น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 
กรรมฐาน กับ การดำรงสติ

สิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินรอยตามพระพุทธองค์
ถามใครสักคนว่า ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อเหตุอันใด?
บางคนตอบว่า เพื่อให้ใจสงบ
บางคนบอกว่า เพื่อได้อภิญญา
บางคนบอกว่า สบายใจ
บางคนบอกว่า ไม่รู้
บางคนตอบตรงจุดว่า เพื่อถึงพระนิพพาน หรือ เพื่อพ้นทุกข์ เพื่อถึงความสิ้นทุกข์ เพื่อมรรคผล

หลายต่อหลายคนจึงเดินหลงทาง ...
คิดว่า สมาธิทำให้ตนเก่ง เกิดการเพ่งสมาธิ ปฏิบัติจนฌานแข็ง และเกิดเป็นมิจฉาฌาน เกิดการ "ถือตน" ขึ้นมาอีกมากมาย

สำคัญว่า ตนเก่ง ตนสำเร็จแล้ว ใจฟูไปตามกำลังสมาธิของตน

หลงฌานว่า ฌานทำให้เกิดความสุขอย่างยิ่งที่สุด และฌานที่ตนได้คือการดับแล้วซึ่งกิเลส

หารู้ไม่ว่า ฌานของตนข่มกิเลสเอาไว้มิด จนไม่รู้จักกิเลสที่แท้จริงเลย

อย่างที่หลวงปู่เจือ สุภโร ท่านเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า พระที่ฌานเก่งๆ ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในป่า ไม่เห็นกิเลสตัวเอง สำคัญว่า ตัวเองสิ้นกิเลสแล้ว

แต่เมื่อออกจากป่า พบสิ่งกระทบจิตมากมาย จึงรู้ตัวว่า กิเลสซ่อนอยู่ในจิต แต่ไปเพ่งจิต จึงไม่พบกิเลสที่อยู่ในจิต จึงบำเพ็ญเพียรใหม่โดยการทำสมาธิยิ่งๆ ขึ้น แล้วทำให้กว้าง นิ่ง เบา เจริญสติสัมปชัญญะแนบที่กายที่จิต ชัดเพียงพอที่วิปัสสนาจะเกิดขึ้น โดยไม่ต้องนั่งคิดถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลย แต่สว่างพอที่จะพบความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ด้วยปัญญาของตนเอง แล้วเจริญต่อไปจนกระทั่งพบมูลเหตุหรือรากโคนแห่งกองทุกข์ อันเรียกว่า "อุปาทาน" คือ ความยึดมั่นในขันธ์ทั้ง 5 จนกระทั่งอุปาทานดับลงทีละขั้นๆ แล้วถึงที่สุดแห่งกองทุกข์อย่างแท้จริง

โลกธรรมใดๆ จึงกระทบท่านแล้วทำให้ท่านไหวสะเทือนไม่ได้

เมื่อเช้า ... ฉันได้คุยกับญาติธรรมท่านหนึ่ง เปรยให้ฉันฟังว่า
"สมาธิวิธีของหลวงปู่เจือท่านเป็นอุบายที่ดีเหลือเกิน ผมขุ่นเคืองใจ คับข้องใจ ไม่ชอบใจ หรือคิดฟุ้งซ่าน เมื่อแผ่กระแสจิตกว้างๆ นึกถึงท้องฟ้าสว่างๆ โปร่งๆ กว้างไกล อารมณ์ที่รบกวนเหล่านี้ดับหายไป นิวรณ์ดับไป ความขัดข้องทั้งหมดทั้งสิ้นก็หายไป ไม่เคร่งเครียด ไม่เคียดขึ้ง มีความสุขดีเหลือเกิน"

เขาได้ฌานระดับหนึ่งโดยที่เขาไม่รู้ว่าเป็นฌาน ฌานที่เกิดจากสมาธินิ่งแล้วจิตไปเพ่งโดยที่ไม่ตั้งใจ ฌานข่มกิเลสอันมัวหมองของจิตให้หายไป แล้วทำให้ชีวิตของเราปลอดโปร่งขึ้น

