ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

ลมลวง'เรียนฟรี15ปี'กับเสียงร้องเรียนที่เบาจนรัฐบาลเลือกที่จะไม่ได้ยิน

โดย คุณ นที สรวารี
ในนาม เครือข่ายติดตามการศึกษาไทย (TEWN)
ที่มา เวบไซต์ ประชาไท
8 มิถุนายน 2552

นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และได้พยายามสร้างภาพเปิดตัวโครงการอย่างยิ่งใหญ่ไป เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา พร้อมใจกล้า เปิดสายด่วน 1579 เพื่อเปิดรับคำร้องเรียนในเรื่องการปฏิบัติตามนโยบายของโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีต่อนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ

ผลปรากฏว่า สายด่วน 1579 แทบถล่มทลาย เมื่อมีสายร้องเรียนกระหน่ำโทรเข้าทั้งแจ้ง ทั้งร้องเรียน ทั้งกร่นด่า อย่างไม่ขาดสาย

ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ฉบับปีพุทธศักราช 2540 ที่ระบุให้รัฐไทย สนับสนุนให้คนไทยได้เรียนโดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย 12 ปี

มา ถึงรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2550 ก็ ระบุเช่นเดียวกัน แต่ พรรคประชาธิปัตย์ฮึกเหิม ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ต่อยอด หรือลงราก อีก 3 ปี จาก 12 ปี ใจดีเพิ่มให้เป็น 15 ปี ?? แถมประกาศทำทันทีในภาคเรียนนี้ ??

ผล ที่ตามมาตั้งแต่ยังไม่เปิดโครงการ มีการเรียกเก็บเงินที่อ้างว่า อยู่นอกเหนือจาก 5 ฟรี ที่รัฐบาลสนับสนุน ก็มีเมนูออกมามากมายจนคิดไปคิดมา หลายคนบ่นอุบว่า เสียเงินแพงยิ่งกว่าเก่า ?? ทั้งที่รัฐบาลเอง มีการกำหนดแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ แจกจ่ายไปตามโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่มีรายละเอียดการสนับสนุนต่างๆ รวมถึงจำนวนเม็ดเงินรายหัว ที่รัฐให้การสนับสนุน ที่ในจำนวนเงินก้อนโต 11,011,539,100 บาท ที่เป็นยอดเงินต่างหาก ไม่เกี่ยวกับเงินเดือนบุคลาการทางการศึกษา ??

แล้วทำไมยังมีเสียงบ่นตามออกมาไม่ขาดสาย ?

หลาย โรงเรียนอ้างถึงค่าใช้จ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐว่า ไม่พียงพอ มีความจำเป็นต้องเก็บเพิ่ม ? ทั้งที่ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดถึงค่าใช้จ่ายรายหัว ที่แต่ละโรงเรียนได้รับแล้ว จะพบว่า โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนที่เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จะได้รับค่าตอบแทนรายหัว ในจำนวนที่สูงกว่า โรงเรียนขนาดเล็ก หรือโรงเรียนประถมศึกษาเกือบเท่าตัว ??

แล้วทำไมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ??

จาก การลงพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร พิษณุโลก สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร จากการพูดคุยและรับฟังข้อเรียกร้องจำนวนกว่า 1,000 ความคิดเห็น พบว่า มีจำนวนไม่น้อย แจ้งกับเครือข่ายติดตามการศึกษาไทยว่า นโยบายเรียนฟรี 15 ปีนั้น ไม่เป็นจริง

ผู้ปกครองรายหนึ่งเล่าให้เราฟังว่า เสียค่าใช้จ่ายสำหรับ ลูกสาวเพื่อเข้าเรียนในวัยก่อนประถมศึกษาปีละกว่า 10,000 บาท

ผู้ ปกครองอีกรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เพิ่งนำหลานเข้าเรียนโรงเรียนของรัฐแห่งหนึ่ง ในระดับมัธยมปลาย ต้องเขียนตัวเลขบริจาคให้สมาคมศิษย์เก่า สมาคมผู้ปกครองจำนวนหลักหมื่นบาท ??

อีกรายเล่าให้เราฟังว่า เพิ่งไปเสียค่าเข้าเรียนให้หลานสองคนๆ ละสองพันบาท ปกติเคยเสียอยู่คนละ พันบาท พอประกาศเรียนฟรี 15 ปี เก็บเพิ่ม อ้างว่า งบที่รัฐให้ไม่พอ

คำถามคือ อะไรคือคำว่าเรียนฟรี ??

การ เรียกเก็บเงินจากผู้ปกครอง ด้วยการยื่นกระดาษเปล่า เพื่อให้ผู้ปกครองใส่ตัวเลข เพื่อกรอกเงินบริจาคให้กับสมาคมครูและผู้ปกครองของแต่ละโรงเรียน จะเรียกว่าอะไร ??

เพราะโรงเรียนก็จะแก้ต่างไปว่า เป็นความประสงค์เป็นความสมัครใจของผู้ปกครอง ที่จะบริจาคให้แก่สมาคมเองไม่มีการบังคับ แต่..หากใส่ตัวเลขไม่เป็นที่พอใจ เด็กก็จะไม่ได้รับการรับเข้าเรียนในโรงเรียนนั้น

นี่คืออะไร ?? เรียนฟรีแต่ต้องมีเงินบริจาคเข้าสมาคม ??

เสียงร้องเรียน เสียงตัดพ้อต่อว่าที่แผ่วเบา เบาจนรัฐที่ออกนโยบาย ไม่ได้ยิน หรือเลือกที่จะไม่ได้ยิน ??

นโยบาย ที่ออกมา ทำทีเหมือนว่าจะดีกว่าที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง มันก็แค่ลมลวงที่ประกาศออกมาเพื่อให้ดูหวือหวา เรียกคะแนนเสียงเพียงเท่านั้น หรือว่าจะเอาจริงเอาจัง กับนโยบายด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาพลเมืองให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างจริงจังเสียที




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2552    
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 13:36:04 น.
Counter : 522 Pageviews.  

ห้าเดือนผ่านไปใครได้อะไร..ทำไมต้องเป็นประชาธิปัตย์ ?

โดย คุณ poonnook
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
6 มิถุนายน 2552


ต้องยอมรับอย่างจริงจังว่า พรรคประชาธิปัตย์มิใช่พรรคการเมืองสมัครเล่นหรือพรรคเฉพาะกิจ แต่เป็นพรรคการเมืองมืออาชีพอย่างแท้จริง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดในประเทศนี้ ที่มีลูกเล่น, เล่ห์เหลี่ยม, ไหวพริบ แพรวพราวในทางการเมือง เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว

ระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พรรคนี้ได้สั่งสมประสบการณ์และถ่ายทอดทายาททางการเมืองออกมา จนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกันในทุกๆ รุ่น เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ “มิใช่เหตุบังเอิญ” แต่เป็น “ความตั้งใจและเจตนา” จะให้เกิดขึ้นดังนั้นอย่างแท้จริง

ระยะเวลากว่า 5 เดือน ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ขึ้นมาสู่อำนาจทางการเมือง โดยอาศัย “ความหน้าด้าน, ตัวช่วย, และเล่ห์เหลี่ยม” พรรคการเมืองนี้มิได้สร้างคุณประโยชน์ใดๆ ให้กับประชาชนชาวไทยโดยรวมเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง, การแตกแยกทางความคิด, การล่มสลายทางเศรษฐกิจของชาิติ พรรคประชาธิปัตย์ มิได้ดำเนินการสิ่งใดให้เห็นได้เป็นรูปธรรมว่า มีความพยายามจะแก้ไขปัญหาสำคัญเหล่านี้ในฐานะผู้นำรัฐบาล นอกจากร่องรอยปรากฏให้เห็น แต่การ “เล่นเกมส์การเืมือง” เพื่อชิงความได้เปรียบ

การบริหารประเทศ ก็เป็นไปในลักษณะพร้อมที่จะโยนภาระให้กับรัฐบาลต่อไปและประชาชน ให้เป็นรับผิดชอบ และเป็นผู้แก้ปัญหาในอนาคต ส่วนตัวเองในรัฐบาลนี้ ก็เอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีความหวังที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้ในอนาคตอันใกล้

อาจจะเป็นไปตามแนวทาง ที่ต้องการให้ประชาชนในประเทศนี้ มีชีวิตเพียงแค่พอมีพอกินไปวันๆ ไม่มีโอกาสที่จะร่ำรวย หรือขึ้นมาแข่งขัน เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองได้ ไม่ว่าระดับใดก็ตาม

เพราะถ้าเป็นดังนั้นแล้ว ประชาชนผู้ที่ “คิดเป็นทำเป็น” เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นผู้ที่ “ไม่ว่านอนสอนง่าย” เพราะเริ่มรู้จักคิด เริ่มรู้จักหาโอกาสพัฒนาตนเอง

แต่ถ้าประชาชนไม่มีโอกาสที่จะแข่งขัน ก็จะไม่มีโอกาสพัฒนาชีีวิตของตนเอง เมื่อเป็นดังนี้ ก็ตรงตามเป้าหมายที่เผด็จการอมาตย์ พยายามผลักดันให้ประเทศ และคนในประเทศนี้ มีรูปแบบในการดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ เพื่อที่จะได้ปกครองได้ง่าย ... ประชาชนจะได้ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพัฒนามากจนเกินความจำเป็น มิฉะนั้นจะกลายเป็น “ประชากรที่หัวแข็ง”

ระยะเวลารวม 18 ปี ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยเป็นรัฐบาลดูแลประเทศนี้ ไม่เคยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศและประชาชน ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างชัดเจน หรือจริงจัง

แต่สิ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาดังกล่าว หน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์มีเพียงการ เพียรพยายามทำลายศัตรูทางการเมือง จนล้มหายตายจากไปจากประเทศไทยมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ท่านปรีดี พนมยงค์, จำลอง ศรีเมือง เป็นตัวอย่างผลงานที่ชัดเจน และไม่สามารถลบออกไปจากประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ได้

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมให้จดจำในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทย แต่ตรงกันข้าม ความจดจำในเรื่อง “สปก. 4-01, เงินกู้มิยาซาวา, ทุจริตการค้ายาง” เหล่านี้ กลับเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่สามารถลบเลือนไปจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย...

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา จากกลุ่มเผด็จการอมาตย์ ที่จะให้เข้ามามีอำนาจรัฐ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีศักยภาพพอในการนำพาประเทศไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และความขัดแย้งของชาติในขณะนี้ได้

แต่ทำไมเหล่าเผด็จการอมาตย์ จึงพยายามทุึกวิถีทาง ที่่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมามีอำนาจให้ได้ น่าจะมีคำถามที่ชวนให้นำมาพิจารณากันว่า “ทำไมต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์” หรือเผด็จการอมาตย์ ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ “ทำอะไรกับประเทศนี้”

ประเด็นอยู่ที่ว่า เผด็จการอมาตย์ที่ครอบครองอำนาจอยู่ในประเทศนี้ ไม่่ต้องการให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากได้มากเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น, ไม่ต้องการให้มีความรู้สูงจนเกินไป, นโยบายขายฝันตามแนวคิดเชิง “อุดมคติ” จึงได้ถูกสร้ัางภาพให้ปรากฏขึ้นในประเทศนี้

สังคมอุดมคตินั้น เป็นสังคมที่ถูกวาดภาพให้สอดคล้องกับความเชื่อพื้นฐานของคนไทย ในเรื่องของ อาณาจักรยูโธเปีย หรือยุคศรีอารยะ แบบประเภทไม่ต้องทำงานทุกคนก็มีกิน สังคมมีแต่ความเท่าเทียมกัน ซึ่งไม่มีอยู่จริงในโลกปัจจุับัน

สิ่งเหล่านี้ เป็นกลยุทธที่แยบยล ที่ได้หลอกลวงคนไทยทั้งชาติมาหลายสิบปี เป็นแนวคิดที่ต่อต้านหรือตรงข้ามอย่างรุนแรง กับกระแสการแข่งขันในโลกแห่งความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน

พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่ตอบสนองความต้องการของเผด็จการอมาตย์ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการปกครองประเทศในรูปแบบที่ไม่ต้องให้มีการพัฒนาใดๆ ในเชิงคุณภาพของประชาชน นอกจากทำลายคู่ต่อสู้ หรือผู้ที่จะขึ้นมาแย่งอำนาจทางการเมืองเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชาวไทยจึงมองเห็นได้ถึงความเจ้าเล่ห์, หลอกลวง, คดโกง, ทรยศหักหลัง, หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม เท่าที่จะทำได้ ขอเพียงให้มีอำนาจขึ้นมาเท่านั้น

คำสัญญาที่พรรคประชาธิปัตย์ เคยให้เอาไว้กับประชาชนในสมัยรณรงค์หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง กลายเป็นลมปากที่พูดไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้ แล้วก็คอยแต่ประดิษฐ์ถ้อยคำที่ดูดีออกมาแก้ตัว เพื่อให้ดูน่าสงสาร, น่าเห็นใจ

แต่ผลสรุปก็คือ “ไม่ทำตามคำพูดที่เคยสัญญาเอาไว้นั่นเอง”

ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า แนวทางการปฏิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ สอดรับการแนวนโยบายของเผด็จการอมาตย์ ที่ไม่ต้องการให้ประเทศมีการพัฒนาก้าวหน้าไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เผด็จการอมาตย์เป็นผู้ออกแบบพิมพ์เขียว และพรรคประชาธิปัตย์ ก็นำเอาพิมพ์เขียวนั้นมากระทำให้เป็นความจริง โดยที่ไม่สนใจเลยว่า ประชาชนในชาติกว่า 60 ล้านคนจะมีชีวิต และความเป็นอยู่อย่างไร หรือต้องผจญกับความทุกข์ยาก ที่เกิดจากการต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในโลกนี้อย่างไรบ้าง ขอเพียงให้ยังคงครองอำนาจ อยู่เหนือประชาชนต่อไปได้ ก็พอ โดยไม่สนใจว่า จะใช้วิธีใดก็ตาม

