น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

เมตตา - ปราการต้านทุกข์

อึดอัดนอนไม่หลับ พักใจกับเมตตาจิต
เมื่อคืนนี้ แดดเช้าตื่นมากลางดึก
อึดอัดเหลือเกิน นอนไม่หลับเลย
กำหนดดูจึงรู้ว่า เป็นสิ่งที่ถูกกระทบมาจากการที่ช่วยแม่ชีคนหนึ่ง

แม่ชีคนนี้ ปฏิบัติธรรมและช่วยหุงหาอาหารให้กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ราชบุรี
ท่านอยู่ที่นั่นเป็นปีแล้วเหนื่อยมาก
มีอาการเจ็บปวดที่หลังตลอดเวลา

ทนไม่ไหวแล้ว ...
เมื่อมีคนมาทำงานที่ครัวแทน แม่ชีจึงกลับมาอยู่กรุงเทพฯ
แล้วท่านก็เจ็บหนักขึ้นๆ จึงติดต่อให้แดดเช้าช่วยแก้ไขอาการเหล่านี้ให้

แม่ชีท่านมีกำลังสมาธิดีมาก
แดดเช้าขอให้ท่านกำหนดดูความเจ็บปวดแล้วนึกเอาลมออกทั่วกาย
ให้ลมออกที่บริเวณเจ็บๆ ตรงนั้นมากเป็นพิเศษ
แล้วแดดเช้าก็อธิษฐานให้กระแสจิตของแดดเช้า เป็นกระแสบุญ กระแสเมตตา
แดดเช้านั่งเฉยๆ แล้วใช้กระแสจิตไปลงในส่วนที่แม่ชีเจ็บ

อัศจรรย์ใจเหลือเกินที่แม่ชีบอกว่า อาการเจ็บไหลเลื่อนลงสู่เท้าแล้วกำลังลงดินแล้ว
โดยที่แดดเช้าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฉยๆ แล้วใช้กระแสจิตเบาๆ ไปที่แม่ชีเท่านั้นเอง
แม่ชีท่านบอกว่า รู้สึกเย็นสบายดี

อาการของแม่ชีก็ทุเลาลง เจ็บน้อยลง
แม่ชีบอกว่า เป็นอาคมของอาจารย์กรรมฐานที่ราชบุรีทำมาใส่

กลางดึก แดดเช้ารู้สึกอึดอัด ชาไปทั้งหลัง เป็นอาการคล้ายๆ กับรับเอาสิ่งที่ไม่ดีของแม่ชีเข้ามาสู่ตัว (ก็เป็นยัยฟองน้ำนี่นะ ดูดซับเข้ามาจนตัวเองอึดอัด) จึงลุกขึ้นมาทำสมาธิ เจริญสติทั่วกาย แล้วนึกเอาลมออกทั่วกาย
ลมไหลไปกลางหลังแล้วรู้สึกวาบๆ
แดดเช้าอธิษฐานกระแสจิตของแดดเช้าให้เป็นกระแสบุญ กระแสเมตตา
สิ่งที่อยู่ในกายทั้งหลายเหมือนกระเด็นออกจากกายอย่างน่าอัศจรรย์

สมาธิเบาลงด้วยเมตตาฌาน
วิญญาณชอบเกาะหลังเหลือเกิน ทำให้ไม่สบายตัว
แดดเช้าทำสมาธิแล้วก็หนักๆ

อุบายใหม่ของแดดเช้าเวลานั่งกรรมฐานก็คือ
อธิษฐานซะเลย
"ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ ขอให้กระแสจิตของข้าพเจ้าเป็นกระแสบุญ กระแสเมตตา กระทบผู้ใดของให้ผู้นั้นมีความสุขความสบาย ถ้าผู้ใดคิดไม่ดี มีมิจฉาทิฐิ ขอให้กระแสจิตของข้าพเจ้าส่งไปกระทบผู้นั้นแล้วเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจไปในทางที่ดีขึ้นได้ ถ้าผู้ใดเจริญสัมมาทิฐิอยู่เป็นทุนแล้ว ขอให้ผู้นั้นประสบความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ"

ช่วยให้แดดเช้าทำกรรมฐานได้ดีขึ้นเหมือนกัน

เมตตาต้องคู่กับอุเบกขา
แดดเช้าเรียนหลวงปู่ว่า แดดเช้าปฏิบัติเมตตาเช่นนี้เวลาแดดเช้าทำกรรมฐาน
หลวงปู่ท่านแนะว่า เมตตาต้องคู่กับการนิ่งเฉยด้วยนะ

แดดเช้าชอบหัวเราะ หลวงปู่ท่านจึงทักว่า
"อย่าพูดไปหัวเราะไป การหัวเราะทำให้เมตตาเสื่อมไปได้นะ ..." เหมือนๆ กับท่านล่วงรู้ว่า แดดเช้าสงสัยอยู่ในจิต เมตตาเสื่อมได้ยังไงเจ้าคะ ท่านจึงพูดต่อว่า
"มันจะกลายเป็นกามไปน่ะสิ"

หลวงปู่บอกว่า พระอรหันต์จะไม่หัวเราะต่อหน้าชนหมู่มาก
พระพุทธเจ้าก็เพียงแค่แย้มพระโอษฐ์เห็นรัศมีออกจากพระเขี้ยวแก้วเท่านั้น

การหัวเราะเหมือนคนบ้า
การร้องไห้เหมือนคนบ้า
ใช่ไหมเจ้าคะ ... หลวงปู่

ท่านตอบว่า ใช่

แดดเช้าเห็นความบ้าไร้สติของผู้ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
แดดเช้าเคยเป็นบ้าเช่นนั้นมาเหมือนกัน

การที่เราไม่แสดงความยินดี
หรือการที่เราสำรวมระวังแสดงความยินดีแต่พอควร
รู้จักข่มความไม่ยินดีไว้ได้
นับว่า เป็นกิริยาอันงาม

