สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
All Blogs
 

รอยยิ้มภายใน


บทความนี้ อาจต้องใช้สมาธิในการอ่านพอสมควร ค่อนข้างยากสักนิด เป็นเรื่องที่ว่าด้วยลักษณะการถูกกระทบและการกระเทือนกลับของจิตจากสิ่งเข้ามากระทบ ต่างตรงที่ปุถุชนปรุงแต่งต่อ ต้องอาศัยการฝีกสติกำหนดไม่ให้เพริดไป แต่พระอริยะวางลงเสียได้ด้วยเท่าทัน (จิตยิ้มเอง หรือจิตอยู่ในบ้านอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องฝืน เป็นไปโดยอัตโนมัติ)

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ กล่าวถึงอเหตุกจิต 3 ประการดังนี้

1. ปัญจทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตามอายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มี ตา หู จมูก ลิ้น และกาย วิญญาณทั้งห้าอย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เพื่อเชื่อมต่อการรับรู้เหตุการณ์ภายนอกเมื่อเข้ากระทบ แล้วส่งต่อไปยังสำนักงานจิตกลางให้รับรู้ เป็นสภาวะธรรมชาติของมันอยู่เช่นนั้น เราจะห้ามมิให้ เกิด มี เป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้ (การป้องกันทุกข์อันจะเกิดจากทวารทั้งห้านั้น จะต้องสำรวมอินทรีย์ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะเหล่านี้ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้ เป็นต้น (ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว))

2. มโนทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่มโนทวาร (จิตหรือใจ) มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ (จากข้อ 1) จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้ (การป้องกัน ทำได้แต่เพียงเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น ให้เห็นเป็นปกติของความนึกคิดที่ห้ามได้ยาก ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์)

3. หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้มีเฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในปุถุชนไม่มี

สำหรับอเหตุกจิต ข้อ 1 และ 2 มีเท่ากันในพระอริยเจ้าและในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากกองทุกข์ควรพิจารณาอเหตุกจิตนี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจนั่นเอง

ส่วนอเหตุกจิต ข้อ 3 เป็นกิริยาจิตที่ยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง

พระอริยะจะเกิดหสิตุปบาทหลังปัญจทวารวัชนจิตและมโนทวารวัชนจิต เพราะจิตเท่าทันในสมมุติไม่ยึดถือไว้ ส่วนปุถุชนต้องอาศัยการกำหนดสติหรือพาจิตกลับบ้าน(นิพพานชั่วคราว) ไม่ให้ปรุงแต่งความคิดตกอยู่ในมายาสังขารโดยไม่รู้ตัว




 

Create Date : 11 กันยายน 2548    
Last Update : 11 กันยายน 2548 0:35:20 น.
Counter : 1091 Pageviews.  

..หนทางกลับบ้าน


พระอริยะในระดับต่างๆ มักจะพูดถึงสภาวะของจิตเดิมเสมอ ราวกับว่ามันคือสิ่งจริงแท้ไม่แปรเปลี่ยน เป็นตัวตนดั้งเดิม ดำรงอยู่โดยปราศจากทุกข์ เราต่างกลับไปอยู่ในจุดนั้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อสงบสงัดและปราศจากการรบกวนของกิเลส เพียงแต่ยังทำลายกิเลสไม่ได้ เมื่อมันถูกกวนให้ขุ่นทำให้เราต้องหลุดออกมาจากบ้านทั้งที่เพิ่งเข้าบ้านได้ไม่นาน

แต่การรู้ตัวของปุถุชนทั่วไป.. กลับหมายถึงออกมาจากสภาวะจุดนั้นเสีย การรู้ตัวของปุถุชนกลายเป็นเรื่องของตัวตน มีตัวเราเราจึงรู้ รู้ตัวตนของเรา เรากลับรู้ตัวเมื่ออยู่นอกบ้านกันเสีย โดยเข้าใจความไม่รู้ตัวเป็นความรู้ตัว รู้ในตัวตนที่สร้างขึ้นมา ว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ เชื่อทฤษฎีที่ว่าเพราะมีฉันสิ่งอื่นจึงมี ทั้งที่เราเกิดมาจากพ่อแม่ และดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย กลายเป็นคำที่คนเข้าใจกันได้ไม่ลึกซึ้ง

