Suckoja in Japan - Day 2 - ~Seek Kyoto~

Suckoja in Japan - Day 2 - ~Seek Kyoto~



การมุดตัวอยู่ในถุงนอนที่มีคุณภาพ มันให้ความสุขในการนอนหลับในระดับที่อิ่มต่อ
ความต้องการในการพักผ่อนของเราได้ เมื่อคืนผมก็มุดตัวอยู่ในถุงนอนเช่นหันครับ เมื่อ
อิ่มได้ที่ก็ตื่นขึ้นมาครับ ด้วยความเคยชินที่่ว่าพอเคยฟ้าสางนิดๆ ผมก็ต้องตื่นไปทำงาน พอ
เจอฟ้าสางนิดๆของที่นี่ผมก็เลยตื่นขึ้นมา... พับผ่าิดันเพิ่งจะเป็นแค่ตีห้าเอง แต่ผมก็ตื่นขึ้น
มาแล้วก็เลยลอง Canon EOS Kiss X2 ตัวใหม่ดูหน่อยละกัน...
วันนี้เริมต้นกันด้วยการเดินไปมหาวิทยาลัยเกียวโตเพื่อรับประทานอาหารเช้าราคานักศึก
ษากันที่นั่นครับ ผมไปสั่งกับข้าวชนิดต่างๆให้ตักราดรวมกันมา แล้วไปตักข้าวกับซุปมิโสะ
เอง ข้าวญี่ปุ่นตักค่อนข้างยากนะครับ ถ้าอยากได้ปริมาณที่เหมาะสมต้องปั้นข้าวให้เป็นลูก
กันหน่อย จากนั้นก็ไปจ่ายเงิน แล้วก็อิ่มอร่อยกับมื้อแรกราคาเพียง 380 เยน เมื่อกินเสร็จ
แล้ว ก็นำทั้งถาดไปเก็บ ที่เก็บถาดที่นี่น่ารักดีครับ เป็นระบบหมุนสายพานให้เราวางแล้วถาด
จะค่อยๆไหลไปยังห้องล้างจานข้างหลังเอง หลังจากนั้นก็ร่ำลากับเกดและพี่อุ๋มเพราะทั้งคู่
มีเรียนกัน พวกผมก็ออกไปนั่งรถเมล์กลับไปสถานีเกียวโตเพื่อซื้อตั๋วรถเมล์แบบหนึ่งวันกัน
ที่นั่นครับ
ที่หมายแรกในวันนี้คือ Imperial Park ครับ พอนั่งรถเมล์กันมาถึงแล้ว ก็เดินหาทาง
เข้ากันหลงทางเล็กน้อย เมื่อเข้ามาแล้วพวกผมก็ตะลึงกับขนาดมันใหญ่โตของพระราชวัง
เก่ามากครับ เขตตัวพระราชวังถ้าจะเดินให้ครบก็คงใช้เวลากันทั้งวันเป็นแน่ ใหญ่จริงๆ
พวกผมเดินไปถ่ายรูปไป แล้วกว่าจะพบสำนักงานก็ล่อเกือบเป็นชั่วโมงเลยครับ สำหรับที่
พระราชวังเก่าแห่งนี้เราต้องมาจองรอบกันเข้าไปเยี่ยมชมสำหรับชาวต่างชาติก่อนด้วยครับ
โดยเขาจะมีไกด์ภาษาอังกฤษมานำทัวร์เราข้างในตัวเขตพระราชวัง ใช้พาสปอร์ตในการ
จองด้วย แต่พวกผมไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายๆใดๆเลยครับ พวกเราจองเข้าชมในรอบ 1400 โดย
เวลา ณ ตอนนี้คือ 1130 พวกผมจึงตัดสินเดินไปชมปราสาทนิโจกันก่อน โดยระหว่างทาง
พวกผมเจอศาลเจ้าเล็กๆ ก็เลยเข้าไปดูว่ามีอะไรบ้าง เมื่อดูรอบๆเสร็จแล้ว พวกผมก็กดออด
เรียกเจ้าหน้าที่ เป็นคุณยายออกมาซื้อของฝากกันเล็กน้อย กว่าจะสื่อสารกันเข้าใจว่าราคา
ของที่โอจะซื้อมัน 500 เยนก็งงกันนานเลยครับ
