมาณกิโลกว่าๆ งานนี้ขอเลือกประหยัดแรง ขึ้นรถ...ไปกลับก็ 40 บาท



มุ่งหน้าไปเชียงคาน โดน GPS นำไปทางท่าลี่ ผลคือ บางช่วงถนนแย่สุดๆ หลุมบ่อ กรวด มีครบ คงกะให้สมกับเอา GS มาลุย

เคยสงสัยกันไหมคะ ว่า GS มาจากอะไร... GS มาจาก Gelände/Straße เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า off-road/road นั่นเอง



ถึงเชียงคานบ่ายสามโมงกว่าๆ คืนนี้เราพักที่สุเนตา อาบน้ำอาบท่าคลายร้อน ไม่รอช้าแล้วก็รีบออกไปชมเมืองในทันที



ที่นี่มีที่พักมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนเรียบริมโขง โดยขึ้นหัวเป็นโฮมสเตย์แทบทั้งหมด ซึ่งจริงๆ ก็เป็นแบบนั้น ยกเว้นบางแห่งที่มีผู้มาพักมากมายซะจนเจ้าของตัวจริงต้องระเห็จออกไปมีบ้านใหม่เสียเลย



สเน่ห์ของเชียงคานคือบ้านไม้เก่าที่ถอดยาวไปตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง พร้อมๆ กับอัธยาศัยมิตรไมตรีจากเจ้าบ้าน ที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็จะได้รับแต่รอยยิ้มและเสียงต้อนรับ

ถ้าคุณชอบบรรยากาศเก่าๆ พร้อมกับผู้คนพลุกพล่านผ่านไปมาข้างๆ ห้องนอน เชียงคานจะเป็นสถานที่ในฝัน แต่คุณจะไม่มีทางได้ตื่นสาย เพราะจะได้ยินเสียงผู้คนออกมาเพื่อใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่ และจะตามมาด้วยเสียงพระสวดให้พร แต่โดยส่วนตัวชอบความเงียบสงบในยามพักผ่อนมากกว่า ความเหมือนที่แตกต่างกับปายนี้ ทำให้ใจยังคงคิดถึงเมืองปายอยู่เหมือนเดิม



แม่น้ำโขงในส่วนนี้ กว้างใหญ่ นำความสงบเงียบ และฉ่ำเย็น มาสู่ผู้ที่ได้สัมผัส เพียงเหม่อมองไปสุดสายตา เสมือนความอ่อนล้าในจิตใจจะมลายหายไปได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว



ทางเดินเลียบแม่น้ำโขงที่ทำไว้อย่างดี แม้จะไม่ได้ยาวมากนัก แต่ก็ยาวพอให้ซึบซับบรรยากาศได้เต็มๆ อิ่ม



ใครที่จองที่พักมาจากทางบ้าน ไม่ต้องกลัวว่าจะหายากหรือหาไม่เจอ เพียงแค่เดินบนถนนเลียบริมโขงตั้งแต่ต้นทาง รับรองว่าหาเจอแน่ๆ แต่หากใครอยากมาลองหาเอาดาบหน้าก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะที่นี่มีบ้านพักมากมายเหลือเกิน ยังไงก็มีที่ให้พักแน่ๆ แถมบางที่ๆ ไม่ได้ลงในอินเตอร์เน็ท น่ารักมากๆ เอาเสียด้วย

ของที่ระลึกมีมากมาย ตั้งแต่เสื้อ จนไปถึงของทำมือน่ารักๆ หลากหลายรูปแบบ ให้เลือกซื้อไปฝากเพื่อนฝูง ไปมาก็ตั้งไม่รู้กี่ที่ ไม่เคยซื้อเสื้อเลย ไม่รู้ทำไมชอบอะไรกับคำว่า “คาน” นัก ขนซื้อไปฝากเพื่อนเป็นกระบุง เกือบๆ 10 ตัว ^^



บรรยากาศยามเช้า...หมอกจางๆ เมื่อคืนอากาศเย็นสบาย เรียกว่าไม่ต้องเปิดแม้กระทั่งพัดลมเสียด้วยซ้ำ



บ้านเก่าหลังนี้ ใครมาเป็นต้องตามหาเพื่อถ่ายรูป ปัจจุบันไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว เหลือไว้เป็นจุดสนใจให้นักท่องเที่ยวได้แวะเวียนมาเก็บภาพ



อาหารเช้า...ไข่กระทะ



ตู้ไปรณีย์แบบโบราณ จุด RC อีกจุดที่ตามเก็บ คุณบุรุษไปรษณีย์มาพอดี...เลยขอถ่ายรูปมาซะเลย



