|
รัก-แท้ : ความรักของแม่ที่มีต่อลูก
"Mother and Son" by Pam McCabe
รัก-แท้
จาก : ฐิตินาถ ณ พัทลุง
หลายปีมาแล้ว เช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่เช้ามืด สองแม่ลูกจูงมือกัน เพื่อแม่จะไปส่งลูกน้อยขึ้นเรือไปโรงเรียน
ที่โป๊ะเทียบเรือท่าน้ำศิริราช คนเบียดเสียดกันแน่น แม่กับลูกน้อยเบียดคนลงไปในโป๊ะ เพราะดีกว่าเปียกฝนที่เริ่มลงเม็ดหนาตา
พอเห็นเรือที่ขาดช่วงไปนานกำลังจะเข้าเทียบท่า คนก็ยิ่งลงมาบนโป๊ะ หลายคนตะโกนบอกให้คนถอยกลับไป เพราะโป๊ะจะรับน้ำหนักไม่ไหว
ก่อนที่ใครจะรู้ตัว โป๊ะใหญ่ทรุดตัวลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางคลื่นลมแรง ทุกคนตะเกียกตะกายว่ายน้ำหนีมาขึ้นฝั่ง
แม่ของเด็กน้อยถูกลากขึ้นมา
เธอร้องตะโกน "ช่วยลูกฉันด้วย ช่วยลูกฉันด้วย ลูกฉันว่ายน้ำไม่เป็น"
ฝนตกหนัก คลื่นลมแรง ทุกคนพยายามเอาชีวิตรอด ไม่มีใครทันสังเกตเห็นหัวเล็กๆ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางแม่น้ำ
ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว แม่คนนั้นกระโดดลงไปในแม่น้ำ ตะเกียกตะกายไปคว้าลูกน้อยไว้ ก่อนที่คลื่นจะซัดสองแม่ลูกไกลออกไปจากฝั่ง
เธอว่ายน้ำไม่เป็น ภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นคือ แม่กอดลูกแนบไว้กับอก ก่อนจะค่อยๆ จมหายไป
แม่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่เธอก็เอาชีวิตโอบอุ้มลูกรักไว้ จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ในชีวิตคนคนหนึ่ง จะมีใครสักกี่คน ที่ยอมแลกชีวิตเขาเพื่อเราได้
แม่ของเราอาจจะไม่ได้กระโดดน้ำลงไปช่วยเรา แต่ทุกครั้งที่เราจมลงไปทะเลทุกข์ แม่กระโดดลงไปอุ้มเราแนบไว้กับหัวใจแม่ตลอดเวลา
ลูกทุกข์...แม่ทุกข์กว่า ลูกเจ็บ...แม่เจ็บกว่า
เบื้องหลังความสำเร็จ การฝ่าฟันจนพ้นวิกฤติของคนมากมาย มีมือเล็กๆ ของแม่อยู่เบื้องหลัง
*********************
ถ้าวันนี้ ถามดิฉันว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการผ่านวิกฤตการณ์สำคัญทุกครั้งในชีวิต ตอบได้เลยทันทีว่า คือการมีครอบครัวอันเป็นที่รัก และรักเราอย่างที่สุด โดยไม่มีเงื่อนไข จนเราอัศจรรย์ใจว่าทำไมคนๆ หนึ่งถึงรักและถูกรักได้มากขนาดนี้
ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ดิฉันฟังว่า แม่เลิกกับพ่อทิ้งเธอไว้ในโรงเรียนประจำ ไม่มีใครเคยไปหาเธอ จนเธอต้องทำตัวเองให้แย่ที่สุด อย่างน้อยทุกครั้งที่ถูกโรงเรียนไล่ออก ก็ยังได้เจอหน้าพ่อหรือแม่บ้าง
