เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ
โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ทำให้คนเสียนิสัย

เช้าตรู่วันนี้ ณ ห้องฉุกเฉินแห่งเดิม
คุณป้าคนหนึ่งมาด้วยอาการเวียนศรีษะ
ทำการซักถามอาการ ตรวจร่างกาย ไม่พบความผิดปรกติร้ายแรง
จึงฉีดยา รอดูอาการ
ญาติเดินเข้ามาแล้วพูดว่าจะให้นอนโรงพยาบาล
โดยญาติจะไปเลย ไม่รอดูอาการ
หมอเห็นว่าอาการไม่ได้รุนแรง...ถ้าฉีดยาแล้วอาการทุเลาก็สามารถกลับบ้านได้
จึงบอกให้รอก่อน...
ญาติ (ลูกของผู้ป่วย) ได้พูดว่าเมื่อวานมาแล้วหมอจะให้นอนโรงพยาบาล
แต่ไม่ขอนอนเอง วันนี้จึงพามาและต้องการจะนอนที่โรงพยาบาล
หมอก็แจ้งว่าอาการที่เป็นไม่ได้ร้ายแรงถึงกับจะต้องนอนในทันที
ขอให้รอดูอาการ...
ญาติไม่พอใจ...บอกว่าปรกติก็นอนทุกๆ สามเดือนอยู่แล้ว
ให้เปิดประวัติเช็คดู
หมอทำการเปิดประวัติตรวจสอบก็ไม่พบโรคประจำตัวร้ายแรงใดๆ
นอกจากความดันโลหิตสูง และ อาการเวียนหัวเป็นครั้งคราว
รวมทั้งประวัติของเมื่อวานก็ไม่ได้มีบันทึกอาการป่วยที่จำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาลไว้
จึงได้สอบถามญาติอีกครั้ง พร้อมกับสอบถามว่าทำไมรีบกลับนัก จะไม่รอก่อน
ญาติตอบว่าต้องไปส่งลูกและเปิดร้าน !!??
และเดินออกไป...ตะโกนว่าถ้าเขาให้จ่ายค่าอะไรก็จ่ายไป
พร้อมกับปิดประตูใส่เสียงดัง...
(ซึ่งแน่นอน...เขาไม่มีทางต้องควักกระเป๋าจ่ายอะไรอยู่แล้ว)
หมอไม่ได้หมายความว่าไม่ให้นอน...
อยากให้รอดูอาการก่อน...บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลก็เป็นได้
แต่ถ้ามันจำเป็นต้องนอน...ไม่มีหมอคนไหนใจร้าย
ไล่ออกจากโรงพยาบาลไม่ให้ยอมให้นอนหรอกค่ะ

น่าแปลกใจ...คนหนึ่งคนอยากทำหน้าที่แม่ที่ดี
แต่กลับทำตัวเป็นลูกที่แย่...
มันจะเสียเวลามากไหม...ถ้าจะรอดูผลการรักษาของแม่
รอส่งท่านให้ถึงห้องพัก (ถ้าต้อง admit)
มันจะเป็นอะไรไหม...ถ้าต้องไปส่งลูกสายหน่อย
หลานตัวน้อยคงเข้าใจ...ว่าแม่ต้องไปส่งเขาไปโรงเรียนสาย เพราะยายป่วย
เมื่อเราเป็นแม่คน...เราคิดแต่จะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด
โดยลืมหน้าที่ของความเป็นลูก
บ่อยครั้งที่ความเป็นแม่...ถูกส่งผ่านไปถึงรุ่นหลาน
ยายมักเข้าใจทำไมแม่ว่าต้องให้หลานก่อน...
เพราะแม่ของหลาน...คือลูกของยาย
...เรากำลังทำอะไรกันอยู่...

