Welcome to my blog

4 วัน 3 คืน กระบี่ ท่องแดนธรรมชาติจากผืนป่าสู่ท้องทะเลงาม (ตอนที่ 1: วันแรกที่อ่าวนาง)


สถานที่ท่องเที่ยว :อ่าวนาง, กระบี่ Thailand
พิกัด GPS :
8° 1' 46.18


ช่วงปลายปีแบบนี้ หลายคนคงกำลังมองหาที่เที่ยวสำหรับพักผ่อนให้กับตัวเองอยู่ใช่ไหมครับ ผมเองก็คงเหมือนกับใครหลายคน ที่ต้องการหาที่เที่ยวพักผ่อน ชาร์ตแบตให้กับตัวเองสำหรับปีที่หนักๆอย่างปีนี้

สำหรับในรีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวยังจังหวัดหนึ่งที่เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของไทย ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความสวยงามของธรรมชาติ จนชาวต่างชาติ ทั้งฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ต่างพากันแห่มาเยือน ที่นั่นก็คือ จังหวัดกระบี่ ครับ


ถ้าพูดถึงกระบี่ หลายคนคงต้องนึกถึงทะเลสวยๆที่ เกาะพีพี แน่นอน แต่จริงๆแล้ว กระบี่ไม่ได้มีดีแค่นั้นครับ หลายคนคงยังไม่รู้ว่า ที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอื่นๆอีกมากมาย ตั้งแต่ป่าดงดิบที่มี สระมรกต ซุกซ่อนอยู่ ไปจนถึงท้องทะเลที่ไม่ได้มีดีแค่เกาะพีพีเท่านั้น แต่ยังมีเกาะอื่นๆอีกมากมายให้เราไปเที่ยวกัน
 

ทริปนี้ผมไปมาในช่วงวันหยุดยาว 10-13 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งปกติถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของกระบี่ แต่เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แทบไม่มีชาวต่างชาติมาเที่ยวเลย กระบี่จึงเงียบเหงาลงไปมาก แต่ถ้ามองในแง่ดี การไปเที่ยวในช่วงนี้ ก็ทำให้เรามองเห็นกระบี่ในมุมมองใหม่ๆ และที่สำคัญ ทะเลช่วงนี้ถือว่าสวยที่สุดในรอบหลายๆปีเลยทีเดียว (เท่าที่ถามคนท้องถิ่นมา เค้าบอกว่า ตั้งแต่เกิดมา ก็เพิ่งเคยเห็นทะเลสวยที่สุดก็ตอนนี้แหละครับ) นอกจากนี้ ช่วงนี้ของยังถูก ค่าครองชีพต่ำ แถมยังมีมาตรการต่างๆจากทางภาครัฐอย่าง เราเที่ยวด้วยกัน และ คนละครึ่ง ทำให้ทริปนี้ประหยัดลงไปเยอะเลย
 
รู้จักกับจังหวัดกระบี่

เป็นจังหวัดที่อยู่ทางภาคใต้ฝั่งอันดามันของไทย ถือเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของไทย ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากมาเยือนที่นี่

สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของกระบี่ก็คงหนีไม่พ้นหมู่เกาะต่างๆ ใน อุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองกระบี่ ซึ่งมีที่เที่ยวทางทะเลต่างๆมากมาย ได้แก่ เกาะพีพี อ่าวมาหยา เกาะปอดะ ทะเลแหวก อ่าวไร่เลย์ และ ถ้ำพระนาง นอกจากนี้ กระบี่ยังมีที่เที่ยวบนฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น สระมรกค และ น้ำตกร้อน ที่อยู่ในเขต อำเภอคลองท่อม ไปจนถึง วัดถ้ำเสือ ซึ่งมีจุดชมวิวที่สวยงามอีกด้วยครับ

 
 
ย่านท่องเที่ยวหลักของกระบี่อยู่ที่ อ่าวนาง ครับ ที่นี่จะมีที่พักหลากหลายเกรดตั้งแต่โฮสเทลราคาถูก ไปจนถึงรีสอร์ทหรูๆ และยังมีร้านอาหาร ร้านขายทัวร์ ร้านขายยา คลินิก ไปจนถึงมัสยิด ดังนั้น ถ้าใครจะมาเที่ยวกระบี่ ผมขอแนะนำให้มาพักในย่านนี้ เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับการเดินทางไปเที่ยวยังที่ต่างๆภายในจังหวัด
 
 
เที่ยวช่วงไหนดี

ภูมิอากาศของที่นี่จะคล้ายๆกับจังหวัดอื่นในภาคใต้ฝั่งอันดามัน กล่าวคือ ช่วงที่น่าเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงพฤษภาคม ส่วนช่วงอื่นของปีเป็นฤดูมรสุม ไม่น่าเที่ยวครับ

 
 
สำหรับทริปนี้ ผมเดินทางไปในช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งอากาศดีมาก แทบไม่เจอฝนเลย คลื่นลมค่อนข้างสงบ และที่สำคัญอากาศเย็นสบาย โดยเฉพาะวันที่เดินเที่ยวชมสระมรกตนี่ฟินมาก ส่วนข้อเสียของช่วงนี้คือ ปกติช่วงนี้จะเป็นช่วงไฮซีซั่น ค่าใช้จ่ายต่างๆจะค่อนข้างสูงซะหน่อย แต่ผมไปในปีที่มีโควิด เลยไม่กระทบเท่าไหร่ (อันนี้บอกไว้ เผื่อในอนาคตอีก 2-3 ปีข้างหน้า ใครมาอ่านบล็อกนี้จะได้รู้ไว้)

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • บินจากกรุงเทพไปยังกระบี่ ด้วยสายการบิน Thai Air Asia (FD7229)
  • เดินทางถึงสนามบินกระบี่ นั่งรถตู้จากสนามบินไปที่อ่าวนาง
  • เช็คอินเข้าที่พัก (อ่าวนาง ปรินซ์วิลล์ วิลล่า รีสอร์ท)
  • เดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวนาง
  • กินซีฟู้ดที่ร้าน Family Thai Food & Sea Food
วันที่สอง
  • เหมารถทั้งวันเที่ยวสระมรกต น้ำตกร้อน และวัดถ้ำเสือ
วันที่สาม
  • ซื้อทัวร์เที่ยว 4 เกาะ และทะเลแหวก
วันที่สี่
  • เช็คเอาท์ นั่งรถตู้ไปสนามบิน
  • เดินทางกลับกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Thai Air Asia (FD7211)
ที่พักที่จังหวัดกระบี่ (อ่าวนาง)

อย่างที่บอกไปในตอนแรกครับ ถ้าใครมากระบี่ ผมแนะนำให้มาพักที่อ่าวนาง เพราะถือเป็นศูนย์กลางสำหรับการท่องเที่ยวในจังหวัดนี้ สำหรับทริปนี้ ผมเลือกพักที่ อ่าวนาง ปรินซ์วิลล์ วิลลา รีสอร์ต แอนด์ สปา เป็นเวลา 3 คืน ราคารวมอยู่ที่ 4,212 บาท สำหรับ 2 คน โดยราคานี้หักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันเรียบร้อยแล้วครับ