ครั้งหนึ่งที่เธอไปเข้าหลักสูตรอบรมจิต ใจของเธอกรีดร้องว่า ทำไม ทำไมแม่ถึงทำเลวร้ายกับหนูแบบนี้ เธอเห็นภาพแม่น้ำตานองหน้า บอกเธอว่า เพราะแม่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดีที่สุดกับลูก
แม่ของเราหลายคน มีเราตั้งแต่แม่ยังอายุไม่ถึง 25 เราไม่ได้เกิดมาพร้อมคู่มือส่วนตัวว่าแม่ควรพูดกับเราอย่างไร เวลาที่แม่เองก็เหนื่อย ท้อ หวาดกลัว มีปัญหาของตัวเอง
เราคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องรู้ ว่าจะพูดกับเราปฏิบัติกับเราอย่างไร ด้วยการกระทำคำพูดในเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด
เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรามีลูกของตัวเอง หรือแม้กระทั่งเพียงแค่มีคนรัก เราจะรู้เลยว่า มันไม่ง่ายเลยที่ใครสักคนจะเลือกทำ เลือกพูดได้อย่างเหมาะเจาะ เหมาะเวลา เหมาะใจอีกฝ่าย
แล้วทำไมเราถึงคาดหวังจากพ่อแม่มากมายขนาดนั้น
ผู้หญิงอีกคนเล่าว่า เธอไม่โชคดีเหมือนคนอื่น เธอมีแม่ที่โลภ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เอาเปรียบ
แต่เชื่อเถอะ ไม่ว่าวันนี้จะดูเลวร้ายสักแค่ไหน หลายๆ ขณะในชีวิตที่คุณเติบโตมาถึงวันนี้ ผู้หญิงโลภและเห็นแก่ตัวคนนั้น ได้เสียสละหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเพื่อคุณ จนคุณเติบโต มีอะไรบางอย่างพอที่คุณคิดว่าเธออยากจะได้ และเอาเปรียบในสิ่งที่คุณมี
ถ้าคุณคิดว่าแม่โลภ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วตัวคุณเอง...เป็นอย่างไร
ในความจริงของชีวิต ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นของว่างเปล่า ทุกอย่างชั่วคราว มีขึ้นแล้วหายไปเหมือนฟองอากาศในน้ำ ไม่มีอะไรเป็นสาระที่แท้จริง ยังมีความรักของพ่อแม่ที่เป็นแก่น เป็นราก เป็นของจริงในชีวิตเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย เป็นความมหัศจรรย์ที่เที่ยงแท้ ไม่ว่าเราจะมีสิ่งที่ไม่น่ารักมากสักแค่ไหน พ่อแม่ก็รักเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
รู้อย่างนี้แล้ว อย่ายอมให้ชีวิตตัวเองจมลงไปในปัญหา อุปสรรค ความทุกข์ ความสัมพันธ์ ความทรงจำ ความเจ็บช้ำ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาชีวิตจิตใจ
รู้ทันความรู้สึกนึกคิด จนไม่ว่าอะไรก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้ ใจจะเข้มเข็ง มั่นคง ตั้งมั่น ประคับประคองชีวิตตัวเอง
ดูแลพ่อแม่ได้ สมกับที่ท่านได้ให้ชีวิตเรา
บทความจาก //jaotualek.blog.com
*********************
ที่มา //www.dhammajak.net/lovestory/16.html
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2552 7:28:13 น. |