จากนั้นก็เดินกันไปจนถึงปราสาทนิโจ เสียค่าเข้าชมตัวปราสาทคนละ 600 เยน ใน
ตำหนักประทับของโชกุน ลักษณะห้องของที่นี่จะเป็นห้องปูเสื่อกว้างๆ ไม่ค่อยมีอะไรประดับ
จะมีก็แค่ภาพวาดบนกำแพงห้อง พอให้เห็นอยู่บ้างประปราย ตัวห้องจะเรียกว่าสวยงามผม
คงไม่กล้าพูดเต็มปากครับ เพราะดูแล้วรู้สึกว่าคนสร้างนี่เน้อนความใหญ่โตแต่ไม่ได้เน้น
การใช้งานซักเท่าไหร่เลย
แต่ก็ทำให้คนรุ่นหลังที่มาเยี่ยมชมได้เห็นความอลังการแบบเรียบๆก็โอเคครับ ออกมาจากตำหนักโชกุน ก็เดินร่อนๆไปรอบๆตัวปราสาทครับ ในส่วน
ปราสาทภายในจะมีธารน้ำล้อมรอบไว้เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์เมื่อถูกข้าศึกบุกโจมตี
สวนภายในที่นี่ก็ใช้ได้นะครับ เป็นสวนที่มีการตัดแต่งดูแลอย่างดีเมื่อประดับอยู่ข้างตำหนัก
รโหฐานเก่าแก่แบบนี้แล้วก็ให้อารมณ์ที่โหยหาอย่างไรชอบกลอยู่ จากนั้นเราก็เดินวนไป
เข้าชมภาพวาดประดับผนังห้องที่จัดเป็นโซนไว้อยู่ รูปนกยูงหลายตัวมองไปยังต้นเมเปิ้ลให้
ความรู้สึกที่แปลกๆอยู่ อาจเป็นเพราะราคาค่าเข้า 300 เยนที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ผมรู้สึก
ทะแม่งๆแบบนี้ก็เป็นได้ ในตอนนี้เป็นเวลา 1320 แล้ว เราก็ออกจากปราสาทนิโจรีบกลับไป
Imperial Park ระหว่างทางก็แวะกินมื้อกลางวันเป็นคัทสึด้งกับเกี๊ยวซ่ากันหน่อย แต่ก็ต้อง
กินแบบเร่งรีบครับเพราะจะไป Imperial Park กันไม่ทันแล้ว!
เมื่อมาถึง Imperial Park ก็เป็นเวลา 1410 แล้วครับ สายไปตั้ง 10 นาทีแต่ทางเจ้า
หน้าที่ก็ยังอนุญาตให้เข้าไปได้อยู่ แต่ก็ต้องเดินตามกลุ่มคณะกันไกลพอตัวอยู่เลยครับ โดย
มีเจ้าหน้าที่นำเราเดินไปหากลุ่มคณะทัวร์ด้วยครับ ขอบคุณมากจริงๆที่ยังยอมให้พวกเราได้
เข้ามา ภายใน Imperial Park ก็มีสถานปัตยกรรมและสวนที่สวยงามอยู่ภายในหลายที่ แม้
ทางเขาจะไม่เปิดให้เยี่ยมชนภายในตัวอาคาร แต่สภาพภายนอกก็โอ่อ่าสวยงามมากแล้ว
ครับ สิ่งที่ผมรู้สึกขำในการเยี่ยมชม Imperial Park รอบนี้ดูจะเป็น การประชันกันของตา
กล้องทั้งหลายที่เป็นนักท่องเที่ยว เรียกว่ามีกล้องอะไรก็เอาออกมาโชว์กันสุดเหวี่ยง ผมก็
เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ เวลาถ่ายอะไรไป พอคนอื่นๆเขาเดินไปจุดอื่นต่อ พวกตากล้อง
จะยังอยู่ต่อเพื่อถ่ายภาพที่ไม่มีคนอื่นติดด้วย แต่ก็มีเจ้าหน้าที่หน้าเข้มคอยเตือนให้พวกเรา
รีบไปต่อกันได้แล้ว หน้าตาเขาเหี้ยมดีจริงๆครับ ขอบอก