เมื่อฉายภาพออกมา และดูกันให้เห็นอย่างชัดๆ แล้ว เผด็จการอมาตย์มิได้ “รักและห่วงใย” ประชาชนในประเทศนี้อย่างจริงใจ เหมือนดังที่พยายามสร้างภาพให้ปรากฏออกมาให้เห็นในทุกๆ สื่อเลยแม้แต่น้อย แต่กลับใช้ความ ”รักและความศรัทธา” ที่ประชาชนมีให้นั้น กอบโกยและหาประโยชน์แก่ตนเอง, วงศ์ตระกูล, และพวกพ้อง โดยปล่อยให้ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน ต้องดิ้นรน ต่อสู้อุปสรรคชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะหยิบยื่นเศษความช่วยเหลือ หรือผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาให้ แล้วก็ยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นบุญคุณต่อประชาชน อย่างใหญ่โตเกินความเป็นจริง

ด้วยเหตุนี้เหตุผลเดียว ที่เผด็จการอมาตย์ต้องการพรรคประชาธิปัตย์ และจะต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ในการปกครองประเทศ มิใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถบริหารประเทศเก่งกาจ และจะนำพาให้ประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้

แต่ตรงข้าม ประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศ ให้ประชาชน “ยากจนและไร้ความหวัง” ได้อย่างสิ้นเชิงต่างหาก และที่สำคัญประชาธิปัตย์สามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเสียด้วย

รัฐบาลประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ประเทศไทย ต้องเป็นหนี้มหาศาล ด้วยการต้องเข้าโครงการเงินกู้ของกองทุน IMF และปล่อยให้รัฐบาลต่อมา ต้องวิ่งหาเงินมาใ้ช้หนี้

ทำนองเดียวกัน เมื่อมาถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นไปในแนวทางเดิม ประเทศชาติกำลังเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้นมหาศาล โดยไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า รัฐบาลจะมีแนวนโยบายอย่างใด ในการหาเงินเข้าประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อจะชดใช้หนี้สินที่ก่อขึ้น

ประชาชนในประเทศนี้ คงไม่อาจจะหวังสิ่งใดได้ จากการปกครองของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปฏิบัติตามพิมพ์เขียวของเผด็จการอมาตย์ ที่คอยทำลายประชาชนในชาติอยู่เช่นนี้

ภาพที่เห็นในการบริหารทุกวันนี้ ไม่ใช่ภาพของการร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ แต่กลับเป็นภาพเหมือนอะไรบางอย่างที่ รุมแย่งชิงเหยื่อก้อนใหญ่ ที่ล้มอยู่กลางท้องทุ่ง โดยมีนายพรานถือปืนที่ยิงเหยื่อจนล้มคว่ำนั้น คอยดูแลความปลอดภัยให้ เหยื่อนั้นก็คือ “ประชาชนไทยทั้งชาตินั่นเอง”

น่าสงสารและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง

เวลานี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ที่จะต้องเปิดโปงความเลวร้ายของเผด็จการอมาตย์ และกลยุทธในการทำลายชาติของพวกเขา ต้องให้คนไทยทั้งชาติเข้าใจ และมองเห็นถึงความชั่วร้ัายอย่างที่สุด ของระบอบเผด็จการอมาตย์ และพวกแนวร่วมของพวกเขาทุกๆ กลุ่ม

เพื่อในที่สุึดแล้ว พวกเิขาจะต้องไม่มีที่ยืนอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไป

คงมีสักวัน ที่พวกเราคนไทยทั้งชาติ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“เผด็จการจงพินาศ อมาตย์จงออกไป”




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2552    
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 20:53:13 น.
Counter : 428 Pageviews.  

บทอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาว่าด้วยเรื่องไซฟ่อนเงินเข้าออกพรรคกะจั๊ว2

ความผิดครั้งที่สอง เรื่องการฟอกเงินที่พรรค ปชป.ได้รับการสนับสนุน
จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
สืบเนื่องและเกี่ยวพันกัน ขณะที่ผู้บริหารพรรค ปชป.ใช้ MSA ฟอกเงิน
ที่ได้รับจากบริษัท ทีพีไอฯ ด้วยวิธีการดังกล่าวแล้ว
โดยที่ขณะนั้นอยู่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2547 ได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ในวันที่ 6
กุมภาพันธ์ 2548 แล้ว
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541
มาตรา 44 คณะกรรมการ กกต. จะทำหน้าที่จัดสรรเงินอุดหนุนให้กับพรรค
การเมือง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค
การเมือง โดยพรรคการเมืองที่ขอรับการสนับสนุนจะต้องทำโครงการ
ใช้จ่ายเงินเสนอคณะกรรมการ กกต.เพื่ออนุมัติ และเมื่อได้รับเงินอุดหนุน
จาก กกต.แล้ว จะต้องใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ นั้น
ใน กรณีพรรคการเมืองใดจ่ายเงินผิดวัตถุประสงค์ไม่เป็นไปตามโครงการที่ขออนุมัติ ไว้ และจัดทำรายงานค่าใช้จ่ายดังกล่าวอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการ กกต. เป็นความผิดตามมาตรา 62 มีบทลงโทษถึงให้ยุบพรรคการเมือง ตามมาตรา 65 (5)
พรรค ปชป.ซึ่งส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั่วไปในคราวนั้นด้วย ได้จัดทำ
โครงการหาเสียงประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งโดยได้ยื่นขอรับการสนับสนุน
จัดสรรเงินอุดหนุนจากคณะกรรมการ กกต. หลายโครงการ มีโครงการที่
เกี่ยวข้องในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนี้ 2 โครงการที่ได้รับอนุมัติจาก
คณะกรรมการ กกต. ก็คือ
1. โครงการขอรับเงินสนับสนุนจัดทำแผ่นฝ้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์
(Bill Board) จำนวน 10,000,000 บาท
2. โครงการขอรับเงินสนับสนุนจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์
(Future Board) จำนวน 19,000,000 บาท
คณะกรรมการ กกต.ได้อนุมัติเงินสนับสนุนดังกล่าวทั้ง 2 โครงการ
ให้แก่พรรค ปชป. รวมเป็นเงิน 29,000,000 บาท
ปัญหาจึงมีต่อไปว่า เมื่อพรรค ปชป.ได้รับเงินอุดหนุนให้จัดทำแผ่นป้าย
โฆษณาประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง 29 ล้านบาทจาก กกต.แล้ว พรรค ปชป.
มีวิธีการบริหารจัดการเงินจำนวนนั้นอย่างไร
พรรค ปชป.ได้ใช้วิธีการเดิมที่ทำกับบริษัท ทีพีไอฯ โดยบุคคลคนเดิม
หรือ ตัวละครหน้าเก่า คือ นายธงชัย คลศรีชัย ซึ่งเป็นลูกผู้น้องของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป.ในขณะนั้น โดยนายธงชัยฯ เกี่ยวข้องเป็นลูกของน้องสาวพ่อนายประดิษฐ์ฯ (นางเยาวลักษณ์ฯ แม่นายธงชัยฯ เป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกับนายวิศาลฯ พ่อนายประดิษฐ์ โดยบิดาชื่อ
นายจุยกิม มารดาชื่อนางเฮี๊ยะ)
นายธงชัยฯ ได้เรียกนายประจวบ สังขาว ไปพบและมอบงานโฆษณา
ทั้งสองโครงการนี้ให้ MSA ทำ ดังนั้นในวันที่ 10 มกราคม 2548
พรรค ปชป.จึงได้ออกเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง
หมายเลขเช็ค 2899102 สั่งจ่ายเงินจำนวน 23,314,200 บาท ให้กับ MSA
นายประจวบ สังขาว ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวไปเข้าบัญชี MSA ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค
ต่อมาในวันที่ 11 มกราคม 2548 ถัดจากวันรับเช็คเพียงวันเดียว MSA
โดยนายประจวบ สังขาว ก็ได้กระจายเงินที่ได้รับไว้นั้นไปเข้าบัญชีบุคคลต่างๆ
ตามที่นายธงชัยฯสั่งไว้ และบุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นผู้รับเงินก็เป็นบุคคลกลุ่มเดียว
กันกับที่รับเงินของบริษัท ทีพีไอฯ คือ กลุ่มของนายประจวบ สังขาว และกลุ่ม
ผู้ใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป. เป็นเช็คทั้งหมด
11 ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกัน รวมเป็นเงิน 18,803,700 บาท
ดังมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มนายประจวบ สังขาว
1. นายประจวบ สังขาว กรรมการผู้มีอำนาจของ MSA ได้ออกเช็ค
ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต ของ MSA จำนวน 2 ฉบับ โดย
ถอนเป็นเงินสดแล้วนำไปมอบให้ นายธงชัยฯ ดังนี้
1.1 เช็คเลขที่ 6206027 ออกวันที่ 11 มกราคม 2548 ถอนเงินสด
จำนวน 1,801,000 บาท
1.2 เช็คเลขที่ 6206020 ออกวันที่ 11 มกราคม 2548 ถอนเงินสด
จำนวน 300,000 บาท
2. นายปัญญา ประสงค์ เกี่ยวพันเป็นพี่เมียนายประจวบฯ รับเช็ค
ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ฉบับเลขที่ 6206028
ลงวันที่สั่งจ่าย 11 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,800,050 บาท
นำไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้ก่อนล่วงหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย
สาขาแคราย แล้วถอนเป็นเงินสดมามอบให้นายประจวบฯ เพื่อส่ง
มอบให้นายธงชัยฯ
3. นางสาวจันทร์จิรา ศรีหบุตร เกี่ยวพันเป็นเมียนายปัญญา ประสงค์
ซึ่งเป็นพี่เมียของนายประจวบฯ ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขา
รังสิต จาก MSA ฉบับเลขที่ 6206026 ลงวันที่สั่งจ่าย 11 มกราคม
2548 จำนวนเงิน 1,800,800 บาท นำไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้
ล่วงหน้า ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาติวานนท์ แล้วถอนเป็นเงินสด
มามอบให้นายประจวบฯ เพื่อส่งมอบให้นายธงชัยฯ
4. นายณัฐพล จิรวิสุทธิกุล เกี่ยวพันเป็นบริวารคนสนิท ทำงานอยู่กับ
นายประจวบ สังขาว ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก
MSA ฉบับเลขที่ 6206024 ลงวันที่สั่งจ่ายวันที่ 11 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,800,800 บาท นำไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้ล่วงหน้า
ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยเดอะมอลล์งามวงศ์วาน แล้วถอนเป็น
เงินสดมามอบให้นายประจวบฯ เพื่อส่งมอบให้นายธงชัยฯ
5. นายมานพ น้าสุวรรณ เกี่ยวพันเป็นน้องเขยนายประจวบ สังขาว
ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ฉบับเลขที่
6206025 ลงวันที่สั่งจ่าย 11 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,800,050
บาท นำไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้ล่วงหน้า ที่ธนาคารกสิกรไทย
สาขาถนนแจ้งวัฒนะ แล้วถอนเป็นเงินสดมามอบให้นายประจวบฯ
เพื่อส่งมอบให้นายธงชัยฯ
กลุ่มญาติพี่น้องนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป. ได้
รับเช็คซึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยผ่านการฟอกเงิน
จาก MSA จำนวน 5 ฉบับ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548 โดยมียอดเงินตรงกัน
ทั้ง 5 ฉบับ ฉบับละ 1,900,000 บาท ดังนี้
1. นายโชคชัย คลศรีชัย เกี่ยวพันเป็นพี่ชายนายธงชัยฯ คลศรีชัย ซึ่ง
เป็นญาติพี่น้องกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค
ปชป. โดยนางเยาวลักษณ์ฯ แม่ของนายโชคชัยฯ เป็นน้องสาว
นายวิศาลฯ พ่อของนายประดิษฐ์ฯ โดยมีบิดา-มารดาเดียวกัน ชื่อ
นายจุยกิม และนางเฮี๊ยะ
นายโชคชัยฯ ร่วมกับนายธงชัยฯ ตั้งบริษัทชื่อ “บริษัท อุสาโท”
ประกอบธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร ที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
ได้รับเช็คจาก MSA รวม 2 ฉบับ คือ
1.1 เช็คฉบับลงวันที่ 11 มกราคม 2548 ของธนาคารกสิกรไทย
สาขารังสิต เลขที่ 6206032 จาก MSA สั่งจ่ายเงินจำนวน
1,900,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชีนายโชคชัยฯ ที่ธนาคาร
กสิกรไทย สาขาซอยจารุรัตน์
1.2 เช็คฉบับลงวันที่ 11 มกราคม 2548 ของธนาคารกสิกรไทย
สาขารังสิต เลขที่ 6206033 จาก MSA สั่งจ่ายเงิน
1,900,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชีนายโชคชัยฯ ที่ธนาคาร
กสิกรไทย สาขาจารุรัตน์
2. นางสาว สิรินารถ นารถเสวี เกี่ยวพันเป็นคนสนิทของนายธงชัยฯ
ได้รับความไว้วางใจจากนายธงชัยฯ ให้เป็นกรรมการบริษัท อุสาโท
ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต ฉบับเลขที่ 6206031
ลงวันที่สั่งจ่าย 11 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,900,000 บาท
จาก MSA โดยโอนเข้าบัญชีนางสาว สิรินารถฯ ที่ธนาคารกสิกรไทย
สาขาจารุรัตน์
3. นางสาว เบญจวรรณ สุนทรอมรรัตน์ เกี่ยวพันเป็นคนสนิทนายธงชัย
ได้รับความไว้วางใจจากนายธงชัยฯ ให้เป็นกรรมการบริษัท อุสาโท
ด้วยคนหนึ่ง ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต ฉบับเลขที่
6206030 ลงวันที่สั่งจ่าย 11 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,900,000
บาท โดยโอนเข้าบัญชีนางสาว เบญจวรรณฯ ที่ธนาคารกสิกรไทย
สาขาซอยถนนรามคำแหง
4. นางสาว วิรัลพัชร ชีวะวรนันท์ เกี่ยวพันเป็นคนสนิทนายธงชัยฯ
ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต ฉบับเลขที่ 6206029
ลงวันที่สั่งจ่าย 11 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,900,000 บาท
โดยโอนเข้าบัญชีนางสาว วิรัลพัชรฯ ที๋ธนาคารกสิกรไทย สาขา
จารุรัตน์