งามและเป็นสิริสง่า ... เป็นสิ่งที่แดดเช้าต้องฝึกฝน

เมตตาทำให้ชีวิตมีความสุขจริงๆ
เราก็มีจิต สัตว์ก็มีจิต เทวดาก็มีจิต พรหมก็มีจิต
เพียงแต่ บาป-บุญ ห่อหุ้มจิต จนทำให้เกิดการแตกต่าง

แต่พวกเขา พวกท่าน ไม่ต่างอะไรจากเราเลย
จิตเป็นผู้รู้ ที่ขยายการรับรู้ออกไปเป็นวิญญาณ

เมตตา ทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตทุกชีวิต
เป็นมิตรต่อกัน ไม่ปะทะกัน ไม่เบียดเบียนกัน

เมตตาเป็นปราการป้องกันสรรพทุกข์
เมื่อเราเมตตาแล้วแผ่ขยายอานุภาพของความเมตตาออกไปถึงผู้ที่คิดร้ายต่อเรา ผู้ที่โกรธเรา พยาบาทเรา ก็ได้รับความเย็นใจจากเมตตา มักจะคลายความโกรธลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ และยังเกิดเป็นความอ่อนโยน ร่มเย็นภายในจิตภายในใจอีกด้วย

เมตตาทำให้เราไม่กีดกั้นทางชนชั้นด้วยนะคะ
เราไม่คิดว่า เขาเลวกว่าเรา ไม่คิดว่า เขาดีกว่าเรา ไม่คิดว่า เขาด้อยกว่าเรา
เราเป็นมิตรกับเขา เขาก็จะรับกระแสจิตดีๆ ของเรา

มานะ - ความถือตัวถือตน ลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์เชียวค่ะ : )

เมื่อรู้ประโยชน์ของเมตตาว่ามีอานุภาพมากมายเพียงนี้แล้ว .... เรามาเจริญเมตตากันดีกว่าเนาะ




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2548 11:31:00 น.
Counter : 423 Pageviews.  

เล่าเรื่องคุณของพระอริยสงฆ์ - อุชุปะฏิปันโน

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ขึ้นหัวข้ออย่างนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะสวดมนต์ให้ฟังนะเจ้าคะ
แต่จะยกขึ้นมาเพื่อเป็นหลัก เป็นแนวทางในการพิจารณาบุคคลที่ควรบูชา คือ พระอริยสงฆ์ ว่าท่านจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

พูดถึง "พระอริยสงฆ์" แดดเช้าเคยคิดว่า คนที่เดินไปเดินมาตามท้องถนน บางทีเราก็ดูไม่ออกหรอกว่า ใครเป็นพระอริยะระดับใดแล้วบ้าง หรือใครยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ถ้าเป็นปุถุชนจะแยกแยะได้ง่ายกว่าพระอริยะมากเลยค่ะ

พระอริยสงฆ์ ที่ท่านสำเร็จมรรคผลตั้งแต่ระดับโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นฆราวาส ก็ใช้ชีวิตตามปกติธรรมดาอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ เพียงแต่ "ศีล" ของท่านจะมากกว่าเราอีก

ถือว่าเป็น
สุปะฏิปันโน - ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
อุชุปะฏิปันโน - ผู้ปฏิบัติตรง
สามีปะฏิปันโน - ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์
ญายะปะฏิปันโน - ผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว

หลวงปู่ท่านสรรเสริญว่า อุชุปะฏิปันโน เป็นคุณของพระสงฆ์ที่สำคัญที่สุด
ผู้ปฏิบัติตรง หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามธรรมตามวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่มีการเพิ่ม ไม่มีการแก้ไข ไม่มีการตัดทอน

ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสเช่นใดย่อมเป็นไปตามนั้น ผู้ใดคัดค้านคำกล่าวของพระองค์เป็นบาปลดหย่อนกันไปตามเจตนา

การเป็นผู้ปฏิบัติตรง ทำให้วินัยของศาสนาอยู่ได้ แล้วทำให้ศาสนาดำรงอยู่ได้

ปราบนิสัยดื้อของลูกด้วยการไม่พูดปด
หลวงปู่เล่าเรื่องลูกศิษย์ที่เป็นผู้พิพากษาให้ฟังบ่อยๆ เป็นการยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้ใครๆ ปฏิบัติตาม

วันหนึ่ง ท่านผู้พิพากษานั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานที่บ้าน ลูกคนหนึ่งก็ร้องว่า "จะไปหาแม่ๆ" ท่านก็นั่งเขียนหนังสืออยู่อย่างนั้นแหละ แล้วบอกว่า "เดี๋ยวพ่อเขียนหนังสือเสร็จแล้ว พ่อจะพาไป" ลูกก็ยังคงร้องว่า "จะไปหาแม่ๆๆ" อยู่ตลอดเวลา

จนท่านเขียนหนังสือจบ ท่านเก็บโต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็บอกลูกว่า
"พ่อเขียนหนังสือเสร็จแล้ว พ่อจะพาไปหาแม่"
ลูกก็เดินตามไปเฉยๆ แล้วก็หยุดร้อง

ตั้งแต่นั้นมา ลูกไม่เคยร้องงอแงอีกเลย
แม้แต่จะไปตลาด ลูกๆ จะตามพ่อไปด้วย พ่อเพียงพูดว่า "พ่อไปตลาด ... เดี๋ยวพ่อมา" แค่นั้นแหละ ลูกๆ ก็เดินกลับบ้านกัน ไม่มีใครงอแง

การพูดความจริง ทำให้สบายเหลือเกิน
วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านบอกแดดเช้าว่า ให้คุยกันพี่คนหนึ่งที่เขามีนิสัยหลงตัวเอง และหลงอะไรไปหลายเรื่อง ใครๆ พยายามบอกสอน พยายามตักเตือน พยายามแนะนำ ก็แก้นิสัยตรงนี้ไม่ได้สักที