Counter : 3176 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มีใครเป็นแบบโฆษณานี้บ้าง
มีใครเป็นแบบโฆษณานี้บ้าง
โฆษณานี้เป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยี่ห้อ Suave ในอเมริกา ทำได้โดนใจมาก ตรงกับชีวิตคนเป็นแม่เปี๊ยะ ก่อนแต่งงานนะสวยเริ่ด พอแต่งงานมีลูกนะโทรมเชียว อย่างกับคนละคน ไม่ใช่แค่ผมนะที่เสีย หุ่นก็เสีย ดูทีไรก็อดขำไม่ได้ เหมือนดูตัวเอง
จริง ๆ พอมีลูกแล้วไม่ใช่รูปร่างภายนอกที่เปลี่ยนไป ความคิดข้างในก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างตัวเองแต่ก่อนเป็นคนไม่กลัวความตาย ไม่กลัวการพลัดพราก คือคิดว่าเมื่อเวลาของเราหมดก็ต้องไป ทุกคนต้องตาย มันเป็นธรรมชาติที่หนีไม่พ้น พร้อมทุกเมื่อหากตัวเองต้องจากโลกนี้ หรือหากคนที่รักต้องตายไปก็ทำใจได้ แต่พอมีลูกแล้วความคิดเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นว่ากลัวตาย ไม่อยากตาย ไม่พร้อม เพราะห่วงลูก ลูกค่อนข้างติดแม่ เวลาล้มก็ต้องมาหาแม่ให้เป่าแผล เวลาร้องไห้ก็ต้องมาให้แม่เอากระดาษเช็ดน้ำตาถึงจะหยุดร้อง เวลานอนก็ต้องนอนกับแม่ถึงจะหลับ ทำให้เราห่วงว่าถ้าเราไม่อยู่แล้วเขาจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล โตขึ้นจะเป็นคนดีหรือเปล่า หรือถ้าจะต้องเสียคนในครอบครัวไปก็ไม่แน่ใจว่าจะรับได้มากแค่ไหน เพราะความรักความผูกพันมันมากมาย
อีกอย่างที่เรียนรู้จากการมีลูกคือ ความเสียสละ และความรักที่บริสุทธิ์ แต่ก่อนเคยแต่ได้ยินคำว่าเสียสละ เห็นคนที่เสียสละ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำเรียกว่าความเสียสละ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจ แต่พอมีลูกแล้วเข้าใจคำว่าเสียสละเป็นอย่างดี ตั้งแต่เสียสละเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ตอนลูกแบเบาะ เราก็เหนื่อยมาก ๆ อยากนอน ๆ ไม่อยากลุกขึ้นมากลางดึกเลย แต่ก็ต้องยอมเสียสละความสบาย ตื่นขึ้นมาคอยดูว่าลูกหลับดีไหม หมอนอุดจมูกหรือเปล่า หิวนมก็ต้องยืนชงนมให้ทั้ง ๆ ที่ตาลืมแทบไม่ขึ้น บางทีซื้อขนมมา ของชอบของเรา อยากกินมาก แต่พอเห็นลูกนั่งกินแล้วเราก็เสียสละยอมให้ลูกกินจนหมด การเสียสละในเรื่องใหญ่ขึ้นมาคือ การเสียสละหน้าที่การงาน ยอมลาออกจากงานทั้ง ๆ ที่กำลังก้าวหน้าเพื่อมาดูแลลูก เสียสละอนาคตของตัวเองเพื่อมาเป็นแม่ของลูก เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญทีเดียว
ส่วนเรื่องความรัก หากไม่มีลูกก็คงไม่สามารถสัมผัสความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากการเรียกร้องหรือหวังผลตอบแทนจริง ๆ ตอนเจอสามีก็คิดว่านี่แหล่ะคือความรัก รักจริง ๆ อยากอยู่กับคน ๆ นี้ตลอดไป แต่พอมีลูกแล้ว ลูกนี่แหล่ะที่สอนว่าอะไรคือความรักที่แท้จริง ความรักของหญิงชายยังมีเรื่องของตัณหาราคะ ความหึงหวง ความโกรธ การเงิน ผลประโยชน์ ถ้าเธอไม่รักฉัน ไม่ดูแลฉัน ฉันก็จะเลิกกับเธอ ไปหาคนที่ดีกว่าแบบนี้ แต่กับลูกมันไม่ใช่ การได้เฝ้าดูเขาเจริญเติบโต จากแบเบาะ นั่ง คลาน เกาะเดิน จนวิ่งได้ มันเป็นความสุข แค่เห็นลูกกินข้าวหมดจาน คนเป็นแม่ก็นั่งยิ้มทั้งวันแล้ว ถึงจะรู้ว่าสักวันเขาก็ต้องจากเราไป ไปมีชีวิตของเขาเอง เราก็ยังอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุด รักเขาให้มากที่สุด หน้าที่และความรักของคนเป็นแม่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่รู้ว่าตัวเองมีลูกและไม่เคยหยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ
ดิฉันเห็นหลายคนไม่อยากมีลูก ไม่กล้ามีลูก เพราะกลัวเสียรูปร่างบ้าง ไม่อยากมีห่วงมาติดตัวบ้าง กลัวลูกจะลำบากในโลกสมัยนี้ ทุกอย่างมีด้านดีด้านเสีย ถ้าจะมองในด้านลบมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่การจะได้สิ่งที่มีค่าคุณก็ต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่าง เพื่อคุณจะได้ซาบซึ้งถึงคุณค่าของมัน
Create Date : 25 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 3:35:41 น. |
Counter : 433 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บทเรียนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกเล่นเครื่องคิดเลข
บทเรียนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกเล่นเครื่องคิดเลข
วันนี้เกิดเหตุการณ์ระทึกให้หัวใจคนเป็นแม่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นึกแล้วยังอดใจหายไม่ได้ เรื่องเริ่มที่โนแลนลูกคนเล็กอยากเล่นเครื่องคิดเลข มันเป็นเครื่องคิดเลขอันเล็ก ๆ แบบพกพาเป็นของแถมที่ได้มานานแล้ว เราก็คิดว่ามันคงไม่เป็นไร ไม่อันตรายก็เลยให้ไปเล่น โนแลนก็ไปนั่งเล่นที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เราก็ไปล้างจานในห้องครัว ล้างไปดูลูกไปเห็นนั่งก้มหน้าก้มตา ก็คิดว่าคงนั่งกดตัวเลข แล้วนิคโก้ลูกคนโตเข้ามาเล่นกับน้องด้วย ก็เห็นสองคนเล่นกันดี สักพักได้ยินเสียงนิคโก้ร้องไห้จ้าเสียงดัง เรารีบวิ่งไปดูทันที ภาพที่เห็นคือ ปุ่มตัวเลขหลุดออกมาเป็นตัว ๆ ส่วนนิคโก้ก็ร้องไห้ไปชี้จมูกไป เท่านี้ก็เดาเรื่องทั้งหมดได้เลย คือน้องคงดึงปุ่มตัวเลขออกมาเป็นชิ้น ๆ พี่ชายอยากรู้อยากเห็นเลยเอายัดใส่จมูกแล้วเอาออกมาไม่ได้ ใจเรางี้หายวาบ มองเข้าไปในจมูกเห็นปุ่มสีดำ ๆ คาปิดรูจมูกอยู่ ไม่ลึกมากแต่ก็ไม่ตื้น