(รวมผู้รับเงินทั้งกลุ่มนายประจวบ สังขาว และกลุ่มญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิด
กับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเช็ค 11 ฉบับ รวมเป็นเงิน 18,803,700 บาท)
สรุปข้อเท็จจริงจุดเชื่อมโยงในการทำสัญญานิติกรรมอำพราง ระหว่าง
บริษัท ทีพีไอฯ กับ MSA และการว่าจ้าง MSA จัดทำแผ่นป้ายโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ โดยใช้เงินอุดหนุนจาก กกต. รวมทั้งวิธีการเบิกเงิน-ถอนเงิน
และนำเงินเข้าบัญชีญาติพี่น้องคนสนิทของนักการเมือง ชี้ชัดได้ว่า
1. นายประจวบ สังขาว เป็นนอมินีหรือตัวช่วยฟอกเงินให้กับผู้บริหาร
พรรค ปชป. เพราะสื่อธุรกิจโฆษณาเป็นของคู่กับนักการเมือง การใช้ธุรกิจ
สื่อโฆษณาเป็นตัวฟอกเงิน ทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ว่ามีการจ้างกันจริง
มากกว่าจะฟอกเงินโดยใช้ธุรกิจอื่นบังหน้า ประกอบกับนายประจวบ สังขาว
คนใกล้ชิดสนิทสนมกับ ส.ส.ภาคใต้ โดยเฉพาะนายนิพนธ์ บุญญามณี
จึง เป็นบุคคลที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจที่จะให้ถือเงินหรือผ่านเงินในบัญชีธนาคาร จำนวนมากได้ อีกทั้ง บริษัท MSA ก็เป็นบริษัทร่วมทุนของ ส.ส.พรรค ปชป. คือ นายสุพัฒน์ ธรรมเพชร ส.ส.จังหวัดพัทลุงด้วย และผู้บริหารพรรค ปชป.
ก็อนุญาตให้นายประจวบฯ มาตั้งสำนักงานชั่วคราวที่ชั้นล่างของพรรคได้
นอกจากนั้น บุคคลผู้รับเงินจาก MSA ที่ปรากฏตามเอกสารใบนำฝาก
เงิน(สลิป) ของธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จำนวน 75 ฉบับ ก็จะวนเวียน
เข้าบัญชีในกลุ่มของญาติพี่น้องนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค
ปชป. , กลุ่มผู้ใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี และกลุ่มผู้ใกล้ชิดนายประพร
เอกอุรุ
พฤติการณ์ดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่านายประจวบฯ เป็นบุคคลที่ผู้บริหาร
พรรค ปชป. มอบหมายหน้าที่เพื่อรับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ และเงินสนับสนุน
จาก กกต.

2. นายธงชัย คลศรีชัย ซึ่งเป็นลูกของน้องสาวพ่อนายประดิษฐ์ฯ เป็นตัวจักรสำคัญในการดึงนายประจวบฯ ให้มาเป็นตัวฟอกเงินเป็นตัวเชื่อมระหว่างบริษัท ทีพีไอฯ กับนายประจวบฯ และวางกุสโลบายให้นายประจวบฯทำ
และให้นายประจวบฯสั่งญาติพี่น้อง และลูกน้องให้ไปเปิดบัญชีธนาคาร
เพื่อรองรับเช็ค รวมทั้งเป็นผู้รับเงินสดจากมือนายประจวบ สังขาว และยัง
เป็นคนสั่งให้นายประจวบฯ จ่ายเช็คให้แก่บุคคลอื่นด้วย นายธงชัยฯ เป็นที่
รู้จักในหมู่ ส.ส.พรรค ปชป.ว่า เป็นเลขานุการส่วนตัวของนายประดิษฐ์
ภัทร ประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป. ในขณะนั้น นอกจากนั้นยังมีเช็คเงินสดอีก 4 ฉบับที่นางศิริลักษณ์ ไม้ไทย น้องสาวนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รับ เงินจาก MSA ด้วยเป็นเงินรวม 13,728,000 บาท นายประดิษฐ์ฯ จะปฏิเสธว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ ยังมีบุคคลยืนยันว่า ขณะนายประจวบฯ นำ
เงินสดมามอบให้นายธงชัยฯ ที่ห้องทำงานในพรรค ปชป. บางครั้ง
นายประดิษฐ์ฯ ก็อยู่ในห้องด้วย นอกจากนั้น จุดเริ่มต้นของการทำสัญญาจ้าง
โฆษณาที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ สี่แยกราชประสงค์ ก็ยังมีนายประดิษฐ์ฯ
ร่วมอยู่กับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ด้วย พฤติกรรมดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่า
นายประดิษฐ์ฯ มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดด้วย
3. หลักฐานที่ชัดที่สุดที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาจ้างโฆษณาทั้ง 8 โครงการ
มีมูลค่าสัญญา 248,900,000 บาท ไม่มีการจ้างโฆษณาจริง ก็คือหลักฐานการ
เสียภาษีมูลค่าเพิ่มของ MSA ในปีภาษี 2548 โดยอ้างว่ามีรายจ่ายจากการซื้อ
สินค้าจากบริษัท พีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด และ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด สินวัฒนาเอเชีย เอนเตอร์ไพรซ์ โดยได้นำหลักฐานใบเสร็จ
รับเงินทั้ง 3 แห่ง มาหักเป็นค่าใช้จ่ายมูลค่าประมาณ 170 ล้านบาท เพื่อหลีก-
เลี่ยงภาษี แต่เนื่องจาก นิติบุคคลทั้ง 3 แห่งดังกล่าว ถูกกรมสรรพากร
“แบล็คลิสต์” ขึ้นบัญชีดำว่าเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอมให้กับบริษัทเอกชน
หลายแห่ง ทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีปีละนับพัน
ล้านบาท ต่อมากรมสรรพากรได้ลงโทษให้เพิกถอนจากการเป็นผู้ประกอบการ
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และดำเนินคดีอาญากับนิติบุคคลทั้ง 3 แห่งอยู่ จึงเป็น
นิติบุคคลที่ถูกกรมสรรพากรจับตาเป็นพิเศษ ดังนั้น สำนักงานสรรพากรพื้นที่
ปทุมธานี 2 จึงมีหนังสือแจ้งให้นายประจวบ สังขาว นำหลักฐานการจ่ายเงิน
ของ MSA ให้แก่นิติบุคคลดังกล่าวไปชี้แจงแสดงต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่
ปทุมธานี 2 แต่เนื่องจากไม่มีการจ้างโฆษณาจริง นายประจวบฯ จึงไม่สามารถ
หาหลักฐานการจ่ายเงินแก่นิติบุคคลดังกล่าวได้จึงกลัวความผิด ซ้ำยังเกรงว่า
การรับเงินจากพรรค ปชป. เป็นค่าจ้างจัดทำโฆษณาประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง
อันเป็นเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. ก็ไม่มีการจ้างโฆษณาจริง เพราะได้
เบิก จ่ายให้กับกลุ่มนายธงชัยฯ และบุคคลใกล้ชิดตนเองหมดแล้ว ดังนั้น นายประจวบ สังขาว จึงจำเป็นต้องตัดตอน ไม่ยื่นแบบ ภพ.30 เพื่อเสียาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล รอบบัญชีปี 2548 รวมทั้งไม่ยื่นบัญชีงบดุลและงบการเงินต่อกรมพัฒนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์อีกด้วย นายประจวบฯ ได้เลิกประกอบกิจการบริษัท MSA โดยไม่
ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตั้งแต่ปี 2548 ตลอดมา
จน ถึงปัจจุบัน ภายหลังกรมสรรพากรได้ประเมินภาษีอากร MSA ค้างชำระภาษีอากรทั้งสิ้น 14 ล้านบาทเศษ ต่อมานายประจวบฯ ได้ปล่อยให้บริษัท MSA ล้มละลาย โดยถูกธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) เป็นโจทก์ฟ้อง เรื่องกู้ยืมเงินจำนวน 5,268,980.40 บาท ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท MSA เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2551 ในคดีล้มละลาย หมายเลขแดงที่ ล.5781/2551
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว หากบริษัท MSA จ่ายเงินให้กับบุคคลต่าง ๆ
ทั้งกลุ่มของนายประจวบ สังขาว กลุ่มผู้ใกล้ชิดญาติพี่น้องนายประดิษฐ์
ภัทรประสิทธิ์ กลุ่มใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี และกลุ่มนายประพร เอกอุรุ
เป็นค่าจ้างโฆษณาอีกต่อหนึ่งจริง บุคคลผู้ได้รับเงินเหล่านี้ก็จะมีหน้าที่ตาม
ประมวลรัษฎากรที่จะต้องออกใบเสร็จรับเงินว่าเป็นค่าซื้อสินค้าอะไร และต้อง
ออกใบกำกับภาษี รวมทั้งต้องยื่นแบบแสดงรายการการเสียภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดา ต่อกรมสรรพากรด้วย บริษัท MSA ก็จะนำใบเสร็จรับเงิน ใบซื้อ
สินค้า รวมทั้งใบกำกับภาษีของผู้รับเงินนั้น ๆ ไปหักเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อคำนวณ
เป็นภาษีต้องชำระต่อกรมสรรพากรต่อไป ซึ่งกรมสรรพากรจะสามารถตรวจสอบที่มาของเงินที่ได้รับดังกล่าวจากบริษัท MSA และผู้รับเงินนั้น ๆ
ซึ่งจะต้องมีหลักฐานตรงกันทั้งสองฝ่าย แต่บุคคลผู้รับเงินทั้ง 4 กลุ่มดังกล่าว
ไม่ใช่ผู้รับจ้างทำงานจาก MSA และไม่ได้ประกอบอาชีพธุรกิจโฆษณา จึง
ไม่สามารถออกหลักฐานใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีให้ MSAได้ มี
ทางเดียวที่นายประจวบฯ ต้องทำก็คือ หาใบเสร็จรับเงินเท็จ และใบกำกับ
ภาษีปลอมมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ความจึงปรากฏว่าต้องไปหาซื้อ
ใบเสร็จปลอมและใบกำกับภาษีปลอมกับนิติบุคคล 3 แห่ง ที่กรมสรรพากรขึ้น
บัญชีดำไว้ และเมื่อความลับแตกถูกจับได้ นายประจวบฯ จึงจำเป็นต้องทิ้ง
บริษัท MSA และปล่อยให้ถูกฟ้องล้มละลายไป เพื่อ MSA จะได้หลุดพ้น
ภาระหนี้ภาษีอากรที่ถูกประเมินด้วย เพราะบริษัท MSA ไม่มีทรัพย์สินอื่นใด
อีกแล้ว ซึ่งก็ขัดกับข้อเท็จจริงอีกว่า หาก MSA รับทำงานโฆษณาจากบริษัท
ที พีไอฯ และจากพรรค ปชป.จริง MSA ก็จะต้องมีทรัพย์สิน และสินทรัพย์ รวมทั้งผลกำไรเป็นจำนวนมาก คงไม่ปล่อยให้ล้มละลายด้วยหนี้สินเพียง
5 ล้านบาทเศษเท่านั้น
4. ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินสนับสนุนของ กกต.ที่พรรค ปชป. ได้รับการ
จัดสรรเงินอุดหนุนในโครงการจัดทำแผ่นป้ายโฆษณา 2 โครงการ รวมเป็นเงิน
29 ล้านบาท พรรค ปชป.ได้ว่าจ้างบริษัท MSA เป็นผู้จัดทำโครงการ แต่ก็
ไม่ปรากฏมีสัญญาจ้างเป็นหนังสือพรรค ปชป.ได้ส่งหลักฐานรายงานการ
ใช้จ่ายเงินตามโครงการนี้ให้กับ กกต.เป็นเอกสาร 3 ฉบับ คือ ใบแจ้งหนี้หรือ
ใบวางบิล , ใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีของบริษัท MSA ซึ่งเอกสาร
ทั้ง 3 ฉบับ มีข้อพิรุธน่าสงสัย คือ เอกสารทั้ง 3 ฉบับ MSA จัดทำขึ้น
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2548 แสดงว่า MSA ได้จัดทำโครงการนี้เสร็จเรียบร้อย
และส่งงานให้พรรค ปชป.แล้ว แต่ MSA ยังไม่ได้รับเงินค่าจ้างทำโฆษณานี้
เพิ่งมารับเงินค่าจ้างโดยพรรค ปชป.จ่ายเป็นเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อย
กระทรวงการคลัง บัญชีเงินฝากพรรคประชาธิปัตย์ เช็คฉบับเลขที่ 2899102
จำนวนเงิน 23,314,200 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 แสดงว่าบริษัท
MSA โดยนายประจวบฯ มีเงินลงทุนจัดทำงานโครงการนี้ ซื้อวัสดุ จ่ายค่าแรง
ล่วงหน้า โดยไม่ต้องทยอยขอเบิกเงินล่วงหน้าเป็นงวด ๆ จากพรรค ปชป.
คณะกรรมการ กกต.ควรใช้หลักการตรวจสอบให้เข้มข้นเกี่ยวกับการจ่ายเงิน
ซื้อ สินค้าวัสดุจาก MSA เหมือนเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ว่ามีหลักฐานอะไรบ้าง ซื้อสินค้าจากใคร มีใบกำกับภาษีจากผู้ขายสินค้านั้นหรือไม่ โดยเฉพาะรายชื่อผู้รับเงินจากบริษัท MSA ทั้งกลุ่มนายประจวบฯ และกลุ่ม
ใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ว่ารับเงินเป็นค่าอะไร และได้ออกใบกำกับ
ภาษีให้ MSA หรือไม่ รวมทั้งได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ที่ได้รับ
เงินจาก MSA เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548 หรือไม่ และให้ กกต. ขอข้อมูล
การ เสียภาษีของบุคคลเหล่านั้นจากกรมสรรพากรมาตรวจสอบดูว่าตรงกันหรือไม่ ตรวจสอบเพียงเท่านี้ ก็จะได้ความจริงว่าเอกสารใบวางบิล ใบเสร็จ
รับเงิน และใบกำกับภาษีของ MSA ที่พรรค ปชป.นำไปยื่นต่อ กกต.เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นอันเป็นเท็จ
ด้วยเหตุเช่นนี้ จึงไม่สงสัยว่าเหตุใด MSA จึงไม่ยื่นแบบแสดงรายการ
เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี 2548 และตลอดมาจนถึงปัจจุบัน และต้อง
ปล่อยให้บริษัท MSA ล้มละลาย เพื่อตัดตอนการถูกตรวจสอบภาษีที่มี
รายรับจากบริษัท ทีพีไอฯ และพรรค ปชป.
คณะกรรมการ กกต. มีหน้าที่จะต้องตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของพรรค
การเมืองให้เป็นไปตามรายการที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรจาก กกต. จะต้อง
ตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด เพื่อขยายผลนำไปสู่กระบวนการยุบพรรค
การเมืองต่อไป
5. โดยที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541
มาตรา 51 “ห้ามมิให้หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง
กรรมการสาขาพรรคการเมือง หรือสมาชิกผู้ใดรับเงินหรือทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดที่เป็นการบริจาคโดยไม่เปิดเผย”
และตามมาตรา 62 “พรรคการเมืองที่ได้รับเงินสนับสนุนต้องใช้จ่ายเงิน
สนับ สนุนให้เป็นไปตามที่บัญญัติในส่วนนี้ (หมายความว่า ขออนุมัติเงินสนับสนุนไปใช้จ่ายในเรื่องใด ก็จะต้องใช้จ่ายเงินในเรื่องที่ขออนุมัตินั้น) และ
จะต้องจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทิน
ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ภายใน
เดือนมีนาคมของปีถัดไป”
ขณะมีการจ้างโฆษณาระหว่างบริษัท ทีพีไอฯ กับ MSA และระหว่าง
พรรค ปชป. กับ MSA นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรองหัวหน้าพรรค ปชป.
และเมื่อพรรค ปชป.พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548
ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารพรรค ปชป.ชุดใหม่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ปชป. นายอภิสิทธิ์ฯ รู้เรื่องการรับเงินบริจาคจากบริษัท
ทีพีไอฯ และการรับเงินอุดหนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นอย่างดี มี
หลักฐานยืนยัน มีคนเห็นตอนนายประจวบฯ นำเงินไปมอบให้นายธงชัยฯ ใน
ห้องทำงาน บางครั้งเห็นนายอภิสิทธิ์ฯ และผู้บริหารพรรคนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย
และที่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์ฯโดยตรง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 และเดือน
มีนาคม พ.ศ. 2549 นายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. มีหน้าที่จะต้อง
รับรองความถูกต้องของงบดุล งบการเงิน งบรายรับ-รายจ่าย แจ้งต่อคณะ
กรรมการการเลือกตั้ง จากหลักฐานที่นายอภิสิทธิ์ฯ ลงนามรับรองความถูกต้อง
ที่ยื่นต่อ กกต.
ในส่วนที่เกี่ยวกับรายรับ
1.ไม่มีการแจ้งว่าได้รับบริจาคเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ
2. มีการแจ้งว่าในปี 2548 ได้รับเงินสนับสนุน จัดทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Bill Board) จำนวน 10,000,000 บาท และป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Future Board) จำนวน 19,000,000 บาท