ในขณะที่สภาวะรู้ตัวนั้น.. ที่แท้กลับไร้ซึ่งตัวตน และที่กล่าวว่าหลายคนกลับไปอยู่จุดนั้นโดยไม่รู้ตัว เพราะหากลองนึกสังเกตให้ดี ปล่อยครั้งที่เรากลับไปอยู่ด้วยอาการนิ่ง ไม่มีเรา เป็นปกติราบเรียบ จิตไม่ร้อนรนไปด้วยอารมณ์ความคิดเป็นเราเป็นเขา มันก็เฉยๆ ของมันอยู่ได้อย่างนั้น และสภาวะนั้นนั่นเอง ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่กันได้ คนที่ออกมาจากสภาวะนั้นตลอดเวลาต่างหาก ที่แทบจะเป็นบ้า การสร้างตัวตนของเรา อยู่กับความ โลภ โกรธ หลง ดีใจเสียใจ พอใจไม่พอใจ แปรปรวนไปตามอารมณ์กิเลสของตัวตนจนอ่อนล้า

ท่านพุทธทาสเคยสอนว่า ก็ลองคิดดูเถอะ ถ้าเราเอาแต่คิดนั่นคิดนี่กันทั้งวันทั้งคืน ก็เป็นบ้ากันพอดี คนไม่คิดมาก ปล่อยวางง่าย ก็ย่อมมีสภาพจิตที่ดีกว่าพวกสวมอารมณ์ใส่ตัวเอง คิดในสิ่งที่อยากจะเป็น อยากจะไม่เป็น ทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ ขนาดกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย

แต่หากใครที่เริ่มจับจุดตรงนี้ได้บ้างแล้ว ก็จะเห็นว่า สภาวะที่หลุดจากอารมณ์ความคิดนี่มีจริง นิ่งๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน นอกจากจะรู้ตัวว่าตนเองกลับไปอยู่ตรงนั้นโดยรู้ตัวได้ ควบคุมได้ ไม่ใช่กลับบ้านโดยไม่รู้ตัว ยังหมั่นฝึกกลับไปอยู่ตรงนั้นบ่อยๆ ได้ด้วย เรียกว่าการกำหนด คือหมั่นฝึกให้หลุดจากทุกข์ของอารมณ์ความคิดให้กลับไปอยู่ในที่ที่ไม่ทุกข์ได้ กลับมาที่จิตเดิม ในฐานเดิม หรือพระอริยะบางท่านเรียกว่านิพพานชั่วคราว บางท่านเรียกว่าจิตปกติ คืออยู่ด้วยอาการเดิมของตัวจิตเอง บางท่านก็เรียกว่ากลับบ้านเดิม คือเอาจิตมาอยู่ที่ที่ปลอดภัยไม่ตกอยู่กระแสแห่งกิเลสวัฏฏะ ไม่ได้ปล่อยให้คิดจนเตลิด ตกอยู่ในคิด ไม่ทันความคิด เป็นทาสของความคิด ความทุกข์ไป

คนทั่วไปอาจกลับบ้านเดิมโดยไม่รู้ตัว ทว่ากลับมาได้ไม่นานนัก ก็ร้อนรนจะออกจากบ้านเสมอ แต่สำหรับผู้ที่จับจุดตรงนี้ได้แล้ว จะพยายามพาตัวเองกลับมาบ้านให้เป็น ด้วยเทคนิควิธีอะไรก็ตามที่ถนัด ไม่ว่าจะโดยการกำหนดลมหายใจ กำหนดการเคลื่อนไหว พิจารณาความคิดความเป็นไปของโลก หรือใช้การทำงานเป็นที่เกาะก็มี เพื่อเอาจิตไว้ไม่ให้ไปไกลตัว

คนซึ่งสะเทือนไปกับโลกได้ง่าย ควรฝึกที่จะกลับบ้านให้เชี่ยวชาญ คนที่ชำนาญบางทีคล่องแคล่วที่จะกลับบ้านโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอะไรนัก ซึ่งที่จริงทำได้ยากมากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่เคยชินกับการปล่อยให้จิตไหลไปสู่เบื้องล่างของกระแสกิเลสอย่างเคยชิน จิตที่มีกำลังขนาดทวนกระแสได้ นับว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ตามใจกิเลสจนเคยตัว ไม่แน่อาจฆ่ากิเลสหรือทิฏฐิแห่งความหลงผิดไปได้บ้างแล้ว