เมื่อก่อน ฉันเคยเหงา เศร้า ท้อแท้ หดหู่ อย่างบ่อยๆ เมื่อมาปฏิบัติกรรมฐานวิธีนี้ การปฏิบัติขั้นต้นก็คือ ท่านให้นึกท้องฟ้ากว้างไกลใหญ่ไพศาล สีขาวสว่างราวท้องฟ้ากลางวัน เรานั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้มิได้ไปอยู่ที่ท้องฟ้าตรงนั้นด้วย ลมหายใจไหลเข้าออกทั่วกาย กายโปร่งเบา จิตปลอดโปร่ง แล้วตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าฉันจะทำกิจใดๆ ฉันก็นึกถึงท้องฟ้าตลอดเวลา ความเคร่งเครียด คับข้องหมองใจ ความเหงา เศร้า ซึม ไขว่คว้าหาคนมาดูแล ไขว่คว้าหาที่พึ่งเหล่านั้นหายไปสิ้น ฉันได้รับเพียงความเบิกบาน สว่างแจ้ง ตื่นใจตลอดเวลา

นี่คือ การบริกรรม "พุทโธ" ทางลัดนั่นเอง ... พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ยิ่งเจริญสมาธิขั้นต่อๆ ไปครบทั้ง 8 ขั้นตอนด้วยแล้ว ฉันยิ่งพบความสุขยิ่งๆ ขึ้นตามลำดับฌาน ซึ่งฉันไม่เคยใส่ใจสักทีว่า ฉันดำรงอยู่ฌานใดแล้ว

ถ้าตั้งใจเพ่งมาก ฉันกลับปฏิบัติได้ยากขึ้น ไม่ค่อยสบาย เพราะไปกด เก็ก เกร็ง
ทุกสิ้งที่เกิดขึ้นจึงเป็นปกติธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของฉันไปแล้ว

สติ ... เป็นสิ่งสำคัญ
หลายคนปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้อภิญญา ลืมคำสอนของพระพุทธองค์ที่เคยสั่งนักสั่งหนาว่า จงดำรงความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

ทำอย่างไรจึงเรียกว่า ดำรงความไม่ประมาท?
ก็คือ การดำรงสติ

เมื่อได้อภิญญาแล้ว หลายคนหลงสติ มีการถอดจิตจากกาย ไม่รู้กายตน
เมื่อไม่รู้กายตนแล้ว ก็สำคัญว่า ตนไม่ยึดมั่นถือมั่นในกาย ทั้งที่ ตนยังถือกายอยู่โดยไม่รู้ เป็นการหลงยึดในความไม่ยึด

เมื่อสติไม่อยู่กับกาย เราจะรู้จักกายได้อย่างไร
ปัญญา คือ ความรู้รอบ ก็ไม่เกิดขึ้น
ปัญญา 11 อย่าง อันได้แก่ รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ภายใน ภายนอก
เรารู้ไม่รอบ เราก็ถึงความเป็น วิชชา ไม่ได้ รังแต่หมักหมมอวิชชาเข้ามาครอบงำจิต บังจิตบังใจ ไม่ให้เห็นทุกข์ ไม่ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ เราไม่เห็นอริยสัจ เราก็ไม่มีวันเข้าถึงความสุขอย่างเยี่ยมยอด ไม่ถึงการสิ้นทุกข์ได้

สติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
อินทรียสังวร จึงเป็นเหตุแห่งสติ ทำให้ศีลเราบริบูรณ์ ทำให้สมาธิของเรามั่นคง เป็นสัมมาสมาธิ
ทำให้เราถึงปัญญา และถึงวิชชาและวิมุตติ