เช้าวันที่สอง กว่าจะออกจากเชียงคานก็ 10 โมงกว่า ทั้งๆ ที่แพลนไว้ 8 โมง แวะไปชมแก่งคุดคู้ แต่คนเยอะเหลือหลาย เลยชะโงกแชวบๆ แล้วก็ไปที่อื่นต่อดีกว่า



วันนี้เราจะมุ่งหน้าไปนอนที่ภูคา จ.น่าน GPS นำกลับมาทางท่าลี่ จึงแวะสักการะพระธาตุสัจจะเพื่อเป็นสิริมงคลเสียหน่อย



เส้นทางท่าลี่นี่เอง ที่บอกไปแล้ว่าแย่ มันแย่ถึงขนาดขี่มาดีๆ กลายเป็นทางกรวดทรายไปซะงั้น



ตาม GPS มาเรื่อย ผ่านมาทางชาติตระการ เข้าอุตรดิตถ์ ผ่านน้ำตกภูสอยดาว จนเข้าน่าน จนมาถึงทางแยกซ้ายไปนาน้อย ขวาไป ??? ซึ่ง GPS บอกให้ไปทางนี้ คืนนี้จะไปนอนภูคา



ทางก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ



จนกลายเป็นทางลูกรังในที่สุด เลี้ยวเข้าไปก็ชักรู้สึกแปลกๆ จนต้องจอดเพื่อจะถามเพื่อนว่าจะไปต่อกันดีไหม เพื่อนตามมาบอกว่า เมื่อกี้ตรงแยกทางเข้าถนนเส้นนี้...มีตำรวจเดินมาบอกว่า “ไปได้ ถนนเสียหน่อยนึงนะ”

ขี่เข้าไปเรื่อยๆ ทางก็เล็กลงเรื่อยๆ และเละขึ้นเรื่อย จากที่เป็นลูกรัง เริ่มเป็นกรวดลอย ร่องน้ำ บางช่วงเต็มไปด้วยหญ้า เหลือเพียงรอยล้อรถยนต์เท่านั้น ระยะทางประมาณ 10 กว่าโล แต่กว่าจะหลุดออกมาได้เกือบ 2 ชั่วโมง



กว่าจะออกมาได้ก็โพล้เพล้พอดี เจอป้ายที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนแบบที่เห็น...บรื้อย์ วิ่งมาเจอหมู่บ้าน จอดเติมน้ำมัน ชาวบ้านบอกว่าทางนี้เลิกสร้างมา 5 ปีแล้ว ก็เลยเป็นแบบนั้น กลับไปดูใน GPS มันเป็นเส้นประ เฮ้อ...เราผิดเองที่ไม่ตั้งให้เลี่ยงทางลูกรัง แต่ก็มันส์ดีค่ะ และก็เพราะไม่รู้ว่าถนนจะเป็นแบบนี้นานเท่าไหร่ ก็ร้อนๆ หนาวๆ จะได้กินข้าวลิงเหมือนกัน
บางครั้ง GPS ก็พาเราไปสัมผัสกับทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยมา แต่บางครั้งมันก็พาเราไปในทางเจ้าปัญหาด้วยเช่นกัน เช่น ทางที่เก่าแล้ว ถนนไม่ดีเป็นต้น ฉะนั้น...ขณะที่ใช้ GPS ก็ต้องทำใจเผื่อไว้หน่อย เพราะมันก็ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น

ที่จะไปนอนภูคาก็เพราะนัดกับเพื่อนกลุ่มนึงไว้ กว่าจะถึงภูคาก็ปาเข้าไป 2 ทุ่ม เลยไม่ค่อยได้มีโอกาศได้โอภาปราศัยกับกลุ่มเพื่อนนี้ที่มาจากพิษณุโลกสมดังตั้งใจซักเท่าไหร่ แถมเพื่อนกลุ่มนี้ออกกันแต่เช้าเสียอีก กว่าจะเก็บของเสร็จปรากฎว่าเขาก็ออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว



ได้กางเต้นท์นอนสมใจอยาก ... น้ำค้างแรง หมอกลงจัด และอากาศหนาวมาก



เพราะทางเมี้ยนๆ จาก GPS เมื่อวาน ทำให้พลาดไปหลายโปรแกรมที่วางไว้ หนึ่งในนี้คือ บ่อเกลือ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จึงย้อนกลับไปดู (จากอุทยานแห่งชาติภูคาไปอีก 23 กิโล)