แดดเช้าเองก็อึดอัด ความหลงของพี่เขาเยอะเหลือเกิน
"พูดกับเขายังไงดีเจ้าคะ"
"ก็พูดตามจริงนั่นแหละ"
"ถ้าพูดตามจริง ก็ต้องกระทบใจเขาแรงหน่อยนะคะ หนูลิสต์ไว้หมดแล้วค่ะว่า จะพูดความจริงอะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง มีหลายคดีเหลือเกิน"
"นั่นแหละ พูดไปตามนั้นเลย"

เขาโทร.มาหาแดดเช้า แดดเช้าก็อัดเข้าไปเต็มๆ หลายประเด็น โดยไม่สนใจเลยว่า จะกระทบเขาขนาดไหน อัดเข้าไปด้วย อ่านจิตเขาด้วย แล้วก็พูดดักคอเขาไปด้วย

ตัว "มานะ" (ความถือตัว) กระเด็นออกไปบ้างนิดหน่อย

พอวางสายเขาแล้ว แดดเช้าก็โทร.ไปรายงานหลวงปู่
"หนูอัดเขาหลายกระทงเจ้าค่ะ หลวงปู่"
"ดีๆ เป็นไงบ้าง"
"แต่เวลาหนูว่าอะไรเขา หนูจะเปรียบเทียบตัวหนูให้เขาฟัง เล่าว่า หนูก็เคยเป็นแบบเขามาก่อน เคยอยากได้คำสรรเสริญ เคยอยากดีอยากเด่น เคยหลงผิดมาไม่ต่างจากเขาเลย ยกตัวอย่างตัวเองตลอดเลยค่ะ แล้วหนูก็บอกเขาว่า สมาธิเขาไม่ดีเลย ไม่นิ่งเลย เขาก็ทำนิ่งสักพัก แล้วเขาก็ถามว่า นิ่งดีหรือยัง หนูก็บอกว่า นิ่งแล้ว แต่ข้างในเขายังคิดอยู่ว่า 'พี่นิ่งได้นะน้องรุ่ง พี่จะทำให้ดู' ก็นิ่งแบบหลอกๆ น่ะค่ะ แต่ดีกว่าไม่นิ่ง

และตอนเขาจะวางสายนะคะ เขาบอกว่า เขาเที่ยวโทร.หาใครๆ ให้ตักเตือนเขา ได้อะไรเยอะเชียว แต่หนูดูจิตเขา หนูเห็นว่า ที่เขาเที่ยวโทร.หาใครๆ จิตเขาร่ำร้องว่า 'ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว ฉันโทร.หาใครๆ ใครๆ จะได้เห็นว่า ฉันดีขึ้น' เขาอยากให้คนเห็นว่า เขามีการเปลี่ยนแปลงค่ะ เขาบอกว่า ให้หนูโทรมารายงานหลวงปู่นะคะว่า ผลเป็นยังไง พี่พูดอะไรบ้าง หนูก็ตอบเขาว่า พี่ก็ยังหลงเหมือนเดิม แต่ดีขึ้นนิดเดียวเอง หนูคงโทร.ไปรายงานหลวงปู่อย่างนี้แหละค่ะ

ปากเขาก็รับฟังนะคะว่า เขาไม่ดีตรงไหน แต่ใจเขาคิดค้านตลอดเลย ปกป้องตัวเองตลอด

หนูใช้พลังจิตในการคุยกับคนนี้มากเลย หนูพูดทุกอย่างตามที่หนูเห็นนะคะ"
"ดีๆ"
"หลวงปู่เจ้าคะ หนูติเตียนเขาบ่อยๆ หนูจะบาปไหมเจ้าคะ"
"ไม่บาปหรอก พระพุทธเจ้าก็ยังติเตียนคนไม่ดีเหมือนกัน ถ้าติเตียนแล้วเขาดีขึ้น เห็นอะไรแล้วพูดความจริงออกมาน่ะเป็นสิ่งดี การพูดความจริง ทำให้สบายเหลือเกิน มันไม่มีอะไรอัดอั้นในใจ"
"แต่สิ่งที่หนูกลัวก็คือ ระหว่างที่หนูพูดไป เหมือนๆ ไปข่มเขาหรือเปล่าคะว่า หนูดีกว่าเขา หนูจึงติเตียนเขา"
"การที่เรายกตัวอย่างความไม่ดีของเราให้เขาฟัง เราไม่ได้ไปข่มเขาแล้ว กลับทำให้มานะของเราลดลง ทำให้เขาเกิดกำลังใจที่จะแก้ไขตัวเองด้วย"
"สาธุค่ะ หลวงปู่ หนูก็คิดว่า จะช่วยให้เขาคลายความหลงลงได้บ้างนะคะ .....

พระโสดาบัน พูดปดไม่ได้แล้ว
หลวงปู่เคยบอกว่า ผู้ที่เข้าถึงมรรคผล จะปดไม่ได้แล้ว
แดดเช้ามาใคร่ครวญดู เห็นว่า จริง

พระโสดาบัน ปฏิบัติจนถึงการรู้แจ้ง เห็นความจริงทุกอย่าง การที่พูดอะไรนอกเหนือความเป็นจริง ท่านก็คงทำไม่ได้ เพราะผิดกับสิ่งที่ท่านรู้ ที่ท่านเห็น

ฉะนั้น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ที่เดินอยู่ตามท้องถนนปะปนกับปุถุชนทั่วไป อาการท่านจะงาม มีสง่าศักดิ์ศรีมากกว่าใครๆ เพียงแต่ท่านจะไม่บอกว่า ท่านปฏิบัติได้ในระดับใดแล้วเท่านั้นเอง เพราะบอกไปก็เกิดบาปแก่คนอื่นๆ

