น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

-- กรรมฐาน นี่ เป็นสิ่งอัศจรรย์ เสียเหลือเกิน --

ระลึกคุณพระพุทธองค์ แล้วน้ำตาไหลพรากด้วย ปีติ ทุกที
แดดเช้าเคยฟังสรภัญญะ อาราธนาให้พระสงฆ์แสดงธรรม
บทนี้ ไพเราะมาก

แดดเช้ายังหาบทเต็มๆ ของบทอาราธนาธรรมที่ร้อยกรองเป็นภาษาไทยแล้ว ไม่ได้สักที


ทุกครั้งที่ฟัง ...
แดดเช้าจะเห็นภาพพระพุทธองค์แจ่มชัดมาก
พระองค์ใคร่ครวญเรื่องประกาศพระศาสนา
เป็นสิ่งยาก และ ลึกซึ้ง เกินสันดานหยาบๆ ของสัตว์โลกจะรู้จะเห็นธรรมได้

พระองค์พิจารณา บัว 4 เหล่า
ท้าวสหัมบดีพรหมลงมาอาราธนาขอให้พระองค์แสดงธรรม

ถ้าไม่มีวันนั้น ... แดดเช้าก็ไม่มีวันนี้
วันที่แดดเช้าได้ฝึกกรรมฐานของพระพุทธองค์ และเห็นผล
ได้ซึมซับความดีงาม
ได้เห็นความจริงบางอย่างของโลกและชีวิต
จากอานิสงส์ของการทำกรรมฐาน
ได้หยั่งลึกถึงความเป็นไปของสรรพสิ่ง
และได้เข้าใจตัวเอง

ถ้าไม่มีวันนั้น ... แดดเช้าคงไม่มีวันนี้
ที่จะนั่งเขียนบันทึกธรรมะจากการปฏิบัติ
เพื่อสื่อสารประโยชน์ให้ผู้อ่านนำไปใช้ได้

ถ้าไม่มีวันนั้น ... แดดเช้าคงไม่มีวันเข้าใจปัญญาอันแยบคายของพระพุทธองค์
ความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกและจักรวาล
ความยาวไกลของเส้นทางที่จิตดวงนี้จะต้องมุ่งไป
ความลึกซึ้งของห้วงใจ ที่ยากที่ใครจะหยั่งได้

มีเพียงกรรมฐาน ที่นิ่งพอ สงบพอ
นำให้เกิดความรู้
เป็นทั้ง โลกียปัญญา
และ โลกุตตรปัญญา

ทุกครั้งที่แดดเช้าได้พูดธรรมะของพระพุทธองค์
เพียงได้ระลึกถึง แม้เพียงเล็กน้อย
แดดเช้าเห็นจริงทุกสิ่งอัน ทุกถ้อยความ
น้ำตาแดดเช้าก็จะไหลหลั่งออกจากหัวใจด้วยความซาบซึ้งปีติ

ถ้าพระองค์ไม่ทรงค้นพบ ...
ชีวิตของแดดเช้าคงจะโง่หลงงมบ้า ไปอีกไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์

ขอระลึกถึงคุณพระพุทธองค์ด้วยความเคารพน้อม

เชิญเข้ามาดู มาพิสูจน์ พระธรรม ... แล้วจะพบความจริง
แดดเช้าเชื่ออย่างเป็นที่สุดว่า พระธรรม อันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นจริงได้
เมื่อแดดเช้าปฏิบัติกรรมฐาน แดดเช้าค้นพบในสิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว
ทุกสิ่งเป็นสิ่งจริง ....

หากแดดเช้าไม่ต้องคิดใคร่ครวญอะไร
ใช้กรรมฐาน กำหนดดูกาย ดูจิต ดูโลก
นิ่ง มั่นคง และแผ่กว้าง
แดดเช้าจะพบในทุกสิ่งที่พระพุทธองค์บัญญัติ
แม้กระทั่ง ความสำคัญของศีลทุกข้อ
สามารถร้อยเรียงกระบวนการทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกันได้อย่างอัศจรรย์

กรรมฐาน ที่เป็นสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาสติ เป็นสิ่งวิเศษสุด
ทำลายนิวรณ์อันเป็นกำแพงกั้นไม่ให้รู้เห็นความเป็นจริงได้
ความคิดฟุ้ง ความง่วงซึม ความลังเลคิดหาเหตุผล
ความเคียดแค้น รำคาญ หงุดหงิด หมายทำลาย
ความรัก ความยึดติด ความหลงใหล ความเคลิบเคลิ้ม
มลายหายไปได้สิ้น ....
หากกรรมฐานนั้นเป็นไปตามพระธรรม พระวินัย

เมื่อวานนี้ แดดเช้าเพิ่งคุยกับน้องคนหนึ่งเกี่ยวกับพระธรรมของพระพุทธองค์ว่า
ธรรมะมีไว้สำหรับการปฏิบัติ ไม่ใช่สำหรับการคิดหรือมาถกเถียงกัน
ปฏิบัติให้เห็นจริง แล้วจะเข้าใจ
ถ้านำมาพูด นำมาคุยกัน โดยไม่ปฏิบัติ
จะทำให้สำคัญตนว่า รู้ธรรมแล้ว
แต่ความจริง ไม่ใช่เลย เป็นการพูดเพื่ออวดภูมิ และยกถ้อยคำมาข่มกันเสียมากกว่า

ความลึกซึ้งของพระธรรม เกินกว่าสติปัญญาหรือมันสมองจะคิดใคร่ครวญได้
ต้องใช้ปัญญารู้แจ้งของจิตเท่านั้น
ต้องนิ่ง ดู เฝ้ามองให้เ็ห็น ให้รู้ ...
อ่านหนังสือสักร้อยเล่ม
ฟังพระเทศน์สักแสนกัณฑ์
ก็ไม่เท่ากับการปฏิบัติให้รู้ให้เห็นจริงได้เลย

ธรรมะบางเรื่อง .... เป็นสิ่งที่เรายังไม่อาจรู้ได้
ถึงเราจะรู้ึสึกว่า เรารู้แล้ว
ย่อมรู้จากการคิด การใคร่ครวญ การฟัง การอ่าน
หารู้ได้ด้วยตัวเองไม่
ถ้ายังไม่ปฏิบัติตามธรรม ตามวิันัยของพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ดีแล้ว

เอหิปัสสิโก ... ชวนให้เข้ามาดูด้วยกัน
พระธรรม ของพระพุทธองค์ สว่าง สะอาด สงบ เป็นอย่างยิ่ง
พิสูจน์ด้วยกันได้ในทุกยุคทุกสมัย
คำตรัสของพระองค์เป็นจริงทุกถ้อยคำ

ระลึกน้อมถึง พระธรรม พระวินัย เป็นที่เคารพยิ่ง

กราบกรานครูบาอาจารย์ ผู้ชี้ทางสว่างแห่งการปฏิบัติ
แดดเช้าโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับสาวกของพระพุทธองค์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามพระธรรม พระวินัย
และท่านเมตตาที่จะฝึกแดดเช้าให้ปฏิบัติกรรมฐานได้ถูกอุบาย
เพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์

แดดเช้าเคยเรียนหลวงปู่ว่า กรรมฐานเป็นสิ่งอัศจรรย์เหลือเกินนะ เจ้าคะ
เพราะเมื่อก่อน รุ่งเคยไปเที่ยวสวนสนุก มีดินแดนแห่งเทพนิยาย
รุ่งจะหลงใหลกับสิ่งเหล่านี้เหมือนๆ กับได้เข้าไปอยู่ในโลกใบนั้น

แต่อัศจรรย์ ... ณ วันนี้
รุ่งไปเที่ยวสวนสนุกอีกครั้ง
สติของรุ่งอยู่แนบกาย แนบจิต
จะเดิน จะนั่ง รุ่งจะเห็นตัวเองพร้อมทั้งกาย
รุ่งก็ยังชอบเทพนิยายอยู่นะเจ้าคะ
แต่รุ่งรู้สึกแต่ว่า ชอบแบบเปล่าๆ ว่างๆ

หลวงปู่ถามว่า ชอบแบบเปล่าๆ ว่างๆ นี่ยังไง
แดดเช้าตอบท่านว่า ก็รู้สึกว่า ชอบ แต่ไม่เข้าไปอยู่กับมัน
กายเราอยู่ตรงนี้ จิตเราอยู่ตรงนี้
ไม่ได้หลงใหลเหมือนที่ผ่านมา

ดีจังเลยนะเจ้าคะ ....
การที่เรามั่นอยู่ที่กายที่จิตของตัวเอง
เราไม่ถูกอะไรชักใยได้