ข้อดีของที่พักนี้คือ ทำเลดีมาก แทบจะติดหาดเลย (มีถนนคั่น) แถมพนักงานบริการดี ห้องใหญ่ สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาหารเช้าอร่อย ส่วนข้อเสียคือ ช่วงที่ผมไปพักมีบางส่วนของที่พักปิดซ่อม และมีการก่อสร้าง แต่ไม่ได้กระทบอะไรมากครับ เพราะเค้าทำช่วงกลางวันตอนที่เราออกไปเที่ยว

 

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้เป็นทริปสบายๆกะมาพักผ่อนครับ เราเลยไม่ได้ออกเดินทางแต่เช้ามาก เที่ยวบินก็เป็นเที่ยวบินบ่าย เพื่อให้มาถึงที่พักช่วงเย็นๆ

 

รอบนี้บินกับหางแดงเจ้าเก่าเหมือนเดิมครับ ช่วงนี้ใครขึ้นเครื่อง Air Asia แนะนำให้ลองสั่งขนมปังเบบี้นมสดนูเทลล่ากับชานมไข่มุกมาลองทานกันดู ถ้าซื้อ 2 อย่าง ราคาแค่ 150 บาทเท่านั้นเองครับ แล้วไฟลท์ของคุณจะฟินขิ้นเยอะเลย
 

บินแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงสนามบินกระบี่แล้วครับ
 
 

การเดินทางจากสนามบินกระบี่ไปยังอ่าวนาง

ทริปนี้ผมเลือกพักที่ อ่าวนาง ซึ่งเป็นย่านโรงแรม รีสอร์ทใกล้ชายหาดของกระบี่ ซึ่งการเดินทางจากสนามบินถือว่าสะดวกสบายมากครับ พอเดินออกมาให้หาบูธหน้าตาแบบนี้ แล้วเข้าไปติดต่อซื้อตั๋วราคา 150 บาทต่อคน จากนั้นพนักงานเค้าจะพาเราไปขึ้นรถตู้ส่งถึงโรงแรมที่เราพักเลยครับ

 
 
 
รู้จักกับอ่าวนาง 

อ่าวนาง / อ่าวพระนาง ถือเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของกระบี่ครับ ที่นี่มีที่พักหลากหลายเกรด ตั้งแต่โฮสเทลไปจนถึงโรงแรมห้าดาว นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านค้า บาร์ บริษัททัวร์ ไปจนถึงร้านขายยา และคลินิก ดังนั้น ถ้าใครมากระบี่ ผมขอแนะนำให้เลือกพักที่นี่ครับ

 





อนุสาวรีย์ปลากระทงแทง หนึ่งในสัญลักษณ์ของอ่าวนาง
 

ถ้ามองออกไปในทะเลไกลๆ เราจะมองเห็นเกาะแก่งต่างๆมากมาย ซึ่งมีตำนานท้องถิ่นเล่าต่อกันมาดังนี้ครับ

ตำนานอ่าวพระนาง

มีตำนานเล่าว่า มีหมู่บ้านใหญ่ 2 หมู่บ้านตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล หมู่บ้านแรก มีหัวหน้าชื่อ "ตายมดึง" ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่ง มีหัวหน้าชื่อ "ตาวาปราบ" ซึ่งมีลูกชายชื่อ "บุญ" โดยทั้งสองหมู่บ้านนี้เป็นอริต่อกันมาช้านาน

ยายรำพึง ภรรยาของตายมดึง นอยากจะได้ลูกสาวไว้เชยชมสักคนหนึ่ง จึงไปบนบานศาลกล่าวกับ พญานาค ผู้เป็นเจ้ารักษาท้องทะเล ให้ดลบันดาลให้ตนมีลูกสาว แต่กลับมีข้อแม้ว่า เมื่อนางเป็นสาวแล้วจะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของพญานาค ซึ่งมักแปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมาท่องเที่ยวอยู่เสมอ สองตายายก็รับสัญญา หลังจากนั้นไม่นานยายรำพึง ก็ท้อง และได้ลูกสาวสมใจ ให้ชื่อว่า "นาง"

เรื่องราวผ่านไปเมื่อ "นาง" โตเป็นสาว ก็เป็นที่หมายปองของ "บุญ" ซึ่งเป็นลูกชายของ "ตาวาปราบ" "บุญ" ได้ไปอ้อนวอนให้ "ตาวาปราบ" ไปขอคืนดีกับ "ตายมดึง" และขอให้ "นาง" ได้แต่งงานกับตน ด้วยความรักลูก "ตาวาปราบ" ยอมลดทิฐิไปสู่ขอ "นาง" ลูกสาว "ตายมดึง" ส่วนฝ่าย "ตายมดึง" ก็อยากจะให้ลูกสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา จึงยอมตกลงยกลูกสาวให้ โดยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับ พญานาค

เมื่อวันแต่งงานมาถึง ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จัดกระบวนขันหมากยาวเหยียดมาทางชายทะเล นำโดย "ตาวาปราบ" สะพายดาบไว้บนบ่าทั้งซ้าย ขวา เล่มหนึ่งใหญ่ เล่มหนึ่งเล็ก ในขณะที่งานกำลังดำเนินไปด้วยความสนุกสนานนั้น เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น พญานาคที่แปลงกายมาเป็นมนุษย์ ก็เข้าแย่งชิงเจ้าสาว เกิดวิวาทฆ่าฟันกันขึ้น ร้อนถึงพระฤาษีซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำออกมาห้ามปราม แต่ไม่มีใครเชื่อฟังพระฤาษีโกรธมาก จึงสาปให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นหิน ไม่ว่าจะเป็นผู้คน เครื่องใช้ บ้านเรือนก็กลายเป็นภูเขา เป็นถ้ำ เป็นเกาะแก่งในทะเลทั้งสิ้น เช่น บ้านเจ้าสาวกลายเป็นภูเขา เรือนหอกลายเป็นถ้ำ เรียกว่า ถ้ำพระนาง ข้าวเหนียวกวนที่นำมาเลี้ยงกันหกเรี่ยราดกลายเป็นเปลือกหอยทับถมในทะเลต่อมากลายเป็น สุสานหอย ฝ่ายพญานาคพยายามกระเสือกกระสนลงทะเลแต่ไปไม่ถึงกลายเป็นหินทางด้านเหนือชาวบ้านเรียกว่า หงอนนาค บริเวณที่พญานาคกลิ้งเกลือกกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า หนองทะเล

 

 
ในช่วงเย็นๆ กิจกรรมที่ห้ามพลาดคือ การมานั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวนาง สำหรับผม ที่นี่ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดจุดหนึ่งของไทยเลย
 

 

ประติมากรรมยายสา

ยายสาเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2561 โดยนายคามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินชาวไทยที่นำเสนอในงานศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ 

สำหรับตำนานของยายสา ที่นายคามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานต้องการสื่อ เป็นเรื่องราวของหญิงชราคนหนึ่งที่เป็นชาวจังหวัดกระบี่ วัย 89 ปี ที่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง โดยเธอเฝ้ารอคอยสามีที่ล่องเรือสู่ท้องทะเลด้วยความหวัง รอตั้งแต่เช้ายันเย็นยันค่ำ

