Group Blog
 
All blogs
 
วิธีปฏิบัติ

ก่อนที่หลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์
หลวงพ่อก็นั่งสมาธิ
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ
ก็ได้แต่ความสงบ มันไปต่อไม่เป็น

ไปบวชอยู่กับหลวงพ่อปัญญา
ก็ได้คำว่าปฏิจจสมุปบาทมา
ไปถามใครๆ ก็ไม่มีใครตอบ
จะถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ไม่อยู่
คนนิมนต์ท่านทุกวันเลย
ก็ตั้งใจนะว่าจะต้องเรียน
ให้รู้จักปฏิจจสมุปบาทให้ได้
สึกมาก็ไปหาตำราเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท
ก็ได้คำอธิบาย
อวิชชา คือความไม่รู้อริยสัจ
แยกละเอียดก็ไม่รู้ ๘ อย่าง
ไม่รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล
ไม่รู้ความสำพันธ์ของเหตุของผล
ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท

อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร
สังขารก็มี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร
อาเนญชาภิสังขาร

สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ
เป็นปฏิสนธิวิญญาณ

วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป
คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

นามรูปเป็นปัจจัยของอายตนะ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

อายตนะเป็นปัจจัยของผัสสะ
ผัสสะก็มี ๖ อัน
กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

แล้วก็เกิดเวทนา
เวทนามี ๓ อัน สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนาทำให้เกิดตัณหา
ตัณหามี ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ไล่ๆๆไปเรื่อยๆ ถึงอุปาทาน ถึงภพ ถึงชาติ ถึงทุกข์
แต่ละอันๆ ก็แยกย่อย อย่างอุปาทานก็มี ๔

อ่านจนจบนะ อ่านแล้วอ่านอีก
ไม่เห็นความสัมพันธ์ความเชื่อมโยง
ระหว่างองค์ธรรมแต่ละตัวๆ
รู้สึก เอ้ ว่าเราจะภาวนายังไงน้อ!
ดูลงมา เท่าไหร่ๆ ก็คลำหาทางไม่เจอ
รู้แต่ตำราว่าอันนี้เป็นปัจจัยของอันนี้ๆ
แต่ละอย่างเป็นยังไงมีจำนวนเท่าไร
ก็คลำทางปฏิบัติจริงๆไม่ได้

ผ่านมาหลายปีนะจึงเจอหลวงปู่ดูลย์
ไปหาท่านไม่ได้ไปบอกท่าน
ว่าจะเรียนให้เข้าใจอริยสัจ
ปฏิจจสมุปบาทอะไรไม่ได้คิดถึงเลย
ไปถามท่านแค่ว่าผมอยากปฏิบัติ
ท่านก็พิจารณา ท่านก็สอนให้ไปดูจิตเอา

ตรงไปดูจิตเนี่ย
มันเหมือนเราได้กุญแจของการปฏิบัติ
อ่านพระไตรปิฎกก็เยอะแยะ อ่านตำหรับตำราก็เยอะ
แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน
ไปได้คำว่าจิตจากหลวงปู่ดูลย์ เริ่มที่จิตนั่นเอง
เริ่มที่จิต รู้อยู่ที่จิต เข้าใจความเป็นจริง ละลงที่จิต

ดูจิตไปๆ แล้วสิ่งที่เข้าใจขึ้นมาคืออริยสัจ
นึกถึงที่หลวงปู่สอนนะ
บอก จิตส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลที่จิตส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
ท่านสอนอย่างนี้

จิตที่ส่งออกนอกเป็นยังไง
เนี่ยค่อยๆภาวนานะแล้วจะเห็นเอง
เราจะเห็นเลยจิตเราเดี๋ยวก็ออกไปรับอารมณ์
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
แล้วมันก็ไปรับอารมณ์ทางใจ

พอจิตมันไปรับอารมณ์แล้วเนี่ย
สติ สมาธิ ปัญญาไม่ทัน
มันก็เกิดความอยาก เกิดความยึดถือ
เกิดความปรุงแต่ง
แล้วเกิดการหยิบฉวยตาหูจมูกลิ้นกายใจขึ้นมา
เอาไปใช้งาน แล้วความเป็นตัวตนมันก็เกิดขึ้น
ความทุกข์มันก็เกิดขึ้น

ค่อยๆสังเกต ค่อยๆเรียน
ค่อยๆรู้ไปเป็นลำดับๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูนะเราจะเห็นว่า
จิตเราออกไปรับอารมณ์ทั้งวัน
เดี๋ยวก็ดูรูป เดี๋ยวก็ฟังเสียง
เดี๋ยวก็ดมกลิ่น เดี๋ยวก็ลิ้มรส
เดี๋ยวก็รู้สัมผัสทางกาย
เดี๋ยวก็คิดนึกทางใจ
เดี๋ยวไปทำกรรมฐาน เดี๋ยวก็ไปเพ่งทางใจ
เนี่ยจิตมันออกรับอารมณ์ทั้งวัน

จะไม่ให้มันรับอารมณ์ได้มั้ย? ไม่ได้
หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกนะ
จิตมีธรรมชาติส่งออกนอก
มันต้องออกไปรู้อารมณ์
พอส่งออกนอกแล้วเราไม่มีสติ
จิตมันก็ปรุงแต่งไปตามอนุสัยกิเลสทั้งหลายของเรา
ก็สร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์ขึ้นมา