เจ้าเครื่องคิดเลขตัวปัญหา ถ่ายรูปเสร็จก็โยนทิ้งไปเลย
เห็นแล้วก็พยายามเช็คดูว่าลูกหายใจได้ไหม หายใจดีหรือติดขัดไหม ดูแล้วหายใจไม่ผิดปกติ เดชะบุญที่ใส่เข้าไปแค่ข้างเดียว อย่างน้อยก็ยังเหลือรูจมูกอีกหนึ่งข้างไว้หายใจ แต่นิคโก้ก็ร้องไห้ไปสะอึกสะอื้นไปสูดจมูกซื๊ดซื๊ด เรากลัวว่ามันจะยิ่งเข้าไปลึก เลยไปหยิบไฟฉายกะว่าจะดูชัด ๆ ปรากฎว่าไฟฉายเสียอีก เวลาไม่อยากใช้ดันใช้ดี พอเวลาฉุกเฉินเกิดเจ๊งขึ้นมาซะงั้น จมูกลูกก็เล็กเอานิ้วใส่เข้าไปไม่ได้เดี๋ยวดันเข้าลึกกว่าเดิม จะเอาคีบหนีบก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะถ้าพลาดจะหนักกว่าเดิม งานนี้จนปัญญาแก้เองไม่ได้ต้องเพิ่งหมอแล้วล่ะ เลยโทรหาพ่อบ้านบอกให้กลับมาบ้านอย่างด่วน แล้วก็บอกเด็ก ๆ ให้แต่งตัว เท่านั้นแหล่ะจากที่ร้องไห้อยู่ก็หยุดเลย สงสัยดีใจนึกว่าจะพาไปเที่ยว เที่ยวแน่นอนแต่ไปเที่ยวโรงพยาบาล
พอพ่อบ้านมาถึงก็รีบไปโรงพยาบาล ฝนดันตกอีก โชคดีโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลมาก เรากับลูกก็รีบลงตรงทางเข้าห้องฉุกเฉินก่อนเลย ใครที่ไม่เคยเข้าห้องฉุกเฉินคงนึกว่าคุณหมอพยาบาลจะกระวีกระวาดรีบเข้ามาดูอาการแบบในหนังในละคร ขอบอกว่าคิดผิดค่ะ ถึงจะได้ชื่อว่าฉุกเฉินแต่ก็ทำงานช้าถึงช้ามากพอ ๆ กับห้องตรวจคนไข้ทั่วไป ถ้าคุณไม่ถึงกับสมองไหล เลือดอาบ อวัยวะขาดก็ต้องนั่งรอตามคิว ประมาณ first come, first serve โชคดีที่นิคโก้มีประวัติที่โรงพยาบาลแล้ว เลยไม่ต้องมานั่งกรอกแบบฟอร์มให้เสียเวลาอีก พอไปถึงพยาบาลก็วัดน้ำหนัก ความดัน อุณหภูมิ แล้วก็ให้นั่งรอเรียก ระหว่างรอนิคโก้ก็กระดี๊กระด๊าวิ่งเล่นในล็อบบี้ พอโนแลนตามมาสมทบเลยกลายเป็นสนามเด็กเล่น เล่นเก้าอี้ดนตรีกันสนุกสนาน พยาบาลท่าทางรู้ทันเลยเปิดการ์ตูน Spongebob Squarepants ให้ดูซะ ได้ผลทั้งสองคนไปนั่งดูทีวีเรียบร้อย
รอได้ 15 นาที เจ้าหน้าที่ธุรการมาเรียกเพื่อถามเรื่องประกัน เรื่องที่อยู่บิล เบอร์ติดต่อ กลัวตามเก็บเงินไม่ได้ แล้วก็ให้ไมโครชิพมาหนีบไว้ที่เสื้อ ทันสมัยมาก คิดถึงเมืองไทยสมัยก่อนเวลาคุณเข้าไปในอาคารสำนักงาน หรือสถานที่บางแห่ง ต้องแลกบัตรประชาชนแล้วเขาจะให้คุณหนีบบัตรที่เขียนว่า VISITOR ต๊ายยยย อย่างนั้นน่ะเชยแหลกแล้วค่ะ ที่นี่เข้าใช้ไมโครชิพกันแล้ว คุณจะเดินไปไหน ทำอะไร อยู่ที่ไหน นานเท่าไร เขาตามได้หมด เธออธิบายว่าเพื่อการพัฒนาบริการ ทางโรงพยาบาลจะได้ติดตามได้ว่าคนที่เข้ามาในห้องฉุกเฉินไปไหนบ้าง