ประติมากรรมยายสาตั้งอยู่ภายในกล่องขนาดใหญ่ด้านในมืดทึบ จัดวางถ้ำไว้ริมหน้าผา ด้านหน้าเป็นทะเลกว้าง โดยตัวหุ่นหันหน้าออกทะเล สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้อย่างพอดี

 

 
ร้าน Family Thai Food & Seafood

ในเมื่อมาทะเลทั้งที เราก็ต้องกินซีฟู้ดครับ ตอนแรกผมก็ไม่ได้กะจะมากินร้านนี้หรอก แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไป อ่าวนางเงียบเหงามาก ร้านอาหารต่างๆปิดไปเยอะ ร้านที่กะว่าจะไปกินตอนแรกก็ปิด พอเดินไปเรื่อยๆเลยมาเจอร้านนี้ครับ

ผมสั่งอาหารไป 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะพงทอดน้ำปลา, หมึกผัดไข่เค็ม, ใบเหลียงผัดไข่ และ ทอดมันกุ้ง และมีผลไม้แถมฟรีให้ด้วย อาหารทั้งหมดนี้อร่อยใช้ได้เลยครับ แถมราคาก็ถูก ทั้งหมดนี้ ผมจ่ายไปแค่ 375 บาทเท่านั้น (ราคานี้หักส่วนลดโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้ว ถ้าจ่ายเต็มคือ 625 บาทครับ)

 

โดยรวมผมชอบร้านนี้นะครับ พนักงานบริการดี  อาหารอร่อย ราคาถูก เลยเอามาบอกต่อ ใครมาอ่าวนางแนะนำให้มากิน แต่ร้านนี้จะไม่ติดถนนนะครับ ต้องเดินเข้าซอยไปนิดเดียว ใครสนใจจะไปทานให้ลองเปิด google map หรือลองทักไปสอบถามที่เพจได้ครับ https://www.facebook.com/FamilyAonang

ทานอาหารเย็นเสร็จ ผมก็เดินช็อปปิ้งแถวนั้นต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็เดินกลับที่พัก ทริปในวันแรกก็จบเพียงเท่านี้ครับ

บล็อกอื่นที่เกียวข้อง




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2563    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2566 22:59:00 น.
Counter : 7827 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน เบตง เที่ยวเมืองงามใต้สุดแดนสยาม (ตอนที่ 3)


สถานที่ท่องเที่ยว : สวนสาธารณะเทศบาลเมืองเบตง, ยะลา Thailand
พิกัด GPS : 5° 46' 8.52" N 101° 4' 16.14" E


วันที่สาม

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปเบตงครับ ก่อนที่จะเดินทางกลับหาดใหญ่ ผมขอเดินเที่ยวชมเมืองสวยๆแห่งนี้ให้จุใจซะก่อน และอย่างที่บอกไปในรีวิวตอนก่อนๆว่า เบตงเป็นเมืองแห่งพหุวัฒนธรรมครับ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆทั้ง ชาวจีน, ชาวมุสลิมมลายู และ ชาวไทยภาคใต้ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ที่นี่จึงมีศาสนสถานของแต่ละชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น วัดกวนอิม (ของชาวจีน), วัดพุทธาธิวาส (ของชาวไทยภาคใต้) และ มัสยิดกลางเบตง (ของชาวมุสลิมมลายู) ในตอนนี้ เราจะมาเที่ยวสถานที่เหล่านี้กันครับ

เช้าวันนี้ ผมตื่นนอน 6 โมงเช้า แต่ก่อนที่จะไปเที่ยว เราขอไปชิมติ่มซำชื่อดังของเมืองนี้ที่ชื่อว่า ไท่ซีอี๊ กันก่อน

1. ไท่ซีอี๊ ร้านติ่มซำชื่อดังของเมืองเบตง

เป็นร้านอาหารยอดนิยมของทั้งคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวมาเลย์ ถ้าใครมาเบตง ยังไงก็ควรจัดโปรแกรมไปชิมติ่มซำที่ร้านนี้ครับ

 

 

Tip: แนะนำให้มาก่อน 6.30 น. ไม่งั้นคนจะแน่นมาก

Comment: ติ่มซำร้านนี้อร่อยสมคำร่ำลือครับ ยิ่งกินกับน้ำชานี่เป็นอะไรที่โคตรฟินเลย แถมราคาก็ไม่แพง แม้ว่าจะเป็นร้านชื่อดัง โดยรวมแนะนำครับ

2. วัดกวนอิม

หลังจากเติมพลังในยามเช้าด้วยติ่มซำ ก็ได้เวลาเที่ยวครับ สถานที่แรกที่จะไปกันในวันนี้เป็นศาสนสถานของชาวจีนนั่นก็คือ วัดกวนอิม ครับ

 

วัดนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1966 ด้วยเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาทั้งชาวจีนในไทย และชาวจีนในประเทศมาเลเซีย ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าจีนหลายองค์ทั้ง เจ้าแม่กวนอิม, ท่านแป๊ะกง, ท่านกวงกง, เจ้าแม่จิวหวังเหย่, เทพเจ้ากวนอู,ท่านขงจื้อ เป็นต้น
 



ไฮไลท์สำคัญของวัดนี้ก็คือ เจดีย์เจ็ดชั้น กับ มังกรสีทอง ตัวนี้ครับ
 
 

ช่วงที่ผมไปวัดเงียบมาก แต่โดยปกติจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและมาเลเซียที่เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมาสักการะขอพร เป็นจำนวนมาก และส่วนมากจะขอพรด้านการมีบุตรและโชคลาภครับ

3. วัดพุทธาธิวาส

เป็นศาสนสถานของชาวไทยเชื้อสายภาคใต้ ก่อตั้งในปี พ.ศ.2460 ปัจจุบันมีอายุประมาณ 100 ปี วัดนี้เป็นที่เลื่อมใสของชาวพุทธทั้งในประเทศไทย และในประเทศมาเลเซีย โดยในแต่ละวันจะมีคณะทัวร์จากมาเลเซียและสิงคโปร์มาเที่ยวที่วัดนี้เป็นจำนวนมาก

ไฮไลท์ที่สำคัญของวัดนี้มี 2 อย่างคือ พระธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ ซึ่งเป็นเจดีย์ศิลปะแบบศรีวิชัย และ พระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

 





4. โรงเรียนจงฝามมูลนิธิ

ตั้งอยู่ข้างๆกับวัดพุทธาธิวาส จัดตั้งขึ้นโดยพ่อค้าประชาชนชาวอำเภอเบตง 

 

ปัจจุบันโรงเรียนได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิและอยู่ในความดูแลของมูลนิธิ อำเภอเบตง ดำเนินการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล, ประถม ไปจนถึงมัธยมศึกษา โดยจะสอนทั้งวิชาสามัญทั่วไป และภาษาจีนกลางด้วยครับ

5. มัสยิดกลางเบตง

ตั้งอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับสถานที่ทำการไปรณีย์เบตง ถนนสุขยางค์ 

เดิมมัสยิดกลางสร้างด้วยเสาไม้กลม 6 ต้น ใบจาก 6 ลายา (ตับ) ต่อมามัสยิดได้ทรุดโทรมลง ท่านอัจยี ดาเต๊ะ ซึ่งเชิญชวนชาวมุสลิมในเบตงและในภาคใต้ให้ช่วยกันบูรณะในปี พ.ศ.2497 โดยได้รับการสนับสนุนการก่อสร้างจากรัฐบาลในสมัยนั้น