แดดเช้าเล่าให้ท่านฟังต่ออีกว่า
เมื่อก่อนก็ฝึกกรรมฐานเหมือนกัน แต่เหมือนจะฝึกผิดอุบายหรือยังไงไม่ทราบ
รุ่งจะเมื่อยตามตัวได้บ่อยมาก
ต้องให้คนบีบเฟ้นให้เป็นประจำ
และหมอนวดมักจะพูดว่า ตัวเล็กๆ ไม่น่าจะกล้ามเนื้อยึดแข็งได้ขนาดนี้

แต่อัศจรรย์ ... หลังจากที่หลวงปู่แนะกรรมฐานให้รุ่งไปปฏิบัติแล้ว
อาการปวดเมื่อยกลับหายไป
ไม่เคยรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอีกเลย
รวมทั้งไม่รู้สึกเหนื่อยมากๆ ด้วย

มีคนเคยนวดไหล่ให้รุ่ง
เขาบอกว่า กล้ามเนื้อไม่แข็งเลย

สมาธินี่ วิเศษจริงๆ นะเจ้าคะหลวงปู่
เพราะสมาธิทำให้เราเบาสบาย คลายร่างกายได้อย่างไม่ต้องรักษาอะไรทางกายภาพเลย

ท่านถามว่า รุ่งสอนแม่ทำกรรมฐานบ้างไหม
แดดเช้าตอบท่านว่า แม่เคยนอนแล้วกรน หายใจไม่สะดวก จนน่าเป็นห่วง ทำให้รุ่งนอนไม่หลับเลยเจ้าค่ะ เพราะเป็นห่วงแม่มาก
รุ่งจึงสอนวิธีการหายใจแบบที่หลวงปู่สอนให้
หลังจากคืนนั้น แม่นอนเงียบเลยเจ้าค่ะ
อาการของแม่ที่น่าเป็นห่วงก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
แม่หายใจถูกวิธีแล้วหน้าตาของแม่ผ่องใสขึ้นมาก

แม่เคยปวดแขน ....
เวลานอน ต้องเอาหมอนมารองแขน จึงจะหลับได้
รุ่งก็บอกให้แม่ทำสมาธิ แล้วนึกเอาลมไล่ที่ปวดแขน ให้ความเจ็บปวดออกไปจากแขน
คืนนั้น แม่ไม่ต้องใช้หมอนรองนอนเลย

รุ่งได้ประโยชน์ตรงที่ทำให้รุ่งรู้จักรักษากายของตัวเองและผู้อื่นได้ด้วย
วิธีที่หลวงปู่ให้ดูทั้งกายภายใน กายภายนอก นั้นแหละเจ้าค่ะ
ที่ทำให้รุ่งเห็นกายของแม่ว่า มีปัญหาตรงไหน
แล้วนิ่งมองกำหนดดูให้รู้ว่า จะรักษาได้อย่างไร

สมาธิของพระพุทธองค์ วิเศษเช่นนี้เอง
หลวงปู่ท่านฟังแดดเช้าเล่าจนจบ
ด้วยเมตตาของท่าน ท่านจึงบอกแดดเช้าว่า เรื่องความอัศจรรย์ของสมาธินี่ควรจะนำออกไปให้คนอื่นได้รู้กันได้ทั่วๆ
เขาจะได้เจริญกรรมฐาน
และพบว่า วิธีกรรมฐานของพระพุทธองค์ เป็นสิ่งดี สิ่งวิเศษ

แดดเช้าคิดหลายวันว่า จะเอามาเขียนยังไงดีหนอ ...
วันนี้จึงลองเขียนดูสักหน่อย

คุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นคุณวิเศษเลิศล้ำที่สุด
หาคุณใดมาเสมอเหมือนมิได้เลย

อยากเชิญให้มาฝึกกรรมฐานร่วมกัน ....

ฝึกกรรมฐานวิธีง่ายๆ คลิก

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หากวิธีฝึกกรรมฐานที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะประกาศให้ผู้คนนำไปปฏิบัติแล้วเกิดเป็นอานิสงส์ได้มากมายเพียงใด ขอให้บุญกุศลในครั้งนี้ จงดลบันดาลให้ผู้มีสัมมาทิฐิ ผู้ใฝ่ในธรรม และข้าพเจ้า ได้ถึงธรรมะของพระพุทธองค์ และได้ดวงตาเห็นธรรม มีปัญญาที่แยบคาย เป็นกำลังของพระศาสนาในการทำกิจประกาศธรรมให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

ขอให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสัมฤทธิผลด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ

สาธุๆๆ




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 13 กันยายน 2548 0:44:08 น.
Counter : 489 Pageviews.  

อัศจรรย์คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์

พรใดไหนเล่า เทียบเท่าคุณพระรัตนตรัย
นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
"ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หากวันนี้ ข้าพเจ้าได้กระทำผิดต่อคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ ไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ ทั้งระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี รู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ข้าพเจ้าขอขมาต่อคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ ขอให้กรรมที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในวันนี้จงมลายหายไปสิ้นด้วยการสำนึกผิดแล้วของข้าพเจ้าในครั้งนี้ และข้าพเจ้าจะสำรวมระวังต่อไป"


บางวัน ถ้าอยู่ๆ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเฉยๆ
แดดเช้ามักจะทำการขอขมาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์

อัศจรรย์ใจ ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ หรือทำผิดพลาดใดๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ก็มลายหายไปสิ้น

แดดเช้าตกงานมาหลายเดือนแล้ว
แดดเช้าทำบุญเสมอมา ... อธิษฐานทุกครั้ง
แต่ที่ผ่านมา แดดเช้านิ่งไม่พอ

พักหลัง .... แดดเช้าจะสมาธิดีมากๆ โดยเฉพาะวันพระ
แดดเช้าจะสมาทานศีลแปดในวันพระใหญ่ คือ ขึ้น 15 ค่ำ
ถวายผ้าไตรจีวร โดยการทำผาติกรรม หมายถึงว่า หลวงปู่ท่านจะมีคนถวายผ้าไตรให้ท่านหลายผืนแล้วท่านไม่ได้ใช้ แดดเช้าก็เช่าผ้าไตรของหลวงปู่มาถวายท่าน แล้วถวายปัจจัยให้กับท่านเพื่อใช้ในกิจต่างๆ
แล้วแดดเช้าก็เจริญกรรมฐาน

แดดเช้าจะตื่นแต่เช้ามาทำบุญ ใส่บาตรหลวงปู่ตอนเช้า
เมื่อสมาธิดีๆ แดดเช้าก็ทำจิตนิ่งๆ แล้วอธิษฐาน
"ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้วในวันนี้ และที่ได้ทำแล้วในวันก่อนๆ บุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงของข้าพเจ้า ขอให้ดลบันดาลให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม ให้ข้าพเจ้ามีโภคทรัพย์ใช้สอยอย่างไม่ขัดสน เพื่อช่วยกิจทางพระพุทธศาสนา และขอให้ข้าพเจ้าถึงความสิ้นทุกข์โดยฉับพลัน ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และด้วยอานุภาพของการตั้งใจประพฤติดี ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของข้าพเจ้า ด้วยเทอญ สาธุๆๆ"

ทำเช่นนี้เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม วันพระใหญ่เดือนที่แล้ว จนกระทั่งถึงวันพระใหญ่เดือนนี้...
แดดเช้าก็ได้รับข่าวดี

แดดเช้าจับมือกับน้องคนหนึ่งจะทำธุรกิจร่วมกัน โดยแดดเช้าเป็นผู้บริหารงาน และให้น้องคนนี้เป็นผู้ดำเนินงาน
แผนธุรกิจกำลังดำเนินการอยู่ ...
แดดเช้าก็ได้รับการติดต่อจากบริษัทหนึ่งให้แดดเช้าเข้าไปคุยเรื่องงานในเร็ววันนี้
ซึ่งแดดเช้าเห็นแสงสว่างโร่สำหรับชีวิตแดดเช้า

แดดเช้ารู้สึกว่า ชีวิตกำลังสว่างขึ้น มีความชัดเจน และทุกๆ อย่างกำลังดีขึ้น
รับกระแสแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่แสนบริสุทธิ์ได้
มีความสุขอิ่มเอมในทุกวัน ....
มีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ เป็นเกราะครอบกาย
สบายดีเหลือเกิน...