ในส่วนที่เกี่ยวกับรายจ่ายการเลือกตั้ง แจ้งว่า
1. โครงการจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Bill Board) เป็นเงิน 1,955,616.83 บาท
2. โครงการจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Future Board) เป็นเงิน 40,302,300.76 บาท

การ รับรองความถูกต้องทั้งรายรับและรายจ่าย งบการเงินของพรรค ปชป.ของนายอภิสิทธิ์ฯ เป็นการรับรองข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง กล่าวคือ
1. ปกปิด ไม่เปิดเผยเงินบริจาคของบริษัท ทีพีไอฯ สมคบกันระหว่างผู้บริจาค กับผู้รับบริจาค เพื่อซ่อนเร้นการรับเงินจำนวนนี้ โดยใช้บริษัท MSA เป็นเครื่องมือบังหน้า
2. รับเงินสนับสนุนจาก กกต. จำนวน 29 ล้านบาท แต่ไซฟ่อนเงินบางส่วน จำนวน 18,803,700 บาท ออกไปให้กลุ่มนายประจวบ สังขาว และ
กลุ่ม ญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ โดยมิได้จัดจ้างทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์กันจริงตามจำนวนที่ได้รับ แต่กลับแจ้งเท็จว่า
มีการใช้จ่ายเงิน 29 ล้านบาท ที่ได้รับจาก กกต.ไปหมดแล้ว พฤติการณ์การกระทำของนายอภิสิทธิ์ นอกจากจะจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติ
แห่ง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองแล้ว ยังมีพฤติกรรมสนับสนุนการฉ้อราษฎร์บังหลวง กล่าวคือ บริษัท ทีพีไอฯ เป็นบริษัทมหาชน
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นการที่มีการนำเงินออกมา จากบริษัท โดยไม่แจ้งให้ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการ
คนอื่นทราบ จึงเป็นการฉ้อราษฎร์เงินหรือผลประโยชน์ของประชาชนผู้ถือหุ้น ส่วนกรณีเงินสนับสนุนของ กกต. ซึ่งเป็นเงินทางราชการหรือเงินหลวงก็มิได้นำเงินดังกล่าวไปจัดทำแผ่นป้าย โฆษณาจริงกับเบิกเงินไปให้บุคคลผู้ใกล้ชิดนักการเมือง จึงเป็นการบังเงินหลวง นักการเมืองจะต้องมีวุฒิภาวะ มีมาตรฐานทางจริยธรรมและคุณธรรมสูง
สมกับที่จะให้ประชาชนไว้วางใจเป็นผู้ บริหารประเทศ รวมทั้งกฎ 9 ข้อที่นายกฯกำหนดไว้ แต่นายอภิสิทธิ์ฯ มีความบกพร่องในคุณธรรม และจริยธรรม ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน คบค้าสมาคมกับบุคคลซึ่งใช้ใบกำกับภาษีปลอม จึงไม่สมควรที่จะให้บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป


บทสรุปส่งท้าย

จากข้อเท็จจริง พยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีบุคคลร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย ทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมดังนี้
1. มีบุคคลคณะหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจในบริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต กระทำการโดยทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์สินของบริษัท ใช้โอกาสทางธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตนเองและผู้อื่น ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/10 , 89/11 , 89/21 , 306 , 307 , 308
และ 311
2. บริษัท MSA และนายประจวบ สังขาว กรรมการบริษัท มีความผิดเป็นผู้สนับสนุนร่วมกันกระทำความผิดกับบริษัท ทีพีไอฯ ผู้บริหารบริษัท ทีพีไอฯ ด้วย
3. พรรคประชาธิปัตย์ ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ กระทำความผิดฐานรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยไม่เปิดเผย , ไม่จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ , ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามความเป็น จริง ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 51 , 62 , 65 (ลงโทษให้ยุบพรรคการเมือง) , 86 (จำคุกไม่เกิน 3 ปี) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 42 , 56 วรรคสอง , 82 , 93 , และ 114

ไฟล์PDFเอกสารหลักฐานประกอบคำอภิปราย

ที่มา พรรคเพื่อไทย




 

Create Date : 25 มีนาคม 2552    
Last Update : 25 มีนาคม 2552 16:29:46 น.
Counter : 499 Pageviews.  

บทอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาว่าด้วยเรื่องไซฟ่อนเงินเข้าออกพรรคกะจั๊ว1

เนื้อหาคำอภิปราย
กล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจที่จะให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขาดจริยธรรมและคุณธรรม มีการกระทำที่ผิด
กฎหมาย กล่าวคือ

1. ความผิดครั้งแรกในช่วงระหว่างวันที่ 12 กรกฎาคม 2547 ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548 พรรค ปชป. โดยผู้บริหารระดับสูงของพรรค ปกปิด ซ่อนเร้น การรับเงินสนับสนุนทางการเมืองจากบริษัท ทีพีไอฯ จำนวน 27 ครั้ง รวมเป็นเงิน 261,436,000 ล้านบาท อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมือง

2. ความผิดครั้งที่สอง ในช่วงระหว่างวันที่ 10 มกราคม 2548 ถึงวันที่ 11 มกราคม 2548 พรรค ปชป.ได้รับเงินสนับสนุนโครงการจัดทำแผ่นป้าย
โฆษณาประชาสัมพันธ์การเลือก ตั้งจากคณะกรรมการ กกต. จำนวน 2 ครั้งเป็นเงิน 29 ล้านบาท แต่ไม่นำเงินดังกล่าวไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ กลับปกปิด เบียดบัง เอาเงินสนับสนุนบางส่วน จำนวน 18 ล้านบาทเศษ ไปให้ลูกพรรคเป็นการส่วนตัว ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในขณะเกิดเหตุ คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้น ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ปชป. มีส่วนรับรู้ด้วย นอกจากนั้นเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ปชป. ยังได้จัดทำงบดุลและงบการเงินประจำปี 2547 และ 2548 ของพรรค ปชป. ปกปิดรายงาน
การรับบริจาคเงิน และแจ้งการใช้จ่ายเงินดังกล่าวอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการกกต.อีก อันเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกและให้ยุบพรรคการเมืองได้
พฤติกรรมการกระทำทั้งสองกรณีดังกล่าว ผู้บริหารพรรค ปชป.ได้ใช้บริษัท MSA เป็นตัวเชื่อมข้อกลางระหว่างบริษัท ทีพีไอฯ กับพรรค ปชป.
และ ระหว่างพรรค ปชป. กับ บริษัทผู้รับจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยได้จัดทำสัญญาเทียมเป็นนิติกรรมอำพรางให้บริษัท MSA เป็นผู้รับจ้างโดย
ไม่ มีการจ้างจริง แต่เป็นตัวช่วยฟอกเงินให้ โดยเป็นผู้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯและจากพรรค ปชป. จำนวน 261,436,000 บาท และ 29 ล้านบาท ตามลำดับ แล้ว บริษัท MSA จะใช้วิธีเบิกเงินสดจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขารังสิต จำนวนครั้งละไม่เกิน 2 ล้านบาท (เพราะการทำธุรกรรมโอนเงินถอนเงินครั้งละเกิน 2 ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์จะต้องรายงานแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) แล้วถือเงินสดไปให้ผู้บริหารพรรค ปชป.บ้าง , ลูกพรรค ปชป.บ้าง
อีกวิธี หนึ่ง คือ บริษัท MSA จะโอนเงินเข้าบัญชีญาติพี่น้อง หุ้นส่วนแพปลาหุ้นส่วนศูนย์การค้าใหญ่ บริวารคนสนิท เช่น คนขับรถ คนรับใช้ของนักการเมือง ผู้บริหารพรรค ปชป.ทางภาคใต้และกรุงเทพมหานครบ้าง โดยมีเอกสารหลักฐานรายละเอียดการเบิกเงิน การถอนเงิน การโอนเงินของบริษัท MSA เป็นใบนำฝากเงิน (สลิป) ของธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิตที่เกี่ยวข้องทั้งสองเรื่องนี้ จำนวน 75 ฉบับ และสลิปบางฉบับยังปรากฏหมายเลขแฟ็กซ์ของพรรค ปชป.อีกด้วย คือ FAX 02-270-2521 ด้วย เพื่อให้เนื้อหาการอภิปรายกระชับ และเข้าประเด็นสำคัญ จึงจำเป็นต้องเอ่ยชื่อบริษัทที่รับทำหน้าที่ฟอกเงินให้กับผู้บริหารพรรค ปชป. คือ บริษัท MSA ที่มาของบริษัท MSA MSA กำเนิดขึ้นที่พรรคประชาธิปัตย์โดยก่อนจดทะเบียนตั้งบริษัท มีบุคคลคนหนึ่งชื่อ นายประจวบ สังขาวประกอบอาชีพรับจ้างทำแผ่นสติ๊กเกอร์หาเสียงให้กับ ส.ส.ภาคใต้ของพรรคปชป. มาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2539 จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพรรค
ปชป. อนุญาตให้มาเปิดสำนักงานสาขาที่ชั้นล่างของพรรค ปชป. ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2543 มีงานพิมพ์โฆษณาเข้ามามากขึ้น นายประจวบฯ ได้หารือกับนายสุพัฒน์ ธรรมเพชร ส.ส.จังหวัดพัทลุง พรรค ปชป. และนายไทกรพลสุวรรณ เลขานุการของนายสุพัฒน์ฯ ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดคุ้นเคย สนิทสนมกันมา ให้เข้ามาร่วมลงทุนตั้งบริษัทรับงานทำป้ายและแผ่นพับโฆษณาหาเสียง
เลือก ตั้ง เพราะในขณะนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่พรรคการเมืองและพรรคการเมืองจะต้องยื่นหลักฐานการ ใช้จ่ายเงิน แจ้งต่อ กกต. จึงมีความจำเป็นจะต้องจัดตั้งบริษัทรองรับ เพื่อออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีในกรณีรับจ้างพรรค ปชป. จัดทำป้ายโฆษณาหาเสียง เพื่อให้พรรค ปชป.
นำไปแสดงต่อคณะกรรมการ กกต. ว่ามีการจ้างจริง แต่เนื่องจากนายสุพัฒน์ฯ ขณะนั้นยังเป็น ส.ส.พัทลุง จึงได้ส่ง น.ส.สุพัชรีธรรมเพชร บุตรสาวเป็นผู้ถือหุ้น และกรรมการบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ รวมทั้งนายไทกร พลสุวรรณ เลขานุการของนายสุพัฒน์ฯ ด้วย นายประจวบฯได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทชื่อ “บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด” เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาทนายประจวบฯ ถือหุ้น 29,000 หุ้น นางสาว วลัยลักษณ์ ประสงค์ (เมียนายประจวบฯ) ถือหุ้น 10,000 หุ้น น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร (บุตรสาวนายสุพัฒน์ฯ)ถือหุ้น 20,000 หุ้น นายไทกร พลสุวรรณ (เลขานุการนายสุพัฒน์ฯ) ถือหุ้น1,000 หุ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2543 – 12 มีนาคม 2544 บริษัท
MSA เริ่มตั้งใหม่มีกรรมการบริษัท 7 คน อาทิเช่น นายประจวบ สังขาวนางสาววลัยลักษณ์ ประสงค์ (เมียนายประจวบฯ) น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชรนายไทกร พลสุวรรณ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนกรรมการหลายครั้ง แต่ก็มีนายประจวบฯ เป็นกรรมการบริษัทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยนายประจวบฯเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทด้วย ในระยะเริ่ม แรกระหว่างปี พ.ศ. 2543 ถึงกลางปี พ.ศ. 2547 MSA มีรายได้จากการประกอบธุรกิจโฆษณาประชาสัมพันธ์จากพรรค ปชป. ส.ส.ของพรรค ปชป. เช่น ต้นปี พ.ศ. 2547 รับทำป้ายหาเสียงให้กับนายนวพล
บุญญมณี น้องชายของนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วนของพรรค ปชป.ซึ่งสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา แต่รายได้จากการรับจ้างโฆษณาดังกล่าวมีไม่มากนัก
MSA ได้ยื่นแบบรายการงบการเงินต่อกรมทะเบียนการค้าในช่วงปี
พ.ศ. 2543 – 2546 ว่ามีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ดังนี้
ปี 2543 มีรายได้ 5,220,999.10 บาท
ปี 2544 มีรายได้ 9,315,128.88 บาท
ปี 2545 มีรายได้ 6,513,795.54 บาท
ปี 2546 มีรายได้ 8,242,627.60 บาท
(โดยเฉลี่ย 4 ปี มีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเพียงปีละ 7 ล้านบาท)
มูล เหตุที่บริษัท MSA เข้ามารับจ้างทำสัญญาเทียมเป็นนิติกรรมอำพราง ฟอกเงินให้กับบริษัท ทีพีไอฯ และพรรค ปชป. รวมทั้งผู้บริหารของพรรค ปชป. เกิดจากในช่วงปี 2547 ได้เกิดวิกฤตทางการเมือง โดยกลุ่มพันธมิตรชุมนุมประท้วงรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ประกอบกับบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ จากมาตรการลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเงิน มีหนี้สินเพิ่มขึ้น 130,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2546 ศาลล้มละลายกลางแต่งตั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์กรรมการคนหนึ่งของบริษัท ทีพีไอฯ ต้องการซื้อกิจการคืน โดยจะร่วมทุน
กับกลุ่มธุรกิจประเทศจีน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อันเป็นมูลเหตุหนึ่งทำให้นายประชัยฯ จำเป็นต้องเข้าสู่การเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อรักษาทรัพย์สินของบริษัท ทีพีไอฯ ด้วยการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พรรค ปชป. นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นายอัมรินทร์ คอมันตร์ ได้เคยเข้าไปพรรค ชป.หลายครั้ง
ในราวกลางปี 2547 นายประจวบ สังขาว ได้ไปพบนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ สี่แยกราชประสงค์ ณ ที่นั้น ยังได้พบนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ปชป และยังได้พบลูกพรรค ปชป.สายภาคเหนืออีกหลายคนรับประทานอาหารกันอยู่กับนายนิพนธ์ บุญญามณี มีการแนะนำ
ตัวให้นายประชัยฯ รู้จักกับนายประจวบฯ ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจสื่อโฆษณา จัดทำแผ่นป้ายหาเสียงให้พรรค ปชป. หลังจากนั้นไม่นานนายประจวบฯ ก็
ไปพบและรู้จักกับนายธงชัย คลศรีชัย ซึ่งเป็นสมาชิกพรรค ปชป. และเป็นเลขานุการส่วนตัวนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และติดตามนายประดิษฐ์ฯ
เข้า – ออกพรรค ปชป.ทุกครั้ง นายธงชัย คลศรีชัย ชื่อนี้คนในพรรค ปชป. อาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าชื่อนายทีซี รับรองคนในพรรค ปชป.รู้จักหมด
นายธงชัย คลศรีชัย เป็นลูกน้องสาวพ่อนายประดิษฐ์ฯ (โดยนางเยาวลักษณ์ฯ แม่นายธงชัยฯเป็นน้องสาวนายวิศาลฯ พ่อนายประดิษฐ์ ทั้งสองมีบิดามารดา
คน เดียวกัน คือนายจุยกิม และนางเฮี๊ยะ) นายธงชัยฯ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกับนายวิรัตน์ ภัทรประสิทธิ์ คือ บ้านเลขที่ 119/12 หมู่ 3 ตำบลหัวดง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร นายธงชัยฯ ได้แจ้งให้นายประจวบฯ ทราบว่าจะมีงานโฆษณาจากบริษัท ทีพีไอฯ ให้ทำ หลังจากนั้นไม่นานช่วงเดือนกรกฎาคม 2547 เลขานุการส่วนตัวของนายประชัยฯ ชื่อนายสมควรได้ติดต่อมายังนายประจวบฯ ให้ไปทำสัญญารับจ้างโฆษณากับบริษัท ทีพีไอฯ สำหรับเงื่อนไขรายละเอียดการทำงานรวมทั้งการรับ – จ่ายเงิน นายธงชัย คลศรีชัย จะเป็น
ผู้กำหนด ส่วนนายประจวบฯ มีหน้าที่ให้ญาติพี่น้องและคนสนิทไปเปิดบัญชีที่ธนาคารกสิกรไทย ตามสาขาต่าง ๆ เพื่อรองรับการฟอกเงิน บริษัท ทีพีไอฯ โดยนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการบริษัท ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท MSA ให้จัดทำประชาสัมพันธ์และโฆษณาสินค้า ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ทีพีไอฯ ทั้งสิ้น รวม 8 โครงการ จำนวน 8 สัญญา
เป็นจำนวนเงินประมาณ 248,900,000 บาท ดังนี้
1. โครงการประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ เป็นเงิน 19,800,000 บาท
2. โครงการผลิตโปสเตอร์และของชำร่วย เป็นเงิน 27,500,000 บาท
3. โครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยป้ายโฆษณา เป็นเงิน
28,600,000 บาท
4. โครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยสื่อโทรทัศน์ ตามสัญญาลงวันที่
15 ธันวาคม 2547 เป็นเงิน 33,000,000 บาท
5. โครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยหนังสือพิมพ์ ตามสัญญาลงวันที่
15 ธันวาคม 2547 เป็นเงิน 18,500,000 บาท
6. โครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยรถตระเวน ตามสัญญาลงวันที่
15 ธันวาคม 2547 เป็นเงิน 28,500,000 บาท
7. โครงการจัดการส่งเสริมกิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์
ผลิตภัณฑ์ ตามสัญญาลงวันที่ 15 ธันวาคม 2547 เป็นเงิน
30,000,000 บาท
8. โครงการที่ปรึกษาและวางแผนการประชาสัมพันธ์ ตามสัญญาลงวันที่
25 มกราคม 2548 เป็นเงิน 65,000,000 บาท
(สัญญาฉบับที่ 8 หลังสุดเป็นเงินจำนวนมาก เพราะใกล้เลือกตั้งทั่วไป
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548
รวมสัญญาจ้าง 8 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 248,900,000 บาท
(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 17.5 ล้านบาท)
มีข้อสังเกตการทำสัญญาจ้างระหว่างบริษัท ทีพีไอฯ กับบริษัท MSA
มีพฤติกรรมเคลือบแคลงน่าสงสัย ดังนี้
1) สัญญาจ้างทั้ง 8 โครงการ ลงนามโดยนายประชัยฯ เพียงคนเดียว
ไม่ได้ประทับตราบริษัท ซึ่งขัดกับข้อบังคับของบริษัทว่า กรรมการจะต้อง
ร่วมลงนามสองคนและประทับตราบริษัท จึงจะมีผลผูกพันบริษัท ในขณะนั้น
(ช่วงระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2546 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2548) กรรมการ
บริษัท ทีพีไอฯ มีจำนวน 9 คน คือ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นายประทีป
เลี่ยวไพรัตน์ นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ นายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์
นางบุญศรี เลี่ยวไพรัตน์ นายชวิน เอี่ยมโสภณา นายกิตติ วงศ์จริงตรง
น.ส.สุจริตรา เตชะนาวากุล และนายชัยณรงค์ แต้ไพสิฐพงษ์
จึงน่าเชื่อว่ามีการแอบเอาเงินจำนวนนี้ออกมาจากบริษัทฯโดยมิชอบ
เพราะถ้านำเงินออกมาโดยชอบจะต้องมีกรรมการร่วมเซ็นชื่ออีก 1 คน
2) มูลค่าจ้างโฆษณาทั้ง 8 โครงการ เป็นเงินสูงถึง 248.9 ล้านบาท
เหตุใดบริษัท ทีพีไอฯ จึงไม่จ้างมืออาชีพบริษัทเอเจนซี่ทำ เพราะเนื้องานที่
ว่า จ้างทำจะต้องใช้สื่อหนังสือพิมพ์ , วิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งการวางแผนประชาสัมพันธ์ด้วย และทำไมจึงใช้ MSA ทำ ทั้ง ๆ ที่ MSA มีพนักงานเพียง 5 - 6 คน ทุนจดทะเบียนแค่ 1 ล้านบาท ประสบการณ์การทำงานมีเฉพาะทำแผ่นพับและป้ายโฆษณาหาเสียง รายได้ปีที่ผ่านมาของ MSA
ก็มีเพียงเล็กน้อย สำนักงานบริษัท MSA ซึ่งอยู่ที่บ้านเลขที่ 108/12 หมู่ 11 ซอย กม. 27 ถนนพหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ก็ไม่เป็นหลักแหล่งใช้บ้านกรรมการบางคน (นายวีระชาติ สินธุวรรณะ) เป็นสถานที่ทำการ นอกจากนั้น ยังใช้ที่ทำการของพรรคประชาธิปัตย์อาศัยเป็นสำนักงานสำรอง อันเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
3) หากจะพิจารณาสัญญาจ้างโครงการที่ 6 โครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยรถตระเวน จะเห็นได้ว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท
ทีพีไอฯ ก็คือ ผลิตภัณฑ์เปรโตเคมี การโฆษณาโดยใช้วิธีให้รถตระเวนแห่
เหมือนโฆษณางานวัด ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะขัดกับตัวสินค้าที่โฆษณา
และกลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อผลิตภัณฑ์
อีกทั้งหากพิจารณาสัญญาจ้างโครงการที่ 8 โครงการที่ปรึกษาและ
วางแผนประชาสัมพันธ์ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2548 มูลค่าจ้าง
65,000,000 บาท เป็นการจ้างโฆษณาใกล้วันเลือกตั้ง ผู้สมัครจะรับเงิน
งวดสุดท้ายออกไปหาเสียง ปรากฏว่าเนื้อหาของสัญญาจ้างไม่มีสาระอะไร
เป็นการจ่ายค่าจ้างที่สูงที่สุด ซึ่งต่อไปจะชี้ให้เห็นว่าเงินจำนวนเหล่านี้หลุด
ไปอยู่ในมือใคร และเกี่ยวข้องกับพรรค ปชป. และผู้บริหารพรรค ปชป.อย่างไร
4) จากการตรวจสอบงบการเงินที่บริษัท ทีพีไอฯ ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย ในปี 2547 , 2548 และ 2549 ไม่มีการแจ้งค่าใช้จ่ายโฆษณานี้
ให้แก่ผู้ถือหุ้นและตลาดหลักทรัพย์ฯ ทราบแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่มียอดค่าใช้จ่าย
จำนวนนี้สูงถึง 248.9 ล้านบาทเศษ เป็นการปกปิด ซอนเร้น อำพรางข้อเท็จจริงที่ต้องแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
การรับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ
ภายหลังจากทำสัญญาจ้างโฆษณาทั้ง 8 โครงการแล้ว บริษัท ทีพีไอฯ
ได้ จ่ายเงินค่าจ้างให้ MSA จำนวน 27 ครั้ง มีหลักฐานการจ่ายเงินเป็นเช็คของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 15 ฉบับ ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยสี่แยกถนนจันทร์ จำนวน 1 ฉบับ รวมเป็นเงิน 261,436,000 บาท เข้าบัญชีMSA ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต (สาขา
183) ดังมีรายละเอียด คือ
ครั้งที่ 1 วันที่ 12 กรกฎาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 10,000,000 บาท
ครั้งที่ 2 วันที่ 28 กรกฎาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 5,355,000 บาท
ครั้งที่ 3 วันที่ 7 กันยายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 12,495,000 บาท
ครั้งที่ 4 วันที่ 1 ตุลาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 1,476,000 บาท
ครั้งที่ 5 วันที่ 15 ตุลาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 4,974,000 บาท
ครั้งที่ 6 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0220411 จำนวนเงิน
7,150,000 บาท
ครั้งที่ 7 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0220412 จำนวนเงิน
5,148,000 บาท
ครั้งที่ 8 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0220413 จำนวนเงิน
7,436,000 บาท
ครั้งที่ 9 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0250379 จำนวนเงิน
7,150,000 บาท