6. พิพิธภัณฑ์เมืองเบตง

ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2548 เพื่อรวบรวมโบราณวัตถุและเครื่องใช้เก่าๆของเมืองเบตง อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ที่สำคัญของพิพิธภัณฑ์นี้กลับไม่ใช่ของที่จัดแสดง แต่เป็นวิวมุมสูงของเมืองเบตง ซึ่งเราสามารถชมได้จากชั้น 3 ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ


Note: พิพิธภัณฑ์นี้จะเปิดปิดตามเวลาราชการ แต่เนื่องจากไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ที่นี่จึงดูเงียบเหงามาก แต่จริงๆเปิดอยู่นะครับ

7. เจริญ ข้าวมันไก่เบตง

หลังจากเดินเที่ยวเหนื่อยๆ เราก็ต้องเติมพลังก่อนกลับหาดใหญ่ ในเมื่อมาเบตง ถ้าไม่ได้กิน ไก่เบตง ก็ยังไงอยู่ ผมจึงขอแนะนำร้านข้าวมันไก่อันดับหนึ่งของเมืองนี้ครับ

ความดีงามของข้าวมันไก่ร้านนี้ก็คือ เนื้อไก่พันธุ์เฉพาะที่นำเข้ามาจากมณฑลกวางตุ้งของประเทศจีน (รสชาติจึงคล้ายๆกับข้าวมันไก่ที่ฮ่องกงครับ)

การเดินทางท่องเที่ยวในทริปเบตง เมืองใต้สุดแดนสยามก็จบลงที่ร้านข้าวมันไก่แห่งนี้ครับ หลังจากนั้นผมก็นั่งรถตู้ของ เบตง โพธิ์ทองทัวร์ กลับไปที่หาดใหญ่ (จองที่นั่งไว้ล่วงหน้าเมื่อวานที่เคาน์เตอร์หน้าร้านต้าเหยิน)

จากนั้นเราก็ขึ้นเครื่องบินของนกแอร์ บินกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ และประทับใจครับ

บทสรุป

สำหรับภาพรวมที่เมืองนี้ ก็ถือเป็นอีกเมืองในประเทศไทยที่ผมค่อนข้างชอบ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของเมืองนี้กลับไม่ใช่ตัวสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นอัธยาศัยไมตรีของผู้คนในเบตง ไม่ว่าจะเป็นคุณอาฟก เจ้าของโฮสเทล, บังมะ คนขับรถและไกด์ของเรา, ผู้ร่วมทริป และคนท้องถิ่นที่พบเจอ ทุกคนล้วนแล้วต้อนรับผู้มาเยือนเป็นอย่างดีแบบที่หาได้ยากในเมืองอื่นๆของประเทศไทยครับ

อ่านถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคงเริ่มสนใจในเมืองนี้แล้วล่ะ แต่บางคนอาจจะยังกลัวในเรื่องความปลอดภัย ผมจึงขอให้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้อันตรายทุกที่ เบตงถือเป็นพื้นที่ๆปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกได้ปลอดภัยแทบจะพอๆกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆในประเทศไทย และในรอบ 5 ปีมานี้ ก็ยังไม่มีการก่อเหตุรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตในเมืองนี้เลยแม้แต่คนเดียว จึงถือว่าเบตงเป็นเมืองที่เที่ยวได้แทบจะปกติ 100% ถ้าใครอยากไป ก็สามารถไปได้ครับ ไม่มีอะไรต้องกังวล แค่ปฏิบัติตัวเหมือนไปเที่ยวที่อื่นๆของไทย

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2562    
Last Update : 23 เมษายน 2567 22:39:47 น.
Counter : 7988 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน เบตง เที่ยวเมืองงามใต้สุดแดนสยาม (ตอนที่ 2)


สถานที่ท่องเที่ยว : ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง, ยะลา Thailand
พิกัด GPS : 5° 58' 41.85" N 101° 10' 53.34" E
 
วันที่สอง

นอกจากที่เที่ยวในเมืองเบตงที่ผมได้รีวิวไปในตอนแรกแล้ว เบตงยังมีที่เที่ยวทางธรรมชาติสวยๆอีกมากมายครับ แต่ปัญหาก็คือ ที่เที่ยวทางธรรมชาติส่วนใหญ่อยู่นอกเมืองออกไปประมาณ 30-40 กิโลเมตร นั่นหมายความว่า ถ้าไม่มีรถส่วนตัว ก็คงไปไหนลำบาก หรือถ้าจะเช่ามอเตอร์ไซค์ก็คงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะขับไปในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (โดยเฉพาะในช่วงเช้ามืด)

ข้อดีอย่างหนึ่งของที่พักของผม (Foto Hostel) คือ ที่นี่มีบริการจัดทัวร์เที่ยวนอกเมืองเบตงแบบจอยทริป โดยเราจะจอยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่พักอยู่ด้วยกัน ซึ่งราคาก็จะแปรผันตามจำนวนคนที่มาจอยกับเรา อย่างทริปนี้มีคนมาจอยกับผม 5 คน พอหารออกมาก็จะตกคนละ 500 บาทเท่านั้นเองครับ (ถ้าเหมาเอง โปรแกรมประมาณนี้ เค้าจะคิดราคาอยู่ที่ 2,500 บาทต่อรถ 1 คัน)

 

สำหรับโปรแกรมในวันนี้ ตอนเช้าผมจะตื่นนอนตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพื่อนั่งรถออกไปชม ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ครับ (ช่วงที่นั่งรถออกไปชมทะเลหมอก แอบกลัวเหมือนกัน เพราะทางมืดมาก ไม่มีรถ แถมเราอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซะด้วย)

Tip: ช่วงที่นั่งรถไปชมทะเลหมอก ผมแนะนำให้หาผ้าปิดจมูกไปด้วย เนื่องจากว่าตลอดทางเราจะได้กลิ่นของ ขี้ยาง ซึ่งมีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นขี้หมู ให้ชวนวิงเวียนคลื่นไส้ไปตลอดทาง

 

1. ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง

ตั้งอยู่ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ในเขตพื้นที่ของ เขาไมโครเวฟ ห่างจากตัวอำเภอเบตงออกไปประมาณ 38 กิโลเมตร ด้วยความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,038 ฟุต ทำให้ที่นี่จึงมีอากาศเย็นและมีหมอกให้เราชมตลอดทั้งปี

 

ปัจจุบัน จุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวงได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอเบตง มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่จำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย) ส่วนช่วงเวลาในการเดินทางขึ้นไปชมทะเลหมอกนั้น ควรเดินทางขึ้นไปตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะถ้าไปถึงสายเกินไป (หลัง 9 โมงเช้า) ทะเลหมอกก็จะค่อย ๆ จางหายไป เหลือไว้แต่เพียงผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่

จุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวงมีอยู่ด้วยกัน 2 จุดครับ จุดแรกจะเป็นจุดสูงสุดที่ความสูง 2,038 ฟุต ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมาที่จุดนี้ก่อนเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น

 
 