เกิดบาปได้อย่างไร?
ถ้าเกิดเขาไม่เชื่อ เขาก็คัดค้าน การคัดค้านเป็นการคัดค้านพระธรรมพระวินัย
ถ้าเขาเชื่อ เขาก็จะหลงงมงายในตัวคนนั้นๆ ไม่สนใจวัตรปฏิบัติ

ฉะนั้น ผู้ที่สำเร็จมรรคผลที่เดินอยู่ตามท้องถนน จึงมีอาการงาม และมีวัตรปฏิบัติที่พอจะเป็นแบบอย่างได้ แต่จะไม่มีการโอ้อวดลำพอง

มานะ (ความถือตัว) ของท่านเหล่านี้ ละไปจากท่านจะสิ้นหมดแล้ว

ม้าอาชาไนย จะพยศก็พยศออกมาให้เจ้าของเห็น
หลวงปู่ท่านเคยเล่าเรื่องม้าอาชาไนยให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ม้าอาชาไนยเกิดแต่มารดา แล้วถีบมารดาทิ้งไปอยู่ตามอิสระ เป็นม้าพยศ ถ้าผู้ใดนำมาฝึกก็จะได้ม้าที่ดี ม้าอาชาไนยจะพยศอย่างไรก็พยศออกมาให้เจ้าของเห็น เพื่อจะได้ฝึกได้ถูกอุบาย

พระสาวกในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ก็เช่นกัน มีความผิด มีกิเลส เป็นอย่างไร ก็แสดงออกมาให้แจ้ง เพื่อจะผู้ฝึกจะได้ฝึกได้ตรงอุบาย

การพูดความจริง ทำให้แก้ไขปัญหาได้ ทำให้แก้ไขตัวเองได้ ดีกว่า การทำมายาสาไถย ปิดบังความชั่วของตน

ฉะนั้น พวกเรามาพูดความจริงกันดีกว่า...
แต่ก่อนที่จะพูดความจริงได้ทุกเรื่องนั้น ก็ต้องสำรวจจิตของตัวเองและยอมรับให้ได้เสียก่อนว่า เรามีกิเลสอะไร เราต้องการอะไร เราคิดอะไร แล้วยอมรับมันซะ ข่มมันซะ .... ปฏิบัติให้เหมาะให้ควรกับสถานการณ์ แต่ต้องยอมรับว่า เราต้องการ เราเป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยนะคะ

ไม่เช่นนั้น จะเป็นการปกป้องตัวเอง สำคัญว่า เราดีแล้ว เลิศแล้ว
แล้วก็จะหลงไปกันใหญ่
หนักๆ เข้าก็เป็นการ "ติดดี"
เอาแต่ดี ชั่วไม่เอา

แต่หลวงปู่ท่านสอนว่า
"ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่ละ"
กิเลสอะไรเกิดแต่ในจิต ก็ดูอยู่เช่นนั้น
ทำสมาธิไปแล้วดูเฉยๆ ไม่ปรุง ไม่แต่ง
เราเป็นผู้ดูเพียงธรรมดา ไม่นึกเอา ไม่นึกละ

การยอมรับความจริง การพูดความจริง นี่ดีเหลือเกิน จริงๆ ด้วยนะคะ : )




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2548 12:09:57 น.
Counter : 1018 Pageviews.  

โรคที่รักษาได้ด้วยสมาธิ

อัศจรรย์ใจในหนึ่งช่วงวัน
วันหนึ่ง มีคนที่ฝึกกรรมฐานด้วยกัน ทักแดดเช้าว่า
"ไตคุณไม่ดีเลย ไตดำๆ บวมๆ ยังไงก็ไม่รู้ ดูแลไตหน่อยนะ"
แดดเช้าจึงมองไตตัวเองตาม น่าตกใจมาก ดำๆ บวมๆ จริงๆ ด้วย
เขาแนะนำแดดเช้าหลายอย่าง เกี่ยวกับอาหารการกิน เช่น ให้กินผัก ผลไม้เยอะๆ ดื่มน้ำเยอะกว่านี้อีก
แดดเช้าก็ปฏิบัติตามนั้น

วันรุ่งขึ้น ..... ปัสสาวะมีกลิ่นแรง เริ่มสงสัยว่า ไตมีปัญหามากขึ้น หรือเริ่มดีขึ้น
จึงกำหนดดู เห็นของไม่ดีเริ่มออกจากไต ขับออกเป็นปัสสาวะ
นึกขอน้ำทิพย์จากพระแม่กวนอิม อธิษฐานบารมีของท่านให้คุ้มครองดูแล

นึกเอาน้ำทิพย์วิเศษมารดไต เห็นน้ำที่ล้างไตตัวเองไหลออกมา จากสีหม่นๆ ขุ่นๆ เริ่มใสขึ้นๆ
นึก นโมพุทธายะ นโมพุทธายะ นโมพุทธายะ ..... ทำจิตให้นิ่ง
ดูลมทั่วกาย ดูกายภายนอกให้ทั่ว ดูกายภายในให้ทั่ว แล้วดูที่ไตเป็นพิเศษ
นึกท้องฟ้าสว่างใสคุ้มศีรษะอยู่ ท้องฟ้าสว่างกว้างส่องความสว่างลงมาทำให้เห็นร่างกายชัด

ไตค่อยๆ ดีขึ้น .....
แดดเช้าจึงไปตรวจร่างกายจากพี่คนนั้นอีก ครั้งนี้ท่านบอกว่า
"ดีกว่าเมื่อวานเยอะแล้ว ดูเหมือนไตเริ่มแดงๆ ไม่มีปัญหาแล้ว"

อานุภาพของสมาธิ นี่ดีจริงๆ

ท้องผูกไม่หาย สมาธิช่วยคุณให้ถ่ายเป็นเวลา
เวลาเข้าห้องน้ำจะถ่ายอุจจาระ แดดเช้ามักจะทำสมาธิดูกระเพาะอุจจาระ ลำไส้ กลางหลัง ไปด้วย
แล้วนึกเอากระแสจิตแผ่ผ่านไปที่เส้นเอ็นกลางหลัง ไล่ลงมา กระแสจิตไปรูดลำไส้เล็ก แล้วก็ใช้กระแสจิตไปทำให้อุจจาระในกระเพาะอุจจาระอ่อนตัวลง ส่งผ่านไปให้แรงๆ อีกนิดนึงให้ของเสียถ่ายออกทางรูทวาร

