เกิดมาทั้งทีต้องมีรสชาติ
Group Blog
 
All Blogs
 
เคราะห์กรรมของ..พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์. และ...การมีคู่ครองของชาววัง..

เคราะห์กรรมของ..พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์.


เคราะห์กรรมของพระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์มิใช่เป็นความลับ เรื่องปรากฏอยุ่ในจดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ภาค ๒๓.อ่านแล้วชวนให้สลดใจด้วยเป็นเรื่องของความรักที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น ๘๒ พระองค์ พระโอรสสองพระองค์แรก ประสูติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ครั้นเสวยราชสมบัติแล้วจึงทรงมีพระราชธิดาเป็นพระองค์แรก คือ พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์อัครราชสุดา ทรงประสูติเมื่อเดือนยี่ ปี จ.ศ ๑๒๑๓ ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๓๙๕.

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๙ และทรงมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์ ๑ ปี เมื่อยังทรงพระเยาว์น่าจะทรงคุ้นเคยกับเจ้าพี่และเจ้าน้องในวัยไล่เลี่ยกันเป็นอย่างดี ในราชสำนักนั้นเท่าที่ได้ตรวจหนังสือหลายเล่มยังไม่พบว่า พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์ทรงเป็นข่าวในราชกิจใดๆ อาจจะทรงดำเนินชีวิตเช่นฝ่ายในอีกหลายๆพระองค์ที่สนองงานราชสำนักไปตามปรกติ จนกระทั่งก่อนจะสิ้นพระชนม์ จึงได้ทราบกันว่าทรงประชวรด้วย โรคมาน คือโรคท้องโตผิดคนธรรมดา

เดือน ๓ จุลศักราช ๑๒๔๘ หรือตรงกับปีพุทธศํกราช ๒๔๒๙ ได้เกิดเหตุวิบัติขึ้นในเขตพระราชฐาน ขณะนั้นพระบาทสมเด็จสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำลังเสด็จประพาสเพชรบุรึ เพื่อทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆในตัวเมือง เช่น เขามหาสวรรค์ พระนครคีรี ถ้ำเพิง ถ้ำพัง และวัดพระนอน เป็นต้น.ทางฝ่ายพระนครเกิดความเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศนั่นคือ "พระองค์เจ้ายื่งเยาวลักษณ์
ซึ่งเดิมเชื่อว่าเป็นโรคท้องมานนั้น ทรงปวดครรภ์แลคลอดออกมาเป็นบุตรชาย ณ.ตำหนักที่ประทับภายในพระบรมมหาราชวัง.."เหมือนสายฟ้าฟาด เพราะคงไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่า จะเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ภายในราชสำนัก ภายหลังจากเกิดเหตุแล้ว เจ้านายสองพระองค์คือ สมเด็จฯกรมพระภาณุพันธ์วงศ์วรเดช และกรมหลวงเทวะวงส์ รีบเสด็จไปเมืองเพชรบุรี เพื่อนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา

ส่วนภายในพระบรมมหาราชวังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช ทรงสืบสาวชำระเรื่อง กระทั่งรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด.หนังสือจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ได้สรุปความไว้อย่างสั้นและเข้าใจได้ง่ายที่สุดคือ "..ได้ตัวอีเผือก บ่าวพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ชักสื่อ แลอ้ายโต ผู้ล่วงพระราชอาญามาถาม ได้ความว่ารักใคร่กันมาแต่ยังเป็นภิกษุอยู่ในวัดราชประดิษฐ์ จนอ้ายโตสึกมา พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ได้หาตึกให้อยู่ที่ถนนเจริญกรุง แล้วลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยเข้าไปได้ทางพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท เข้าไปนอนอยู่กับพระองค์เจ้ายื่งเยาวลักษณ์ ๔คราวๆละคืนบ้าง ๒คืนบ้าง ได้มีเรื่องราวโดยพิศดาร.."