แดดเช้าทำทุกสิ่งด้วยจิต...
เหมือนๆ เปิดหนทางให้กว้างออกมาได้
ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ที่ไม่รู้ว่า มีอะไรขวางทางให้เดินไปข้างหน้าอย่างขลุกขลักเต็มที

กระแสแห่งคุณพระภายใน กระจายออกสู่ภายนอก
แดดเช้าคิดว่า ถ้าแดดเช้าทำธุรกิจสักอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์
ในโอกาสที่แดดเช้าปฏิบัติธรรมถึงความเป็นอริยะแล้ว
เชื่อมั่นว่า หนังสือของแดดเช้าต้องขายได้
โดยที่ไม่ต้องเล็งกำไร
ไม่ต้องเหนื่อยกับการใช้สมองคิดธุรกิจให้วุ่นวาย ปวดหัว
เพราะอานุภาพแห่งความเป็นอริยะจะฉายประกายออกมายังผลงานของเรา

แดดเช้าเห็นว่า ขนาดแดดเช้าเขียนบันทึกธรรมะด้วยฌาน
งานเขียนของแดดเช้ายังนำพาความสงบ อบอุ่น ร่มเย็นในใจคนอ่านได้
ถ้าแดดเช้ามีปัญญาแจ่มแจ้ง ถึงความเป็นอริยะด้วยแล้ว
เพียงแค่เขาเห็นหน้ปกหนังสือ เขาก็ต้องยินดีจะหยิบอ่าน
ทันทีที่สายตาของเขาแตะถ้อยคำ ก็ต้องรู้สึกอยากอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพราะกระแสแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ย่อมแผ่เข้าไปถึงดวงใจ

แดดเช้าคิดว่า ....
แดดเช้าทำทุกสิ่งด้วยหัวใจ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยเมตตาธรรม และด้วยความต้องการเกื้อกูลพระศาสนา
เรื่องธุรกิจหรือผลกำไรเป็นเรื่องที่ต้องการก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องหลัก
ได้กำไรพอเลี้ยงชีพได้อย่างเพียงพอ แค่นั้นก็น่าจะดีแล้ว
แต่เรื่องหลักคือ แนวความคิดที่แดดเช้าต้องการจะนำกระแสผู้คนให้ถึงความสุขอย่างแท้จริง และถึงความจริงแท้แห่งชีวิตต่างหาก

ถ้าเราสามารถ "ให้" ใครต่อใครได้
สิ่งที่เราได้รับกลับมา ย่อมมีมูลค่ามาก
อย่างน้อย ย่อมได้ในสิ่งที่ลึกกว่าสิ่งที่จับต้องได้ด้วยประสาทสัมผัสธรรมดา

ไม่ใช่เพียงธุรกิจรุดหน้า ผลกำไรเพิ่มพูน มีชื่อเสียงโด่งดัง เท่านั้น
สิ่งที่เราควรจะได้จากการทำงาน นั่นก็คือ ความพึงพอใจ และ ทุกข์จากการทำงานที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
ถ้าเราดิ้นรน เราจะเคร่งเครียด
ผลของงานย่อมสะท้อนความเคร่งเครียด

ถ้าเราทำงานด้วยความเปล่าๆ ว่างๆ
ทำเพื่องาน ทำให้งานที่ออกมาเอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ทำให้ถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ
ไม่มุ่งหวังจนเป็นโรคประสาท
ไม่ท้อแท้จนกลายเป็นการหยิบโหย่ง

งานที่ออกมา จะเป็นงานที่มีคุณภาพ
ใครๆ อาจจะเน้นเรื่องผลกำไร
การวางแผนธุรกิจที่มีผลได้ผลเสีย
กังวลว่า ธุรกิจจะพังหรือเปล่า
ดูถูกความสามารถของตัวเองว่า เป็นลูกจ้างเขายังดีกว่า
เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองเกินไปว่า ฉันเก่ง ฉันทำได้
สิ่งเหล่านี้ แดดเช้ากลับมองว่า จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลว

สิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จได้
เห็นเพียงอย่างเดียวคือ การทำในใจว่า เราต้องอยู่กับปัจจุบันธรรม
ทุกสิ่งมีกลไกเป็นไป สิ่งใดควรศึกษา สิ่งใดควรระวัง สิ่งใดควรป้องกัน สิ่งใดควรคิด คิดให้จบไปเป็นเรื่องๆ เราต้องคิดให้จบ แต่ไม่ควรไปกังวลหรือยึดเข้าหาตัวเอง
ทำงานด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ยึดว่า เราเป็นคนทำ แต่คิดว่า เรากำลังทำงาน เราต้องทำให้ดีที่สุด ตั้งใจให้ดี แต่ไม่คาดหวังจนเจ็บปวดใจ แล้วเมื่อไม่ได้ดังหวังก็แทบจะท้อถอย
เราควรมีเป้าหมายของงานที่ชัดเจนแล้วประเมินงานออกมา
เมื่อไม่ได้ดังเป้าหมาย เรามองเพียงตัวปัญหา แต่ไม่ใช่โทษว่า เป็นเพราะ "ใคร"
เราต้องตั้งคำถามว่า "จะทำอย่างไร"
แทนการตั้งคำถามว่า "ใครเป็นคนทำ"

พลังใจของเราจึงกลับมา...

หมั่นอธิษฐาน เป็นปณิธานไปสู่จุดหมาย
การอธิษฐาน เหมือนเป็นการตั้งเป้าหมายของเราเอง
และเป็นการลดละตัวตนที่ดีอย่างหนึ่ง

เพราะเมื่อได้ดังใจประสงค์
เราจะไม่คิดว่า เป็นเพราะเราเก่ง
เมื่อไม่ได้ดังใจประสงค์
เราจะเข้าใจว่า ชีวิตมีกลไกของมัน มีจังหวะของมัน กิจใดๆ ก็เช่นกัน
เราจะไม่ต้องมานั่งทำใจ เพราะเราไม่เจ็บปวดอะไรกับสิ่งที่ไม่ได้ดังหวัง

อธิษฐานต่อเบื้องบน คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
น้อมถวายบุญแด่คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
ขออนุโมทนาบุญคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
หมั่นขอขมาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
เพราะวันหนึ่งๆ เราไม่รู้อย่างละเอียดว่า เราทำผิดศีลธรรม ทางกาย วาจา ใจ เป็นการล่วงละเมิดคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ และคุณงามความดีอันใดบ้าง

เราจึงจำเป็นต้องหมั่นระลึกถึงคุณอันบริสุทธิ์ของ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่ว่ากรณีใดๆ
ใครสรรเสริญเราเมื่อเราทำดี เราต้องนึกน้อมกราบคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่บันดาลความดีงามให้กับเรา
เราทำผิดด้วยกาย วาจา ใจ เรารู้สึกตัวได้ ก็นึกน้อมกราบขอขมาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
เราทำบุญใดๆ ในวันหนึ่งๆ เรานึกน้อมถวายบุญแด่คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
ทุกเช้า และ ก่อนนอน เรานึกอนุโมทนาบุญ คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
เพราะคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นคุณบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ที่หาประมาณมิได้

แล้วความยึดถือตัวตนของเราจะค่อยๆ จางลงๆ
เราจะรู้ได้ทันที่ว่า สิ่งที่เราทำ ที่เราเป็น เป็นเพียงอาการของ เบญจขันธ์
หาใช่ตัวเราทั้งหมดไม่

อย่าลืมนึกอธิษฐานในทุกวัน และทุกกาลและโอกาสเท่าที่จะทำได้นะคะ ...

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ การใดๆ ที่ข้าพเจ้าตั้งใจดีแล้ว เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งหมดทั้งปวง ขอให้กาลนั้นๆ จงสำเร็จสัมฤทธิผล และขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งเห็นความเป็นจริงแห่งโลกและชีวิต เพื่อนำปัญญาแห่งการรู้เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริงนั้นๆ นำมาประกาศความจริงให้มหาชนเข้าใจและปฏิบัติตามเพื่อถึงความสิ้นทุกข์ได้เร็ววันด้วยเทอญ

ขอให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ จงสำเร็จสัมฤทธิผลด้วยอานุภาพแห่งคุณพระพุทธ พระธรรมพระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 25 เมษายน 2548    
Last Update : 25 เมษายน 2548 20:51:24 น.
Counter : 656 Pageviews.  