บ่อเกลือนี้คือ บ่อเกลือสินเธาว์ หรือ เกลือภูเขา ปัจจุบันชาวบ้านยังคงต้มแกลือด้วยวิธีแบบดั้งเดิม จะตักน้ำเกลือจากบ่อส่งผ่านมาตามลำไม้ไผ่สู่บ่อพัก การทำ เกลือ ของชาวบ้านบ่อเกลือ นำน้ำเกลือที่ตักจากบ่อมาต้มในกะทะประมาณ 4-5ชั่วโมงให้น้ำเกลือระเหยแห้งจาก นั้นก็จะนำไม้้พายมาตักเกลือใส่ตะกร้าที่แขวนไว้เหนือกะทะเพื่อให้น้ำเกลือไหลลงมาในกะทะทำอย่างนี้ ไปเรื่อย จนน้ำในกะทะแห้ง หมดแล้วจึงตักน้ำเกลือจากบ่อมาใส่ลงไปใหม่ หลังจากนั้นใส่ถุงวางขาย กันหน้าบ้านเกลือ เมืองน่านไม่มีไอโอดีนเหมือน เกลือทะเลจึงต้องมีการเติมสารไอโอดีนก่อนถึงมือผู้บริโภค



ป่าสนดึกดำบรรพ์ อยู่ระหว่างทางไปบ่อเกลือ



ทางสวยๆ จากน่านไปเชียงราย วันนี้นัดกับเพื่อนอีกกลุ่มไว้ที่เชียงราย จึงมุ่งหน้าไปแบบสบายๆ ไม่ได้มีจุดแวะใดๆ ในแผน



วิวสวยๆ มีให้เห็นตลอดทาง อยากจะจอดถ่ายรูปมันเสียทุกที่



ด้วยความที่ไม่มีแผนใดๆ เจอป้ายแหล่งท่องเที่ยว น้ำพุร้อนโป่งกิ ก็รีบเลี้ยวเข้าไปทันที แล้วก็ต้องผิดหวังตูมเบ้อเริ่ม เพราะกลายเป็นบ่อร้างไปเสียแล้ว ทางเข้าก็เจอกับสะพานขาดอย่างที่เห็น



ผิดหวังอย่างแรงกับโป่งน้ำร้อน แต่กลางทางเจอป้ายบอกว่าเส้นทางเดียวกันนี้ยังไปน้ำตกได้อีก ยังไม่เข็ด เห็นชื่อคุ้นๆ ชื่อน้ำตกตาดฟ้าร้อง จากทางปูนกลายเป็นทางดินแบบบ้านๆ ผ่านเอ่งน้ำบ้าง กรวดลอยบ้าง กว่า 5 กิโลก็ไม่ถึงซักที จนเจอชาวไร่... "อย่าไปเลย ทางมันลำบากกว่านี้อีก กลับเถอะ" คนทักทั้งที มีหรือจะไม่เชื่อ ไม่รอช้า กลับรถเลยสิคะ ^^ เป็นอันว่าชวดไปอีกหนึ่ง แต่ก็ถือว่าได้ฝึกทักษะเอ็นดูโร่แทน



เส้นทางภาคเหนือกับอีสานตอนบน ส่วนใหญ่ก็วิวสวยเกือบหมด แต่ที่ต้องยกให้เป็นอันดับต้นๆ คือ เส้นจากน่านไปพะเยา และถนนก็ดีมากๆ ด้วย



จุดหมายของคืนที่ 3 คือ เชียงราย วันนี้เราจะไปนอนบ้านเพื่อนคนหนึ่ง ปรากฏว่ามีกลุ่ม BB มาจอยถึง 2 กลุ่ม ได้แก่ H-D playground และกลุ่มเพื่อนที่รู้จัก (ที่นัดไปเจอ) เจ้าบ้านต้อนรับได้อย่างประทับใจมาก เกินร้อยกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นปาร์ตี้ย่อยๆ ได้เลย



ต้นแบบ กระเป๋า touratech



จุดหมายวันที่ 4 ใกล้ๆ ไม่ไกล แค่เชียงใหม่ เลยเถลไถลไปเรื่อย เริ่มต้นที่ดอยแม่สลอง ไม่เคยมา ก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามันไม่มีอะไร คล้ายๆ บ้านรักษ์ไทย แต่ที่นั่นเจ๋งกว่าเยอะ อ้ะ...ไม่เป็นไร ถือซะว่าขี่รถเล่น



พระธาตุบนดอยแม่สลอง เขาว่าถ้าไม่ได้ขึ้นไป ถือว่ามาไม่ถึงดอยแม่สลอง



มาตามเส้นฝาง ก็เห็นป้ายดอยอ่างขาง ไม่เคยมา และ ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ถนนเส้นนี้ ว่าแล้วก็เลี้ยวซะ เจอวัดนี้ก็รี่เข้าไปเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร แต่ว่าวัดแถวๆ นี้สวยหมดค่ะ ผ่านกี่วัดๆ ก็ว่าสวยมาก แต่แวะทุกวัดไม่ไหว...มันร้อน