ที่เพชรบุรี หลังจากทรงทราบความทั้งหมดแล้ว เวลา๔ทุ่มเศษเสด็จออก มีพระราชดำรัสว่า พระองค์เจ้าหญิงยื่งเยาวลักษณ์ทรงประพฤติการอันอุกฤษฏ์ขั้นมหันตโทษ ทรงโปรดเกล้าฯให้ริบราชบาตรป็นของหลวงสำหรับจ่ายซ่อมแปลงพระอาราม และสิ่งของที่พระบรมชนก คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้ ให้ถอดยศพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ลงเหลือเพียงระดับหม่อมเรียกว่า "หม่อมยิ่ง"ทรงมีพระราชบัญญํติห้ามมิให้พระภิกษุที่มีพรรษาต่ำกว่า ๒oพรรษาเข้าไปในพระบรมมหาราชวังชั้นใน อุบาสิกาอายุต่ำกว่า ๔oปี ก็ห้ามมิให้ออกไปฟังเทศนาถืออุโบสศิลที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม.

ส่วนการวางโทษอื่นๆนั้น ต่อมาเมื่อทรงฟังคำพิจารณาของคณะลูกขุนแล้ว โปรดเกล้าฯให้ลงพระราชอาญา เฆี่ยนหม่อมยิ่ง อีเผือก และอ้ายโต คนละ ๓ ยก ๙oที แล้วให้นำตัวอ้ายโตผู้บังอาจไปทำการประหารชีวิตเสีย.ในวันศุกร์ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน๔ ปีจอ จุลศักราช ๑๒๔๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังคงทรงประทับอยู่ที่เพชรบุรี

"วันนี้ที่พระนคร เจ้าพนักงานกรมพระนครบาล นำตัวอ้ายโตไปประหารชีวิตที่วัดพลับพลาไชย "(คือวัดโคก ที่ห้าแยกพลับพลาไชยข้างวัดเทพศิรินทราวาส หรือข้างธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชยเดี๋ยวนี้ )

หนังสือจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน มิได้เอ่ยถึงเรื่องหม่อมยิ่งต่อเนื่องไปจากนี้อีกไม่มีใครทราบว่าภายหลัง
จากเหตุการณ์อันร้ายแรงครั้งนั้นแล้ว พระองค์เจ้ายื่งเยาวลักษณ์ต้องทรงระทมทุกข์ในสภาพเช่นไร แต่หนังสือราชสกุลวงศ์กล่าวว่า ทรงสิ้นพระชนม์ในปีจอ พุทธศักราช ๒๔๒๙ ขณะพระชนมายุ ๓๔ พรรษา.

คำให้การหม่อมยิ่ง และผู้เกี่ยวข้องทุกคนซึ่งเคยนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย ขณะนี้ยังค้นหาไม่พบ บางทีกระดาษซึ่งบรรจุเรื่องอันน่าเศร้าเช่นนี้ อาจผุพังสูญหายไปแล้วก็ได้

ปลายปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ ผม(ผู้เขียน)พบรูปถ่าย"หม่อมยิ่ง" ติดอยู่ในอัลบัมรหัส ภอ.oo๑ หวญ.๑๖-๒๕ ชองจดหมายเหตุแห่งชาติโดยบังเอิญ เป็นภาพทรงสวมฉลองพระองค์แขนยาว หม่สไบ นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมกำไลข้อพระบาท ประทับนั่งข้างโต๊ะ ด้านหลังมีคำบรรยายสมัยเก่าเขียนไว้สั้นๆว่า "หม่อมยิ่ง ราชธิดา ร.๔ " ผมรู้สึกเศร้าและสลดใจในเหตุที่เกิดขึ้นกับพระชนม์ชีพของพระองค์.

คัดลอกจากหนังสือ "หญิงชาวสยาม"
โดย อเนก นาวิกมูล.


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉายกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์


...การมีคู่ครองของชาววัง..