กิเลสนั้นมีมากมายหลายระดับ แม้จะไม่ได้ออกไปปะทะอารมณ์ข้างนอก ด้วยความโกรธ เกลียด รัก หลง ก็ยังใช่ว่าจิตจะยอมกลับเข้าบ้านได้ง่าย ความเบื่อ ความเหงา ความกลัว ความขี้เกียจ ก็ยังเกาะติดเป็นอนุสัย จนบางทีความรู้สึกเช่นนี้แหละ ที่ยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่วิ่งหนีออกไปหาสิ่งกระทบจากภายนอก เพื่อหนีจากมันไปอีกที

การกลับเข้าบ้านให้เป็น จึงสำคัญยิ่ง… เพราะจะช่วยสร้างกำลังให้ตัวเองมากขึ้น เข้าใจความจริง และไม่หลงไปกับมายารอบตัวที่คิดว่าจริง แต่ไม่มีอะไรไปมากกว่าสิ่งที่ปรุงแต่งแค่นั้น แน่นอน แม้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากฝึกฝน อย่างน้อยก็จะช่วยให้สามารถเผชิญกับเหตุการณ์ในยามทุกข์มากๆ ให้เห็นทุกข์ แต่อาจช่วยให้ไม่เป็นทุกข์มากนัก…




 

Create Date : 10 กันยายน 2548    
Last Update : 10 กันยายน 2548 13:48:49 น.
Counter : 1074 Pageviews.  

แผนที่ชีวิต


มีหลายคนพูดว่า การรู้ธรรมะนั้น แม้ยังไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็ยังเปรียบประดุจเป็นผู้มีแผนที่อยู่ในมือแล้ว ดีกว่าคนไม่รู้ธรรมะ

คนไม่รู้ธรรมะ คล้ายเรือลำน้อย เผชิญคลื่นลมแรงกลางพายุร้ายอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง จะอับปางลงเมื่อใดก็ไม่เคยตระหนักทราบ ไม่เคยเตรียมตัวหรือเตรียมการณ์เพื่อรับหน้า หรือรับมือในการแก้ปัญหาให้ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่ควรทำได้ พอลมสงบก็หลงดีใจ พอเจอคลื่นลมก็ตื่นตกใจโศกเศร้ารำพัน หาหนทางออกไม่เจอ ระเริงไปท่ามกลางกิเลส ชนิดติดอยู่กับความดีใจเสียใจไม่เว้นว่างแม้แต่นาที ดีใจเมื่อได้ดังหวัง พอโชคชะตาขึ้นสูงก็หลงถึงกับเหลิง ลืมชาติกำเนิดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ทุกข์ใจเมื่อผิดหวัง พอโชคชะตาตกต่ำลง ก็อับอายท้อแท้ อาจถึงขั้นทำลายชีวิตตัวเอง

แต่คนที่มีหลักยึดเหนี่ยว เห็นสัจจะตามจริงตามความเป็นไปของโลก รู้ธรรมชาติของโลก แม้จะยังดีใจเสียใจไปตามโลกหากถูกกระทบบ้าง ก็ยังหมั่นรักษาสติเพื่อความไม่กระเทือนกับมายารอบตัวจนเสียสติ เมื่อมีเวลาพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมเข้าใจโลกธรรมแปด สุขทุกข์ สรรเสริญนินทา มีลาภเสื่อมลาภ มีเกียรติเสื่อมเกียรติ อันเป็นธรรมดาของชีวิต เปรียบดังคนรู้ว่าขุมทรัพย์เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน
และถึงแม้หลายคนจะรู้จุดหมายปลายทางว่าอยู่ที่ใดไม่ต่างกัน แต่แผนที่เส้นทางเดินของแต่ละคน..ซึ่งมีกันคนละทางตามการเสาะแสวงหา ก็ยังมีระยะสั้นยาวไม่เหมือนกัน..

ทำไมจุดหมายเดียวกัน แต่จึงหลากหลายเส้นทาง..???