บ้านทรงไทยล้านนาในวัด สวยน่าอยู่มากๆ แต่ไม่น่าจะเหมาะกับคนขวัญอ่อน



ขาขึ้นดอยอ่างขางน่าจะเป็นทางเส้นเชียงใหม่-ฝาง (107) ที่ กม 137 เส้นนี้จะมีช่วงที่เป็นโค้งพับสูงชันอยู่ช่วงใหญ่ๆ ส่วนขาลง ลงทาง อำเภอเชียงดาว มาบรรจบกับเส้นเชียงใหม่-ฝาง (107) เช่นเดิม แต่ที่ กม 79 เส้นนี้จะยาวและวิวสวยกว่า ไม่ชัน แต่ถนนแคบ



สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม ทดแทนการปลูกฝิ่น สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง อยู่บนเทือกเขาตะนาวศรี ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร พื้นที่รับผิดชอบประมาณ 26.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 16,577 ไร่ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ให้เขาช่วยตัวเอง” เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นมาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาวที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อน



ภายในโครงการ มีการจัดแบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วน ตามลักษณะของแปลงเกษตร เพื่อให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้รับความเพลิดเพลินจากดอกไม้นานาพรรณไปพร้อมๆ กับความรู้



นอกจากนี้ก็ยังมีชาวเขาทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาหารายได้ยังชีพด้วยการขายของที่ระลึก คุณยายในภาพคือชาวเขาที่ซื้อของแกมา ถามแกด้วยว่าทำไมต้องนั่งตากแดด แกบอกมันอุ่นดี ^^ กำลังจะออกรถ มีเด็กชาวเขาวิ่งปรีเข้ามาแล้วพูดว่า “พี่คับๆ ซื้อผมมั่ง กระจายรายได้ๆ” O_o’โอ้โห ทันสมัยนะเนี่ย



บนเส้นทางดอยอ่างขางนี้ ดอกพญาเสือโคร่งก็บานสะพรั่งให้เราเห็นเต็มสองข้างทาง



ชาวดอยที่ขายของอยู่ระหว่างทาง หน้าตาน่ารักมากๆ ^^ อดใจไม่ไหว เหมือนตุ๊กตาเลย ขอมา 1 แช๊ะ อิดออดเล็กน้อย แต่ก็ยอมยิ้มหวานๆ ส่งมาแต่โดยดี


คืนที่ 4 นอนเชียงใหม่ แล้วก็เลยออกไปท่องราตรี พบปะเพื่อนฝูงในงานเปิดตัวร้าน Triump และเพื่อนชาวเชียงใหม่ ครบทุกคนสมกับที่ตั้งใจไว้ไม่ตกหล่น เช้าวันที่ 5 ออกจากเชียงใหม่ราวๆ 10 โมง มุ่งหน้าแม่สะเรียง วันนี้กะจะไปนอนอุ้งผาง จะถึงไหมหนอ กลัวทำเวลาไม่ทัน ลุ้นๆ อยู่



ในภาพเป็นแม่น้ำเลียบถนนแถวๆ ออบหลวง



ปีนี้ถนนดีขึ้นกว่า 2 ปีที่แล้วที่เคยมา และก็มีรถราผ่านไปมามากกว่าแต่ก่อนมาก ไม่น่ากลัวแล้ว



แม่น้ำสองสี คือจุดที่แม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกัน จึงเห็นเป็น 2 สี เป็นจุดแวะพักที่เจอ ก่อนจะถึงท่าสองยาง น่ากางเต็นท์นอนมากๆ เพราะบรรยากาศชิวสุดๆ



ก่อนเข้าท่าสองยาง ได้มีการก่อสร้างถนน ถ้าเทียบกับเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่มา ประเมินว่าก้าวหน้าไปนิดเดียวเอง ไม่รู้ว่านะสร้างมาจนถึงแม่สะเรียงเลยไหม และตอนนี้แม่สะเรียงก็เจริญขึ้นกว่า 2 ปีที่แล้ว หน้ามือเป็นหนังมือเลยทีเดียว



หมู่บ้านชาวเขา??? หรือผู้อพยพ??? อันนี้ไม่แน่ใจ พบเห็นระหว่างทางไปแม่สอด สร้างกันได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก แลดูคล้ายๆ กันหมด จนน่าฉงนใจนัก ว่าจะกันได้อย่างไร ว่าบ้านใครอยู่ตรงไหน จะมีป้ายบอกแบ่งเป็นล็อคเหมือนหมู่บ้านในเมืองหรือเปล่านะ???