การมีคู่ครองชองหญิงชายทั่วไปเป็นเรื่องธรรมชาตและธรรมดาโลกแต่ในราชสำนักฝ่ายในซึ่งประกอบด้วยสตรีล้วนหลากหลายฐานะ หลายฐานันดรศักดิ์มีขนบธรรมเนียมเฉพาะกลุ่ม การมีคู่ก็เป็นหนึ่งในขนบธรรมเนียมในประเพณีนั้น จึงทำให้การมีคู่ของชาววังแตกต่างไปจากชาวบ้าน ดังเช่น พระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดาและเจ้าจอม ท่านเหล่านี้ล้วนยินยอมพร้อมใจที่จะถวายความจงรักภักดี
ต่อพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว.

ส่วนพระราชธิดาแม้จะไม่มีข้อกำหนดห้ามปรามมิให้ทรงมีคู่ แต่ด้วยพระอิสริยศักดิ์อันสูงส่ง และโดยความเป็น
ขัตติยนารีซึ่งทรงได้รับการปลูกฝังให้มีพระสำนึกเกี่ยวกับชาติตระกูล ความเลื่อมล้ำของฐานันดรศักดิ์ จนซึมซาบอยู่ในสายพระโลหิต ประกอบกับความยุ่งยากของข้อบังคับในกฏมณเทียรบาล ทำให้มิใคร่มีพระราชธิดาพระองค์ใดมีประสงค์จะมีคู่ครอง.

สตรีอีกกลุ่มหนึ่งคือพระบรมศานุวงศ์ ข้าราชบริ- พาร และข้าหลวงตามตำหนักต่างๆซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก
สตรีเหล่านี้แม้จะไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับการมีคู่ครอง แต่ก็มี
ขนบประเพณีอันเป็นเสมือนกรอบบังคับมิให้ชาววังประพฤติ
ปฏิบัติตนออกนอกลู่นอกทาง ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจเอาชนะอิทธิพลของธรรมชาติ ที่แม้จะถูกเก็บกดไว้ลึกเพียงใดก็ยังมีวันเวลาสำแดงความต้องการออกมาในรูปของ
" ความรัก "

ความรักตามธรรมชาติของสตรีบางคน เมื่อถูกสกัดกั้นด้วยขนบประเพณีทำให้ไม่ใคร่มีโอกาสพบปะเพศตรงข้าม มองเห็นคลุกคลีอยู่แต่เพศเดียวกัน ความรักของสตรีที่ว่านี้จึงมอบให้แก่เพศเดียวกันอย่างที่เรียกว่า" เล่นสวาท"
หรือ " เล่นเพื่อน"

ถ้าจะพูดไปแล้ว ความรักระหว่างสตรีที่เกิดขึ้นในวังนั้นเกือบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย เพราะถือเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ที่น่าอับอาย แต่บางเรท่องก็ปิดไม่มิด แถมยังเป็นเรื่องโด่งดังจนมีผุ้จดจำและเล่าขานกันต่อมา ดังเช่นเรื่องของ หม่อมสุด กับ หม่อมขำ ข้าหลวงในกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว.

หม่อมสุด และ หม่อมขำ เดิมเคยเป็นหม่อมห้ามในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทั้ง ๒ คน เมื่อกรมพระ ราชวังบวรฯพระองค์นั้นทิวงคต จึงโอนมารับราชการในวังหลวงประจำพระตำหนัก กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ

หม่อมสุดเป็นผู้มีความรู้หนังสือ จึงมีหน้าที่อ่านหนัง สือถวายเมื่อเวลาบรรทม ครั้งหนึ่งหม่อมสุดและหม่อมขำอยู่เวรห้องบรรทมคู่กัน ทั้งคู่เข้าใจว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบรรทมหลับแล้ว จึงดับเทียนและเอาผ้าคลุมโปงกอดจูบกันอยู่ที่ปลายพระบาท กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพยังไม่หลับจึงเห็นพฤติกรรมทั้งหมด และโปรดให้สมญาหม่อมสุดว่า " คุณโม่ง " เพราะมีพฤติกรรม " เอาแพรเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง จึงตรัสเรียกว่า คุณโม่ง แต่นั้นมา "