สถานการณ์ที่เล่าให้ฟังเหล่านี้พบได้บ่อยในบรรดาญาติของผู้ป่วยในกลุ่มคนไข้สูงอายุที่มีสิทธิ์ 30 บาทหรือประกันสุขภาพถ้วนหน้า บ่อยครั้งที่ญาตินำผู้ป่วยสูงอายุมาใช้บริการนอกเวลา เพียงเพราะตัวเองต้องทำงานไม่มีเวลาพามา แล้วก็โวยวายว่าทำไมต้องจ่ายเงิน ทั้งๆ ที่มันเป็นกฏระเบียบ ทำให้การมาพบแพทย์ยามค่ำคืน...คือการทำอย่างไรก็ได้...เพื่อให้ได้นอนโรงพยาบาล แสดงว่าป่วยหนัก ถือเป็นเรื่องฉุกเฉิน ก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล บ่อยครั้งที่ญาตินำผู้ป่วยสูงอายุมาทิ้งให้อยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น มาส่งคนไข้แล้วก็ไปเลย อ้างว่าต้องรีบไปทำธรุะ...ประมาณว่าขอฝากไว้ก่อน ไม่สนว่าจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลจริงหรือไม่ ที่ทำกล้าทำและทำได้เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า...ฟรี ไม่มีบิลค่าใช้จ่ายตามหลังให้เป็นภาระหรือลำบากใจแน่นอนหรือถ้าเสียค่าใช้จ่าย ก็น้อยกว่า... แถมยังเรียกร้องเกี่ยวกับให้การบริการเพื่อต้องให้สร้างความพึงพอใจมากตามที่ต้องการ ถ้ามีส่วนที่ต้องจ่าย...แทบจะบีบคอถามกันเลยทีเดียวว่าทำไมต้องจ่าย ถ้าเป็น รพ.เอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐที่คุณไม่มีสิทธิ์รักษาบริการฟรี...ญาติคงไม่กล้าทำแบบนี้

โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี เพราะมันเป็นหลักประกันให้กับประชาชนในประเทศว่าทุกๆคน...แม้จะไม่มีงานทำ คุณก็มีสิทธิ์ได้รับการรักษาอย่างน้อย...ก็ในขั้นพื้นฐาน เท่าที่คนไทยคนหนึ่งควรจะมีเท่าเทียมกัน แต่...แบบนี้ทำให้ญาติและคนไข้เคยตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่า...ชนชั้นกลาง...ของประเทศ บุคคลผู้ได้รับข่าวสารและการศึกษามาก ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นแห่งปัญญา เมื่อมีปัญหา...ทุกคนจะพูดว่า "ไม่ใช่ว่าจ่ายไม่ได้หรอกนะ แต่เมื่อมีสิทธิ์ก็ต้องใช้สิทธิ์" "จะเท่าไหร่ทำไปไม่ว่า มีปัญญาจ่าย" แต่ถึงเวลาที่ต้องจ่าย...มีปัญหาทุกที" คิดว่าต้องง้อเหรอ ไปที่อื่นก็ได้" ไม่ได้เข้าข้างพวกเดียวกันนะคะ แต่ทุกครั้งที่โวยวายอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากความไม่พอใจในเรื่องไร้สาระ ไม่ได้อย่างใจ เช่น อยากให้หมอสั่งส่งไปทำการวินิฉัยบางอย่างตามที่คิดอยากจะได้ทำ, หรืออยากให้หมอรักษาในแบบที่เขาคิดอยากจะให้เป็น, หรืออยากจะให้หมอรักษาตามแบบที่เขารับทราบมาจากโรงพยาบาลอื่นที่เคยไปพบมาก่อนหน้า และแน่นอนมันต้องเป็นโรงพยาบาลเอกชนแพงหูฉี่ ...และแล้วท้ายที่สุด ก็กลับมายังโรงพยาบาลห่วยๆ แห่งเดิม ^_^