ไปถึงแม่สอดตอน 5 โมงเย็น เปิด GPS ถูกหลอกอีกแล้วว่าไปอุ้งผางแค่ 95 กิโล เลยตัดสินใจไปนอนอุ้งผาง วิ่งไปจนถึงถนนเข้าอุ้งผาง เจอป้ายบอก 145 กิโล กลับลำไม่ทันลำ กว่าจะถึงปากทางเข้าน้ำตกทีลอซูก็ทุ่มนึงพอดี เจ้าหน้าที่นำไปลานกางเต็นท์ แล้วก็เปิดไฟห้องน้ำให้ แถวนี้ไม่มีอะไรขายเลย ดีที่พกของกินมาด้วย ไม่งั้นละ...แย่แน่เลยทีเดียว



ตื่นแต่เช้ารีบเก็บของ ถามเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวขี่รถมอเตอร์ไซด์เข้าไป แต่ถ้าเป็นรถ SUV หรือกระบะเข้าได้ ค่าเหมารถเข้าไป 1500 บาท ออกจะแพงไปซักหน่อย กับระยะทาง 23 กิโล คิดดูเล่นๆ ว่าถ้ามาน้อยคนอย่างที่ทำอยู่ แล้วมีเงินติดตัวมาไม่มาก คงต้องตัดใจแน่ เลยตัดสินใจยืนรอเพื่อโบกรถเข้าไป กะว่าจะรอแค่ 1 ชั่วโมง แต่ไม่นานก็มีรถเข้าไป จะว่าไปจริงๆ ก็มีรถเข้าออกอยู่เรื่อยๆ



ปากทางเข้าไปใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ทางค่อนข้างจะไม่ดี แต่จริงๆ แล้ว ถ้าขี่มอเตอร์ไซด์แบบลุยๆ หน่อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ยกเว้นเวลาสวนกันที่อาจเกิดอันตรายได้ ทำให้เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ถึงต้องห้ามนำรถเข้าไป



น้ำตกทีลอซู ความงามที่คุ้มค่ากับความพยายามที่จะเข้ามาเยี่ยมชม ต้องปีนป่ายกันเล็กน้อย กว่าจะมาถึงจุดที่ได้ภาพนี้ และทำให้เราได้ตระหนักว่าจริงๆ แล้วเราผู้เป็นมนุษย์นั้นเล็กน้อยเพียงฝุ่นละอองธุลีดินของธรรมชาติ แต่ใยอาจหาญอยากที่จะเปลี่ยนแปลงนู่นนี่ๆ นั่นและละโมภเอามาเป็นของตนมากมายเกินความต้องการอยู่ร่ำไป



กลับออกมาจากน้ำตกบ่าย 3 ตรงดิ่งกลับกรุงเทพ ยิงยาวรวดเดียว ถึงบ้านราวๆ 3 ทุ่ม ^^ จบทริปด้วยระยะทาง 3500 โลกว่าๆ ทริปนี้เรียกว่าครบรส ทุกรูปแบบ โหด มัน ฮา จริงๆ ค่ะ ...^^ เล่นเอาปวดเมื่อยเหมือนกัน



มีวิดีโอมาให้ดูกันด้วยค่ะ จะได้จินตนาการออกว่าถ้าขี่เองจะได้ความรู้สึกประมาณไหน อิอิ




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553    
Last Update : 17 ธันวาคม 2553 17:54:05 น.
Counter : 2305 Pageviews.  

ทริป Long Way Down สุดทางรัก...เอ้ย “รถแมงกะไซด์” ที่สิงค์โปร์ [ตอนจบ]

ทริป Long Way Down สุดทางรัก...เอ้ย “รถแมงกะไซด์” ที่สิงค์โปร์ [ตอนแรก]

และแล้วเวลาในสิงค์โปร์ 2 วันก็สิ้นสุดลง วันนี้มุ่งหน้ากลับเข้าสู่มาเลเซียอีกครั้ง เพื่อไปนอนที่มะละกา การออกจากสิงค์โปร์เข้าสู่มาเลเซีย ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด จะว่าไปก็คือไม่โดนค้นรถอีกเลย



ถึงมะละกา 11 โมง โรงแรมที่พักจองผ่านอินเตอร์เน็ท ชื่อโรงแรม Beauford Hotel เจ้าหน้าที่ๆ มาต้อนรับ น่าจะเป็นเจ้าของเอง เป็นคนสิงค์โปร์ บริการเป็นเยี่ยม ยกนิ้วให้ค่ะ ใส่ใจดีมากๆ ก่อนเข้าห้อง...ได้ยินแว่วๆ ว่าถ้าจากูซี่ไม่ทำงาน ให้แจ้งได้ ไอ้เราก็คิดว่าหูฝาด แต่พอถึงห้อง...เข้าไปสำรวจห้องน้ำ ก็...โอแม่เจ้า อ่างจากูซี่จริงๆ ด้วย (ห้องราคา 2 พันกว่าบาทค่ะ)