แล้วอุจจาระก็ถ่ายออกได้อย่างง่ายดาย
ถ้าวันใดที่ทำแล้ว เห็นว่าอุจจาระแข็งเกินไป ก็นึกเอาธาตุน้ำมาใส่ลงไปด้วย ใช้กำลังสมาธิคุมส่วนนี้ด้วย
แล้วอุจจาระก็จะถ่ายออกมาได้

อาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวที่อยู่กลางหลัง ก็เบาลงไปโดยพลัน เพราะถ่ายออกแล้ว ... โล่งแล้ว
ถ้าทำสมาธิมากๆ จนเราเห็นร่างกายภายในตัวเองแจ่มชัด เราจะพบว่า เส้นประสาทที่อยู่กลางหลังต่อเนื่องกันโดยตรงกับเส้นประสาทแถวๆ ลำไส้ กระเพาะอุจจาระ

ตรวจร่างกายตัวเองได้อย่างนี้ .... กรรมฐานยังไม่ใช่สิ่งวิเศษสำหรับพวกเราอีกหรือ?

ร้องไห้จนเหนื่อย... นึกนวดกล้ามเนื้อหัวใจ คลายอาการปวดศีรษะ
มีอยู่วันหนึ่ง แดดเช้าไม่สบายใจ สติหลุดกระจุย
มีบางสิ่งมากระทบใจ ร้องไห้โฮ... ด้วยความน้อยใจ
พอหายใจทั่วกาย ทำลมออกทั่วกาย แล้วรู้สึกคลายความทุกข์โดยฉับพลัน
อาการน้อยใจหายไป ไม่รู้หายไปไหนแล้ว
น่าสงสารอาการบ้าๆ บอๆ ของตัวเองจัง

ร้องไห้แรงไปหน่อยนึง .... แดดเช้าจึงปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อยากจะหลับ
จึงกำหนดไปดูที่หัวใจ หัวใจล้ามาก ทำสมาธินึกเป็นมือไปบีบนวดกล้ามเนื้อหัวใจตรงบริเวณอ่อนล้า
กระแสเลือดไหลไปจี๊ดไปถึงสมอง อาการปวดหัวก็คลายลง

นึกเอามือไปบีบจนเส้นประสาทบริเวณตีนผมแถบท้ายทอย
สบายขึ้นมากทีเดียว บีบบ่าไหล่ของตัวเองด้วยสมาธิด้วย
เบาลงได้จริงๆ

ไม่ต้องเสียเงินไปหาร้านนวดแผนโบราณ

รักษาอาการเจ็บปวดของแม่
แม่ของแดดเช้าจะปวดหัวไหล่เป็นประจำ
แดดเช้าจึงบอกแม่ว่า ให้หายใจออกทุกรูขุมขนในร่างกายเลยนะแม่
รู้สึกเบาสบายไหม ออกนิ้วเท้า ออกนิ้วมือ ออกโคนผม ปลายผม ด้วยนะคะ

แม่เอาลมออกบริเวณที่ปวดเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวจะดูให้ว่า เป็นอะไร

แดดเช้าเห็นกระดูกบริเวณนี้ไม่เข้าที่ เส้นเอ็นอักเสบ
ใช้สมาธิจับกระดูกให้เข้าที่ แล้วนึกเอาด้ายสีขาวๆ เย็นกระดูกให้ติดกัน แล้วนึกขอให้เป็นปกติทุกอย่าง ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันหาประมาณมิได้
แล้วอธิษฐานขอน้ำทิพย์จากพระแม่กวนอิม ชำระล้างความร้อนจากอาการอักเสบของเส้นเอ็นให้หายไป

สักพัก ถามอาการแม่
"เบาลงแล้ว ทุกคืนแม่ต้องเอาหมอนมารองเวลานอน แต่วันนี้ไม่ต้องใช้เลย"

หายใจให้ถูกวิธี บำบัดระบบทางเดินหายใจ
แดดเช้ากลับบ้านที่ชลบุรีทุกครั้งก็นอนกับแม่
แม่ของแดดเช้ามักจะนอนกรนเสียงดัง และหายใจติดขัด จนแดดเช้านอนไม่หลับต้องตื่นขึ้นมาดูแม่ด้วยความห่วงใย

แดดเช้าจึงแนะนำแม่ไปว่า
"แม่หายใจให้ทั่วกายนะ แม่จะได้หายใจคล่องๆ นอนหลับสบายๆ"
"แม่ก็นอนหลับสบายอยู่แล้ว"
"ไม่หรอก แม่ไม่รู้ว่า แม่นอนหายใจครืดๆ กรนจนน่าเป็นห่วง แม่ลองทำตามที่รุ่งแนะนำนะ แล้วแม่จะสบายกว่าเก่า"
แม่ทำตามแล้ว แดดเช้าก็เลยถามแม่ว่า
"แม่จ๋า รู้สึกอย่างไรบ้าง สบายดีขึ้นไหม หน้าตาสดใสเชียว"
แม่พยักหน้า

คืนนั้นทั้งคืน ผ่านไปด้วยความสงบสุข ไม่มีเสียงลมหายใจติดขัดของแม่อีกเลย
เช้าตื่นขึ้นมา แม่ยังนอนหลับสบายๆ อีก