ลมหายใจ คือ ชีวิต

ปฏิบัติกรรมฐาน สำคัญที่ "ลม"
แดดเช้าเพิ่งได้ปัญญาผุดรู้ที่แจ่มชัดขึ้นเกี่ยวกับเรื่อง "ลม" ในกรรมฐานเมื่อไม่นานมานี้เอง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อแดดเช้าสนทนากับใครคนหนึ่ง
"มีใครไม่หายใจบ้าง" เป็นประเด็นที่แดดเช้านึกตั้งขึ้นมา เพราะเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ใน "ลมหายใจ"
พี่คนหนึ่ง เปรยกับแดดเช้าขึ้นมาว่า
"นั่นสินะ ... มีใครไม่หายใจบ้างน้อ"
"ลมหายใจ คือ ชีวิต การดูลม ก็คือ การดูชีวิต" แดดเช้าพูดตามที่แดดเช้าคิด
"แต่บางคนไม่ดูลม ก็มีชีวิต"
"ใช่ แต่เขาจะใช้ชีวิตแบบไม่รู้จักชีวิต เพราะเขาไม่รู้จักลม"
"แต่เขาก็ยังหายใจ"
"ก็ใช่อีก แต่ว่า การที่เราดูลม เท่ากับเรามีสติ รู้จักชีวิตของเรา และทำให้เรามีปัญญารู้แจ้งอริยสัจ"
"ไม่ดูลม ก็มีปัญญาได้"
แดดเช้าอึ้งกึก!!!

แดดเช้ามานั่งคิดใคร่ครวญดู ...
ไม่ดูลม จะเกิดปัญญาได้ยังไง
สติปัฏฐาน 4 ก็ยังไม่เกิด จะรู้จักกาย รู้จักจิต ได้อย่างไร
แล้วจะเห็นอริยสัจได้อย่างไร
การดูลมหายใจ คือ การเจริญอานาปานสติ มิใช่หรือ?

แดดเช้าจึงเรียนถามหลวงปู่
"หลวงปู่เจ้าคะ รุ่งคุยกับคนๆ หนึ่ง เขาบอกรุ่งว่า ไม่ดูลม ก็มีปัญญาได้ แต่ว่า รุ่งคิดว่าไม่ใช่นะเจ้าคะ รุ่งคิดว่า เราไม่ดูลม เราจะเกิดปัญญาได้อย่างไร รุ่งทดลองดูแล้วล่ะค่ะ"
"ทำไมไม่รู้จักถามว่า ไม่ดูลมแล้วมีปัญญาได้ยังไงเล่า" หลวงปู่ดุเอาสักที
อืม .... ทำไมเราไม่รู้จักถามเขานะ ปัญญาในการถ่ายทอดธรรมะของเรายังไม่ถึงจริงๆ
"หลวงปู่เจ้าคะ รุ่งนึกไม่ถึงที่จะถามเจ้าคะ จริงสินะคะ ... การที่ถามย้อนไปอย่างนั้นดีจริงๆ ด้วย แต่ว่า รุ่งเห็นว่า จิตใจขณะนั้น มานะรุ่งฟูขึ้นเจ้าค่ะ มันพุ่งขึ้นทันทีเลย นึกตำหนิเขาเลยว่า ทำไมโง่อย่างนี้นะ คิดว่า ไม่ดูลมแล้วจะเกิดปัญญาได้ยังไง รุ่งเห็นอารมณ์เคืองๆ ตรงนี้ของตัวเอง เลยคิดว่า นิ่งเสียดีกว่า ถ้าไปอธิบายธรรมะกับเขา หรือไปชี้ความจริงให้เขาเห็นตอนที่กิเลสเราพุ่งอย่างนี้ แทนที่เขาจะเกิดปัญญา อาจจะทำให้เสียได้นะเจ้าคะ เราทำไปด้วยกิเลส เราไม่ทำไปตามธรรม

รุ่งกลับมาทดลองทำสมาธินะเจ้าคะ รุ่งไม่ดูลม รุ่งเพ่งกสินอย่างอื่น ดูนิมิตอย่างอื่น ... ยังไงๆ ก็ไม่เกิดปัญญาเจ้าค่ะ เพราะเป็นการเอากระแสจิตไปเป็นสมาธิข้างนอก เหมือนกับฌานของฤๅษีที่ไม่ดูกาย ไม่ดูลม สติปัฏฐาน 4 ก็เกิดไม่ได้ จะเห็นทุกข์ เห็นกิเลสก็ไม่ชัดนะเจ้าคะ

หลวงปู่เจ้าคะ .... สิ่งที่รุ่งเข้าใจน่ะถูกต้องดีแล้วหรือยังเจ้าคะ ที่รุ่งเห็นว่า การดูลมเป็นสิ่งสำคัญอันจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้ง และเห็นอริยสัจ เจ้าค่ะ ขอขมาหลวงปู่เจ้าค่ะกรุณาอธิบายสิ่งถูกต้องให้รุ่งเข้าใจบ้าง"
หลวงปู่ท่านก็อธิบายว่า
"การที่เราดูลม ทำให้เราเห็นกาย สติปัฏฐาน 4 ก็เกิดขึ้น และเมื่อเราเห็นกาย สติปัฏฐาน 4 เกิดขึ้น ก็ทำให้เราเห็นลมในร่างกายได้"

ชัดเจนดีจังเลยนะเจ้าคะ ... หลวงปู่

ทำงานไม่ละเอียด กรรมฐานจึงไม่ละเอียด
หลวงปู่บอกแดดเช้าว่า ให้แดดเช้าดูกิเลสกามของตัวเองให้ดีๆ

"รุ่ง ดูกิริยาอาการของตัวเองด้วยนะ ชอบทำเอียงหน้าเอียงคอเวลาพูด พูดเสียงสูงๆ ต่ำๆ จะทำให้สวยงามน่ารัก มันเป็นกิเลสกาม

อาตมาเอง เคยเห็นกามของตัวเอง เป็นกามราคะ กามหยาบกว่าของรุ่งอีก อาตมาก็ดูมันนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น แล้วปัญญาก็แตกพลั๊วะขึ้นมา

ทำสมาธิให้มากๆ เข้า แล้วดูให้ชัด ดูเอาไว้ ไม่ต้องคิดเอา ไม่ต้องคิดละ
รุ่งยังเห็นอุปาทานแบบหลอกๆ เอาน่ะ เพราะติดคิดฟุ้งอยู่ ถ้าทำสติที่กายที่จิตมั่นๆ เข้าไว้ แล้วทุกข์จะมาให้เราเห็น เราจะรู้สึกว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ว่าเกิดมากี่ครั้งๆ แล้ว แล้วอุปาทานจะโผล่ขึ้นมาให้เห็นอีก จนกระทั่งดับวับไป ปัญญาก็จะแตกพลั๊วะขึ้นมา"
แดดเช้าก็ยังเห็นกิเลสกามของตัวเองไม่ชัด ไม่ทัน สักที
แก้ไขนิสัยพูดมาก พูดเสียงสูงๆ ต่ำๆ เอียงหน้าเอียงคอเวลาพูดไม่ค่อยจะได้

แดดเช้าเก็บถุง เผอิญว่า ถุงนั้นเลอะ แดดเช้าจึงทิ้ง
หลวงปู่ถามว่า ถุงไปไหน
"มันเลอะกาแฟเจ้าค่ะ จึงทิ้ง"
"มาดูซิว่า เลอะยังไง"
แดดเช้าเอามาให้หลวงปู่ดู
"เฮ้ย ... ไม่เห็นเลอะเลย ล้างออกก็ได้ ไอ้รุ่งนี่นะ มันทำงานไม่ละเอียด กรรมฐานมันจึงไม่ละเอียด"
จริงอย่างที่ท่านว่า ...

แดดเช้าเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย ข้าวของก็วางไม่เป็นที่
ทำครัวหรือกินข้าวเสร็จก็ไม่ขยันจะเก็บล้าง
เสื้อผ้าก็ไม่รู้จักเก็บให้ดีๆ
อ่านหนังสือเสร็จก็วางแหมะอยู่ตรงนั้นแหละ
กลับมาถึงที่ห้อง ก็ไม่รู้จักเก็บห้อง เอาแต่นอนคิดฟุ้ง
เป็นนิสัยของแดดเช้าหมดเลย ....