ส่วนหม่อมขำทรงให้สมญาว่า " หม่อมเป็ด " เพราะกิริยาอาการเดินมีลักษณะ " เดินเหินโยกย้ายส่ายกิริยา จึงชื่อว่า หม่อมเป็ดเสด็จประทาน "

เรื่องคุณโม่ง กับ หม่อมเป็ด ยิ่งเป็นที่เล่าลือสนุกสนานเพิ่มขึ้น เมื่อ คุณสุวรรณ กวีคนสำคัญในราชสำนักนำเรื่องหม่อมทั้งสอง มาแต่งเป็นกลอนเพลงยาว ชื่อ "หม่อมเป็ดสวรรค์ " กล่าวถึงพฤติกรรมเป็นทำนองตลกขบขัน จนชาววังสมัยนั้นสามารถจดจำและท่องกลอนเรื่องนี้ได้อย่างขึ้นใจ และยิ่งเป็นที่ฮือฮาแพร่หลายขึ้นอีก เมื่อ ครูแจ้งวัดระฆัง นักขับเสภามีชื่อนำเรื่องนี้มาขับเป็นเสภา

โดยปรกติแล้วพฤติกรรมเล่นเพื่อนจะกระทำกันอย่างซ่อนเร้นปิดบัง แต่เป็นที่รุ้กันทั่วไปว่ามีพฤติกรรมเช่นนี้ในหมู่สาวๆชาววัง แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบ ดังปรากฏหลักฐานในพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โปรดพระราชทานพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ มีข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...

"...พ่อขอเสียเป็นอันขาดทีเดียว คิดถึงคำพ่อให้มากนักหนา อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด แต่อย่าให้ปอกลอกเอาทรัพย์ของเจ้าไปได้..."

แต่อย่างไรก็ตามเรื่องความรักหรือการมีคู่ระหว่างชายหญิงนั้น สาวๆชาววังก็มีโอกาสบ้างเหมือนกันแม้จะเป็นไปอย่างไม่สะดวกนัก เพราะมีขนบประเพณีเป็นเครื่องกีดกั้นอยู่ แต่ก็ไม่ยากเย็นจนเกินไปเพราะขึ้นชื่อว่า " สตรีชาววัง " แม้แต่ที่มีฐานะเป็นเพียงทาสน้ำเงินของพระองค์หญิงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรือคุณจอมท่านใดท่านหนึ่งก็ตาม ล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ ทั้งนี้เพราะถีอว่าสตรีชาววังทุกคนได้ผ่านการฝึกหัดงานบ้านงานเรือน และการอบรมกิริยามารยาท ตลอดจนเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความรู้รอบตัวเป็นอย่างดี นับเป็นคุณสมบัติที่พอเพียงต่อสู้การสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน.

ในกรณีเช่นนี้บางทีทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายอาจจะไม่เคยมีโอกาสได้พบหน้ากันเลย จะมีพ่อสื่อแม่สื่อเป็นผู้นำคุณสมบัติของฝ่ายหญิงไปบรรยายให้พ่อแม่ฝ่ายชายฟัง และนำคุณสมบัติฝ่ายชายมาพรรณนาให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงทราบ เมื่อเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย แม่สื่อพ่อสื่อจึงดำเนินการในส่วนรายละเอียดต่างๆเป็นชั้นตอนจนสำเร็จ บิดามารดาของสตรีที่ว่าก็จะเข้ามากราบถวายบังคมเจ้านายที่ทรงอุปถัมภ์ลูกสาวอยู่ เพื่อขอทูลลานำลูกสาวออกไปแต่งงานมีเหย้ามีเรือนตามประเพณีต่อไป.