แดดเช้าได้บุญเยอะนะคะ .... แนะนำสมาธิให้แม่ทำ

โรคภูมิแพ้ของเรา หายไปไหน?!?
แดดเช้ามีอาการเป็นไซนัส และเป็นภูมิแพ้ด้วย
ทุกๆ วัน แดดเช้าต้องหาเสื้อแขนยาวๆ อบอุ่นๆ มาใส่ จนมีคนถามว่า ไม่ร้อนบ้างหรือไง
แดดเช้าเที่ยวบอกใครๆ ว่า แดดเช้าขาดความอบอุ่น
จนมีคนแซวว่า "ขาดความอบอุ่น ก็หาผัวมากอดซิ"
"อย่าหาเรื่องเลยดีกว่า อยู่อย่างนี้สบายดีแล้วค่ะ" แดดเช้าตอบ

แดดเช้าทำสมาธิ โดยการนึกท้องฟ้าสว่างๆ กว้างๆ ท้องฟ้ายิ่งกว้างมากเท่าไหร่ สว่างมากเท่าไหร่ ก็จะเห็นกายตัวเอง เห็นลมหายใจออกทุกรูขุมขน เห็นตับ ไต ไส้ พุง ได้มากเท่านั้น
ลมที่หายใจเข้าไป ขับของเสียที่หมักหมมออกมา
อัศจรรย์ใจเหลือเกิน
ทุกวันนี้ อาการภูมิแพ้ที่เคยเป็นเหมือนไม่ปรากฏอาการให้เป็นที่น่ารำคาญใจอีก
เพราะแดดเช้าหายใจแต่ละที นึกเอาลมหายใจสูดเข้าไปฟอกชำระปอดของตัวเองด้วย

แม้อาการภูมิแพ้จะดีขึ้น แต่เชื้อไซนัสยังอยู่ในโพรงจมูก
แดดเช้าจึงต้องนิ่งๆ เอาลมออกทั่วกาย และดูในส่วนนี้ให้มากๆ
นึก พุทโธหาย ธัมโมหาย สังโฆหาย บ่อยๆ

สติดีๆ ทั่วกาย คลายกดดัน สร้างสรรค์ความสุข
อย่างที่เคยบอกย้ำแล้วย้ำอีกไงคะว่า
ภารกิจสำคัญสำหรับชีวิตเรานั้น ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการดูแลรักษา "กาย" กับ "จิต" ให้ดีๆ
สมาธิเป็นกำลังของชีวิต แต่สติคงที่เป็นหางเสือของชีวิต

ถ้าขาดสติมากๆ ก็หลงมาก หลงมาก โอกาสจะเป็นคนบ้าก็มีมาก
ถ้าสติคงที่มากๆ ก็หลงน้อย ความหลงจางหายไป ก็จะถึงความเป็นผู้เจริญ เป็นผู้ที่ประสบความสุขอย่างแท้ เป็นผู้มีอาการจริยางดงาม

สติ กับ สมาธิ เป็นของคู่กัน และช่วยรักษา "กาย" กับ "จิต" ได้เป็นอย่างดี

ขออานิสงส์จากการให้ธรรมทานในครั้งนี้ บันดาลให้ทุกท่านที่อ่านจงประสบกับความสุขโดยทั่วหน้ากันด้วยเทอญ สาธุ




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2548 16:33:13 น.
Counter : 442 Pageviews.  

ดูแลสุขภาพด้วยสมาธิวิธีง่ายๆ

หายใจให้ถูกวิธี ... ชีวิตจะโล่งสบาย
การทำสมาธิด้วยการหายใจให้ทั่วกาย เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ..... และทำได้ตลอดเวลา
การหายใจทั่วกายทำให้สติสมบูรณ์ เป็นการดูแลกายได้อย่างดีที่สุด

ลองทำตามกันเลยนะคะ
คุณเห็น "สีของลม" ที่ปลายจมูกกันไหม?
ไม่ว่าจะเป็นสีควันบุหรี่ สีของหมอก หรือสีอะไรก็ตามแต่ ขอให้นึกให้ลมมีสีไว้ก่อนเลย

ไล่ลมหายใจจากปลายจมูกไปตามโพรงจมูกลงไปที่ปาก ลำคอ หลอดลม ปอด หัวใจ ท้อง แล้วแยกลงไปถึงปลายเท้าทั้ง 10 นิ้ว ลมออกทุกซอกเล็บ
ไหลเข้าไหลออกอย่างนี้อยู่ก่อนนะคะ ..... แล้วก็ทำลำดับต่อไปด้วย

ลมจากปลายจมูกถึงปลายนิ้วเท้าทั้งสิบยังอยู่ครบดี ก็เอาลมหายใจไหลไปตามบ่า แล้วไปถึงปลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้วให้ครบๆ ออกทุกซอกเล็บ
ลมเข้าออกไหลไปปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า แล้วนะคะ

ต่อมา .... ให้ลมที่ปลายจมูกนี้ ไหลออกหน้าให้ทั่วๆ แล้วออกใบหูด้วย
ถึงโคนผมแล้วก็ออกปลายเส้นผมทุกเส้น
ไหลไปถึงท้ายทอย บ่า ไหล่ หลัง เอว สะโพก ก้น

ลมออกทุกรูขุมขนในร่างกาย ...... เบาสบายดีหรือเปล่าคะ?