เสร็จจากที่ Imperial Park แล้วฟ้าฝนก็เริ่มไม่เป็นใจ พวกผมจึงรีบจ้ำอ้าวไปเข้าที่
หมายต่อไป นั่นคือ Kyoto Manga Museum ครับ จ่ายค่าเข้าเป็นราคา 500 เยน แล้วเรา
ก็ได้พบว่าที่นี่มันหอสมุดมังงะชัดๆเลยครับ มีมังงะตั้งแต่เริ่มต้นอุตสาหกรรมอยู่มากมายให้
เลือกหยิบไปนั่งอ่านกัน โดยที่นี่มีทั้งหมดสามชั้น แต่ละชั้นจะมีประวัติศาสตร์ของวงการ
มังงะ ในยุคสมัยต่างๆอธิบายอยู่ ทั้งวิธีการวาดขึ้นมา มังงะของแต่ละชาติ รายละเอียดของ
มังงะต่างๆ เมื่อเดินดูรอบๆแล้ว ผมก็เดินไปหยิบ "มังกรซ่อนลาย" ที่ไปเจอเข้าพอดีในกอง
มังงะกว่า 50000 เล่มของที่นี่ ผมก็สอยมาอ่านทั้ง 8 เล่มเลย ถึงจะอ่านไม่ออกแต่แค่ดูภาพ
ก็ซี๊ดซ้าดแล้วครับ พวกเราหาเรื่องอื่นๆมาอ่านรอเกด เมื่อเกดมาถึงตอน 1930 พวกเราก็
ออกไปกินซูซิราคา 100 เยนครับ ที่นี่มีซูชิให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ผมก็หยิบมากินไป
เรื่อยๆ แล้วก็ยัดลงช่องทางคิดเงินที่อยู่ติดกับที่นั่งเรา (ใต้สายพานซูชิ) ซูชิกินกับเบียร์นี่ก็ไม่
เลวนะครับ
เมื่อกินเสร็จแล้วก็เข้าไปซื้อของในร้านค้า 100 เยนกันหน่อย ที่นี่ราคาของเกือบทั้ง
หมดเป็นร้อยเยน + VAT = 105 เยนเกือบหมดเลยครับ สินค้าบางชนิดที่ราคามันเกินตัว
ไปจริงๆก็จะแปะราคาตามจริงไป แต่ถ้าต้องการของใช้อะไรที่นี่ก็มีให้เกือบหมดแล้วครับใน
ราคา 100 เยนต่อชิ้น เมื่อซื้อของกันเสร็จแล้วพวกเราก็นั่งรถเมล์กลับหอกันครับ เป็นอันจบ
วันที่สองลงไป


Create Date : 23 พฤษภาคม 2551
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 12:03:42 น. 1 comments
Counter : 218 Pageviews.

 
อยากไปดู ไปเที่ยวมากครับ


โดย: Zantha วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:09:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

suckoja
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตัวเรานั้นเป็นเพียงเศษละอองแห่งดวงดาว...
เล็กกระจิ๋วเมื่อเทียบกับสากลโลก...
แต่เศษละอองนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกได้...
ด้วยศรัทธา...

Thomas Clover's Facebook profile

Suckoja Updates

    Group Blog
     
    All Blogs
     
    Friends' blogs
    [Add suckoja's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.