ในบางคู่บางคน หนุ่มๆไม่ยอมให้พ่อแม่จับคลุมถุงชน ประสงค์จะได้เห็นตัวเจ้าสาวก่อนตกลงใจรับเป็นภรรยา กรณีแม่สื่อจะนัดแนะพวกหนุ่มๆให้มาดักคอยแอบดูตัวฝ่ายหญิง สถานที่ที่หนุ่มๆสามารถจะเห็นสาวๆชาววังได้ก็คือที่ หน้าประตูศรีสุดาวงศ์ ซึ่งเป็นประตูด้านหลังของกำแพงพระราชวังฝ่ายในตรงกับ ประตูช่องกุด ซึ่งเป็นประตูกำแพงวังชั้นนอกกล่าวกันว่าเป็นบริเวณที่คึกคักที่สุดในช่วงเช้า เพราะเป็นที่ซึ่งคนนอกวังนำสินค้าต่างๆเข้ามาขายกันมากมาย สาวๆชาววังก็จะพากันมาหาซื้อของใช้ของกินที่ต้องการและเป็นโอกาสที่จะได้พบเห็นผู้คนภายนอกบ้าง.

เวลานี้เองที่แม่สื่อพ่อเสื่อจะนัดหนุ่มๆมาดูตัวสาวที่ตนจะเป็นสื่อให้ข้างฝ่ายสาวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกดูอยู่ก็ตาม จะต้องเก็บอาการยินดียินร้ายให้มิดชิด วางกิริยาเฉย และไม่ปริปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น จนกว่าแม่สื่อจะดำเนินการจนถึงขั้นตอนสุดท้าย คือขั้นตอนที่บิดามารดาของฝ่ายหญิงมากราบทูลเจ้านายที่อุปการะลูกสาว หลานสาวอยู่เพื่อขอลาออกไปแต่งงาน.

ในส่วนสตรีที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งถวายตัวเข้ามาอยู่กับพระญาติตามตำหนักต่างๆนั้นถือเป็น ชาววังชั้นสูง การพบปะสังสรรค์ก็ต้องอยู่ในกลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคมใกล้เคียงกัน เช่น พบปะกันในงานพระราชพิธี หรืองานรื่นเริงที่จัดขึ้นในหมู่เจ้านาย งานที่ขึ้นเชื่อว่าเป็นงานสำหรับหนุ่มสาวเลือกคู๋กัน ได้แก่ งานฤดุหนาว ซึ่งจัดขึ้นที่วัดเบญจมบพิตร มีการออกร้านขายของเพื่อหาเงินบำรุงวัด ในงานนี้จะมีทั้งเจ้านายฝ่ายหน้าและฝ่ายในพากันไปออกร้าน และไปเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงที่เจ้านายหญิงและชายทั้งหลายกำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เจ้านายฝ่ายชายเริ่มเรียนจบต่างประเทศทยอยกลับกันมาทุกปี หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงกล่าวว่า
"...ท่านพวกนี้เปรียบเสมือนเทวดาตกลงมาจากสวรรค์ ความคิดของท่านไม่ยอมให้คลุมถุงชนเป็นแน่..." ดังนั้นในงานนี้จึงเป็นงานที่เจ้านายผู้ชายจะได้มีโอกาส " ดูตัวผู้หญิง "ซึ่งมีฐานะทางสังคมเดียวกัน.

ถึงกระนั้นการดูก็มิใช่จะดูได้อย่างสะดวกและใกล้ชิด จะต้องใช้กลวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อจะได้ดูหญิงอย่างแนบเนียนไม่ประเจิดประเจ้อน่าเกลียด วิธีที่ใช้กันมากคือการแสดงความสนใจในสิ่งของหรือสินค้าที่อยู่ในร้านของฝ่ายหญิง ด้วยการเข้าไปชมถามไถ่ เพื่อเป็นหนทางจะได้พูดจาโต้ตอบกันบ้าง แต่ทั้งหมดจะต้องอยู่ในสายตาของบิดามารดาฝ่ายหญิง ลงท้ายเพื่อแสดงความสนใจให้สมจริงฝ่ายชายก็จะต้องควักกระเป๋าซื้อของนั้น หรืออาจมีวิธีอื่นๆแล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละองค์แต่ละท่าน.

บางองค์บางท่านก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับฝ่ายหญิง หากเป็นเช่นนั้นก็จะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ดังเรื่องของ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรมงคลเรื่องนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ทรงเล่าให้หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ฟังว่า..