หายใจเข้า-ลมออก หายใจออก-ลมเข้า
ลมจะขับสิ่งหมักหมมที่ไม่ดีในร่างกายออกมา แล้วหน้าตาของคุณจะสดใส
ถ้าอยากให้หน้าผ่อง ผิวหน้าสวย ก็ต้องนึกเอาลมไหลออกที่ใบหน้าให้มากๆ
ถ้าอยากให้ผมสวย ก็ต้องนึกเอาลมไหลออกที่ปลายเส้นผมมากๆ

เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณสวยได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

เอ็กซเรย์กายภายในของคุณ
ถ้าคุณสามารถทำให้ลมออกทั่วกายได้ดีแล้ว เราขอแนะนำการดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่ง
เริ่มจากการที่คุณใช้กระแสจิตดูฟันของคุณ ทุกซี่ ทุกซอก ทุกมุม ดูเหงือกของคุณเอง โดยไม่ต้องใช้กระจกนะคะ ใช้ความรู้สึกสัมผัสกันเลย เห็นชัดได้ เห็นชัดไม่ได้ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร ได้แค่ไหน เอาแค่นั้น

ต่อมา ก็ดูกราม ขากรรไกรล่าง ขากรรไกรบน โครงกระดูก โหนกแก้ม กระดูกหน้าผาก กระโหลกศีรษะด้วย ดูเนื้อหนังที่ห่อหุ่มกระดูกเหล่านี้ด้วย แต่ฟัน เหงือก ของคุณก็ไม่ได้หายไปไหนนะคะ ดูให้ครบๆ เห็นมันสมองของตัวเองด้วยนะคะ

ลำดับต่อไป ให้ดูกระดูกทั่วร่างกายของคุณเลย ดูให้ครบ สำรวจให้หมด แล้วก็ดูเส้นเอ็นที่ยึดกระดูก ดูเล็บทุกเล็บของคุณด้วยนะคะ ......
เรียบร้อยแล้ว ขอให้คุณดูกล้ามเนื้อรึงรัดกระดูกทั้งหมดทั้งสิ้น

แล้วก็ลึกเข้ามา ดูภายในของคุณบ้างดีกว่า
ดูหัวใจ ปอด ม้าม ตับ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอุจจาระ ดูอาหารภายในกระเพาะเหล่านั้นด้วย
ถ้าเพิ่งทำครั้งแรก อาจจะรู้สึกสะอิดสะเอียนหน่อยนะคะ นั่นแหละค่ะ ปฐมฌาน เริ่มเกิดแล้ว แต่ครั้งถัดมาก็จะเห็นเป็นปกติ แล้วบางที คุณอาจจะได้เห็นของคนอื่น แล้วตรวจร่างกายของเขาได้ด้วย

เอาละนะคะ หัวใจของคุณมีเส้นเลือดด้วยใช่ไหม?
ดูเส้นเลือดน้อยใหญ่ที่ไหลไปทั่วร่างกาย แล้วเห็นเลือดในเส้นเลือดนั้นด้วยนะคะ

ดีมากค่ะ ..... ทำบ่อยๆ แล้วค่อยๆ ดูเวลาที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย หายใจให้ทั่วกาย ออกทุกรูขุมขน แล้วดูในส่วนที่เจ็บปวดบ่อยๆ เป็นพิเศษ

นึก "พุทโธหาย ธัมโมหาย สังโฆหาย" แล้วดูนิ่งๆ ส่วนที่เจ็บปวดนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

กรรมฐาน เป็นสิ่งที่อยู่กับ "กาย" กับ "จิต" จริงๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลยนะคะ : )




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2548 20:54:14 น.
Counter : 374 Pageviews.  

อานุภาพของบทสวดมนต์

มนต์ของพระพุทธองค์ทุกบท ล้วนมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์
แดดเช้าเคยตั้งคำถามถามหลวงปู่ว่า ทำไมเวลาสวดมนต์แล้วรู้สึกเหมือนมีกระแสอะไรไหลออกมาด้วย ยิ่งถ้าสวดด้วยใจที่ตั้งมั่น เป็นสมาธิ
ท่านตอบว่า "มนต์ของพระพุทธเจ้ามีอานุภาพทั้งนั้นแหละ"
จึงเป็นสิ่งที่แดดเช้าคิดจะพิสูจน์เรื่อยมา
พิสูจน์ได้หรือไม่นั้น .... ต้องลองติดตามอ่านกันต่อไป

เอหิปัสสิโก .... เชิญมาพิสูจน์เถิด - เป็นพระธรรมคุณข้อหนึ่ง
ลองสวดมนต์แบบอ่านเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจอะไร จะเห็นกระแสเสียงออกจากปากไปได้ไม่ไกล

แต่ถ้าลองสวดมนต์แบบเร็วๆ และใช้กระแสจิตช่วยด้วย จะเห็นว่า กระแสเสียงส่งไปถึงผู้รับได้ด้วย

เห็นคำอธิษฐานต่างๆ หรือบทแผ่เมตตา ถ้าเราทำในใจให้แผ่ไปทั่วๆ จักรวาล ก็จะรู้สึกถึงอานุภาพตรงนี้ว่ายิ่งใหญ่เหลือประมาณ

จึงสรุปว่า .... กระแสจิตเป็นสิ่งที่ทรงพลังเสียเหลือเกิน ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็น

บทสวดอาการ 32 ทำให้ผู้สวดสำเร็จเป็นอนาคามีภายในคืนเดียว
ในสมัยพุทธกาล มีประวัติเล่ามาเช่นนี้ แดดเช้าจำรายละเอียดไม่ได้ ถ้ารู้เพิ่มเติมจะเขียนเล่าให้อ่านนะคะ (ติดเป็นการบ้านไว้ก่อน)

บทสวดอาการ 32 ว่าดังนี้ (ในวงเล็บเป็นคำแปลนะคะ)
อัตถิ อิมัสมิง กาเย (ที่มีอยู่ในกายนี้) เกสา (ผมทั้งหลาย) โลมา (ขนทั้งหลาย) นขา (เล็บทั้งหลาย) ทันตา (ฟันทั้งหลาย) ตะโจ (หนัง) มังสัง (เนื้อ) นะหารู (เอ็นทั้งหลาย) อัฏฐี (กระดูกทั้งหลาย) อัฏฐิมิญชัง (เยื่อในกระดูก) วักกัง (ม้าม) หะทะยัง (หัวใจ) ยะกะนัง (ตับ) กิโลมะกัง (พังผืด) ปิหะกัง (ไต) ปัปผาสัง (ปอด) อันตัง (ไส้ใหญ่) อันตะคุณัง (ไส้น้อย) อุทะริยัง (อาหารใหม่) กะรีสัง (อาหารเก่า) ปิตตัง (น้ำดี) เสมหัง (เสลด) ปุพโพ (น้ำเหลือง) โลหิตัง (น้ำเลือด) เสโท (เหงื่อ) เมโท (มันข้น) อัสสุ (น้ำตา) วะสา (มันเหลว) เขโฬ (น้ำลาย) สังฆาณิกา (น้ำมูก) ละสิกา (น้ำมันไขข้อ) มุตตัง (น้ำมูตร) มัตถะเก มัตถะลุงคันติ (เยื่อในสมอง)