ตัวคนไข้ในโครงการเอง...เหล่าบรรดาผู้สูงอายุเหล่านี้ มีไม่น้อย... มาหาหมอแต่ละครั้ง...ขอยาเยอะมาก เรื่องที่ป่วยตั้งแต่หัวจรดเท้า...ประมาณว่าขอเผื่อไว้ก่อน เอ้า...แต่ไม่เป็นไร เข้าใจว่าเมื่อป่วย ลูกหลานคงไม่ค่อยมีเวลาพามาหาเลยขอไว้ก่อน แต่บางครั้งท่านๆ เหล่านี้ก็ดื้อซะจนปวดหัว อธิบายแล้ว...ไม่ค่อยเชื่อ มักจะเชื่อเพื่อน, ทีวี, หรือเขาเล่าว่า มากกว่าเชื่อหมอตัวเป็นๆ ที่อยู่ตรงหน้า

คนไข้บางประเภท...เหล่าบุคคลที่ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการทำตัวเอง เช่น คนที่ป่วยจากการดื่มสุราซ้ำแล้วซ้ำเล่า, เหล่าผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ไม่ดูแลตัวเองตามที่หมอสั่ง, คนทำร้ายร่างกายตัวเอง

บางคนมารับยาเดือนละหลายๆ ครั้ง ด้วยอาการป่วยเล็กๆ น้อยสารพัดโรค เยอะซะจนอดคิดไม่ได้ว่า เขาช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ที่ป่วยมากขนาดนี้ แต่ก็ช่างโชคดีที่ยังมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงเสียนี่กระไร ...เคยนึกเสมอว่ายามากมายก่ายกองที่มารับไปนั้น กินหมดจริงๆ หรือเอาไปทำอะไรกันแน่ -_-' (อย่าคิดว่าไม่มีนะคะ ไอ้ที่มาขอรับยาแล้วเอาไปขายต่อ) บางคนก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่รักษา มารับใหม่เรื่อยทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวันนัด อ้างว่าหายบ้าง เอาไว้อีกบ้านบ้าง บ่อยครั้งที่เมื่อคนไข้สูงอายุป่วยหนักจนญาติต้องหามมาโรงพยาบาล พร้อมกับยาถุงใหญ่ ที่ค้นๆ ดูแล้วถึงกับส่ายหัว เพราะเก่าเก็บและเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ (ทั้งถุงคิดเป็นเงินก็หลายพันบาท นี่แค่คนเดียว...แต่มีอย่างนี้อีกมาก รวมแล้วคิดเป็นเงินเท่าไหร่ ที่เราโยนทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์) หมอไม่โทษผู้สูงอายุเหล่านี้ แต่โทษญาติ...ที่บอกได้เลยว่าไม่เคยใส่ใจดูแล

เพราะคำว่าฟรี...ทำให้คนไข้และญาติจำนวนมากเสียนิสัย
เพราะเรารู้ว่า "ฟรี" นี้ไม่ใช่ไม่มีคนจ่าย แต่คนที่จ่ายคือภาครัฐ ซึ่งเป็นเงินภาษีของพวกเราเอง จึงพยายามจะเอาคืนจากรัฐ ให้คุ้มกับค่าภาษีที่เสียไป

จึงไม่สนใจดูแลตัวเอง รวมทั้งไม่เคยคิดถึงความจำเป็นที่แท้จริง

หมอไม่ได้พูดเพียงเพราะไม่พอใจ หมอก็เป็นคนธรรมดาที่มีญาติพี่น้อง รวมทั้งญาติที่สูงอายุ หมอเองก็นำท่านไปใช้บริการ 30 บาทเช่นเดียวกัน โรงพยาบาลที่หมออยู่เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นสอง ที่เข้าร่วมโครงการ 30 บาท ได้รับรู้ถึงปัญหาด้านค่าใช้จ่าย บอกได้เลยว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในด้านงบส่วนนี้ โดยรวมออกไปทางติดลบขาดทุน หรือที่เรียกว่าชักเนื้อนั่นเอง และตัวหมอเองก็เคยอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัดทั้งโรงพยาบาลศูนย์ (500 เตียงขึ้นไป) โรงพยาบาลประจำจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ (120 เตียง) และโรงพยาบาลประจำตำบล (10-30 เตียง) แม้จะไม่นาน แต่ก็คิดว่าน่าจะได้เห็นคนไข้หลากหลายรูปแบบมากพอจะวิจารณ์ได้