นิสัยที่อยากจะแก้ แต่มันติดความคิดฟุ้ง
เพลิดเพลินไปกับการคิด แล้วเพลิดเพลินไปกับการพูด

ญาติธรรมหลายท่านเตือนสติแดดเช้าซะเรื่อย
"ที่พูดน่ะ สติไม่อยู่เลย รุ่งทำสติหน่อย"
"เราเป็นคนไม่เรียบร้อย เลยทำให้ขวางการปฏิบัติของเรารู้ไหม บางคนเขามาวัด เขาถึงชอบที่จะทำความสะอาด เก็บล้าง ล้างห้องน้ำ เพราะเป็นการชะล้างกิเลสภายในของเราเอง"

วันหนึ่ง แดดเช้าคุยกับหลวงปู่
"หลวงปู่เจ้าคะ รุ่งรู้สึกอยากพูด อยากอวดจัง ความคิดมันเยอะไปหมดเลยเจ้าค่ะ อึดอัดจัง รู้สึกตัวเองสกปรกมากๆ กิเลสหนาเตอะเลย

วันก่อน รุ่งมีปัญหาจะถามหลวงปู่ เหมือนๆ หลวงปู่จะรู้เลยว่า รุ่งคิดอะไรอยู่ หลวงปู่แสดงธรรมให้คนอื่นฟัง เป็นคำตอบให้รุ่งได้เลยว่า คนที่ยังเป็นปุถุชนอยู่นั้น ทำสมาธิได้หน่อยหนึ่ง ก็อยากพูด อยากอวด ก็ต้องมาเล่าให้ฟังว่า เป็นยังไงๆ อยากจะแสดงให้รู้ว่า ตัวเองปฏิบัติถึงตรงนั้นๆ แล้วนะ แต่ถ้าปฏิบัติจนถึงที่จริงๆ จะรู้สึกว่า ไม่อยากพูดในเวลาไม่สมควรพูด ถ้าพูดไปแล้วไม่ทำให้ใครเกิดประโยชน์ เวลาพูดก็พูดในจังหวะที่พอเหมาะพอควรที่จะทำให้คนเขาเข้าใจได้ ไม่ใช่พูดเพื่อแสดงตนว่า เก่ง ทำได้แล้ว

รุ่งก็เลยคิดว่า รุ่งเกิดอาการทางสมาธิบางอย่าง อยากเรียนถามหลวงปู่อยู่เหมือนกัน แต่มาคิดอีกทีมันเหมือนกับว่า เราพยายามจะอวดเลยว่า เราทำได้ด้วยนะ เลยนิ่งดีกว่า ทำให้นิ่งแล้วถึงที่ก่อนจะดีกว่า ถ้ายังติดปัญหาอย่างนี้ แสดงว่า ยังทำได้ไม่ถึง"
ท่านนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเหมือนท่านจะมีความยินดีภายใน หัวเราะเบาๆ

แดดเช้าจึงมานั่งใคร่ครวญต่ออีก ที่แดดเช้ามานั่งเขียนไดอารี่ธรรมะอย่างนี้น่ะ เพื่ออวดตัวเองหรือเปล่านะ
ทวนไปทวนมาหลายรอบ ...

แดดเช้าเห็นประโยชน์ของการเขียนอยู่นะคะ
แดดเช้าไม่ได้เขียนเล่าว่า ตัวเองทำสมาธิเก่งเลยสักหน่อย แดดเช้าเขียนเล่ากิเลสของตัวเองให้ใครๆ ฟัง แล้วหาประเด็นสำคัญมาเล่าให้ฟัง มีทางออกให้เสร็จสรรพเพื่อที่จะให้คนนำไปใช้ประโยชน์ได้

ถ้าแดดเช้าจะเขียนธรรมะล้วนๆ ก็ลอกเอาจากหนังสือ มาลงในนี้ คงง่ายกว่า ....
แต่ว่า คงไม่เกิดประโยชน์สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหา
และยังเป็นการทำให้คนติดความรู้ ความคิด และติดความทรงจำ

แดดเช้าเป็นคนติดความฉลาดของตัวเอง
มีปัญญาจากความรู้ การฟัง การอ่าน และการคิดเยอะแยะมากมาย
แดดเช้าจึงไม่เกิดปัญญาจากการภาวนา
เป็นปัญหาของแดดเช้าเอง

แดดเช้ามักคิดฟุ้งในกรรมฐาน .... ความคิดเหล่านี้ขวางปัญญาในการรู้แจ้งเห็นจริง
บางที อยากจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย จะได้ทำสมาธิได้ดีๆ

การเอาของจริงมาเล่า เอาประสบการณ์จริงมาเล่า เป็น "ธรรมะ" ที่แท้จริง
เพราะว่า ธรรมะเป็นความจริง

บางทีการยกตัวอย่างความจริงของตัวเอง อาจจะเกิดผลกระทบกับใครบางคนบ้าง
แต่นั่นเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากหน้าที่ของแดดเช้าแล้ว
แดดเช้าตั้งใจให้ประโยชน์ คุณคนอ่านควรรับประโยชน์
ถ้าคุณยังติเตียน ปรามาส แดดเช้า บาปก็เกิดแก่ตัวคุณเอง
ตรงนี้ ... แดดเช้าไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

ถ้าคิดว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็ผ่านไปเสียก็ได้
แดดเช้าวางไว้ให้ คุณหยิบเอาไปฟอกกิเลสให้เกิดขึ้นในใจ เป็นความชิงชัง หมั่นไส้
นั่นก็เป็นปัญหาของคุณเองแล้วที่เข้ามารับเมตตาของแดดเช้า กลับสร้างเป็นกิเลสกับตัวเอง .... อยู่เหนือการช่วยเหลือของแดดเช้าจริงๆ

ใครสักคนบอกแดดเช้าว่า ที่แดดเช้าเขียนนั้น คนมีปัญญาเข้ามาอ่านจะได้ประโยชน์มาก
ก็อธิษฐานขอให้มีคนมีปัญญามาอ่านกันเยอะๆ จะได้เกิดอานิสงส์ช่วยพระศาสนาได้สืบต่อไปนะเจ้าคะ

พิสูจน์กันได้อย่างจะๆ เลยนะเจ้าคะ ...
ถ้าปฏิบัติตามที่แดดเช้าเขียนแล้วได้ผลอย่างไร ก็เป็นผลที่เกิดกับคุณเอง แดดเช้าอนุโมทนาบุญ สาธุด้วยค่ะ
(ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทันสมัย(อกาลิโก) ควรเรียกคนให้เข้ามาดู และพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก) และ เป็นเรื่องเฉพาะตน ใครทำใครได้ (ปัจจัตตัง) เป็นคุณของพระธรรม ค่ะ)

หายใจเยอะๆ นะ
แดดเช้าทำกรรมฐาน สติไม่ค่อยมั่น
แดดเช้าจึงต้องใช้ลมหายใจ หายใจให้ลมออกทั่วกาย
ลมออกทุกรูขุมขนของร่างกาย
ดูลมที่ไหลไปมาในร่างกายให้เป็นควันขาวๆ ออกตามซอกนิ้ว และฝ่ามือฝ่าเท้าด้วย
ลมละเอียดๆ เช่นนี้ ทำให้สบายกาย
สิ่งที่หมักหมม อารมณ์ไม่ดี ก็จะออกจากร่างกายได้ด้วย

ลม เป็นชีวิตจริงๆ
พระพุทธเจ้าตรัสถึงลม 6 กองไว้
ลมไหลเวียนในร่างกาย ถ้าเราดูลม 6 กองไว้ให้ดีๆ เราก็จะมีปัญญารู้แจ้งได้เหมือนกัน
แต่ปัญญาจะรู้แจ้งได้ ก็ต้องทำสมาธิให้กว้างใหญ่ด้วย
(รายละเอียดเรื่องลม 6 กอง ไว้แดดเช้าให้แดดเช้าเข้าใจแจ่มชัดก่อนนะคะ จะนำมาอธิบายให้อ่านกัน)

แผ่กระแสจิตออกไปทั่วฟ้า ทั่วโลก ทั่วแผ่นดิน
พร้อมๆ กับการดูกาย ดูลม
ดูกายภายนอก และดูกายภายในด้วย
ดูลมภายในกาย และลมนอกกายด้วย
พร้อมๆ กันอย่างนี้ ดีเหลือเกิน

กายภายใน ... ถ้าเราดูอย่างละเอียดๆ
จิตเราสามารถเห็นกายได้ชัด
เราก็จะรักษาโรคตัวเองได้ด้วยนะ

อย่างไรก็ตาม ....
ลมก็ยังสำคัญสำหรับชีวิตอยู่ดี
คนใกล้ตาย ก็คือ คนที่จะสิ้นลม

เราจึงควรมาดูลมของตัวเองกันดีกว่า ....

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หากการเขียนบันทึกธรรมะของข้าพเจ้าที่เป็นไปด้วยเจตนาดี และด้วยความชอบธรรมในครั้งนี้บันดาลอานิสงส์ที่ดีๆ บังเกิดประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่านได้ ขอให้อานิสงส์ของการถ่ายทอดธรรมะของข้าพเจ้า บันดาลให้ท่านผู้อ่านมีดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งเห็นจริง และบันดาลให้ข้าพเจ้าถึงมรรคผลในเร็ววัน เพื่อจะได้นำปัญญาจากการรู้แจ้งของข้าพเจ้าช่วยกิจศาสนาในการพาคนพ้นห้วงทุกข์สืบต่อไป

ขอให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสัมฤทธิผลด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 14 เมษายน 2548    
Last Update : 15 เมษายน 2548 17:11:14 น.
Counter : 335 Pageviews.  