อาจเป็นเพราะก่อนถึงจุดหมายที่จะทำให้มีความเข้าใจเดียวกันนั้น ต่างก็มีความคิดความเชื่อ ต่างจิตต่างใจ ต่างความรู้ต่างความยึดมั่นถือมั่น ..บางคนชอบคิดชอบค้นเอง ..บางคนชอบเดินตามถ้ารู้สึกว่าได้แผนที่ที่แน่ชัดและคำแนะนำที่น่าเชื่อถือแล้ว ..บางคนชอบแวะดูสิ่งแปลกตาของวิวทิวทัศน์ตามเส้นทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนบางครั้งก็เพลินติดอยู่นาน พอใจที่จะเสียเวลากับสิ่งน่าสนุกน่าประดับความรู้

การทำแผนที่ของผู้ค้นพบเส้นทางในแต่ละผู้คน จึงเจียรนัยไปตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตน ผู้ใดชมชอบแผนที่แบบไหน ก็เลือกไปตามจริตตามความมั่นใจ

นี่ขนาดผู้มีแผนที่ ยังใช่ว่าจะเดินทางไปโดยสะดวกดาย ระหว่างการเดินทางยังต้องพบเจออุปสรรคมากมาย จนอาจท้อ หลงไป หรือลังเล เสียเวลาน้อยบ้าง มากบ้าง ไปตามปัญญาเฉพาะตน
ประสาอะไรกับผู้ไม่มีแผนที่นำทาง ซึ่งไม่ต่างจากเรือขาดหางเสือ ไม่รู้ทิศทาง ไม่มีความเข้าใจ ไม่เคยเรียนรู้ความจริงของทุกข์ ต่างพากันสะเปะสะปะไปในทะเลเพลิงที่ระอุ ด้วยคิดว่าเป็นน้ำอมฤทธิ์ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว วนอยู่ในทะเลน้ำตาอย่างสนุกสนาน..




 

Create Date : 09 กันยายน 2548    
Last Update : 9 กันยายน 2548 7:20:22 น.
Counter : 1162 Pageviews.  

ที่สุดของความเปลี่ยวเหงา.. คือการค้นพบ


เคยพูดถึงเรื่องตัวตนอันทนได้ยากไปบ้าง ตัวตนเกิดจากการพยายามแสดงความเป็นตัวเองออกมา ไม่ว่าจะเพราะเพื่อแข่งขัน แสดงความเด่น หรืออยากให้เป็นที่ยอมรับในหมู่สังคม ฯลฯ แต่การต้องแลกกับการมีตัวตนเพื่อแสดงความมีอยู่นั้น คือความแปลกแยก โดดเดี่ยว และเปลี่ยวเหงา.. กับเจ้าตัวตนของตัวเองนี่แหละ

หลายคนอาจรู้สึกเหงาบ่อยๆ เหงาน้อย เหงามาก ไปตามอารมณ์ แต่น้อยคนที่จะลองเดินทางเข้าไปให้ถึงทางเส้นนี้ให้สุดทาง เพราะมีทางสายอื่นๆ มากมาย มาลากจูงให้ออกไปจากตัวตนอันโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงานี้ได้เสมอ.. หากแต่ไม่ว่าอะไรจะมาลากจูงเราออกไปก็ตามที ทีวี อินเทอร์เน็ต ช็อปปิ้ง การคิดค้นอะไรใหม่ๆ ฯลฯ ไม่นาน.. เราก็จะกลับมาที่ความเหว่ว้า และรับผลพวงของตัวตนอันเดี่ยวโดดอยู่เสมอ..

และหลายคนอาจรู้สึกตรงข้ามกับบทความนี้ ไม่เชื่อว่าจะมีการค้นพบอะไรในความเปลี่ยวเหงานี้ได้ เขาควรหนีออกไปจากมันให้ได้ เพราะคนประสบความท้อแท้ ผิดหวัง ไร้ค่า ไม่เคยค้นพบอะไรได้หรอก เขาต้องการความช่วยเหลือ หรือลุกขึ้นมา ไม่งั้น พวกเขาก็อาจจะฆ่าตัวตาย..

สมัยพุทธกาล เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเลิกการบำเพ็ญทุกขกิริยาเพราะทรงเห็นว่าไม่ใช่ทาง เป็นผลให้ปัญจวัคคีย์เสื่อมศรัทธา เห็นว่าพระองค์ทรงขาดความเพียร ท้อต่อความยาก กิเลสครอบงำเสียแล้ว ต่างพากันทอดทิ้งเจ้าชาย พระองค์ไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากพระองค์เองเท่านั้น และบนเส้นทางแห่งความเปลี่ยวเหงานี้ เจ้าชายกลับได้กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธะด้วยการพิจารณาตัวตนไปจนถึงที่สุด ว่าที่จริง ตัวตนมิได้มีอยู่จริง !!