นี้เราเห็นนะว่าจิต
ทีแรกก็คิดว่าจิตมีดวงเดียวอยู่ตรงกลาง
ก็เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา เดี๋ยวก็วิ่งไปทางหู
วิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับๆ ทางโน้นทางนี้
หัดใหม่ๆมันก็เห็นอย่างนั้นนะ
ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ใช่
ตรงที่จิตมันวิ่งไปวิ่งมานะก็สงสัย
เอ้ เราควรเอาจิตไปไว้ที่ไหนดี
ไปกราบหลวงปู่ ถามหลวงปู่
หลวงปู่ครับจิตมันอยู่ที่ไหน
ตอนนั้นคิดว่าจิตมันอยู่กลางอก
ก็เห็นมันทำงานขึ้นมากลางอก
มันหมุนขึ้นมา กุศล อกุศล
อะไรมันก็ผุดจากกลางอกนี่เอง
เลยคิดว่าจิตมันอยู่กลางอก
วัฏฏะมันก็หมุนๆๆอยู่ตรงนี้

หลวงปู่บอกว่า จิตไม่มีที่ตั้ง
คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเก่าอีก
จิตไม่มีที่ตั้งนะ เราจะเอาจิตไปตั้งที่ไหน
ท่านบอกไม่มีที่ตั้ง
ก็เลยตามรู้ตามดูเรื่อยๆนะ
ตอนหลังก็เห็น
ที่จริงแล้วจิตมันเกิดที่ไหนมันก็ดับที่นั่น
จิตเกิดที่ตาก็ดับลงที่ตา
จิตเกิดที่หูก็ดับลงที่หู
จิตเกิดที่จมูกที่ลิ้นที่กาย
เกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น
จิตเกิดทางใจก็ดับลงที่ใจ

งั้นจริงๆแล้ว จิตนั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไปทั้งวันทั้งคืน
ระหว่างจิตดวงหนึ่งกับจิตอีกดวงหนึ่ง
มีช่องว่างเล็กๆ มาคั่นอยู่
มันทำให้เห็นว่าจิตไม่ได้มีดวงเดียวนะ
แต่มันเกิดดับๆ อย่างรวดเร็ว

ตรงที่เราเห็นว่ามันมีช่องว่างมาคั่น
มันทำให้เห็นว่าจิตดวงหนึ่งกับจิตอีกดวงหนึ่ง
มันคนละดวงกัน มีช่องว่างมาคั่นอยู่

เฝ้ารู้เฝ้าดูนะมันก็เข้าใจจิตมากขึ้นๆ
เราก็เห็นนะ จิตไปเกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เกิดที่ไหนดับที่นั้น
แต่เกิดแล้วบางทีสติไม่เกิด
สติไม่เกิด จิตหลง
ไปรู้รูปมันก็หลงรูป
แล้วก็ต่อด้วยหลงคิดเรื่องรูป
จิตไปเกิดทางหู ไปได้ยินเสียง
ก็หลงไปตามเสียง
แล้วก็หลงไปในความคิดเกี่ยวกับเสียงอันนั้น
เนี่ยมันมีความหลงซ้อนๆๆ ไปเรื่อยๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปนานๆนะ ก็ค่อยเข้าใจขึ้นมา

จิตออกรับอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ไม่เป็นไร เป็นธรรมชาติที่จิตจะต้องเป็นอย่างนั้น
จุดสำคัญคือความมีสติต่างหาก

ถ้าเราไม่มีสติ จิตส่งออกไปแล้วเราไม่มีสติ
มันจะปรุงความอยาก ปรุงความยึดขึ้นมา
แต่ถ้ามันส่งออกไปแล้วมันกระทบอารมณ์
แล้วเรามีสติรู้เท่าทันตัวเองอยู่
มีสมาธิ มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่
จิตมันก็จะไม่ไปหลงปรุงแต่ง
เห็นความคิดนึกปรุงแต่งเกิดขึ้น
แต่จิตไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความปรุงแต่ง
จิตถอดถอนตัวเองออกจากโลกของความปรุงแต่ง
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
แค่เป็นแค่ผู้เห็นก็เห็นรูปเกิดแล้วรูปก็ดับ
จิตที่ไปรู้รูปเกิดแล้วก็ดับ
เวลามีผัสสะการกระทบทางหู ได้ยินเสียง
แล้วก็เห็นเสียงเกิดแล้วก็ดับ
จิตที่ไปรู้เสียงเกิดแล้วก็ดับ

เพราะงั้นไม่ว่าอายตนะภายใน
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอก
คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
หรือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความรับรู้ทั้ง ๖ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็เกิดแล้วก็ดับ

ภาวนาไปเรื่อยๆนะก็เห็นนะ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
เกิดแล้วก็ดับ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดแล้วก็ดับ
วิญญาณคือจิตที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เกิดแล้วก็ดับ
ผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกิดแล้วก็ดับ
เวทนาที่เนื่องมาจากการกระทบ
เวทนาทั้งหลายทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก็เกิดแล้วก็ดับอีก

เนี่ยดูลงไปนะ
องค์ธรรมทั้งหลายมันค่อยแจ่มชัดขึ้นเป็นลำดับๆ
ทีแรกมันไม่ได้แตกละเอียดอย่างที่หลวงพ่อเล่านี้หรอก
เราก็เห็นแค่ว่า จิตเดี๋ยวมันก็รู้เดี๋ยวมันก็หลง
เดี๋ยวมันก็โกรธ เดี๋ยวมันก็ไม่โกรธ
เนี่ยเฝ้ารู้เฝ้าดูง่ายๆอย่างนี้แหละ
แล้วความรู้ถูกความเข้าใจถูกมันก็เกิดขึ้นเอง

_/|_ _/|_ _/|_

พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

แสดงธรรมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2565
.....
กราบคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูง
กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
.....


Create Date : 16 พฤษภาคม 2565
Last Update : 18 พฤษภาคม 2565 12:24:18 น. 0 comments
Counter : 252 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาฬิกาสีชมพู
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




Friends' blogs
[Add นาฬิกาสีชมพู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.