ธรรมะดิบๆ ของแดดเช้า

"ธรรมะของแกมันดิบๆ" - เป็นคำพูดของเพื่อนแดดเช้า
อย่าหาว่า ฉันนินทานายอีกเลยนะ .......

วันหนึ่ง แดดเช้าคุยกะเพื่อนคนหนึ่ง
ถามเขาว่า
"ไม่ค่อยเห็นแกคุยธรรมะกับฉันเลยนะ"
เขาตอบว่า
"ก็ธรรมะของแกมันดิบๆ เลยขี้เกียจคุย"

แดดเช้าก็สงสัยว่า ทำไมเขาถึงว่าแดดเช้าอย่างนี้
วันหนึ่ง คุยกับหลวงปู่
ท่านบอกว่า ให้ไปถามเขาดูสิว่า ธรรมะดิบๆ ของเขาหมายถึงอะไร

วันนี้จึงได้โอกาสถาม
"เฮ้ย .... ที่วันก่อนแกบอกว่า ธรรมะของฉันมันดิบๆ หมายความว่าอะไร"
"ก็แกพูดๆๆ ได้ แต่แกทำไม่ได้สักอย่างน่ะสิ เป็นแต่ทฤษฎี"
"ยังไง?"
"อย่างวันก่อน แกบอกว่า จิตอยู่นิ่งๆ แต่กามราคะเป็นสิ่งมากระทบจิต ไม่ใช่จิตสักหน่อย แล้วทำไมเราต้องตกเป็นทาสของกามราคะด้วย มันทำยากรู้ไหม แกเองก็ยังทำไม่ได้ แกได้แต่รู้ธรรมะดิบๆ ไงล่ะ แค่แกถูกฉันแหย่เข้านิดหน่อย แกก็ยังออกอาการเต้นๆ ได้เลย ฮ่าๆๆๆ"
"อ้อ เหรอ"

แดดเช้าจึงมานั่งทบทวนดู
อะโห.... กิเลสเต็มโลกไปหมดเลย
กิเลสที่อยู่ในจิตของแดดเช้าเอง

รุ่งดูความอยากของตัวเองด้วยนะ
วันหนึ่ง แดดเช้าไปกราบหลวงปู่
ท่านบอกว่า
"รุ่ง ดูความอยากของตัวเองด้วยนะ"
แดดเช้าทำสมาธิ แผ่กระแสจิตไปทั่วโลก
ค้นหาอารมณ์ในจิตของตัวเอง

แดดเช้าเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็เจือไปด้วยความอยากไปซะหมดเลย
แดดเช้าอยากไปหมด
แดดเช้านั่งคงที่ได้นานมาก เพราะแดดเช้าเห็นความอยากของตัวเอง
ที่แดดเช้าจะพูด แดดเช้าอยากพูด
ที่แดดเช้าจะคิด แดดเช้าอยากคิด
แดดเช้าอยากขยับตัว แดดเช้าอยากบอก แดดเช้าอยากให้คนรู้ว่า แดดเช้าเห็นกิเลสของตัวเองด้วยนะ
แดดเช้าอยากสงบ
แดดเช้าอยากสิ้นทุกข์
โห... มีแต่ความอยากไปหมด

แดดเช้าจึงนั่งสงบลงได้
เมื่อเห็นความอยากแล้ว ทุกสิ่งก็หยุดนิ่ง
แดดเช้าไม่กล้าจะทำอะไรเลย
เพราะทุกสิ่งที่แดดเช้าทำ แม้เพียงกระดิกนิ้ว ก็เป็นความอยากไปหมด
มันสกปรกจนแทบจะอาเจียนออกมา
แต่ดับลงไม่ได้

แดดเช้าถามหลวงปู่ว่า
"หลวงปู่เจ้าคะ รุ่งเห็นกิเลสอยู่เต็มโลกไปหมด รู้สึกสะอิดสะเอียน มันสกปรก ดับมันยังไงดีเจ้าคะ"
"หาอุบายเอาเองสิ"

แดดเช้าจนใจจริงๆ ......
เพราะยัง โง่ หลง บ้า อยู่อย่างนี้นี่เอง

รุ่ง ดูทุกข์บ้างนะ
เมื่อวานนี้ แดดเช้าไปหาหลวงปู่อีกแล้ว
หลวงปู่บอกว่า
"รุ่ง ดูทุกข์ของตัวเองด้วยนะ"

แดดเช้าพยายามดู
แต่ดูเหมือนดูยากมาก
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเจือด้วยความอยาก
เมื่ออยากมาก ก็ทุกข์มาก
อยากน้อย ก็ทุกข์น้อย
และทุกข์มันซ่อนอยู่ลึกเสียเหลือเกิน

มีเด็กคนหนึ่งมาหาหลวงปู่
เป็นเด็กน่ารัก อายุ 5 ขวบ
หลวงปู่สอนเขาว่า
"รู้ไหม กินข้าวก็เป็นทุกข์ อาบน้ำก็เป็นทุกข์ ใส่เสื้อผ้าก็เป็นทุกข์ ต้องอึต้องฉี่ ก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ทุกอย่างเลย"
เด็กคนนั้น ฟังหลวงปู่ตาแป๋ว
ไม่คิดว่า เขาจะเข้าใจอะไรได้เลย

แล้วเขาก็บ่นบ่อยๆ ว่า อยากบวชจังเลย อยากบวชเหลือเกิน

พอกลับบ้านกับเด็กคนนี้
เขาก็บอกว่า
"ไม่อยากบวชแล้ว"
"ทำไมล่ะ"
"รำคาญ"
"รำคาญอะไร"
"รำคาญตัวเอง"
"ยังไง"
"ก้อ กินข้าวก็ลำบาก ใส่เสื้อผ้าก็ลำบาก ต้องอาบน้ำ ลำบาก ลำบากไปหมดทุกอย่างเลย หลวงปู่บอก"
แม่เขาจึงบอกว่า
"ถ้าลำบากอย่างนี้ ก็ต้องบวชนะลูก"
เขาก็ยิ้มๆ

เด็กตัวเล็กนิดเดียว ฟังหลวงปู่พูดนิดเดียว ยังเห็นทุกข์ได้
แต่แดดเช้าอายุราวๆ 30 ปีแล้ว ยังไม่รู้จักทุกข์สักที

ธรรมะของแดดเช้ามันดิบจริงๆ อย่างที่เพื่อนว่า

ศึกษามาจนหัวโต ก็ไม่เคยพบสภาวะธรรมจริงๆ สักที
อ่านหนังสือมาก็กองเบ่อเริ่ม
เล่าเรียนมาตั้งหลายหลักสูตร
พูดคุยกับคนมาตั้งเยอะแยะ
ฟังพระเทศน์มาตั้งนับไม่ถ้วน
ก็ยังไม่รู้จักสภาวะธรรม

เพราะ สภาวะธรรม เกิดจากการดู การเห็น
ไม่ใช่การอ่าน การคิด การฟัง การคำนวณ การคาดเดา
การดู การเห็น จะเกิดได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรม

ปฏิบัติธรรม ก็คือ การตั้งอยู่ในกรรมฐาน
คงที่ที่กายที่จิต
หยุดนึก หยุดคิด
หยุดปรุง หยุดฟุ้ง หยุดแต่ง หยุดเติม
ตั้งมั่นด้วยปัญญารู้ทั่ว

รู้ทั้ง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไกล ใกล้ ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด เลว ประณีต
รู้ทั้ง 11 อย่าง
สมาธิก็จะละเอียดลงๆ
กิเลสที่เราจะเห็นได้ ก็เห็นได้ประณีตขึ้น
เห็นทั้งกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด
กิเลสซ่อนเร้น
โดยเฉพาะเห็นตัวตนว่า เรายังหลงคิดว่า กิเลสเป็นตนของเรา
หวงกิเลสเสียเหลือเกิน

ณ วันนี้ จึงรู้ว่า ธรรมะของแดดเช้าดิบจริงๆ
แดดเช้าทบทวนแล้วทบทวนอีก
จริงอย่างที่เพื่อนพูดทุกอย่าง
"ธรรมะของแกมันดิบๆ"

แดดเช้าก็ยังทำได้ไม่ถึงไหนหรอก
กิเลสก็ยังเต็มเนื่องในจิตใจ

เห็นกิเลสของคนอื่น
เห็นกิเลสของตัวเอง
เอามาเทียบกัน
แล้วสำรวมระวังว่า เราจะเป็นอย่างเขาไหมหนอ
เราเป็นแบบเขา เราจะไม่ทำแบบเขา
เราก็เคยเป็นแบบเขา เราเข้าใจเขาว่า เขาคิดอะไร ต้องการอะไร
เราต้องการอะไร เราคิดอะไร
หมั่นดูให้ทัน สติที่ละเอียด จะดูกิเลสละเอียด และทันกับกิเลส
นิ่งพอที่จะทำให้กิเลสจางลงไปได้