ครั้งที่ 10 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0250380 จำนวนเงิน
5,148,000 บาท
ครั้งที่ 11 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0250381 จำนวนเงิน
14,872,000 บาท
ครั้งที่ 12 วันที่ 7 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 5,148,000 บาท
ครั้งที่ 13 วันที่ 7 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 7,150,000 บาท
ครั้งที่ 14 วันที่ 7 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 7,436,000 บาท
ครั้งที่ 15 วันที่ 16 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 5,148,000 บาท
ครั้งที่ 16 วันที่ 16 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 7,150,000 บาท
ครั้งที่ 17 วันที่ 29 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA
จำนวน 7,696,000 บาท
ครั้งที่ 18 วันที่ 29 ธันวาคม 2547 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยสี่แยกถนนจันทร์ จำนวนเงิน
13,728,000 บาท
ครั้งที่ 19 วันที่ 5 มกราคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289294 จำนวนเงิน
11,856,000 บาท
ครั้งที่ 20 วันที่ 14 มกราคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289702 จำนวนเงิน
10,296,000 บาท
ครั้งที่ 21 วันที่ 14 มกราคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289703 จำนวนเงิน
5,772,000 บาท
ครั้งที่ 22 วันที่ 14 มกรคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289704 จำนวนเงิน
8,892,000 บาท
ครั้งที่ 23 วันที่ 24 มกราคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289992 จำนวนเงิน
5,772,000 บาท
ครั้งที่ 24 วันที่ 24 มกราคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289991 จำนวนเงิน
10,296,000 บาท
ครั้งที่ 25 วันที่ 24 มกราคม 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0289959 จำนวนเงิน
8,892,000 บาท
ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0251218 จำนวนเงิน
33,800,000 บาท
ครั้งที่ 27 วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548 จ่ายเงินให้ MSA เป็นเช็ค
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เลขที่ 0330360 จำนวนเงิน
31,200,000 บาท
(รวมรับเงิน 27 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 261,436,000 บาท)
การเบิกเงินออกจากบัญชี MSA
หลังจากรับเงินเข้าบัญชีบริษัท MSA แล้ว นายประจวบ สังขาว
กรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท MSA ได้ดำเนินการทยอยเบิกเงินสดครั้งละ
ไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทางธุรกรรมทางการเงิน
จากธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง.แล้ว นำเงินสดไปมอบให้นายทีซี ในห้องทำงาน
ของนายทีซี ที่พรรค ปชป. นอกจากนั้น ยังได้ออกเช็คของธนาคารกสิกรไทย
สาขารังสิต ให้กับกลุ่มญาติพี่น้องของนายประจวบฯเอง , ญาติพี่น้องของ
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป. รวมทั้งคนสนิทของ
นายธงชัย และบุคคลอื่นตามที่สั่ง โดยแยกเป็นกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้
1. กลุ่มนายประจวบ สังขาว มีทั้งตัวนายประจวบฯ ญาติพี่น้องนาย
ประจวบฯ และญาติพี่น้อง นางสาววลัยลักษณ์ ประสงค์ เมียนายประจวบฯ
ซึ่งมีทั้งเบิกเป็นเงินสด และสั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีญาติพี่น้องให้ไปถอนเงินสด
เพื่อนำไปให้นายธงชัย
2. กลุ่มใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป.
3. กลุ่มใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วนพรรค ปชป.
4. กลุ่มใกล้ชิดนายประพร เอกอุรุ ส.ส.จังหวัดสงขลา พรรค ปชป.
ดังมีรายละเอียดการถอนเงินสด และจ่ายเช็คเข้าบัญชีบุคคลต่าง ๆ ข้างต้น
ในช่วงระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 202,002,870 บาท ต่อไปนี้
กลุ่มที่ 1 กลุ่มนายประจวบ สังขาว
1. นายประจวบ สังขาว ออกเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต
ถอนเป็นเงินสดแล้วนำไปมอบให้นายธงชัยฯ จำนวน 19 ครั้ง รวมเป็นเงิน
28,790,000 บาท ดังนี้
1.1 เช็คเลขที่ 4641744 ออกวันที่ 11 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 1,800,000 บาท
1.2 เช็คเลขที่ 4641745 ออกวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 1,810,000 บาท
1.3 เช็คเลขที่ 5445542 ออกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 1,815,000 บาท
1.4 เช็คเลขที่ 5445544 ออกวันที่ 16 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 1,800,000 บาท
1.5 เช็คเลขที่ 5445552 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 1,805,000 บาท
1.6 เช็คเลขที่ 5445555 ออกวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 1,800,000 บาท
1.7 เช็คเลขที่ 5445560 ออกวันที่ 29 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 350,000 บาท
1.8 เช็คเลขที่ 5445581 ออกวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547
ถอนเงินสด 200,000 บาท
1.9 เช็คเลขที่ 5445584 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
ถอนเงินสด 1,860,000 บาท
1.10 เช็คเลขที่ 5445587 ออกวันที่ 9 ธันวาคม 2547
ถอนเงินสด 1,950,000 บาท
1.11 เช็คเลขที่ 5445595 ออกวันที่ 21 ธันวาคม 2547
ถอนเงินสด 1,900,000 บาท
1.12 เช็คเลขที่ 6206017 ออกวันที่ 30 ธันวาคม 2547
ถอนเงินสด 1,900,000 บาท
1.13 เช็คเลขที่ 6206018 ออกวันที่ 10 มกราคม 2548
ถอนเงินสด 1,800,000 บาท
1.14 เช็คเลขที่ 6206068 ออกวันที่ 19 มกราคม 2548
ถอนเงินสด 1,900,000 บาท
1.15 เช็คเลขที่ 6206069 ออกวันที่ 20 มกราคม 2548
ถอนเงินสด 200,000 บาท
1.16 เช็คเลขที่ 6823388 ออกวันที่ 27 มกราคม 2548
ถอนเงินสด 1,900,000 บาท
1.17 เช็คเลขที่ 6823446 ออกวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548
ถอนเงินสด 1,900,000 บาท
1.18 เช็คเลขที่ 6823447 ออกวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548
ถอนเงินสด 200,000 บาท
1.19 เช็คเลขที่ 6823455 ออกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
ถอนเงินสด 1,900,000 บาท
(การถอนเงินสดทั้ง 19 ครั้งนี้ รวมเป็นเงิน 28,790,000 บาท
นายประจวบ สังขาว ได้นำไปมอบให้นายธงชัยฯ ดังที่กล่าวมาแล้ว)
2. นายสวัสดิ์ สังขาว เกี่ยวพันเป็นบิดานายประจวบ สังขาว รับเช็ค
ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดไว้รอ
ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาแจ้งวัฒนะ จำนวน 6 ครั้ง
รวมเป็นเงิน 12,609,050 บาท แล้วถอนเงินสดมามอบให้นายประจวบ สังขาว
เพื่อส่งมอบต่อให้นายธงชัยฯ ดังนี้
2.1 เช็คเลขที่ 4641759 ออกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,801,550 บาท
2.2 เช็คเลขที่ 5445548 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 3,601,050 บาท
2.3 เช็คเลขที่ 5445607 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,500 บาท
2.4 เช็คเลขที่ 5445633 ออกวันที่ 21 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,050 บาท
2.5 เช็คเลขที่ 6206014 ออกวันที่ 30 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,900 บาท
2.6 เช็คเลขที่ 6206079 ออกวันที่ 26 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,000 บาท
3. นายดิเรก ประสงค์ เกี่ยวพันเป็นน้องเมียนายประจวบฯ รับเช็ค
ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้
ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด จำนวน 2 ครั้ง
รวมเป็นเงิน 3,602,820 บาท แล้วถอนเงินสดมามอบให้นายประจวบ สังขาว
เพื่อส่งมอบต่อให้นายธงชัยฯ ดังนี้
3.1 เช็คเลขที่ 4641753 ออกวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,802,020 บาท
3.2 เช็คเลขที่ 6205988 ออกวันที่ 10 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,800,800 บาท
4. นายปัญญา ประสงค์ เกี่ยวพันเป็นพี่เมียนายประจวบฯ รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้
ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาติวานนท์(แคราย) จำนวน
6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 12,805,750 บาท แล้วถอนเงินสดมามอบให้นายประจวบ
สังขาว เพื่อส่งมอบต่อให้นายธงชัย ดังนี้
4.1 เช็คเลขที่ 5445546 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 3,600,950 บาท
4.2 เช็คเลขที่ 5445605 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,050 บาท
4.3 เช็คเลขที่ 6205986 ออกวันที่ 10 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,800,650 บาท
4.4 เช็คเลขที่ 6205987 ออกวันที่ 10 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,801,500 บาท
4.5 เช็คเลขที่ 6823453 ออกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 1,900,550 บาท
4.6 เช็คเลขที่ 6823452 ออกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 1,901,050 บาท
5. น.ส.จันทร์จิรา ศรีหบุตร เกี่ยวพันเป็นเมียนายปัญญา (พี่เมียนาย
ประจวบฯ) รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไปเข้าบัญชี
ตนเองที่เปิดรอไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาติวานนท์
(แคราย) จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,104,180 บาท แล้วถอนเงินสดมา
มอบให้นายประจวบ สังขาว เพื่อส่งมอบต่อให้นายทีซี ดังนี้
5.1 เช็คเลขที่ 5445547 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 3,601,550 บาท
5.2 เช็คเลขที่ 5445606 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,800,950 บาท
5.3 เช็คเลขที่ 6205989 ออกวันที่ 10 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 800,800 บาท
5.4 เช็คเลขที่ 6823451 ออกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 1,900,880 บาท
6. นางธิติมา พูลเพิ่ม เกี่ยวพันเป็นลูกน้องทำงานอยู่กับนายประจวบ
สังขาว รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MAS ไปเข้าบัญชีตนเอง
ที่เปิดรอไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1
จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 733,000 บาท แล้วถอนเงินสดมามอบให้
นายประจวบ สังขาว เพื่อส่งมอบต่อให้นายทีซี ดังนี้
6.1 เช็คเลขที่ 6823390 ออกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 233,000 บาท
6.2 เช็คเลขที่ 6823499 ออกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 500,000 บาท
7. นายณัฐพล จิรวิสุทธิกุล เกี่ยวพันเป็นบริวารคนสนิท ทำงานอยู่กับ
นายประจวบ สังขาว รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไป
เข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อย
เดอะมอลล์งามวงศ์วาน จำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 10,807,150 บาท แล้ว
ถอนเงินสดมามอบให้นายประจวบ สังขาว เพื่อส่งมอบต่อให้นายธงชัย ดังนี้
7.1 เช็คเลขที่ 4641759 ออกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,800,500 บาท
7.2 เช็คเลขที่ 5445551 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,801,020 บาท
7.3 เช็คเลขที่ 5445610 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,080 บาท
7.4 เช็คเลขที่ 5445631 ออกวันที่ 21 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,800,750 บาท
7.5 เช็คเลขที่ 6206065 ออกวันที่ 19 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,600 บาท
7.6 เช็คเลขที่ 6026053 ออกวันที่ 27 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,801,200 บาท
8. นายประมูล หอมหวน เกี่ยวพันเป็นลุงนายประจวบ สังขาว รับเช็ค
ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้
ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาลาดพร้าว 67 จำนวน 16 ครั้ง
รวมเป็นเงิน 20,295,150 บาท แล้วถอนเงินสดมามอบให้นายประจวบ สังขาว
เพื่อส่งมอบต่อให้นายทีซี ดังนี้
8.1 เช็คเลขที่ 4641752 ออกวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,800,500 บาท
8.2 เช็คเลขที่ 4641760 ออกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,800,250 บาท
8.3 เช็คเลขที่ 5445543 ออกวันที่ 16 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 534,000 บาท
8.4 เช็คเลขที่ 5445545 ออกวันที่ 18 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 300,000 บาท
8.5 เช็คเลขที่ 5445570 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 100,000 บาท
8.6 เช็คเลขที่ 5445550 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 3,600,950 บาท
8.7 เช็คเลขที่ 5445556 ออกวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 100,000 บาท
8.8 เช็คเลขที่ 5445609 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,000 บาท
8.9 เช็คเลขที่ 5445589 ออกวันที่ 9 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 200,000 บาท
8.10 เช็คเลขที่ 5445632 ออกวันที่ 21 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,800,900 บาท
8.11 เช็คเลขที่ 6206015 ออกวันที่ 30 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,801,050 บาท
8.12 เช็คเลขที่ 6206019 ออกวันที่ 10 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,000,000 บาท
8.13 เช็คเลขที่ 6206066 ออกวันที่ 19 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,803,000 บาท
8.14 เช็คเลขที่ 6206047 ออกวันที่ 20 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 50,000 บาท
8.15 เช็คเลขที่ 6206054 ออกวันที่ 20 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,801,500 บาท
8.16 เช็คเลขที่ 6206076 ออกวันที่ 26 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,000 บาท
9. นายมานพ น้าสุวรรณ เกี่ยวพันเป็นน้องเขยนายประจวบ สังขาว
รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไปเข้าบัญชีตนเองที่เปิด
รอไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนแจ้งวัฒนะ จำนวน
8 ครั้ง รวมเป็นเงิน 16,212,230 บาท แล้วถอนเงินสดมามอบให้นายประจวบ
สังขาว เพื่อส่งมอบต่อให้นายทีซี ดังนี้
9.1 เช็คเลขที่ 4641758 ออกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 1,801,800 บาท

9.2 เช็คเลขที่ 5445549 ออกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547
จำนวนเงิน 3,601,080 บาท
9.3 เช็คเลขที่ 5445608 ออกวันที่ 8 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,800,550 บาท
9.4 เช็คเลขที่ 5445630 ออกวันที่ 21 ธันวาคม 2547
จำนวนเงิน 1,800,500 บาท
9.5 เช็คเลขที่ 6206067 ออกวันที่ 19 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,800 บาท
9.6 เช็คเลขที่ 6206052 ออกวันที่ 20 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,801,500 บาท
9.7 เช็คเลขที่ 6206077 ออกวันที่ 26 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,000 บาท
9.8 เช็คเลขที่ 6823387 ออกวันที่ 27 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,000 บาท
10. น.ส.ธิตาพร ศักดิ์สกุล เกี่ยวพันเป็นลูกน้องทำงานอยู่กับนายประจวบ สังขาว รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA ไป
เข้าบัญชีตนเองที่เปิดรอไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขา
งามวงศ์วาน จำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 7,305,800 บาท แล้วถอนเงินสด
มามอบให้นายประจวบ สังขาว เพื่อส่งมอบต่อให้นายธงชัย ดังนี้
10.1 เช็คเลขที่ 6206078 ออกวันที่ 26 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,000 บาท
10.2 เช็คเลขที่ 6823383 ออกวันที่ 27 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 3,603,000 บาท