ปัจจุบัน ที่จุดชมทะเลหมอกจุดแรก กำลังมีการก่อสร้าง skywalk อยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2563 ถ้าใครมาช่วงนั้น น่าจะมีมุมสวยๆให้เราชมทะลหมอกสวยๆมากขึ้น ว่ากันว่าจะได้เห็นทะเลหมอกแบบ 360 องศาเลยครับ

Tips:

1. สำหรับการขึ้นมาชมทะเลหมอกจุดชมวิวที่ 1 ไม่สามารถนำรถขึ้นมาได้ ต้องจอดรถไว้บริเวณจุดจอดรถแล้วเดินขึ้นมาประมาณ 500 เมตร หรือจะใช้บริการรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างบริเวณจุดจอดรถราคาคนละ 20 บาทก็ได้ (ถ้าใครแข็งแรง ผมว่าเดินได้สบายครับ ทางชันนิดหน่อย แต่ไม่ไกลมาก) 

2. ตรงลานจอดรถจะมีห้องน้ำ ควรจะเข้าตรงนี้ให้เรียบร้อย เพราะตรงจุดชมทะเลหมอก ไม่มีห้องน้ำครับ

กลุ่มของผมลงจากจุดที่หนึ่งตอน 6.30 น. จากนั้นก็ไปชมทะเลหมอกที่จุดที่สองต่อ

 

ตรงจุดที่สองจะมีร้านอาหาร และป้ายต่างๆ ให้เราเช็คอินว่าเราได้มาชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงแล้วครับ
 
 

จากจุดนี้มองออกไปเราจะเห็น ยอดเขาฆูนุงซีลีปัต (ที่เห็นเป็นยอดแหลมไกลๆ) ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกอีกจุดที่เค้าว่าสวยกว่า แต่ทางโหดกว่ามาก
 

ผมเชื่อว่า หลายคนคงไม่คิดว่า ภาคใต้มีทะเลหมอกที่สวยแบบนี้ แต่ทะเลหมอกที่นี่ ผมว่าจะบรรยากาศจะต่างจากทะเลหมอกในภาคเหนือ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง ต้องลองมาชมด้วยตาตัวเองนะครับ

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จและชมทะเลหมอกเสร็จ ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อครับ สถานที่ต่อไปที่ผมไปชมก็คือ น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9

2. น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9


น้ำตกนี้เดิมมีชื่อว่า น้ำตกอัยเยอร์เค็ม เพราะเรียกตามชื่อชาวจีนที่เข้ามาทำเหมืองกับฝรั่งในยุคที่มาเลเซียยังเป็นอาณานิคมอังกฤษ ที่มีชื่อว่า นายเข่ง และชาวบ้านเรียก "ไอเข่ง" และต่อมาจึงเพี้ยนเป็น "อัยเยอร์เค็ม" นั่นเอง

ต่อมาในปีมหามงคลครบรอบ 72 พรรษาในปี พ.ศ. 2542 ทาง อบต.อัยเยอร์เวง จึงได้เข้ามาพัฒนาบุกเบิกเส้นทาง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และได้เปลี่ยนชื่อเป็น น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

3. สะพานแตปูซู

ตั้งอยู่ใกล้ๆกับน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เป็นสะพานไม้ที่ชาวบ้านใช้ในการสัญจรข้ามแม่น้ำปัตตานี เพื่อขนส่งสินค้าเกษตร

ที่มาของชื่อมาจาก นายมูเซ็ง แตปูซู ซึ่งเป็นกำนันในหมู่บ้านนี้ และเป็นผู้ที่บุกเบิกการสร้างสะพานแห่งนี้ครับ

 

เห็นพี่คนนี้ตอนแรก ยอมรับว่า แอบตกใจนิดหน่อย (เพราะเรามาแถว 3 จังหวัดชายแดนใต้ซะด้วย) แต่จริงๆเค้ากำลังยิงปลาจากบนสะพาน เป็นวิถีชีวิตของพวกเค้าและคนในชุมชนแถวนี้ครับ
 

4. เฉาก๊วย กม.4

หลังจากเที่ยวน้ำตกและสะพานแตปูซู พวกเราก็เดินทางย้อนกลับเข้าตัวอำเภอเบตงอีกครั้งเพื่อไปชมสวนดอกไม้เมืองหนาว อุโมงค์ปิยะมิตร และบ่อน้ำร้อนเบตงครับ แต่ก่อนจะถึงสถานที่เที่ยว พวกเราก็ขอแวะกินเฉาก๊วยชื่อดังของเบตงซะก่อน

เฉาก๊วยชื่อดังของเบตงฉบับออริจินัล ต้องเป็นร้านบ้านไม้แบบนี้เท่านั้นครับ (ถ้าใครขับรถมาเอง ต้องโทรจองก่อนนะ ไม่งั้นอดกิน)

 



 
5. สวนดอกไม้เมืองหนาว

ถัดจากเฉาก๊วย เราก็ไปเที่ยวสวนดอกไม้เมืองหนาวกันต่อครับ อย่างที่กล่าวไปในตอนแรกแล้วว่า แม้เบตงจะอยู่ภาคใต้ แต่อากาศที่เบตงกลับเย็นสบายตลอดทั้งปี (เฉพาะในตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายร้อนตับแล่บ) ที่นี่จึงสามารถปลูกดอกไม้เมืองหนาวได้ และเป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวแห่งเดียวในภาคใต้

 

สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตงเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของกรมสมเด็จพระเทพฯ และทรงพระราชทานนามให้สวนดอกไม้นี้เป็นภาษาจีนว่า ฮัวหยวน หรือ สวนหมื่นบุปผา

สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 35 ไร่ ความสูงประมาณ 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ย 18 องศาเซลเซียส และมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเยี่ยมชมโครงการ

 



 

ค่าเข้าชม: 30 บาท

Comment: ก่อนเข้าชม พี่บังมะ คนขับรถของเราแนะนำว่า ถ้าใครเคยไปชมสวนดอกไม้เมืองหนาวที่อื่น เช่น ดอยอินทนนท์มาแล้ว ไม่ต้องค่าชมหรอก ไม่คุ้มค่าตั๋ว เดี๋ยวจะผิดหวัง ปรากฏว่า ผมไม่เชื่อ เลยเสียตังค์เข้าชมไป พอชมเสร็จ ผมว่าพี่บังมะแกพูดถูกครับ (งั้นๆมาก อากาศร้อนด้วย ไม่เหมือนมาเที่ยวสวนดอกไม้เมืองหนาวเลย)

6. อุโมงค์ปิยะมิตร

เนื่องจากในอดีต เบตงเป็นหนึ่งในพื้นที่ปฏิบัติการของ โจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ซึ่งทำการต่อสู้กับรัฐบาลมาเลเซีย อุโมงค์นี้จึงถูกขุดขึ้นเพื่อเป็นฐานทัพลับในการสั่งการ และหลบเลี่ยงการโจมตีจากทางอากาศ รวมทั้งใช้ในการสะสมเสบียง 

ภายในจะมีสถานีวิทยุของ จคม. ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง มีซอกมีมุมให้เลี้ยวลัดเลาะ ด้านบนเป็นป่ารกมีต้นไม้ใหญ่มากมายปกคลุม ทำให้ยากแก่การค้นหาและถูกค้นพบโดยทหารฝ่ายรัฐบาล




 