แต่แดดเช้าก็ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง
ไม่ทันซะมากกว่า .......
ปุถุชนนี่แหละหนา หลงทุกข์ หลงกิเลสของตัวเองอย่างนี้

ทุกข์ควรกำหนดไว้
แดดเช้าหมั่นกำหนดทุกข์เสมอๆ
แต่ก็ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง

สติไม่คงที่ ก็ทำไม่ได้
สติคงที่ ก็ทำได้ดี
สำรวมระวัง นิ่งได้ดี ความคิดฟุ้งปรุงแต่งก็น้อยลง

เวลาคุยกับหลวงปู่
จะรับกระแสความนิ่งเบาของท่านได้
จนแดดเช้านิ่งตาม

แต่ความคิดของแดดเช้าเคลื่อนไปตลอดเวลา
ไม่นิ่งได้อย่างท่านเลย

แม้แต่ท่านจะพูด
ความคิดของท่านก็จะเงียบ
แดดเช้าไม่พูด
แต่ความคิดของแดดเช้าไม่เคยเงียบ

แดดเช้าจึงควรทำสมาธินิ่งคงที่
แล้วดูอารมณ์ของตัวเองไปพร้อมๆ กับสมาธิด้วย
เพื่อที่จะได้รู้จักอารมณ์ รู้จักกิเลส
และให้มันหลุดหายไปอย่างถอนรากถอนโคน

หลุดไปพร้อมกับ อุปาทาน ตัวที่ยึดมันไว้กับจิตของแดดเช้านั่นแหละ

แดดเช้านั่งเขียนธรรมะดิบๆ ให้ทุกท่านได้อ่าน
หวังใจว่า เป็นประโยชน์บ้างไม่มากไม่น้อย

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้บุญกุศลจากการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์ของข้าพเจ้านี้มอบแด่ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน เพื่อเป็นอานิสงส์ให้ทุกท่านได้รับบุญกุศลอันเกิดจากธรรมทานนี้ได้เข้าถึงสภาวะธรรมและถึงความสิ้นทุกข์ในเร็ววัน

ขอให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสัมฤทธิผลด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 01 เมษายน 2548    
Last Update : 1 เมษายน 2548 22:39:57 น.
Counter : 483 Pageviews.  

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต

ตถาคตอยู่ด้วยวิชชาและวิมุติ
หายไปหลายวัน ...
กำลังคิดอยู่ว่า จะเขียนบันทึกอะไรดี

วันก่อน ... หลวงปู่ท่านบอกแดดเช้าว่า แดดเช้ายังไม่รู้จัก "สติปัฏฐาน 4" เลย
แดดเช้ากลับมาใคร่ครวญดู .... จริงอย่างที่หลวงปู่กล่าว
เพราะเครื่องมือในการวัดการปฏิบัติมีอยู่ง่ายๆ ตรงๆ และสั้นๆ
ก็คือ กุณฑริยสูตร ที่แสดงไว้ว่า
อินทรียสังวร เป็นเหตุแห่ง สุจริต 3
สุจริต 3 เป็นเหตุแห่ง สติปัฏฐาน 4
สติปัฏฐาน 4 เป็นเหตุแห่ง โพชฌงค์ 7
โพชฌงค์ 7 เป็นเหตุแห่ง วิชชาและวิมุติ

สติปัฏฐาน 4 คืออะไร
หลวงปู่ท่านบอกลักษณะของ สติปัฏฐาน 4 ว่า เป็น "ความตั้งทั่วแห่งสติ"
ถ้าแปลให้เต็มความหมาย ก็จะต้องแปลว่า "ความมีสติกับสัมปชัญญะและอาตาปีตั้งทั่วอยู่ที่ 4 อย่าง" คือ ตั้งอยู่ที่กาย เวทนา จิต ธรรม

อาตาปี คืออะไร?
อาตาปี คือ อานุภาพของสติสัมปชัญญะที่หยุดนิ่ง คงที่ ตั้งอยู่ที่กายที่จิต
อาตาปี ถ้าแปลตามพยัญชนะก็แปลว่า "มีความร้อน" คือ ทำให้กิเลสเร่าร้อน แต่จิตกลับเย็นสบาย
พระอรรถกถาจารย์ ท่านแปลโดยความหมายว่า "ความเพียรเป็นเครื่องยังกิเลสให้ร้อน"

ความเพียรเป็นเครื่องยังกิเลสให้ร้อน มีอะไรบ้าง?
ก็คือ สัมมัปธาน 4 นั่นเอง
- เพียรปิดกั้นบาปที่ยังไม่เกิด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้น (สังวรปธาน)
- เพียรเพื่อให้บาปที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องเสื่อมไปดับไป (ปหานปธาน)
- เพียรเพื่อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้ได้เกิดขึ้น (ภาวนาปธาน)
- เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อไม่ให้เสื่อม (อนุรักขนาปธาน)

วันนี้ ... แดดเช้าเขียนบันทึกเข้มสักหน่อยนะคะ

เราจะเห็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรละคะ ... หลวงปู่
แดดเช้าถามหลวงปู่ว่า ถ้าเรากำหนดขึ้นไปดูพระพุทธองค์ข้างบนจะได้ไหม
หลวงปู่ท่านบอกว่า พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า แม้ตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มาร พรหม จะไม่มีผู้ใดได้เห็นร่างกายของตถาคตได้เลย มีเพียงพระธรรมพระวินัยและสาวกที่เป็นตัวแทนของตถาคต

พระพุทธเจ้าตรัสทุกคำเป็นความจริง!!!
ใครคัดค้านคำกล่าวของพระองค์ จะได้รับบาป

แดดเช้าจึงถามต่อไปว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระวักกลิว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต" นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน ใช่อย่างที่หนูเข้าใจไหมเจ้าคะว่า เราต้องปฏิบัติบูชาพระพุทธองค์จนสำเร็จมรรคผล ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันก่อน จึงได้ชื่อว่า เห็นพระพุทธองค์

ถ้าเราได้ดวงตาเห็นธรรม เราก็จะรู้เห็นว่า พระพุทธองค์เป็นอย่างไร มีจริยาอย่างไร มีวัตรปฏิบัติ เช่นไร ใช่ไหมเจ้าคะ
ท่านตอบว่า เออ

งั้น แดดเช้าขอปฏิบัติบูชาพระพุทธองค์ เพื่อที่ว่า วันหนึ่งจะได้ดวงตาเห็นธรรม และได้เห็นพระพุทธองค์อย่างแจ่มแจ้ง

พระโสดาบัน จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแจ่มชัดด้วยหัวจิตหัวใจและไม่มีวันเสื่อมคลาย

แดดเช้าถามหลวงปู่ว่า เราจะถึงมรรคผลได้ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจ 4 ใช่ไหมเจ้าคะ?
ท่านตอบว่า จะเห็นแจ้งอริยสัจได้ ต้องคงที่ได้ ต้องมีอินทรีย์ที่แข็งกล้า

ท่านเล่าให้ฟังบ่อยๆ ถึงพระโพธิระ ที่มีความหมายว่า ใบลานเปล่า
พระโพธิระ ศึกษาปริยัติมามากมาย เป็นผู้ทรงไตรปิฏกมาเนิ่นนาน มีความรู้มากมาย
วันหนึ่งเข้าไปพบพระพุทธองค์ พระองค์ตรัสเรียกว่า ใบลานเปล่า
"มาแล้วหรือ ใบลานเปล่า"
"ใบลานเปล่า นั่งหรือ"
"จะกลับแล้วหรือ ใบลานเปล่า"

คำเรียกขานนามว่า "ใบลานเปล่า" เป็นคำที่ทิ่มแทงจิตใจของท่านมาก
ท่านจึงดำริจะหาผู้ที่จะแนะนำธรรมกับท่านได้

พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านคิดว่า บุคคลผู้นี้มีมานะกล้า ถือตนว่า ศึกษามามาก คงจะบอกสอนยาก
ท่านจึงปฏิเสธที่จะเป็นที่พึ่งของพระโพธิระ

"ท่านช่วยเป็นที่พึ่งของกระผมได้ไหม"
"ไม่ได้หรอก เราไม่อาจเป็นที่พึ่งของท่านได้ เพราะเรารู้น้อย"
ไปทางไหนๆ ก็มีแต่ผู้ปฏิเสธ