"...ในงานออกร้านวัดเบญจมบพิตร เจ้านายหนุ่มๆอยากดูผู้หญิงก็ไม่กล้า เราต้องจัดการให้ลุงนั่งอยู่กับหนุ่มๆหน้าร้าน เรียกสาวๆเข้าไปรับแจกเงิน บางคนทำดัดจริตกระมิดกระเมี้ยนเพราะมีหนุ่มๆอยู่ด้วยแต่พอถึง ยายบี้(ทรงหมายถึงพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตร์ฯ) แกก็ทำหน้าเป๋อเข้าไปหมอบกราบเอาเงินแจก แล้วยังซ้ำกราบเจ้านายหนุ่มๆนั้นเสียด้วย สมเด็จชายก็เลยพอพระทัยว่าไม่มีจริต.."

และด้วยความ " สมน้ำสมเนื้อ "กันทั้งสองพระองค์จึงได้เสกสมรสกันนับว่าเป็นคู่หนึ่งที่เป็นผลจากการได้ "ดูตัว"กันในงานฤดูหนาววัดเบญจมบพิตร หลังจากงานฤดูหนาวผ่านไปแต่ละปีจะมีข้าหลวงจากตำหนักต่างๆ กราบบังคมทูลลาออกไปมีเรือนปีละหลายๆคน

ในส่วนพระมเหสีเทวีทั้งหลายนั้น แม้จะมิได้ทรงยุ่งกับเรื่องคู่ครองของพระองค์ แต่เมื่อพระราชโอรสของแต่ละพระองค์ทรงถึงวัยที่จะต้องมีคู่ บรรดาพระราชมารดาและพระมารดา ต่างก็ทรงมองหาผู้ที่เหมาะสมจะมาทรงดำรงตำแหน่งพระสุณิสา โดยเฉพาะพระราชมารดาที่มีพระราชโอรสที่ทรงศึกษาอยู่ยุโรปยิ่งจะต้องทรงพิถีพิถันและรอบคอบในการที่จะเสาะหาลูกสะใภ้ ดังปรากฏเรื่องนี้ในลายพระหัตถ์ของ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี ที่ทรงมีถึง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสขณะทรงศึกษาอยู่ในยุโรป ความตอนหนึ่งว่า..

"...ผู้หญิงคนที่สมเด็จชายแนะนำให้นั้น ถ้าหากต้องมาเป็นลูกสะใภ้แม่เห็นจะวิงเวียนเต็มที เพราะแกป่าเถื่อนเหลือทน เรื่องพรรณอย่างนี้แม่ชอบพูดที่สุด เกือบจะยอกได้ว่าจะนึกจะพูดอะไรไม่สนุกเหมือนคิดจะมีบ้านเรือนมีลูกสใภ้มีหลาน แต่เรื่องหาเมียให้ลูกนี้แต่แม่ดูๆมาถึง ๓ ปีเข้านี่แล้วยังไม่เหมาะใจเลย จนต้องร้องอยู่เสมอว่า ลูกสใภ้ของแม่ยังไม่เกิด (ที่กล่าวว่าหานี้ ไม่ใช่จะหาให้เป็นอย่างตกลงแน่นอนก่อนที่ลูกจะได้เลือกแล้วนั้นก็หาไม่ เป็นแต่จะเลือกหมายไว้สำหรับจะแนะนำให้เท่านั้น)เพราะใจแม่ที่จะนึกเลือก เดี๋ยวนี้ไม่แต่เลือกผู้หญิงให้ดีสารพัดเหมือนดังเช่นที่ลูกกล่าวแล้ว มันเลือกเลยไปถึงตัวพ่อตาแม่ยายด้วย จึงต้องหายากนักเพราะมันไปขัดกันเสียดังนี้ คือถ้าตัวผู้หญิงพอจะเห็นว่าดี ก็ไปถูกที่พ่อตาไม่ดี ถ้าท่านพวกที่อยากจะต้องการให้เป็นพ่อตาก็ไม่มีลูกสาวที่ถูกใจ มันขัดกันอยู่เสียงดังนี้ร่ำไป..."