จนเมื่อจคม.ในประเทศไทยยอมวางอาวุธและเปลี่ยนสถานะเป็น ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่นี่จึงถูกปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวิถีชีวิตในอดีตของโจรจีนคอมมิวนิสต์ (เราจะได้พบกับคุณลุงคุณป้าที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เก่าด้วยนะ ใครไปเที่ยว ลองถามข้อมูลพวกท่านดูได้ คุยสนุกมาก)


 

ที่นี่ยังมีไฮไลท์ที่สำคัญอีกอย่างคือ ต้นไม้ขนาดยักษ์ สิบคนโอบ ที่เรียกกันว่า ต้นไม้พันปี ครับ

ค่าเข้าชม: 40 บาท

Comment: ที่นี่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมครับ น่าเสียดายว่า คนไทยมาเที่ยวที่นี่น้อยเหลือเกิน คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่มีแต่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน อย่างไรก็ตาม จากทางเข้าไปถึงตัวอุโมงค์ถือว่าค่อนข้างไกลพอสมควร และเป็นทางขึ้นเขา ใครที่อายุมากหน่อย หรือข้อเข่าไม่ค่อยดี อาจจะต้องใช้เวลาเดินเที่ยวนานซะหน่อยนะครับ

7. บ่อน้ำร้อนเบตง

เนื่องจากพื้นที่ของอำเภอเบตงเป็นภูเขา และตั้งอยู่บนรอยเลื่อน ที่นี่จึงมีบ่อน้ำพุร้อนครับ

บ่อน้ำร้อนเบตง ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจะเราะปะไร ตำบลตาเนาะแมเราะ จังหวัดยะลา เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ โดยจะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมาย

ที่นี่มีทั้งบ่อสำหรับต้มไข่ (แนะนำให้ต้มไข่เป็นเวลา 13 นาที ไข่จะสุกพอดีและอร่อยที่สุดครับ), บ่อสำหรับแช่เท้า และบ่อสำหรับอาบน้ำ โดยเชื่อกันว่าน้ำแร่แห่งนี้ สามารถบรรเทารักษาโรคภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิ โรคปวดเมื่อย โรคเหน็บชา โรคผิวหนัง เป็นต้น

8. ป้ายใต้สุดสยาม

หลังจากเที่ยวชมบ่อน้ำพุร้อน พวกเราก็นั่งรถกลับเข้าตัวเมืองไปทานอาหารเที่ยง จากนั้นก็ไปเที่ยวปิดท้ายที่ด่านชายแดนเบตงครับ

เบตงเป็นอำเภอที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศไทย ฝั่งตรงข้ามเป็นรัฐเปรักของประเทศมาเลเซีย โดยมี ด่านเบตง เป็นด่านสำหรับการผ่านเข้าออกสำหรับประชาชนของทั้งสองประเทศ

ไฮไลท์ของด่านที่นี่ก็คงเป็นป้ายนี้ครับ เป็นป้ายที่บอกว่า ณ ตอนนี้เราอยู่ใต้สุดของประเทศไทยแล้ว

นอกจากป้ายนี้ ที่นี่ยังมีหลักเขตเก่าระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย (สมัยนั้นยังใช้ชื่อประเทศว่า สหภาพมาลายา)

หลังจากเที่ยวที่ป้ายใต้สุดสยามแล้ว ก็ได้เวลากลับเข้าเมือง และปิดทริปตอนบ่ายสามโมงเย็นครับ สำหรับภาพรวมของทัวร์วันนี้ ถือว่าประทับใจครับ พี่บังมะ คนขับรถของเราที่ทางที่พักดีลให้ ถือว่าบริการได้ดีมาก คุยสนุก และถ่ายรูปให้พวกเราสวยมาก ถ้าใครมาเบตง ผมแนะนำคนขับรถคนนี้เลยครับ

ใครสนใจใช้บริการของพี่บังมะด้วยโปรแกรมประมาณนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เพจนี้เลยครับ  https://www.facebook.com/bangmah698/ หรือถ้าใครพักที่โฟโต้โฮสเทลอยู่แล้ว สามารถให้ทางที่พักจัดแชร์ทริปได้แบบผมก็ได้ครับ

สำหรับรีวิวในตอนนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ ในตอนหน้า ผมจะมารีวิวการเที่ยวเบตงในวันสุดท้าย เรื่องราวจะเป็นยังไง ฝากติดตามด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2562    
Last Update : 23 เมษายน 2567 22:39:25 น.
Counter : 11767 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน เบตง เที่ยวเมืองงามใต้สุดแดนสยาม (ตอนที่ 1)


สถานที่ท่องเที่ยว : สตรีทอาร์ตที่เบตง, ยะลา Thailand
พิกัด GPS : 5° 46' 19.26" N 101° 4' 17.50" E

ก่อนอื่นเลย ผมอยากให้ผู้อ่านลองดูรูปนี้ครับ ผมมั่นใจว่า ถ้าใครไม่ได้อ่านหัวข้อว่า วันนี้ผมจะมารีวิวที่ไหน หลายๆคนอาจจะคิดว่า ผมคงจะพาไปเที่ยวชมทะเลหมอกที่ไหนสักแห่งในภาคเหนือตอนหน้าหนาว แต่จริงๆแล้ว ทะเลหมอกสวยๆแบบนี้ อยู่ที่ภาคใต้ครับ และที่สำคัญก็คือ ทะเลหมอกแห่งนี้อยู่ในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซะด้วย

 

เมื่อพูดถึงคำว่า “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” หลายๆคนอาจจะนึกไปถึงความรุนแรงต่างๆตามที่เห็นในสื่อทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่ในรีวิวนี้ ผมจะพาไปชมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอีกแง่มุมหนึ่ง ณ อำเภอที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งที่นั่นมีทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สวยงาม รวมทั้ง อาหารที่อร่อย และผู้คนที่เป็นมิตร อำเภอนั้นมีชื่อว่า เบตง ครับ

ทริปนี้ ผมไปมาเมื่อวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ในสไตล์แบ็คแพ็ค โดยแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากไปเบตง มาจากคลิปรีวิวของบล็อกเกอร์ชื่อดัง 2 คน คือ น้องปั้น The Walking Backpack และ หมอเปียง Traveller x Doctor ผมจึงขอเอาคลิปของทั้งคู่มาแปะในที่นี้ ลองดูคลิปนะครับ รับรองว่า ถ้าคุณดูคลิปจบและอ่านรีวิวของผมครบทุกตอน คุณจะอยากไปที่นี่แน่นอนครับ

 


 
รู้จักกับเบตง

เบตง เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ในจังหวัดยะลา ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศไทย อยูู่ห่างจากตัวเมืองยะลาประมาณ 140 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 1,220 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นหัวหอกยื่นเข้าไปในประเทศมาเลเซียตาม แนวเทือกเขาสันกาลาคีรี

ภูมิประเทศของอำเภอเบตงส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงจึงทำให้เบตงมีอากาศดี และมีหมอกตลอดทั้งปี จึงมีคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”


คำว่า เบตง มาจากภาษามลายูว่า "Buluh Betong" หมายถึง ไผ่ตง ซึ่งเป็นพืชที่มีอยู่มากที่นี่ ทำให้ต้นไผ่ตงกลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอำเภอเบตง

ความน่าสนใจของอำเภอเบตงที่ทำให้ที่นี่มีเอกลักษณ์นั่นก็คือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ครับ กล่าวคือ ที่นี่มีการผสมผสานของคนถึง 3 เชื้อชาติ ได้แก่ ชาวไทยเชื้อสายจีน, ชาวไทยเชื้อสายภาคใต้ และชาวไทยเชื้อสายมลายู ดังนั้น เราจึงเห็นศาสนสถานต่างๆ ทั้งวัดไทย, วัดจีน, มัสยิด รวมทั้งโบสถ์คริสต์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่นี่จะมีประชากรหลากหลายกลุ่ม และนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน แต่เบตงกลับไม่มีความขัดแย้งทางศาสนาใดๆ ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข และกลมกลืน

 



ในอดีต เบตงยังเป็นสถานที่ๆ พรรคคอมมิวนิสต์มลายา (หรือที่คนไทยมักจะเรียกกันว่า โจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา) ใช้เคลื่อนไหวในการต่อสู้กับรัฐบาลมาเลเซียในช่วงปี 2491 จนถึง 2523 ต่อมารัฐบาลสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ได้ออก คำสั่งที่ 66/23 สมาชิกของกลุ่มนี้จึงวางอาวุธ เปลี่ยนสถานะกลายเป็น ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และได้ลงหลักปักฐานที่อำเภอเบตงแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ยังคงมีให้เห็น ได้แก่ อุโมงค์ปิยะมิตร ที่ผมจะพาไปเที่ยวในตอนถัดไปครับ
 

ประชากรในเบตงสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ ชาวไทยเชื้อสายภาคใต้, ชาวไทยเชื้อสายจีน และ ชาวไทยเชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่เบตงกลับไม่มีความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติหรือศาสนาใดๆ ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข จนกลายเป็นเสน่ห์ของที่นี่ และที่สำคัญ คนที่นี่เป็นมิตรสุดๆ ขณะที่ผมเดินเที่ยว คนที่นี่ก็ทักทาย พูดคุย และต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี 

ส่วนเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเบตง ตั้งอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมจึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า เบตงปลอดภัย 100% อย่างไรก็ตาม เบตงถือเป็นพื้นที่ๆปลอดภัยที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่เคยมีการก่อเหตุใดๆในเขตเทศบาลเมืองเบตงมามากกว่า 5 ปีแล้ว (เคยมีระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อปี 57) ส่วนนอกเขตเทศบาลเมืองก็มีการก่อเหตุบ้างนานๆที (ครั้งล่าสุดเมื่อปี 60 แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต) โดยภาพรวม ปัจจุบัน ผมว่า เบตงปลอดภัยพอที่จะท่องเที่ยวได้แล้วครับ

 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปที่สนามบินหาดใหญ่ (DD7104)
  • นั่งรถตู้จากหาดใหญ่ไปที่เบตง (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง)
  • เช็คอินเข้าที่พัก
  • เที่ยวในเขตเทศบาลนครเบตง ได้แก่ หอนาฬิกา, ตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย, อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์, สนามกีฬาที่สูงที่สุดในประเทศไทย รวมทั้ง สตรีทอาร์ตต่างๆ
  • รับประทานอาหารสไตล์เบตงที่ ร้านต้าเหยิน
วันที่สอง
  • เหมารถเที่ยวนอกเมืองเบตง
  • เช้า ชม ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ที่เขาไมโครเวฟ
  • เที่ยว น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9
  • เที่ยวชม สะพานแตปูซู
  • ชิม เฉาก๊วยกม. 8
  • เที่ยวชม สวนดอกไม้เมืองหนาว
  • เที่ยว อุโมงค์ปิยะมิตร และชม ต้นไม้พันปี
  • แช่ขาที่ บ่อน้ำร้อนเบตง
  • ถ่ายรูปกับ ป้ายใต้สุดแดนสยาม ที่ด่านเบตง
วันที่สาม
  • ทานอาหารเช้าสไตล์ติ่มซำที่ ร้านไท่ซีอี๊
  • เที่ยว วัดพุทธาธิวาส, โรงเรียนจงฝา, วัดกวนอิม, มัสยิดกลาง และ พิพิธภัณฑ์เมืองเบตง
  • ทานอาหารเที่ยงที่ ร้านเจริญข้าวมันไก่เบตง
  • เช็คเอาท์/นั่งรถกลับหาดใหญ่
  • ออกเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่กลับกรุงเทพ (DD7113)
ที่พักในอำเภอเบตง

ทริปนี้ผมเลือกพักที่ Foto Hostel ซึ่งมีข้อดีมากมาย เช่น ที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมือง, เจ้าของที่ friendly สุดๆ, ราคาถูก (คืนละ 350 บาทต่อคนต่อคืน) และที่สำคัญ ที่นี่ยังช่วยจัดทริปแบบแชร์เที่ยวนอกเมืองเบตงกับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่พักใน hostel เดียวกัน ทำให้ไม่ต้องเหมารถเที่ยวให้เสียเงินแพงๆครับ

 

ใครสนใจที่พักนี้ สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/FOTOHOSTEL/

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ผมเริ่มเดินทางจากกรุงเทพครับ สำหรับวิธีการเดินทางจากกรุงเทพไปยังเบตง สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
​​​​

(1) รถทัวร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 14-16 ชั่วโมง มีอยู่ด้วยกันหลายบริษัท ได้แก่
           - บขส. มีวันละ 2 เที่ยวคือ 15.00 และ 16.00 โทร.02-287-2177
           - สยามเดินรถ มีวันละ 2 เที่ยวคือ 15.30 และ 17.40 จองตั๋วออนไลน์ได้ที่นี่ www.จองตั๋วสยามเดินรถ.com/จองตั๋วรถทัวร์
           - รุ่งเรืองทัวร์ จองตั๋วออนไลน์ได้ที่นี่ www.จองตั๋วรถทัวร์7.com/

 
   
(2) รถไฟ  ปัจจุบัน ไม่มีรถไฟไปที่เบตงโดยตรง สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ สถานียะลา แล้วจึงต่อรถ Taxi จากยะลาเข้าสู่เบตงอีกที หรือไม่ก็ลงที่สถานีหาดใหญ่ แล้วจึงต่อรถตู้จากหาดใหญ่เข้าเบตง
 

(3) เครื่องบิน ปัจจุบัน เบตงมีสนามบินแล้วครับ แต่ยังไม่มีไฟลท์บินไปลง (เคยมีแต่เลิกบินไปหมดแล้ว) นักท่องเที่ยวจึงต้องบินไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ ซึ่งเป็นสนามบินที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วจึงต่อรถตู้จากหาดใหญ่ เข้าไปที่เบตงอีกที (ในทริปนี้ ผมเลือกวิธีนี้ครับ)

สำหรับรถตู้จากหาดใหญ่ไปยังเบตง สามารถขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งหาดใหญ่ (ใกล้ๆกับเซ็นทรัลเฟสติวัล) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 บริษัทคือ เบตงทัวร์ และ เบตงโพธิ์ทอง ทัวร์
 