พักให้หายเหนื่อยชั่วครู่...ก็ออกเที่ยวเมืองกันเล้ย มะลากาเป็นเมืองท่าเก่าแก่ มีประวัติยาวนาน ลองหาอ่านดูนะคะ และมีส่วนที่เป็น world heritage ด้วย แต่จริงๆ แล้วเมืองเล็กนิดเดียวค่ะ จะว่าไปเมืองต่างๆ ในมาเลเซียก็ไม่มีอะไรมากนัก บ้านเราดีกว่าเป็นไหนๆ (เข้าข้างบ้านตัวเองซะงั้น)



โบส์ถเก่าแก่...แต่ขนาดไม่ใหญ่โต





ตึกแดงนี่แหละ ที่เห็นจากในรูปว่าสวย จนทำให้ต้องมาแวะพักที่เมืองนี้ แต่ก็มีแค่นี้แหละค่ะ



ขี่ชมเมือง แต่ไม่ได้จอดแวะ... ถ่ายภาพจากบนหลังมอเตอร์ไซด์



ขี่ชมเมือง เก็บภาพจากบนหลังอานมอเตอร์ไซด์ ไม่ได้แวะลงไปเดินเยี่ยมชม มีนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งและจีนให้เป็นประปราย


จริงๆ แล้วที่นี่มีอาหาร Chicken rice ball เป็นอาหารแนะนำ แต่ก็ไม่ได้ลองค่ะ เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร



ทะเลบ้านเขา...ทรายไม่สวย ไม่มีหาดสวยๆ เหมือนบ้านเราเลยค่


ความมืดมาเยี่ยมเยือน พร้อมๆ กับท้องร้องประท้วง (อีกแล้ว) แต่ก็ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลยซักนิด ใช้วิธีขี่รถตะลุยดูไปเรื่อย จนมาเจอร้านนี้เข้า กลิ่นเครื่องเทศลอยมาแตะจมูก แถมคิวยาวมาก...รอเกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียว เป็นร้านสะเต๊ะ แต่ไม่เหมือนสะเต๊ะบ้านเรา ป้ายหน้าร้าน...เน้นๆ บอกว่าไม่มีสาขาลูกหรือหลานที่ไหน เจ้านี้มีร้านเดียวเท่านั้น





ของสดหลายหลาก เอามาต้มกันในน้ำสะเต๊ะข้นคลั่ก...เข้าเนื้อ ร้านนี้อร่อยจริง อะไรจริง เรียกว่าแนะนำค่ะ


วิธีคิดเงินเขาจะนับไม้ ไม้ละ 80 เซ็นต์ ไอ้ที่เห็นภาพ กุ้งตัวใหญ่ หอยเป๋าฮื้อ แต่มันเป็นโบนัสค่ะ ไม่มีอยู่ในตู้ที่ให้หยิบเอง คือเรานั่งๆ กินอยู่ดี ก็จะมีพนักงานเอามาหย่อนในถาดให้ เพราะเห็นว่าโต๊ะไหนที่กินน้อยๆ ก็จะไม่ได้ แปลกดีค่ะ



วันต่อมา เป็นวันที่ 8 ของการเดินทางแล้ว คืนนี้เราจะไปพักที่ปีนัง ขี่จากมะละกาไปแวะปุตราจายา เมืองใหม่ ก่อนเข้าไปนอนที่ปีนัง


ปุตราจายาเป็นเมืองใหม่ มีแต่สิ่งก่อสร้างใหญ่โตมโหฬารอลังการงานสร้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่าตึกที่ทำการของรัฐบาลรวมทั้งที่อยู่อาศัย จะเห็นว่าในเมืองมีคอนโดสร้างไว้ โดยที่ยังไม่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก ตึกเหล่านี้มันใหญ่ซะจนไม่คิดว่าจะใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า เหมือนเป็นการสร้างเพื่อให้เป็นหน้าเป็นตามากกว่า





ที่ขาดไม่ได้ ก็ต้องมัสยิตสีชมพูแห่งนี้ แต่ไม่ได้เข้าไปชมข้างในค่ะ เพราะเป็นช่วงเวลาสวดมนต์ เลยขี้เกียจรอ