ทำยังไงจึงถึงพร้อมซึ่ง "สติ"
ก็ต้องเจริญสติ (ตอบแบบกำปั้นทุบดิน)
เจริญสติโดยการรู้กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปยังไง ก็รู้อยู่เห็นอยู่ รู้อย่างทั่วพร้อม
การรู้กายตัวเอง มีเครื่องมือรู้กายคือการดูกายภายใน กายภายนอก ทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายให้ชัดเจน แล้วดูลมไหลผ่านทั่วกาย โดยใช้นิมิตลมขาวๆ เป็นเครื่องมือ หายใจเข้า ลมออกทุกรูขุมขน หายใจออก ลมเข้าทุกรูขุมขน

จากนั้น เราก็ขยายกายให้หลวมให้เบา โดยใช้นิมิตท้องฟ้าเป็นกสิน ดูนิมิตลมทั่วฟ้า แผ่นดิน ท้องฟ้าจรดดิน แผ่นดินกว้างเรียบสม่ำเสมอ แล้วสมาธิของเราก็จะเป็นสัมมาสมาธิ มีลักษณะนิ่ง เบา กว้าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ที่กายที่จิต สติปัฏฐาน 4 จึงเกิดขึ้นง่ายๆ อันจะเป็นบันไดไปสู่มรรคผลโดยเร็ว

เป็นวิธีง่ายๆ อุบายดีๆ ที่ทำให้เจริญ อานาปานสติ ได้ง่าย คล่องแคล่ว มากยิ่งขึ้น ข่ม "มานะ" คือ ความถือตนได้ดี ไม่ทำให้มานะฟูฟ่อง หรือแฟบลง

สติ เป็นองค์ประกอบสำคัญของทุกกิจการงาน ขอให้ทุกท่านแสวงหาวิธีเจริญสติโดยทั่วกัน เพื่อสนองคุณของพระบรมศาสดา กว่าที่พระองค์จะค้นพบเส้นทางสู่การสิ้นทุกข์ได้ ฝ่าฟันบำเพ็ญบารมีมายาวนาน แต่เราได้รู้จากพระองค์โดยง่ายดาย เราควรบูชาพระองค์โดยการปฏิบัติตามด้วยความเคารพ

ไม่ว่าท่านจะปฏิบัติกรรมฐานเพื่อผลอันใด ขอให้ท่านจงดำรงสติไว้ สติทำให้เราไม่วิปลาสผิดเพี้ยน ไม่เป็นบ้า

บางคน สติไม่แนบกับกาย กลายเป็นคนทรง ปล่อยให้จิตอื่นมาใช้กายโดยไม่รู้กาย เป็นอันตรายมากมายมหาศาล เราควรรักกายตัวเองและเรียนรู้กายตัวเอง มิควรที่จะปล่อยสติหลุดจากกาย แล้วเราจะเข้าใจว่ากายไม่ใช่ตนอย่างไร เราต้องรู้กายว่า เรายังเห็นว่ากายเป็นตนก่อน

ขอให้ทุกท่านถึงความสันติสุขในจิตใจโดยเร็ววันด้วยเทอญ.


Create Date : 20 ธันวาคม 2548
Last Update : 20 ธันวาคม 2548 19:11:41 น. 5 comments
Counter : 681 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะสบายดีนะคะ
เวลาไหว้พระ
ชอบขอว่าให้เรามีสติ
แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นค่ะ ^^



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 20 ธันวาคม 2548 เวลา:16:55:52 น.  

 
สาธุคับ


โดย: Mikas (Mikas ) วันที่: 20 ธันวาคม 2548 เวลา:18:57:26 น.  

 
สาธุ กับธรรมะค่ะ
สุขสันต์วันคริสต์มาสนะคะ


โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 20 ธันวาคม 2548 เวลา:20:18:51 น.  

 




มาเยี่ยมจ้ะ


โดย: Mr.Vop วันที่: 20 ธันวาคม 2548 เวลา:22:43:54 น.  

 
เหมือนกับว่า....
เป็นพรหมลิขิตให้ผมได้อ่านได้ฟังเรื่องนี้

ซ้ำแล้วซ้ำอีก


..ซักวันคงมีโอกาสได้เข้าไปทำความเข้าใจอย่างจริงจังครับ


โดย: freeek! IP: 58.8.67.53 วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:23:09:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.