จนกระทั่ง พบสามเณรผู้หนึ่งที่บรรลุพระอรหันต์แล้ว
ท่านอยู่ริมน้ำ พระโพธิระเผลอสติลงกราบสามเณร (พระธรรมวินัยห้ามพระภิกษุทำความเคารพสามเณร)
พระโพธิระบอกว่า ได้โปรดเป็นที่พึ่งให้กระผมด้วย
สามเณรบอกว่า ถ้าจะเป็นที่พึ่งของท่านได้ ท่านต้องทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง
พระโพธิระรับคำ

สามเณรบอกให้พระโพธิระเดินลงไปในน้ำ
พระโพธิระก็เดินลงไปเรื่อยๆ จนน้ำจะท่วมถึงเข่า
สามเณรก็บอกว่า หยุด หยุดก่อน ตอบคำถามเราก่อน
ถ้ามีจอมปลวกอยู่ที่หนึ่ง มีทางออก 6 รู และในนั้นมีสัตว์ชนิดหนึ่ง จะทำอย่างไรจึงจับสัตว์ชนิดนั้นได้
พระโพธิระตอบว่า ต้องปิดทวาร 5 ทวารนั้นเสีย แล้วดักจับสัตว์นั้นที่ทวารที่ 6

นั่นคือคำตอบว่า จะทำอย่างไรจึงจะสำเร็จวิชชาและวิมุติ ได้

พระโพธิระจึงไปทำความเพียร ปิดทวาร 5 ทวาร (อินทรีย์สังวร - ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
นั่นแหละ เป็นคำตอบสุดท้ายที่จะนำพาเราสิ้นทุกข์ได้

==== จะเห็นได้ว่า รู้ธรรมะจากการอ่านมากๆ ไม่ได้ทำให้เราสิ้นทุกข์ได้เลย
การปฏิบัติต่างหากที่ทำให้เราถึงการสิ้นทุกข์
และต้องปฏิบัติกรรมฐานให้ถูกอุบายด้วย

แดดเช้าเคยปรารถนาจะมีปัญญา แต่ไม่ปรารถนามรรคผล -- แต่พอสมาธิละเอียดขึ้น ปัญญาละเอียดถึง จึงรู้ว่า ตัวเองช่างเขลาเหลือเกิน
เมื่อแรกๆ แดดเช้ามาหาหลวงปู่ใหม่ๆ
แดดเช้าเคยไปฝึกสมาธิมาตั้งหลายวิธีแล้ว
แต่พอหลวงปู่ต้อนคำถามใส่แดดเช้า
แดดเช้ากลับตอบไม่ได้

ทั้งที่เป็นปัญหาธรรมะง่ายๆ ในชีวิตประจำวันแท้ๆ
ตื้นๆ แท้ๆ
แต่ก็ยังตอบไม่ได้

ก็เพราะ ..... ธรรมะ คือ ความจริง
ความจริง ไม่ใช่ สิ่งที่ท่องจำ หรือ นึกคิดเอาเองได้

แดดเช้าบอกหลวงปู่ว่า แดดเช้ายังไม่เอามรรคผลได้ไหมคะ ขอมีปัญญา (แดดเช้ายังบ้าปัญญา บ้าการใช้สมอง)
หลวงปู่ท่านตอบว่า ถึงมรรคผลขั้นโสดาบันแล้ว ก็จะมีปัญญามากขึ้น ตรวจสอบปัญญาที่เราได้เคยเรียนรู้มาได้อีกว่า ถูกหรือผิดเพียงใด

แดดเช้าก็ยังอยากได้ปัญญาอยู่ดี!!!

ปฏิบัติกรรมฐานไปนานๆ เข้า พบว่า ปัญญาละเอียดลงๆ และเห็นกิเลสละเอียดมากขึ้น
จากตอนที่กิเลสหนาๆ แดดเช้ายังหลงชื่นชมว่า ตัวเองดี และหลงไปกับกิเลสที่บางๆ เพราะมองไม่เห็นกิเลสตัวเอง

วันหนึ่ง ... มาทบทวนดู
จึงรู้ว่า ตัวเองเขลาเหลือเกิน เป็นปุถุชนที่หลงคิดว่า กิเลสเป็นของดี ทั้งที่กิเลสสกปรกจะตายไป หลงติดอยู่ในกิเลส และไหลไปกับอารมณ์

ตามกิเลสตัวเองไม่ทัน ......
หวงกิเลส รักกิเลส
ยึดกิเลสว่าเป็นเรา
กำหนดดูกิเลสไม่ทัน

มาวันนี้ ..... พอแดดเช้าเห็นกิเลสตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหยาบหรือละเอียด แดดเช้าก็เห็นตัวยึด และเห็นทุกข์ด้วย

อุปาทาน - ตัวยึด ยิ่งหนา ยิ่งทุกข์หนัก
หนามาก ยึดมาก ทุกข์มาก
แดดเช้าเห็นได้ชัดถึงขนาดนั้น

แต่ "สติปัฏฐาน 4" ของแดดเช้ายังไม่พอที่จะฟาดฟันกิเลสให้มันดับไป
ได้แต่กดข่มไว้ด้วยฌาน เห็นได้ และดับลงได้ ด้วยฌาน
ทำให้เบาบางลงได้ แต่ยังไม่ถอนรากถอนโคน

ถ้า "ถอนราก ถอนโคน" ได้ทั้งหมด
กิเลสก็จะดับไปทั้งยวง

ท่านบอกว่า แดดเช้าเห็นทุกขสัจแล้ว
แต่ยังไม่เห็นทุกขอริยสัจ
เพราะ "สติ" กับ "สมาธิ" ยังไม่มีกำลังพอ

อินทรีย์ ยังไม่กล้าพอ
ต้องสำรวมอินทรีย์ให้คงที่มากกว่านี้
สุจริต 3 (ศีล) จึงบริบูรณ์

ท่านบอกว่า ยังปฏิบัติไม่ถึงที่ เรียกว่า ยังไม่ถึงคราว
แดดเช้าเคยเข้าใจว่า ไม่ถึงคราว คือ บารมีไม่เต็ม แต่ความจริงก็คือ กำลังสมาธิ กับ กำลังสติ ยังไม่เต็มต่างหาก ต้องปฏิบัติต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ลดละความเพียร

โอมเพี้ยง .... ขอให้แดดเช้ามีกำลังเข้มแข็งในเร็ววันด้วยเถิด สาธุ

ถ้าสิ้นทุกข์ได้ เราก็จะพบพระพุทธเจ้าได้ว่า ท่านเคยตรัสแสดงพระธรรมเทศนาอย่างไรบ้าง
ถ้าเราเข้าถึงกระแสธรรม เราจะเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ในทุกๆ เรื่อง
โดยเฉพาะ อริยสัจ 4

อริยสัจ 4 เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราเห็นอริยสัจได้ เราก็ถึงมรรคผลได้ สิ้นทุกข์ได้
ไม่ต้องละกิเลสใดๆ เลย ถ้าเราเห็นอริยสัจได้ กิเลสก็จะละไปจากเราอย่างถอนรากถอนโคน

บันไดง่ายๆ ที่จะไปถึง วิชชา และ วิมุติ .....
วิชชา ก็คือ การรู้แจ้งอริยสัจ นั่นเอง

อินทรียสังวร เป็นเหตุแห่ง สุจริต 3
สุจริต 3 เป็นเหตุแห่ง สติปัฏฐาน 4
สติปัฏฐาน 4 เป็นเหตุแห่ง โพชฌงค์ 7
โพชฌงค์ 7 เป็นเหตุแห่ง วิชชาและวิมุติ

ทุกข์ควรกำหนดไว้
สมุทัยควรละ
นิโรธควรทำให้แจ้ง
มรรคควรทำให้เจริญ


ถ้าเราเห็นอริยสัจได้แล้ว .... กิเลส สังโยชน์ อาสวะ ก็จะหลุดไปจากเราเอง

วันนี้ .... แดดเช้าเขียนเรื่องลึกสักนิดนะคะ
ความจริงแล้ว ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากๆ อย่างที่แดดเช้าเขียนในวันนี้หรอก
ง่ายมากเลยทีเดียว ......

ธรรมะอยู่เต็มโลกไปหมด

ข้าพเจ้าขอปฏิบัติบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้อานิสงส์แห่งการบูชาด้วยการปฏิบัติกรรมฐานของข้าพเจ้านี้ จงบันดาลให้ทุกๆ ท่านได้พบความสุข ได้เห็นแจ้งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และดำเนินปฏิปทาไปถึงการสิ้นทุกข์ได้เร็ววัน สิ่งปรุงแต่งภายในจิตทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งดีและเลวใดๆ ขอให้ทุกท่านได้เห็นแจ้งสิ่งเหล่านั้นได้และคลายความยึดถืออันเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 07 มีนาคม 2548    
Last Update : 7 มีนาคม 2548 12:42:59 น.
Counter : 448 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.