กว่าจะถึงปีนังก็มืดพอดี ระหว่างทาง...เสื้อของเพื่อนก็ขาดอย่างที่เห็น แต่เป็นเพราะเสื้อตัวนี้ไม่ใช่แจ็คเก็ตสำหรับใส่ขี่รถ เข้าที่พักเรียบร้อย ก็ออกไปหาอะไรหม่ำๆ มื้อค่ำวันนี้ ถามเพื่อนเจ้าถิ่น บอกให้ไปที่ Gurney Drive มีอาหารท้องถิ่นแปลกๆ ให้ลิ้มลอง



สะพานข้ามไปยังเกาะปีนัง ความยาวกว่า 7 KM


จริงๆ แล้วจุดเกาะใกล้แผ่นดินที่สุด คือบัตเตอร์เวิด แค่ 3 กิโลเมตร แต่มาเลเซียเลือกที่จะสร้างในจุดนี้ เพื่อให้ได้รับการบันทึกว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลก แต่ก็โดนจีนทำลายสถิตินี้ไปซะแล้ว จะว่าไปมาเลเซียพยายามทำอะไรๆ ให้ได้รับการบันทึกว่าเป็นที่ 1 อยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้โดนที่อื่นทำลายสถิติไปหมดแล้ว



หน้าตาเหมือนผัดไทยบ้านเรา คนต่อคิวกันเยอะ แต่รสชาติงั้นๆ, หอยสังข์เผา, ปลากระเบน



อิ่มแล้ว แต่ยังไม่ง่วง ก็เลยขี่รถท่องราตรีอีกสักหน่อย ^^


วันรุ่งขึ้น กว่าจะตื่นกันก็เกือบเที่ยง ที่ตื่นสายโด่ง ก็เพราะฤทธิ์เบียร์ไบซัน เบียร์ท้องถิ่น 8% ไม่ต้องแปลกใจค่ะ เพราะเจ้าของบล็อคเป็นคนชอบดื่มเบียร์ ไปประเทศไหนก็ต้องลิ้มลองเป็นของแปลก



ด้วยความมันส์ในอารมณ์จึงกลับไปขี่ขึ้นคาเมรอนกันอีกรอบ และลงอีกทาง เพราะจริงๆ แล้วก็มีทางขึ้นลง 2 ทางค่ะ เขาว่าอีกทางมันส์กว่า... ไม่อยากพลาด เพราะไม่รู้จะได้กลับมาซ้ำอีกเมื่อไหร่



ลงจากคาเมรอนฝั่งนี้ จะย้อนไปทางกัวลาลัมเปอร์ ^^ แต่ก็ไม่ยั่น...มันส์โค้งสุดๆ ระหว่างทางมีน้ำตกหนึ่งแห่ง ทีสามารถมองเห็นได้จากไฮน์เวย์ กว่าจะกลับถึงปีนังก็เกือบทุ่ม เพราะหลังจากลงเขาต้องพักรถนานพอสมควร เพราะ Er6n ถึงกับขนาดคูแลนท์เดือดกันเลยทีเดียว



เช้าวันที่ 10 วันอำลามาเลเซียกลับเข้าบ้าน เลยแวะลงไปถ่ายรูปหาดหลังโรมแรมซะหน่อย ทรายหยาบ...สีตุ่น ไม่ขาว และก็ไม่ค่อยสะอาดนัก (แต่จะว่าไปบ้านเราจุดที่แย่ก็แย่พอๆ กันแหละ)

ในภาพเป็นอุโมงค์ลอดภูเขาแถวๆ อิโป้ค่ะ และยังมีเรื่องระทึกเล็กน้อย เพราะเพื่อนทำแว่นตาหาย เขาจึงมองไม่ค่อยชัดนัก จึงขี่ไปเสยฟุตบาทเล่น แต่ก็สามารถควบคุมรถไว้ได้ ไม่ล้ม ทำให้ไม่บาดเจ็บแต่อย่างใด เช็ครถแล้วพบว่าไม่มีปัญหา





และเพราะเมื่อวานผิดพลาดเรื่องเวลา ทำให้อดเที่ยวในปีนัง คือ การขึ้นชมวิวบนเขา Penang Hill ซึ่งนั่งรถรางขึ้นไป หรือจะขับรถขึ้นไปก็ได้ และวัดเก็กลกซี (Gek Lok Si) ก็เพราะไม่ได้ไป มานั่งค้นรูปในอินเตอร์เน็ททีหลังยิ่งเสียดาย ก็ออกจะสวยขนาดนี้ เลยเอามาให้ดูยั่วน้ำลายกันค่ะ