สตรีที่พระมเหสีเทวีทั้งหลายทรงเลือกและมีพระประสงค์ให้ดำรงตำแหน่งพระสุณิสานั้น โดยมากก็คือบรรดาพระธิดาของพระบรมวงศานุวงศ์ที่ใกล้ชิดกันนั่นเอง เรื่องการเลือกหรือเสาะหาคู่สำหรับพระราชโอรสนั้นน่าจะเป็นเรื่องราวที่สาวๆชาววังทุกคนตื่นเต้นสนใจใคร่รู้ ดังเรื่องที่หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงเล่าว่าเมื่อครั้งสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เสด็จกลับจากประเทศอังกฤษเพื่อทรงเยี่ยมบ้านชั่วคราวนั้น พระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระราชมารดาทรงจัดข้าหลวงวัยชรา และข้าหลวงรุ่นเล็กมาคอยรับสั่งด้วยเกรงว่าเจ้าฟ้าพระองค์นั้นจะทรงมีพระกังวลเกี่ยวกับเรื่องสตรีก่อนจะทรงศึกษาสำเร็จเพราะทรงได้ชื่อว่าทรงเป็น " เจ้าฟ้าหนุ่มเนื้อหอม " พระองค์หนึ่ง.

เรื่องนี้หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุลว่า

"...ทุกครั้งที่สมเด็ขชายเสด็จกลับออกไปแล้ว เราเด็กๆมักจะถูกพวกสาวๆคอยจับตัวซักไซร้ไล่เรียงว่า ได้ยินท่านรับสั่งว่าอย่างไรบ้าง ทรงออกชื่อใครบ้าง เราก็ตอบได้แต่ว่าไม่รู้ ไม่ได้ยิน ซึ่งเป็นความจริงเพราะไม่ได้เอาใจใส่ แต่ก็ลงลัยว่าทำไมถูกถามนัก จนต่อมาอีกสักหน่อยหนี่ง จึงได้รู้ว่าท่านทรงกำลังเลือดคู่กันอยู่..."

อาจกล่าวได้ว่าบรรยากาศในราชสำนักฝ่ายในขณะนั้นน่าจะตื่นตัวซู่ซ่ากันอยู่ด้วยเรื่องเลือกคู่ครอง ดังปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับบรรยากาศการหาคู่ของสตรีชั้นสูงสมัยนั้น ในลายพระหัตถ์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินีที่ทรงมีถึง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระนัดดา ความตอนหนึ่งว่า.

"...ทูลหม่อมที่ว่า เมื่อไหร่จะได้กลับมา เมียเขาคอยอยู่ออกส้าๆไปในกรุงเทพมีสี่องค์เท่านั้นไม่พอแย่งกัน....ในหมู่นั้นไม่ทราบว่าอะไรกันเต็มหูไปด้วยเรื่องหาเมียหาผัวออกกลุ้มไปทั้งนั้น..."

การมั่นหมาย มองหาคู่ครองให้พระราชโอรสนั้น บางครั้งก็ทรงสมพระประสงค์ของฝ่ายพระมารดา แต่บางครั้งก็ทรงผิดหวังเพราะพระราชโอรสไม่ทรงพอพระทัยสตรีที่พระมารดาทรงมั่นหมายไว้ให้กลับพอพระทัยสตรีอื่นและมีพระประสงค์จะเสกสมรสกับสตรีนั้น เรื่องที่ว่านี้เป็นที่สนใจใคร่รู้ของชาววัง ว่าผลสุดท้ายจะลงเอยอย่างไรกลายเป้นเรื่องที่สนทนาซุบซิบประจำวัน ดังเช่นที่ทรงมีพระประสงค์ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ อภิเกสมรสกับ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธวิไลยลักขณา พระธิดาองค์กลางสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์ ถึงกับทรงหมายมั่นว่าพระองค์เจ้าหญิงท่านนี้จะทรงได้เป็นพระราชินีในอนาคตเป็นที่รู้กันในวัง แต่เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับเมืองไทยก็มิได้ทรงสนพระทัยพระองค์หญืงนัก การณ์กลับกลายเป็นว่า สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์พระองค์หญิง แต่มิทรงกล้า เพราะทรงทราบถึงพระราชประสงค์ที่หมายมั่นพระองค์หญิงไว้สำหรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และเมื่อทรงได้พบ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรมงคล พระธิดาสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จึงตัดสินใจพระทัยเสกสมรสครองรักกันสืบมา