ยอมรับด้วยความจริงใจและความจริงที่มีต่อเรื่องนี้กับบรรดาหมอๆ หลายท่าน เรื่องราวเหล่านี้บั่นทอนความรู้สึกเอื้ออาทรและเมตตาของหมอที่มีต่อคนไข้ไปมาก

หมอเข้าใจ...ยุคเศรษฐกิจแบบนี้ เราทุกคนล้วนแล้วแต่อยากประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมๆ กับการได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่อยากให้มองถึงความเป็นจริง เหล่าบุคลากรที่มาดูแลคุณ...ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์...มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

"ของแพงที่สุดไม่จำเป็นต้องดีที่สุด แต่เราก็รู้กันอยู่แก่ใจว่าของดีมักจะแพง และของที่มีราคาถูกมักจะไม่ดี "

โรงพยาบาลเอกชนเองก็เป็นบริษัท...ซึ่งต้องการให้มีรายได้ มากกว่าการขาดทุน คนที่มาสร้างโรงพยาบาลหรือดำเนินกิจการสถานพยาบาล อย่างน้อยที่สุดต้องมีจิตใจที่ห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (หมอคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ไม่ใช่ก็ตาม) จริงอยู่ว่าการทำมาหากินบนความเจ็บป่วยดูจะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่การทำธรุะกิจย่อมต้องการผลกำไร แต่ต้องไม่เป็นการค้ากำไรเกินควร และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ต้องมีค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพที่ดี บางครั้งเราจึงต้องทำความเข้าใจตรงนี้ให้ถ่องแท้ และยอมลดความเห็นแก่ตัวลง... เพื่อให้ความร่วมมือและมีความเห็นใจกับโรงพยาบาลบ้าง... เพื่อให้ระบบนี้ยังมีโรงพยาบาลเอกชนยังสนใจร่วมโครงการอยู่ ไม่อย่างนั้นต่อไป...เหล่าบรรดาโรงพยาบาลเอกชนแม้จะเป็นชั้นสองชั้นสามคงตบเท้าเดินออกกันหมด (แว่วๆ ว่าโรงพยาบาลที่หมออยู่ก็ว่าจะเลิกรับแล้วเหมือนกัน บอกว่าขาดทุนเยอะ) แล้วเมื่อนั่นจะลำบาก... ลองคิดดูว่าถ้าโครงการนี้จำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลของรัฐจะเป็นอย่างไร เท่าที่เป็นอยู่เราก็ทราบกันดีว่าโรงพยาบาลรัฐบาลในแต่ละทีก็เนืองแน่นด้วยปริมาณคนไข้อย่างล้นหลามกันอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เลิกเข้าร่วมไปหลายโรงพยาบาลและมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยคงร้องจ๊ากกันแน่ๆ

สงสารก็แต่กลุ่มคนไข้ที่ควรจะได้รับสิทธิ์ตรงนี้จริงๆ พลอยทำให้เขาเหล่านี้ต้องลำบากเพิ่มขึ้นไปด้วย จากการที่สัมพันธภาพระหว่างหมอกับคนไข้ที่เปลี่ยนไป และแนวโน้มอนาคตที่การบริการจากโรงพยาบาลจะถูกจำกัดจำเขี่ย การลดหรือเลิกการใช้ยาหรือการวินิจฉัยบางอย่างลง หรืออาจจะได้รับยากขึ้น... เพื่อลดค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลและปกป้องโรงพยาบาลจากการถูกโจมตีโดยใช้ช่องทางข่มขู่จากคนไข้หรือญาติว่าจะฟ้องร้องทั้งต่อส่วนกลางภาครัฐจนถึงการทำให้เป็นคดีความ