แต่ปุถุชนมักตีความการค้นหาตัวเอง ด้วยการออกไปแสวงหาสิ่งนอกตัว เพื่อจะได้พบว่าตัวเองต้องการอะไร ชอบอะไร และเป็นอะไร ..เขาค้นพบตัวเองได้จริง?? หรือเป็นเพียงการสรุปว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ ไปจนวันตาย การค้นพบตัวเองเกิดขึ้นแบบนั้นได้จริงๆ?? ตัวตนไม่เคยดับไปในเส้นทางปุถุชน เพราะมีการค้นพบตัวตนใหม่ๆ แทนที่จะค้นพบตัวตนเดิมที่ไม่มี…

แม้แต่ในทางโลก นักเขียนนิยายชื่อดัง อย่าง เจ เค โรลลิ่ง เธอก็ลุกขึ้นมาเขียนแฮรี่ พ็อตเตอร์ นิยายเด็กที่กระฉ่อนไปทั่วโลก ในยามที่เหลือเพียงเธอเท่านั้น เมื่อถูกสามีนักข่าวทอดทิ้งให้เธอกับลูกต้องอยู่กันตามลำพังอย่างอ้างว้าง

ในความยากลำบากของความโดดเดี่ยว บางคนค้นพบว่าความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ไม่ได้มีอยู่จริง บางคนใช้งานเป็นที่ยึดเกาะและสร้างสรรค์งาน ไม่ได้ปล่อยใจให้เตลิดไปจนไร้การควบคุม จนมีถ้อยคำทางธรรมจากอาจารย์พุทธทาสว่า “งานคือธรรมะ ธรรมะคืองาน” เพราะงานที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อย่างน้อยก็เป็นที่ยึดเกาะได้ดี ทำให้คลายทุกข์จากความทนได้ยากของตัวตน ดีไม่ดี.. งานนั้นอาจทำให้เกิดการค้นพบอะไรบางอย่าง..

ดีกว่าการหนีออกจากตัวตนซึ่งทนได้ยากนี้ ไปก่อกิจใดๆ ให้เป็นที่เดือดร้อนต่อตัวเองและคนอื่นๆ ด้วยการยึดอบายมุข มั่วสุม ติดยาเสพติด หรือมีความเชื่อที่ก่อให้เกิดการกระทำที่เป็นผลร้ายต่อสังคมส่วนรวม …




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2548    
Last Update : 18 สิงหาคม 2548 20:07:09 น.
Counter : 1144 Pageviews.  

สวัสดีเพื่อน..นายตายแล้ว??



……คิดถึงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งสมัยเรียน ที่รู้สึกเค้าเป็นคนนิสัยใจคอดีเหลือเกิน มากไปด้วยน้ำใจ เวลาระลึกถึง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงว่า หมอนี่ ช่างเป็นคนดีจริงๆ ไม่ใช่ดีเล่นๆ

ตอนไปเยี่ยมครั้งเมื่อเธอมีลูกคนแรกที่บ้านเช่าแถวบางปะกง เพื่อนยังไม่เปลี่ยนไปมาก ถามโน่นถามนี่ หาของให้กิน ให้เพื่อนได้เล่นกับหลานดูใกล้ชิดสนิทสนม บ่นเรื่องบ้านที่ซื้อไว้ที่สระบุรีที่ไม่ได้ไปอยู่กับสามี เพราะต่างก็ต้องทำงานกันคนละจังหวัด นายน่ารักเหมือนเดิม ไปหาแล้วมีความสุข..

มีโอกาสไปเยี่ยมเธออีกในวันที่ 7 สิงหา ที่บ้านหลังใหม่.. เพราะเป็นทางผ่านเมืองชลบุรีก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ บ้านหลังโตโอ่อ่า..มหึมา..กว่าที่คิด ท่าทางเหนื่อยหน่ายของเพื่อน ซ้ำไม่หาอะไรให้กิน ไม่รับของฝากที่เพื่อนเก่าซื้อมาให้ ไม่มีทีท่ายินดีในการมาของเพื่อนเก่าที่ไม่ได้มาหาได้ง่ายๆ กระทั่งสามี (ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนเหมือนกัน ) กลับมาจากเอาลูกไปเรียนพิเศษ กลับมาก็ชวนคุย หาขนม ผลไม้มาปลอกให้แขกรับประทาน ถึงรู้สึกบรรยากาศเพื่อนๆ กลับมาบ้าง