ส่วนสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชมารดาทรงเตรียมพร้อมเจ้าหญิงที่งามพร้อมไว้ให้ทรงเลือกสรรหลายพระองค์ ซึ่งก็ทรงเลือก หม่อมเจ้าหญิงประสงค์สม ไชยันต์ พระธิดาในพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เป็นอันสมพระทัยพระราชมารดา

สมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงเป็นอีกพระองค์หนึ่งที่พระราชมารดาทรงมั่นหมายที่จะให้เสกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงอุไรวรรณ ทองใหญ่พระธิดาพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม แต่ต้องทรงผิดหวัง เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯเสด็จกลับจากการศึกษาพร้อมด้วยหม่อมชาวรัสเซียชื่อคัทริน เดสนิตสกี

ส่วนสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมานั้นพระราชมารดาทรงมีพระประสงค์จะสู่ขอ หม่อมเจ้าหญิงปลื้มจิตรพระธิดาสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ให้เสกสมรสด้วยแต่สมเด็จเจ้าฟ้าฯกลับเลือก คุณแผ้วตัวเอกในละครรำส่วนพระองค์ตั้งขึ้นเป็นหม่อมแต่เพียงผู้เดียว.

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าก็ทรงหมายมั่น หม่อมเจ้าหญิงวงศ์ทิพย์สุดา และ หม่อมเจ้าหญิงอัจฉรา เทวกุลพระธิดาสมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ไว้ให้สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงเลือกสมรสเป็นพระขายา แต่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลาฯ กลับทรงเลือก คุณสังวาลย์สตรีสามัญชนนักเรียนพยาบาลทุน เป็นคู่สมรสแทน

สำหรับ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชา นั้นพระราชมารดาก็ทรงมั่นหมาย หม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขา ดิศกุล พระธิดาสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพไว้ให้ แต่เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯทรงเสด็จกลับจากการศึกษาจากประเทศอังกฤษ กลับทรงพอพระทัย หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์พระธิดาสมเด็จฯ กรมพระสวัสดิ์วัฒฯวิศิษฐ์ และได้ทรงเสกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สมพระประ -สงค์.

การมีคู่ครองเป็นเรื่องปรกติสามัญ แต่การมีคู่ครองของชาววังแตกต่างจากชาวบ้าน เพราะชาววังมีขนบประเพณเฉพาะกลุ่ม มีฐานันดรศักดิ์บังคับอยู่ จนยากที่จะมีผู้ใดฟันฝ่ากฏบังคับเหล่านั้นเข้าไปเพื่อเป็นคู่ครองได้ แต่ในส่วนที่เป็นชาววังชั้นกลาง เป็นสตรีที่มีคุณค่าเป็นที่หมายปองของบุรุษที่มีทั้งตำหน่งและฐานะ ทำให้ชาววังกลุ่มนี้เป็นสตรีที่มีโอกาสอันดี สำหรับการมีคู่ครอง.


สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชาและหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี


สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์และคุณสังวาลย์


สมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษภูวนาถและหม่อมคัทริน เดสนิตสกี


สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตและหม่อมเจ้าหญิงประสงค์สม บริพัตร พระชายา


สมเด็จฯเจ้าฟ้าอัษฏางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาและหม่อมแผ้ว พระชายา



Create Date : 28 มกราคม 2551
Last Update : 28 มกราคม 2551 16:44:23 น. 0 comments
Counter : 4656 Pageviews.

LowLow
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add LowLow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.