บทสวดมนต์คลายผูกเวร
เวลาที่เห็นว่า ใครสักคนโกรธเราไม่รู้จักจบสิ้น หรือจองเวรไม่สิ้นสุด

ลองสวดมนต์สวดนี้แล้วนึกเอาบทสวดนี้ไปใส่ในจิตของคนผู้นั้นดู จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ระหว่างที่สวดต้องตั้งใจที่จะคลายการผูกเวรระหว่างกันด้วยนะคะ

"นะหิเวเร นะ เวรานิ
สัมมันตีธะ กุทาจะนัง
อะเวเรนะ จะ สัมมันติ
เอสะธัมโม สะนันตะโน"
(ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร)


สวดซ้ำๆ หลายๆ รอบ แล้วลองนิ่งๆ กำหนดดูจิตของผู้นั้นว่า เขาคลายลงหรือยัง โดยการเอากระแสจิตไปสังเกตและใช้จิตรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

การสวดมนต์เป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของสมอง
เคยถามหลวงปู่เหมือนกันว่า สมองคิดได้อย่างไร
ท่านบอกว่า จิตเป็นผู้คุมความคิด จิตไปสั่งสมองให้คิด แล้วสมองก็สั่งกาย

เป็นเรื่องลึกซึ้งมากๆ เรื่องของจิต ...... ฉะนั้นอย่าไปหาคำตอบเลยว่า บทสวดมนต์ทำงานอย่างไร เชื่อมกับสมองได้อย่างไร
แต่ให้เข้าใจเถิดว่า อานุภาพต่างๆ เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ
จิตมีพลังเหนือกว่าสมองเสียอีก

คำแปลสรภัญญะ ก็ทำให้สติมั่นขึ้นได้
คิดถึงชีวิตสมัยเป็นนักเรียนระดับประถมศึกษา สวดมนต์สุดสัปดาห์
เคยคิดว่า ทำไมบทสวดมนต์ยาวจัง

ด้วยความหวนหาอดีตเช่นนี้ ทำให้แดดเช้าไปควานซื้อบทสวดมนต์ไหว้พระ สำหรับชั้นประถมศึกษา ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ มาอ่าน

อย่างที่ว่า ถูกติเตียนเรื่องพูดไม่ตรงเสียงวรรณยุกต์ซะเรื่อย อ่านทำนองเสนาะไม่ได้เรื่องเลย
จึงอยากเอามาฝึกอ่าน หลวงปู่ท่านแนะว่า ให้อ่านแบบเสียงปกติก่อน แล้วต่อมาจะเป็นทำนองที่ไพเราะเอง อย่าไปดัดเสียงสูงเสียงต่ำ

ก็เลยเอามาอ่านเรื่อยๆ
"องค์ใดพระสัมพุทธ ......"
"ธรรมะคือคุณากร ......"
"สงฆ์ใดสาวกศาสดา ......."
"ปางเมื่อพระองค์ปรมพุท ......"
"ข้าขอนบชนกคุณ ......"
"อนึ่งข้าคำนับน้อม ......"
วนไปวนมาเป็นสิบจบ รู้สึกอัศจรรย์ใจ ทำในใจตามระลึกถึงตามไปด้วย -- แรกๆ น้ำตาไหล เพราะอาการปีติดื่มด่ำและซาบซึ้ง ต่อมาก็ค่อยสงบขึ้นและเข้าถึงความหมายของบทสวดมนต์ สมาธิตั้งมั่นเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็รู้สึกว่า เสียงที่เปล่งออกมานั้น เป็นเพียงเสียงเท่านั้น ปากทำหน้าที่ทำให้เสียงเปล่งออก จิตเรานิ่ง เป็นผู้ดูการทำงานตรงนี้ ..... ตรงนี้ คาดว่า เป็นอาการของรูปฌาน 4 (วิตกวิจาร ปีติ สุข อุเบกขา)

นี่เพียงอานุภาพของบทสวดสรภัญญะแปลเท่านั้นนะคะ ยังยิ่งใหญ่ได้ปานนี้

แผ่กระแสจิตไปให้ทั่วโลก ทั่วจักรวาล จะพบความมหัศจรรย์
เคยลองกันบ้างหรือยังคะ?
แผ่กระแสจิตไปให้ทั่วแผ่นดิน ทั่วท้องฟ้า ทั่วโลก ทั่วจักรวาล
แดดเช้าทำบ่อยๆ และทุกๆ ครั้งที่ทำ ก็อธิษฐานว่า
"ขอให้กระแสจิตของข้าพเจ้า เป็นกระแสบุญ เป็นกระแสเมตตา
กระทบใคร ขอให้ผู้นั้นบังเกิดเป็นความสุข
ผู้คิดไม่ดี ขอให้เปลี่ยนความคิดไปในทางดี
ผู้ที่คิดดีๆ ขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์"
รู้สึกเบา สบาย และรู้สึกว่า ยิ่งแผ่ก็ยิ่งมีพลังอันยิ่งใหญ่ไหลเข้าสู่กาย สู่จิต

อยากแนะให้ลองทำกันบ้าง ......
เพื่อที่ว่า โลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น
ชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น

ขอให้ทุกท่านจงประสบแต่ความสุข สงบ ร่มเย็น ด้วยอานุภาพมนต์ของพระพุทธองค์




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2548 12:31:10 น.
Counter : 1066 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.