สุภาษิตโบราณ "ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งข้อง" นั้นจริงแท้ หมอคิดว่าคนไข้กับญาติในลักษณะนี้จริงๆ แล้วคงเป็นส่วนน้อย แต่เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพในโรงพยาบาลแบบนี้ ต้องเจอะเจอกับบุคคลในกลุ่มนี้บ่อยเหลือเกิน

หมอเด็กๆ รุ่นใหม่นั้น Sensitive ไอ้ที่ทนไม่ได้ก็หนีออกไปจากระบบกันหมด หมอรุ่นเก่าๆ ที่เหลือก็เหลือแต่ดุๆ รึไม่ก็ไม่แคร์คนไข้ บรรดาหมอเก๋าๆ เก่งๆ ก็ยังอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เพื่อทำตำแหน่งทางวิชาการหรือความก้าวหน้าทางหน้าที่ ควบกับทำการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนระดับหรู เหลือน้อยเหลือเกิน...บรรดาหมอที่กินแต่อุดมการณ์ อยู่ตามต่างจังหวัดหรือโรงพยาบาลรัฐไปเรื่อย จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะอุดมการณ์ไม่ใช่อาหาร...กินไม่ได้ แล้วแถมอาหารทางใจก็หาได้น้อยลงไปทุกวัน รักษาดีเสมอตัว รักษาไม่ถูกใจเมื่อไหร่...โดนเหยียบจนเละ ดังคำว่า...คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

หนักใจ...กับทัศนคติระหว่างคนสองกลุ่มที่อยู่คนละด้านของปลายไม้ กับนิสัยประจำชาติที่แก้ยาก เพียงถ้าเราถอดหัวโขนออกสักนิด ลองมองในมุมที่ต่างไป เราจะได้มีจุดบรรจบที่พอใจกันได้ทั้งสองฝ่าย โดยที่ยังไม่สูญเสียความไว้วางใจแบบไทยอย่างที่เคยเป็นอยู่



Create Date : 15 กันยายน 2552
Last Update : 15 กันยายน 2552 11:45:49 น. 8 comments
Counter : 537 Pageviews.

 
ดีค่ะเขียนออกมาให้ดูในอีกด้านหนึ่ง


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:11:13:41 น.  

 


โดย: สาวพิษณุโลก** วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:11:23:28 น.  

 
เราจะไม่ให้แม่เราต้องเป็นแบบนี้ ทุกวันนี้ก็พยายามให้เขาดูแลตัวเอง ไม่อยากให้กินยาเยอะ (เบาหวาน+ความดัน) ถึงแม้ทุกวันนี้อยู่ด้วยกันจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่จะดูแลสุขภาพแม่ให้ดีที่สุด


โดย: แม่น้องกะบูน วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:12:26:27 น.  

 
เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับโครงการหรอกคะ มันเกี่ยวกับคนไข้และญาติ


โดย: tempopo วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:13:57:50 น.  

 
หมอไม่ได้ว่าโครงการนะคะ หมอชมว่าดีแล้ว แต่คนบางประเภทต่างหาก ที่กำลังจะทำให้สิ่งดีๆ หายไปค่ะ...


โดย: blue passion วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:18:12:00 น.  

 
คุณหมอคะ
อ่าน หลังไมค์ด้วยนะคะ


โดย: tempopo วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:9:11:48 น.  

 
สรุปแล้ว...ต้องปลูกฝังความคิดกันใหม่ ชิมิ ชิมิ
คุณหมอขา......


โดย: mayday (savita29 ) วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:15:22:07 น.  

 
คุณหมอน่ารักจัง


โดย: spaceship วันที่: 26 สิงหาคม 2555 เวลา:12:03:55 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.