10.3 เช็คเลขที่ 6823450 ออกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 1,900,800 บาท
รวม กลุ่มนายประจวบ สังขาว เบิกเป็นเงินสดและโอนเข้าบัญชีญาติพี่น้องและคนสนิทของนายประจวบฯ แล้วนำมามอบให้นายธงชัยฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 121,265,130 บาท
กลุ่มที่ 2 กลุ่มญาติพี่น้องนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค ปชป.
ในขณะนั้น นอกจากจะรับเงินสดจาก MAS ผ่านทางนายธงชัย คลศรีชัย
แล้วยังมีการรับเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารของน้องสาวนายประดิษฐ์
ภัทรประสิทธิ์ และบริวารคนสนิทของนายธงชัยฯ อีกด้วย ดังนี้
1. นางศิริลักษณ์ ไม้ไทย เกี่ยวพันเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดากับ
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ทำธุรกิจเป็นหุ้นส่วนศูนย์การค้าใหญ่
แถวบางกะปิ รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จาก MSA
ไปเข้าบัญชีตนเองในวันเดียวกัน ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขา 709
ถนนวิทยุ ทั้ง 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 13,728,000 บาท ดังนี้
1.1 เช็คเลขที่ 6206011 ออกวันที่ 4 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 2,000,000 บาท
1.2 เช็คเลขที่ 6206010 ออกวันที่ 4 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 3,000,000 บาท
1.3 เช็คเลขที่ 6206012 ออกวันที่ 4 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 4,000,000 บาท
1.4 เช็คเลขที่ 6206013 ออกวันที่ 4 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 4,728,000 บาท


2. นางพัชราภรณ์ ถิรเลิศพาณิชย์ เกี่ยวพันเป็นญาติน้องสาวนายธงชัย
คลศรีชัย ได้รับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต เลขที่ 6823454 ลงวันที่
สั่งจ่าย 4 กุมภาพันธ์ 2548 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท จาก MSA
เข้าบัญชีตนเองที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขาภิบาล 1 บางกะปิ (อันเป็นวัน
ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเพียง 2 วัน) โดยอ้างว่านายธงชัยฯ มาขอใช้บัญชี
รวมกลุ่มญาติพี่น้องนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รับเงิน 23,728,000 บาท
กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้ใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์
ผู้ รับเงินกลุ่มนี้เกี่ยวพันกับผู้รับเงินกลุ่มที่ 4 ซึ่งเป็นญาติพี่น้องของนายประพร เอกอุรุ ส.ส.จังหวัดสงขลา พรรค ปชป. และเป็นคนจังหวัดสงขลา ในภายหลังทั้งสองกลุ่มนี้ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท สยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟู๊ด ทำธุรกิจ
แพปลา ปลาป่น ที่จังหวัดสงขลา กลุ่มใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รับเงินจาก MSA ดังนี้
1. นายนูญ สายอ๋อง เกี่ยวพันเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับนายนิพนธ์
บุญญามณี และต่อมาได้เป็นกรรมการบริษัท สยามอินเตอร์เนชั่นแนล
ฟู๊ด ซึ่งมีนางกัลยา บุญญามณี ภริยานายนิพนธ์ฯ ร่วมเป็นกรรมการ
บริษัทด้วย โดยนายนูญ สายอ๋อง รับเงินจาก MSA จำนวน 2 ครั้ง
เป็นเงิน 3,600,000 บาท ดังนี้
1.1 รับเป็นเงินสดจากนายมานพ น้าสุวรรณ น้องเขยนาย
ประจวบ สังขาว จำนวน 1,800,000 บาท เมื่อวันที่ 9
มกราคม 2548 โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีนายนูญ สายอ๋อง
ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสงขลา เลขบัญชี 901-1-3-356-3
1.2 รับเป็นเงินสดจากนายมานพ น้าสุวรรณ น้องเขยนาย
ประจวบ สังขาว จำนวน 1,800,000 บาท เมื่อวันที่ 20
มกราคม 2548 โดยวิธีโอนเข้าบัญชีนายนูญ สายอ๋อง ที่
ธนาคารกสิกรไทย สาขาสงขลา เลขบัญชี 901-1-3-356-3
2. นางมาลี ปัญญรักษ์ เกี่ยวพันเป็นน้องสาวนายนิพนธ์ บุญญามณี
รับเงินจาก MSA เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต หมายเลข
6823441 ลงวันที่สั่งจ่ายวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 เข้าบัญชีนางมาลีฯ
ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยเทียนร่วมมิตร จำนวนเงิน
10,000,000 บาท
รวมกลุ่มใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รับเงิน 13,600,000 บาท
กลุ่มที่ 4 กลุ่มใกล้ชิดนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรค ปชป. ซึ่งเกี่ยวพัน
กับกลุ่มผู้ใกล้ชิดนายนิพนธ์ บุญญามณี ดังที่กล่าวมาแล้ว และต่อมาภายหลัง
บุคคลทั้งสองกลุ่มได้ร่วมกันทำธุรกิจแพปลา ทำปลาป่น โดยจัดตั้งบริษัท
สยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟู๊ด กลุ่มที่ 4 นี้มีผู้รับเงินจาก MSA 9 คน รวม
เป็นเงิน 43,409,740 บาท ดังนี้
1. นางอาภาพร เอกอุรุ เกี่ยวพันเป็นน้องสาวนายประพร เอกอุรุ รับเงิน
จาก MSA เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต จำนวน 3 ฉบับ เป็นเงิน
10,404,040 บาท เข้าบัญชีตนเองที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสงขลา คือ
1.1 เช็คเลขที่ 6206075 ออกวันที่ 26 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 1,802,000 บาท
1.2 เช็คเลขที่ 6823386 ออกวันที่ 27 มกราคม 2548
จำนวนเงิน 3,601,020 บาท
1.3 เช็คเลขที่ 6823442 ออกวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548
จำนวนเงิน 5,001,020 บาท
2. นายสมศักดิ์ เอกอุรุ เกี่ยวพันเป็นญาตินายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา
พรรค ปชป. รับโอนเงินสดจาก MSA ผ่านทางธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท เข้าบัญชีตนเองที่
ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยถนนนครนอก สงขลา
3. นายอนุรักษ์ สังข์กูล เกี่ยวพันเป็นน้องเขยนายสมศักดิ์ เอกอุรุ
รับโอนเงินสดจาก MSA ผ่านทางธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต เข้าบัญชี
ตนเองที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยถนนนครใน สงขลา จำนวน 2 ครั้ง
ดังนี้
3.1 วันที่ 19 มกราคม 2548 รับโอนเงินสดจำนวน
1,800,080 บาท
3.2 วันที่ 20 มกราคม 2548 รับโอนเงินสดจำนวน
1,801,020 บาท
4. นายอัฏฐกร พระธาตุ เกี่ยวพันเป็นหลานนายสมศักดิ์ เอกอุรุ รับโอน
เงินสดจาก MSA ผ่านทางธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต เข้าบัญชีตนเองที่
ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยถนนนครใต้ สงขลา จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน
3,601,520 บาท ดังนี้
4.1 วันที่ 19 มกราคม 2548 รับโอนเงินสด จำนวน
1,800,500 บาท
4.2 วันที่ 20 มกราคม 2548 รับโอนเงินสด จำนวน
1,801,020 บาท
5. นางสาว สุนทรีย์ ถาวรรีย์ เป็นคนสนิท พักอาศัยอยู่บ้านเดียวกับ
นางอาภาพร เอกอุรุ รับโอนเงินสดจาก MSA ผ่านทางธนาคารกสิกรไทย
สาขารังสิต เข้าบัญชีตนเอง 1 ครั้ง ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขานองนอก
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2548 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท
6. นายวุฒิชัย วัตตธรรม เกี่ยวพันเป็นญาติเมียนายนิพนธ์ บุญญามณี
และต่อมาได้ร่วมทุนกับนางกัลยา บุญญามณี เมียนายนิพนธ์ฯ ตั้งบริษัท
สยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟู๊ด โดยเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว นายวุฒิชัยฯ
รับเงินจาก MSA จำนวน 1 ครั้ง เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต
เลขที่เช็ค 6823444 ลงวันที่สั่งจ่าย 3 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นเงิน 5,001,020 บาท
7. นายพิศ วัตตธรรม เกี่ยวพันเป็นบิดานายวุฒิชัยฯ ได้รับเงินจาก MSA จำนวน 1 ครั้ง เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต เลขที่เช็ค
6823443 ลงวันที่สั่งจ่าย 3 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นเงิน 5,001,020 บาท
8. นางศรัญยา ภูริศักดิ์ไพศาล เกี่ยวพันเป็นเมียนายวุฒิชัย วัตตธรรม
รับเงินจาก MSA จำนวน 1 ครั้ง เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต
เลขที่เช็ค 6 823445 ลงวันที่สั่งจ่าย 3 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นเงิน
5,001,020 บาท
9. นางรัตติยา ละอองจิปดา เกี่ยวพันเป็นคนสนิทลูกน้องนางอาภาพร
เอกอุรุ รับโอนเงินจาก MSA จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 3,600,000 บาท ดังนี้
9.1 วันที่ 19 มกราคม 2548 รับเงินจาก MSA โดยนายประมูล
หอมหวน โอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาสงขลา
จำนวนเงิน 1,800,000 บาท
9.2 วันที่ 19 มกราคม 2548 รับเงินจาก MSA โดยนายประมูล
หอมหวน โอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาลาดพร้าว 44
จำนวนเงิน 1,800,000 บาท
รวมกลุ่มใกล้ชิดนายประพร เอกอุรุ รับเงินจาก MSA ทั้งสิ้น 43,409,740 บาท
กล่าว โดยสรุป บุคคลทั้ง 4 กลุ่มดังกล่าวแล้ว รับเงินจาก MSA ทั้งหมด ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ก่อนวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรทั่วไป ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 202,002,870 บาท โดยบุคคลผู้รับเงินดังกล่าวมิได้ประกอบอาชีพหรือมีธุรกิจโฆษณาแต่ประการใด นอกจากนั้น บุคคลเหล่านี้ยังมิได้ยื่น
แบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อกรมสรรพากร ซ้ำ MSA ยังนำใบกำกับภาษีปลอม โดยอ้างว่าได้ซื้อสินค้าจากบริษัทที่ถูก
แบล็คลีสต์จากกรมสรรพากร รวม 3 บริษัท ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
(เดือนธันวาคม 2547 และเดือนมกราคม 2548) เป็นเงิน 170 ล้านบาทมาหัก
เป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี แต่ถูกกรมสรรพากรจับได้เสียก่อน แสดง
ให้เห็นชัดเจนว่าถ้าหาก MSA ซื้อสินค้าเพื่อจัดทำการโฆษณาจริงก็จะต้อง
มีใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง แต่ MSA กลับใช้ใบกำกับภาษีปลอม ย่อมแสดง
อยู่ ในตัวว่าไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์จริง สัญญาจ้างโฆษณาทั้ง 8 โครงการ มูลค่า 248.9 ล้านบาท จึงเป็นเพียงนิติกรรมอำพราง เพื่อนำเงิน
ออกจากบริษัท ทีพีไอฯ ช่วยสนับสนุนการเงินพรรค ปชป. ซึ่งรายละเอียด
จะมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกดังจะได้กล่าวต่อไป




 

Create Date : 25 มีนาคม 2552    
Last Update : 25 มีนาคม 2552 16:27:54 น.
Counter : 554 Pageviews.  