รออยู่ที่ล็อบบี้นานเท่าไร ใช้เวลาในห้องตรวจนานเท่าไร จริง ๆ กลัวเดินหายไปไม่จ่ายตังค์ล่ะสิ ฟังดูเหมือนวิธีนี้จะดี แต่คนที่คิดไม่ซื่อจะถอดไมโครชิพไว้ที่ไหนสักที่แล้วเดินหายไปก็ได้นิ แต่ทางโรงพยาบาลอาจจะดูจากกล้องวงจรปิดอีกที ก่อนออกมาคุณธุรการก็พูดให้ดีใจว่าตอนนี้มีแค่คุณที่รอ คิดว่าคงอีกไม่นานพยาบาลจะมาเรียกไปข้างในห้องตรวจค่ะ
ผ่านไปอีก 15 นาที รวมครึ่งชั่วโมงแล้วนะตั้งแต่เดินเข้ามาเนี่ย พยาบาลก็พาไปห้องตรวจด้านใน เรากับนิคโก้เข้าไปกันสองคน พ่อบ้านกับโนแลนรออยู่ในล็อบบี้เพราะพ่อบ้านไม่อยากให้โนแลนเห็นคนเจ็บ ไม่อยากให้เห็นนิคโก้ร้องไห้ เดี๋ยวโนแลนร้องตาม ต๊ายยยย จิตใจอ่อนโยนมากกก เราก็รอ..รอ..รอ..กับนิคโก้ในห้อง จนนิคโก้เปิดตู้ครบทุกตู้ เข้าห้องน้ำ เล่นก๊อกน้ำ ไม่รู้จะเล่นอะไรแล้ว ผ่านไป 30 นาทีก็ยังไม่มีหมอหรือพยาบาลโผล่มาสักคน ถ้าไม่เกรงใจกะว่าจะหยิบคีบหนีบเล็ก ๆ ในห้องหนีบปุ่มออกมาจากจมูกนิคโก้เองแล้วนะเนี่ย เลยไปถามพยาบาล "เอ่อ คือว่ารอ 30 นาทีแล้วน่ะค่ะ ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาดูอาการเด็กเลย" เจ้าหน้าที่ตอบแบบโปรแกรมที่ฝึกมาเลยคือ "คือวันนี้เราค่อนข้างยุ่งอ่ะค่ะ คุณต้องรอหน่อยนะคะ" เราก็ห่วงตัวเล็กที่รอในล็อบบี้ ป่านนี้ไม่ป่วนไปทั่วแล้วเหรอ "เอ่อ ถ้างั้นขอออกไปที่ห้องล็อบบี้แป๊บหนึ่งได้ไหมคะ เพราะพ่อของเด็กรออยู่ คือไม่คิดว่าจะต้องรอนานขนาดนี้" พยาบาลผู้ชายใจดีให้ออก เลยออกไปบอกพ่อบ้านว่าต้องรอต่อ ไม่รู้นานเท่าไร เข้ามารอข้างในห้องด้วยกันเลยแล้วกัน
พอเดินกลับเข้ามาอีกที คราวนี้บริการไวยิ่งกว่าส่งพิซซ่า ทั้งหมอทั้งพยาบาลรอยืนต้อนรับหน้าห้อง เมืองนอกก็มีข้อดีตรงที่กลัวโดนฟ้อง โดนคอมเพลน สงสัยกลัวเราทำเรื่องฟ้องเรื่องบริการช้าในห้องฉุกเฉิน แล้วหมอก็เอาตะขอเล็ก ๆ เกี่ยวปุ่มตัวเลขแถมน้ำมูกใส ๆ ยืด ๆ เล็กน้อยออกมาจากจมูกนิคโก้ หมอยังใจดีแจกสติคเกอร์ให้คนละตั้ง 2 ตัว เป็นอันว่าจบเหตุการณ์ระทึก รวมเวลาเจอหมอ 5 นาที นั่งรอเกือบ 90 นาที
เลยอยากเตือนคุณพ่อคุณแม่ว่าอย่าไว้ใจเครื่องคิดเลข เครื่องคิดเลขแบบราคาถูก เป็นปุ่มยาง วัสดุคงแย่มาก เด็กสองขวบก็ดึงออกมาได้แล้ว ผู้ใหญ่ต้องนั่งดูอยู่ข้าง ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวดึงออกมาใส่หูใส่จมูก คราวนี้โชคดีบุญรักษาแก้ไขได้ทันท่วงที
Create Date : 10 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 3:36:10 น. |
Counter : 588 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
Free Blog Content
|
|
|
|
|
|
|