ถือเป็นทริปสำรวจก็แล้วกัน... ^^



ผ่านเข้าไทยได้อย่างง่ายดาย ไม่ถูกค้นข้าวของอย่างที่คิด คิดถึงอาหารไทยเป็นที่สุด มีพรายกระซิบบอกว่าไก่ทอดแถวๆ ด่านสะเดาอร่อย อิอิ...ต้องชิม แต่ไม่รู้ว่าร้านไหนแน่ ก็เลยมั่วๆ เอาค่ะ

11 วันของการเดินทาง...ที่ใกล้จะจบลง ตอนแรกวางแผนจะไปนอนที่กระบี่ แต่เพราะคิดถึงกลุ่มทากน้อย สหายภูเก็ตที่น่ารัก จึงทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งหน้าไปนอนที่ภูเก็ตอีกหนึ่งคืนแทน จากด่านสะเดาวกเข้าภูเก็ตเป็นระยะทางที่ไกลมาก เพราะต้องขี่รถวกขึ้นมาจะเข้าเขตนครศรีธรรมราช ผ่านกระบี่ จึงจะไปถึงภูเก็ต กว่าจะถึงภูเก็ตก็เย็นพอดี ตอนแรกคิดว่าจะถึงซักเที่ยงๆ เซ็งเลย...อดชิวกันพอดี



และแล้วก็ไม่มาเยี่ยมเยียนร้าน I-Here Café จนได้ ^^



คืนนี้เราพักกันที่วิจิตรรีสอร์ท ซึ่งเป็นกิจการของสมาชิก SNL คนหนึ่ง ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวแยกเป็นหลังๆ เราได้ห้องที่อยู่ติดกับสระว่ายน้ำ และมองเห็นวิวทะเล

จากผลพวงของอุบัติเหตุที่ปีนัง เมื่อมาเช็ครถ (Er6n) ดีๆ แล้ว พบว่ารถของเพื่อนมีปัญหามากกว่าที่คิด จึงคิดว่าไม่น่าจะปลอดภัย ถ้าขับไกลๆ จนถึงกรุงเทพ จึงนำรถเข้าศูนย์ Kawasaki ที่ภูเก็ตทันที ส่งผลให้ต้องตัดสินใจว่าจะขี่กลับคนเดียวดีหรือไม่



ชิวริมทะเลเต็มที่ นอนอ่านนิยาย...เล่นน้ำ 6 ชม.รวด ผลคือตัวดำปี๋เลย ^^ และเพราะ Lunch Buffet นี่เองทำให้ตัดสินใจไม่ขี่รถกลับ (มีวงแจ๊สเล่นกันให้ฟังสดๆ ด้วย) รวมทั้งถ้าจะขี่กลับก็ต้องขี่กลับคนเดียว ผสมปนเปกับความขี้เกียจ ก็เลยบินกลับ ทริปนี้เลยรู้สึกค้างคา...เหมือนภาระกิจไม่สำเร็จเสร็จสิ้น ต้องมีล้างตาแน่นอน



แวะไปดูโรงแรมเคปพันวาซะหน่อย ได้ยินว่าสวย เคยดูหนังเรื่องคริสกะจ๋าบ้าสุดๆ แล้วชอบ แต่ปรากฏว่าเข้าไปผิด นี่มันโรงแรมศรีพันวา หาใช่อันเดียวกันไม่

ไม่เป็นไร...ที่นี่ก็สวยเหมือนกัน อลังการงานสร้างมาก บ้านพักเป็นหลังๆ ราคาถูกสุดก็ยังหมื่นขึ้นอยู่เลย จะแวะอีกที่ก็ไม่ทันละ มืดแล้ว อดตามเคย



วันสุดท้าย...งานเลี้ยงย่อมมีเลิกลา ทริปนี้ใช้เวลาเกือบ 2 อาทิตย์ (12 วัน) เหล่าสมาชิก SNL พามากินข้าวที่ทุ่งคากาแฟ บนเขารัง ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองภูเก็ต การต้อนรับด้วยน้ำจิตน้ำใจไมตรีอันแสนอบอุ่นเหมือนเคย อาหารที่นี่อร่อยมากๆ ค่ะ (^___^)

ขึ้นเครื่อง 5 ทุ่ม กว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืน แม้จะจบทริปแบบไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้ขี่กลับ แต่ก็ได้อะไรมากมาย ความสนุกสนาน ประสบการณ์ และมิตรภาพ ทั้งจากเพื่อนและคนแปลกหน้า เรียกว่าอิ่มเอมในอารมณ์ไปได้อีกพักใหญ่ๆ

ฤดูการขี่รถท่องเที่ยว...กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เจอกันที่ไหนก็ทักทายกันได้เลยนะคะ

จบแล้วจ้า...ย้าว ยาววววว




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 22:34:05 น.
Counter : 1967 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.