ตัวอย่างจุดอ่อนเช็คช่วยชาติ2000บาทของพรรคกะจั๊ว

ลิงข่าว: //www.thailandindustry.com/home/news_preview.php?id=5676§ion=5
--------------------------------------------

โออิชิ รับเช็คช่วยชาติ 2 พันบาท

" โออิชิ" คลอดมาตรการรับเช็คช่วยชาติ 2 พันบาทเปิดตัวแคมเปญ "โปรโมชั่นช่วยชาติ กับโออิชิ" อัพมูลค่าราคาให้เป็น 4 พันบาท แถมยินดีรับทอนเป็นเงินสด เริ่ม 1-30เม.ย.นี้เชื่อเอ็มเคสุกี้, แมคโดนัลด์ฯลฯเอาด้วย

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายจ่ายเช็คจำนวน 2,000 บาท เพื่อช่วยค่าครองชีพผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวแคมเปญ "โปรโมชั่นช่วยชาติ กับโออิชิ" เพื่อต้องการจุดกระแสให้ภาครัฐ และเอกชนต่างๆ ออกมาจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าว

ทั้ง นี้ เชื่อว่าหากภาคเอกชนทุกแห่งให้ความร่วมมือและช่วยกระตุ้น จะทำให้งบประมาณ 20,000 ล้านบาทที่รัฐบาลใช้ในโครงการนี้ เกิดการหมุนเวียนในระบบถึง 4-5 รอบ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ขณนี้ถือว่าการออกมาจัดแคมเปญของภาคเอกชนค่อนข้างเงียบ ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการภาครัฐในช่วงแรกที่ไม่ชัดเจน อีกทั้งหลายบริษัทอาจกังวลเรื่องภาพลักษณ์ว่า การออกมาจัดแคมเปญ เหมือนการดึงเงินจากคนจน ที่มีเงินจำกัดอยู่แล้ว

สำหรับแคมเปญของ บริษัทจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1-30 เมษายนนี้ ผู้บริโภคสามารถนำเช็คจำนวน2,000 บาทมาเพิ่มมูลค่าเป็น 4,000 บาท จากการแลก "แพ็คเกจช่วยชาติกับโออิชิ" หรือคูปองเงินสด (Gift Vouchers) ที่ร้านค้าในเครือโออิชิ กรุ๊ป กว่า 100 สาขา โดยแตกเป็น 500 ทั้งหมด 4 ใบ และ 250 อีก 8 ใบ เพื่อสะดวกในการใช้จ่ายแต่ละครั้ง หรือนำเช็คดังกล่าวไปซื้อสินค้าและบริการที่ร้านค้าในเครือ มีกำหนดภายใน 6 เดือนโดยถ้ายอดไม่ถึง 2,000 บาทบริษัทยินดีทอนให้เป็นเงินสดทันที

"แคมเปญช่วยชาติครั้งนี้ จริงๆ ก็เหมือนช่วยตัวเองด้วย ตอนนี้ถือว่าผมทำเกินหน้าที่ พูดดังๆ ให้เกิดกระแส อยู่ที่ว่าใครจะตอบรับไหม"

โดย เบื้องต้นบริษัทได้เตรียมแพ็กเกจช่วยชาติ หรือคูปอง ไว้สำหรับแลกเช็คถึง 400 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเติบโต 2 เท่าจากยอดขาย โดยทุกปีในเดือนเมษายนร้านอาหารเครือโออิชิ จะมียอดอยู่ที่ 200 ล้านบาท

" ผมเชื่อว่าจากการที่ออกมาทำ จะส่งผลให้คู่แข่งทั้งเอ็มเค สุกี้, แมคโดนัลด์ ฯลฯ ต้องออกมาจัดแคมเปญด้วย ซึ่งอันนี้เป้าหมายที่แท้จริงของเรา เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หากในที่สุดแล้วภาคเอกชนอื่นๆ ไม่ค่อยตื่นตัวที่จะจัดกิจกรรมรองรับ เฉพาะเดือนเมษายนนี้ อาจทำให้เราโตถึง 3-4 เท่า"

นอกจากจัดแคมเปญ ดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้ใช้งบกว่า 20 ล้านบาท ถมที่เพิ่ม ที่ตลาดนัด บานาน่า สแควร์ จ.ลพบุรี จากเดิมใช้พื้นที่สำหรับตลาดนัดมทั้งสิ้น 50 ไร่ เพิ่มเป็น 76 ไร่ นอกจากนี้ ยังถมที่ตลาดนัด Think Park ถนนนิมมานเหมินทร์ ทั้งหมด 14 ไร่ เพื่อเชิญชวนคนที่ตกงาน คนที่ต้องการหารายได้พิเศษ มาเปิดท้ายขายของ โดยบริษัทจะไม่มีการเก็บค่าเช่าแต่อย่างใดตลอดเดือนเมษายน

โดยจะมีการตั้งเตนท์หน้าตลาดนัดทั้ง 2 แห่ง เพื่อแลกเช็ค 2,000 บาท เป็นเงินสดเพื่อสามารถนำไปจับจ่ายในตลาดนัด โดยจับมือกับโครงการธงฟ้า-ราคาประหยัด ของกระทรวงพาณิชย์ นำสินค้าต่างๆ มาจำหน่าย นอกจากนี้ ยังชวนผู้ประอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นมาร่วมโครงการด้วย ความพิเศษของโครงการนี้ เพื่อจูงใจผู้บริโภค คือ แลกเช็ค 2,000 บาท แจกโออิชิ 2 ขวด และคูปองจับฉลาก มีของรางวัลเป็นมอเตอร์ไซค์ และทอง มูลค่าของรางวัล 200,000 บาท โดยคาดว่าจามีเงินสะพัดในตลาดนัดทั้ง2 แห่ง หลักสิบล้านบาท



สินค้าในเครือ Oishi มีแต่ของฟุ่มเฟือย ครับ

ถ้า ใครเคยทำอาหารญี่ปุ่น คงรู้ดีว่าอาหารญึ่ปุ่นต้นทุนต่ำมากๆ ต้องยกนิ้ว(เท้า) ให้นายตันจริงๆ ครับ ที่สามารถปั่นของราคาถูกๆ ให้เป็นของราคาแพงๆ ได้ ข้าวปั้นริมถนนก้อนหนึ่ง = 10 บาท(แพงแล้วนะเนี่ย) เคยหลวมตัวไปซื้อของนายตัน ที่เอามารถราคา ก้อนละ 20-40 บาท(เหอๆ) รู้สึกจะข้าวปั้นหน้าไข่เจียวหรือไงเนี่ยแหละ ผมทำเองที่บ้านจะเอากี่สิบก้อนก็ได้
ไปกินบุฟเฟต์ทีหัวละ 500 ถ้าคนกินมีสมองสักหน่อย ชวนเพื่อนไปอีกคน ก็สามารถสั่งอาหารจีนหรูๆ มานั่งกินกันตามใจชอบได้แล้ว แทนที่จะมานั่งกินข้าวปั้นดื่มน้ำชากันอย่างเดียว

ชาเขียวก็ใช่ ไม่รู้กินไปทำไม มันไม่ใช่ชาแท้ แต่เป็นกลิ่นชาผสมน้ำตาลเท่านั้น อยากรู้ว่าชาเขียวของจริงเป็นไง ไปซื้อแบบที่เขาบดแล้วอบแห้งตามร้านขายเครื่องชำจีนดูครับ(แถวเยาราช พรึ่บ) กินกันจนปัสสาวะเล็ด ก็ไม่กี่บาทเอง แถมได้คุณค่าจากชาเขียวของแท้ด้วย

ผมไม่ชอบนายตันเท่าไหร่ เพราะแกฉลาดทางการตลาดเกินไป คนไม่รู้จะหมดเงินหมดทองไปกับสินค้าราคาแพงของแกมากๆ แต่ในแง่การรีดเงินจากคนโง่ที่เรียนสูงๆ ผมยกนิ้วให้แกครับ เก่งโคตรๆ

จากคุณ : จาน ชาม ช้อน ส้อม - [ 11 มี.ค. 52 03:42:40 A:192.168.0.17 X:195.131.152.218 ]

+ + + กระตุ้นเศรษฐกิจแบบ – กระสุนนัดเดียวได้นก 3 ตัว...? + + +
9 โครงการ, ใช้เงินงบประมาณ 37,464 ล้านบาทเพื่อ “ฟื้นฟูและเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ”และอีก 5 โครงการเพื่อ “เสริมสร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงด้านสังคม” ใช้เงินงบประมาณ ห้าหมื่นกว่าล้านบาท.

ถามว่า ; เป้าหมายที่แท้จริงคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ จริงหรือ..?

เพราะเพียงเรื่อง เช็ค 2,000 บาท/คน – ก็ไม่มีความชัดเจนแล้ว.

โครงการการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ คนละ 2,000 บาท (เฉพาะที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน)
- บุคลากรภาครัฐ 1.32 ล้านคน (2,652 ล้านบาท)
- ผู้ประกันตน 8.13 ล้านคน (16,318 ล้านบาท)
- ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- พนักงานรัฐวิสาหกิจ 38,000 คน

เพราะ (รัฐบาลทำให้) ผู้คนเข้าใจว่า ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ“ เงิน 2,000 บาท คือเงินช่วยคนจน” ..รัฐบาลท่านใจดี!(..โอ๋อย่ากลัวน่ะลูก..ไม่ต้องกลัวน่ะลูก..เดี๋ยวรัฐบาลจะช่วย..)

รัฐบาลไม่เคยอธิบายว่า “2,000 บาท – จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร..?

หรือที่ไม่บอกให้ประชาชนรู้ – เพราะกลัวว่า ‘กระสุนนัดเดียว จะได้นกตัวเดียว’เพราะคาดหวังว่า จะได้นก 3 ตัว.

- - อะไรคือ ‘นก 3 ตัว’ ..?

นกตัวที่ 1. คือ (Target group) คะแนนนิยมจากกลุ่มเป้าหมาย ที่ได้รับเงิน 2,000.
นกตัวที่ 2. คือ (Benefit group) กลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจ่ายและรับเงิน 2,000.
นกตัวที่ 3. คือ (Actually objective) เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ.

สุดท้ายจะได้นกกี่ตัว – อีก 2 เดือนได้คำตอบ!

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

การกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือจะกระตุ้นอะไรก็ตาม สำเร็จยาก ถ้าไม่ “รู้วิธี – มีวิธี”...ที่เลวที่สุดคือ “ใช้วิธี” ที่บิดเบือน!!!

“การกระตุ้น” ที่ประเทศเราไม่เคยมี คือ ‘การกระตุ้นจิตสำนึก’ กระตุ้นจิตสำนึกให้สู้, ให้เสียสละ, ให้ร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อประเทศชาติ.

จากคุณ : คนบ้านปาง - [ 11 มี.ค. 52 07:28:01 A:118.172.107.196 X: ]

นี่แหละครับ วิธีแบบคุณตันนี่แหละที่จะทำให้เงิน 2000 บาทที่แต่ละคนได้รับมันจะหายไปอย่างรวดเร็วมากๆ กินข้าว กินเลี้ยงกันมื้อเดียวก็หมดแล้ว

มันไม่ได้ช่วยการกระจายการใช้เงินไป เลย เช็ค 2000 ที่ออกมา ถึงมันจะเป็นคูปองหรือไม่ใช่ มันจะแตกเป็นเศษ 500 หรือ 100 มันก็ค่าเท่ากัน ถ้า การใช้ตรงนี้ มันไปอยู่กับธุรกิจบนห้างหมด

แล้วอย่าง คุณตัน สามารถเพิ่มมูลค่าของเช็คได้เพราะแกแค่ลดกำไรตัวเองลง เหมือนลดราคาสินค้า ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า กำไรเขาเยอะขนาดไหน

แต่กับผู้ค้ารายย่อย แม่ค้าตามตลาดล่ะ จะได้ประโยชน์จากตรงนี้เมื่อไร

แล้ว นี่ก็เห็นวิธีการของนักการตลาดแล้ว แล้วอย่าลืมว่าไม่ใช่มีแค่คุณตันคนเดียวที่คิดได้ คนอื่นๆ ก็คิดเหมือนกัน มันก็กลายเป็นการแข่งกันลดราคา เพื่อแย่งเงิน 2000 บาทตรงนี้ แล้วการลดราคาก็รู้อยู่มันคือการลดราคาเพื่อระบายสินค้าเก่าออกจากตลาด

มัน จะเกิดนโยบาย กำขี้ดีกว่ากำตด ยอมขายถูกเพื่อไม่จมทุน เอาของเก่าออกมาขายระบายสินค้าในสต๊อกมันยกใหญ่ นโยบายมันก็กลายเป็นน้ำพริกละลายแม่น้ำ ตำน้ำพริกมาแค่ครกเดียว จะทำแกงเลี้ยงคนทั้งประเทศ
สักแต่ว่าได้ทำแล้ว มีโครงการช่วยประชาชนแล้วแต่ไม่ได้คิดถึงผลสำเร็จ
ไม่ได้กำหนดแนวทางเลย
นโยบาย ช่วยกันซื้อผลไม้ช่วยเกษตรกรยังดูมีทิศทางกว่า ช่วยกันเป็นกลุ่มๆไปเลย
สมมตินะครับ ถ้าเงินสองพันนี้ เอาไปช่วยกันซื้อสินค้าจากงานโอท๊อปที่จะจัดขึ้นก็น่าจะดีกว่า
แต่ งานโอท๊อป ดันย้ายสถานที่ ต้องใช้ งบประมาณต่ำๆ ก็ 140 ล้านบาท เอาไปหักจาก จำนวนคนที่ได้สองพันบาทนี้ เท่ากับคนเจ็ดหมื่นคน ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย (น่าเศร้ากับนโยบายของรัฐนี้จริงๆ)

จากคุณ : arthure21 - [ 11 มี.ค. 52 10:59:54 A:192.168.1.22 X:124.121.21.95 ]

คนที่ได้รับ 2000 บาท คือกลุ่มที่รัฐบาลจัดว่ามีรายได้น้อย

แล้วคนมีรายได้น้อย กล้าดียังไงจะเอาเงินอันมีอยู่น้อยนิด ไปถลุงกับโออิชิ

หรือไม่ได้จนจริง???

หรือไม่มีจิตสำนึก???

รัฐบาล หว่านเงินไม่ดูตาม้าตาเรือ คนเดือดร้อนจริง ๆ ไม่ได้รับการช่วยเหลือ คนที่ได้เงินไปใช้สบายแฮ คือคนที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนักหนา

สุดท้ายก็หว่านเงินอย่างเคย ไม่ต่างจากมิยาซาว่า เค้าถึงว่าคนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ เคยเป็นยังไง ก็คงเป็นอยู่เช่นนั้นแล..

จากคุณ : แม่ชื่น - [ 11 มี.ค. 52 11:03:10 A:203.156.87.215 X: ]

การกระตุ้นการใช้เงินนั้นผมเห็นด้วยในเชิงที่ว่า ลูกค้าต้องอุดหนุนได้เฉพาะสินค้าที่จำเป็นของผู้ผลิตรายย่อย สินค้าOTOPหรือรากหญ้าเท่านั้น
ห้ามนำเงินที่ได้รับมาไปใช้อุดหนุนสินค้าฟุ่มเฟือยเด็ดขาด และต้องไม่เอาไปใช้อุดหนุนสินค้าของบริษัทเอกชนใหญ่ๆ
ดังนั้นนโยบายเช็ค2พันบาทของรัฐบาลนี้ ผมจึงขอคัดค้านเต็มที่ครับ และนี่เป็นตัวอย่างจุดอ่อนที่สำคัญของเช็ค2พันบาทที่ไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจชาติ เลยแม้แต่นิด




 

Create Date : 11 มีนาคม 2552    
Last Update : 11 มีนาคม 2552 14:18:44 น.
Counter : 1270 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.