เส้นทางที่เข้าสู่อำเภอเบตง มีอยู่ 2 เส้นทางหลักๆคือ 

(1) เส้นทางไทย รถจะวิ่งจากหาดใหญ่ผ่าน ปัตตานี ยะลา บันนังสตา ธารโต และเบตง ใช้เวลาเดินทางรวมประมาณ 4 ชั่วโมง ข้อเสียของเส้นทางนี้คือ หลายคนมองว่า ไม่ค่อยปลอดภัย  และทางโค้งเยอะ (เมารถ) แต่ข้อดีคือ ราคาถูกกว่า และไม่ต้องใช้เอกสารผ่านแดนใดๆทั้งสิ้น ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 230 บาทครับ (ผมเลือกเส้นทางนี้ครับ)
 

(2) เส้นทางมาเลเซีย รถจะวิ่งออกจากหาดใหญ่ ออกจากประเทศไทยที่ด่านสะเดา เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย จากนั้นค่อยวกกลับเข้าสู่อำเภอเบตงอีกที ข้อดีของวิธีนี้คือ ปลอดภัยกว่า ถนนดี แต่ต้องใช้พาสปอร์ตผ่านแดน และราคาจะแพงกว่าเส้นทางที่ 1 (ค่าโดยสารคือ 410 บาทครับ)
 
 
Note: การเดินทางไปเบตง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใด หรือบริษัทใดก็ตาม ผมแนะนำให้โทรจองก่อน สัก 1-2 วันนะครับ เพราะรถมีน้อย แต่คนเดินทางมีเยอะ ถ้าจองหน้างานอาจจะพลาดการเดินทางได้ครับ
 
ที่เที่ยวในเมืองเบตง

สำหรับทริปเบตงในวันแรก เราจะเริ่มจากการเที่ยวเบาๆก่อน โดยสถานที่ทุกแห่งที่แนะนำในวันนี้อยู่ในระยะที่เดินได้จากโฮสเทลครับ
 

 
1. หอนาฬิกาเมืองเบตง

เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณที่เป็นจุดตัดระหว่าง ถนนสุขยางค์ กับ ถนนรัตนกิจ ทำจากหินอ่อนอันเลื่องชื่อของจังหวัดยะลา
 
 

 
สิ่งที่น่าสนใจของหอนาฬิกานี้คือ บริเวณรอบๆหอนาฬิกา และสายไฟจะมี นกนางแอ่น นับพันตัวมาเกาะอยู่เต็มไปหมด จนกลายเป็นสัญลักษณ์ควบคู่กับหอนาฬิกาเบตงไปแล้ว ว่ากันว่า ถ้าใครโดนนกนางแอ่นพวกนี้อึใส่ จะได้กลับมาเบตงอีกครั้งครับ :)
 

2. ตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในโลก

ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2467 มีความสูงจากฐานถึง 3.2 เมตร และปัจจุบันยังใช้ได้จริง

ในอดีต ตู้ไปรษณีย์นี้จะมีการติดตั้งลำโพงกระจายข่าวสารของทางราชการอยู่ด้านบน ดังนั้นเพื่อให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง ตู้นี้จึงต้องสูงนั่นเองครับ

 
 
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีตู้ไปรษณีย์แห่งใหม่ที่สูงกว่าอยู่บริเวณศาลาประชาคมของอำเภอเบตง ตรงถนนสุขยางค์ โดยมีความสูงถึง 9 เมตร
 
 
3. อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์

เป็น อุโมงค์ลอดใต้ภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย เปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2544

 
 
อุโมงค์นี้มีความยาว 268 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร มีทั้งทางรถและทางเดินเท้า ให้เราสามารถเดินเล่นถ่ายรูปภายในอุโมงค์ที่ประดับไฟอย่างสวยงาม
 

4. สนามกีฬาเมืองเบตง

ตั้งอยู่บริเวณสวนสาธารณะเบตง ถือเป็น สนามกีฬาที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุดในประเทศไทย 

 
 
5. สตรีทอาร์ทเมืองเบตง

เป็นแลนด์มาร๋คใหม่ของที่นี่ วาดโดยทีมนักศึกษาและอาจารย์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นำทีมโดยอาจารย์อํามฤทธิ์ ชูสุวรรณ คณบดีคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ภาพที่เขียนส่วนใหญ่เป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิต ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชาวเบตง รวมไปถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ภาพ street art ในเมืองนี้มีทั้งหมด 11 จุด ทั้งบนผนัง กำแพง ใต้สะพาน และตัวอาคารหลายจุดรอบเมืองเบตง

 





 
 
6. อาหารสไตล์เบตง

เบตงถือเป็นสวรรค์ของสายกินครับ ที่นี่มีอาหารอร่อยมากมาย และอาหารหลายอย่างสามารถหากินได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ร้านอาหารที่ผมจะมาแนะนำวันนี้มีชื่อว่า ต้าเหยิน เป็นร้านอาหารจีนสไตล์เบตงแท้ๆ และได้รับการโหวตให้เป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งของเมืองนี้จากทั้ง Tripadvisor และ Wongnai

เมนูที่ผมจะมาแนะนำมีอยู่ทั้งหมด 4 อย่างด้วยกัน

 (1) กบภูเขา เป็นกบขนาดใหญ่มาก สามารถเอามาทำได้หลากหลายเมนูทั้งทอดกระเทียมพริกไทย ผัดเผ็ด หรือผัดฉ่า (ผมสั่งกบทอดกระเทียมพริกไทยก็อร่อยดีครับ น่องใหญ่เหมือนน่องไก่เลย)

(2) เคาหยก เป็นอาหารจีนในแถบมณฑลกวางตุ้ง ทำจากหมูสามชั้นกับพะโล้

(3) ไก่สับเบตง เป็นไก่สายพันธุ์เฉพาะที่นำเข้ามาจากแถบมณฑลกวางตุ้ง และเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายที่นี่ ว่ากันว่า เป็นอาหารขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่ครับ (สำหรับผมถือเป็นไก่ที่อร่อยที่สุดในประเทศไทยเท่าที่เคยกินมาเลย)

(4) ผักน้ำ เป็นผักที่หาทานได้เฉพาะที่นี่ มีสรรพคุณทางยามากมาย เอามาผัดน้ำมันหอยก็อร่อยดีครับ
 

 
 
7. สีสันยามค่ำคืนที่เมืองเบตง

ถ้าใครมาเบตงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ใกล้กับช่วงเทศกาลตรุษจีน จะพบกับการประดับโคมไฟแบบนี้ครับ เราสามารถเดินชมเมืองตอนกลางคืนได้แบบชิลล์ๆ เพราะที่นี่ถือว่าปลอดภัยชนิดที่ใครหลายๆคนอาจจะลืมไปว่า ที่นื่คือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

หลังจากเดินชมเมืองตอนกลางคืนเสร็จ ผมก็เดินกลับที่พัก และรีบพักผ่อนเอาแรง เนื่องจากในวันรุ่งขึ้น ผมต้องตื่นตีสามครึ่ง เพื่อนั่งรถออกนอกเมืองกว่า 30 กิโล ไปชมทะเลหมอกแห่งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทะเลหมอกที่นี่จะเป็นยังไง สวยงามขนาดไหน ฝากติดตามรีวิวเบตงได้ในตอนหน้านะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 29 เมษายน 2562    
Last Update : 23 เมษายน 2567 22:39:02 น.
Counter : 34090 Pageviews.  

1  2  3  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.