ในยุคที่ทุกคนต้องการเงินเพื่อแลกหาความสุขสบายดูดีของชีวิต ซึ่งหมายถึงฐานะหน้าตาด้วย ทำให้ต่างต้องดิ้นรนแก่งแย่ง หลายคนเลือกจะทำงานสบาย ต้มตุ๋น หลอกลวง มิจฉาชีพ และเมื่อมีคนหน้าไหว้หลังหลอกเพิ่มอยู่ทุกซอกมุมในชีวิต ไม่แปลกที่คนเราจะไม่กล้าที่จะไว้ใจกันเท่าไหร่ …แต่สำหรับเพื่อนเรียนที่รู้ซึ้งในนิสัยใจคอกันมานาน มันเกิดอะไรขึ้น..?? ขอโทษจริงๆ ที่การไปเยี่ยมอาจทำให้นายไม่มีความสุข

เพื่อนไม่ร่ำรวย ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือเปล่า หรือว่านายเหนื่อยกับการหาบ้านหลังใหญ่ขึ้นๆ บ้านเก่าหลังใหญ่อีกหนึ่งจังหวัดที่ยังผ่อนไม่หมด รถคนละคัน ลูกสาวสองคนที่ต้องส่งเรียนดีๆ เรียนพิเศษอีกหลายอย่าง นายภูมิใจหรือเปล่าล่ะ กับบ้านและทรัพย์สินและครอบครัวสมบูรณ์แบบของนาย เครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างภายในบ้านอีก ความภูมิใจและโอ่อ่าของนายทำไมไม่สร้างรอยยิ้มให้เพื่อนเก่าที่มาหาเลย หรือว่าเพื่อนนายที่เคยซี้ปึ๊กคนนี้ มันต่ำต้อยจนนายขี้เกียจต้อนรับ..

ยุคที่ผู้คนบริโภคนิยมจัด ไม่รู้จักอิ่ม ไม่มีวันพอ พระเจ้าคือเงินตรา ของชิ้นหนึ่งตกรุ่นอย่างรวดเร็ว และเรียกร้องให้ผู้บริโภคต้องการชิ้นใหม่เสมอ ชิ้นใหม่ที่ดีกว่า สะดวกกว่า แต่มีสภาพอายุสั้นลง..สั้นลง ไม่ต่างจากอายุของคนสมัยนี้ ที่แสนสวยสดงดงามดูดีราวแต่งได้ แต่เต็มไปด้วยโรคภายใน ทันสมัยแต่อายุสั้น.. และใครๆ ที่อยากจะมีชีวิตแสนสวยเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องแลกหามันมา ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นเม็ดเงิน

ตำแหน่งฐานะ บ้านรถทรัพย์สิน ฯลฯ จะว่าไป.. ก็ดูดีอยู่นะ แถมมันยังทำให้ผู้คนยอมเหนื่อยจนขาดใจตายลง.. ทุกอย่างดูจำเป็นไปหมด ปัจจัย 5 6 7 8 .. ทั้งที่เอามันไปโลกหน้าไม่ได้แม้แต่แค่ผ้าเช็ดน้ำตา

ถ้า พอล แอร์ดิช นักคณิตศาสตร์ระดับโลก ใช้คำว่า “จากไป” หมายถึงตาย ส่วนคำว่า “ตาย” หมายถึงเมื่อคุณหยุดค้นคว้า จขบ. ก็คงใช้คำว่า .ตาย. หมายถึงการตกเป็นทาสวัตถุนิยม จนลืมตัวเอง (จิต) ไป จะตายไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม การมาพร่ำบ่น ถึงความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีความสุข.. ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนสูงลิบลิ่ว ทำให้ต้องหาให้มากขึ้น มากขึ้นอีก เพื่อทุกคนในครอบครัวจะได้มีทุกอย่างครบครัน คิดดูเถอะ นายจะให้คนอื่นๆ ช่วยนายที่ตรงไหน อย่างไรได้.....?? นอกจากการกลับมามีความสุขด้วยตัวเราเองอีกครั้ง การอยู่ง่ายๆ มันก็ไม่ได้ลำบากเกินไปนักหรอกมั๊ง..




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2548    
Last Update : 14 สิงหาคม 2548 12:19:10 น.
Counter : 1032 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

suparatta
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.