ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

พรรคประชาธิปัตย์ ขุดหลุมฝังตัวเอง

ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 สั่งให้ยุบพรรคการเมือง 3 พรรคประกอบไปด้วย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมกับเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมือง ทั้ง 3 พรรค เป็นเวลา 5 ปี ก็เกิดกระแสเรียกร้องจากนักธุรกิจ และนักวิชาการ ให้มีการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง คือต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แทนที่พรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบพรรคไป

ปัญหาสำคัญที่ต้องพิจารณาจึงมีอยู่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ สมควรจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงเวลานี้หรือไม่ ในเบื้องต้น

ถ้าพิจารณาจากแง่มุมทางนิติศาสตร์ โดยยึดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นหลัก ก็อาจกล่าวได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีความชอบธรรมทุกประการ ที่จะรวบรวมเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่นๆ แล้วจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มิได้มีบทบัญญัติบังคับไว้ว่า พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมามากเป็นอันดับที่หนึ่ง จะต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป

แต่ถ้าพิจารณาตามหลักรัฐศาสตร์ ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยในขณะนี้ จะพบว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สมควรจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเวลานี้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

เหตุผลข้อแรก ไม่สง่างาม เพราะไม่ได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมานั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 164 คน ขณะที่พรรคพลังประชาชน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 233 คน จากการเลือกตั้งครั้งนั้น มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ถึง 69 คน ซึ่งถือเป็นส่วนต่างที่สูงมากพอสมควรในทางการเมือง ในประเด็นนี้

คง ต้องถามใจของท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า ท่านจะรู้สึกภาคภูมิใจหรือ ที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูปต่อพรรคพลังประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา?

ท่านจะรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าหรือไม่ ถ้ารอให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แล้วท่านจึงจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างสง่างามที่สุด?

เหตุผลข้อที่สอง ซึ่งสำคัญกว่าเหตุผลข้อแรก ก็คือ ตลอดเวลากว่า 193 วัน ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลนั้น พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหา และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งทางตรง และทางอ้อม อีกทั้งแกนนำของกลุ่มพันธมิตรฯ หลายคน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น เช่น อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประพันธ์ คูณมี และสำราญ รอดเพชร อดีตสมาชิกวุฒิสภา พิเชฐ พัฒนโชติ รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน กลุ่มที่ 5 ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย คือ อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์

อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ เกือบจะไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ผิดกฎหมาย และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทั่วไป ของกลุ่มพันธมิตรฯ เลยแม้แต่น้อย ก็ยิ่งส่งผลให้พี่น้องประชาชนรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยมากยิ่งขึ้นว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น อยู่เบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรฯ ในการโค่นล้มรัฐบาล ที่นำโดยพรรคพลังประชาชน เพื่อให้ตัวเองได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนใช่หรือไม่

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันข้อสงสัย ที่อยู่ในใจของประชาชนจำนวนมากว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ โค่นล้มรัฐบาล เพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงว่ากลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ได้สร้างความเสียหายแก่ประเทศมากเพียงใด และไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย ที่พรรคประชาธิปัตย์เองประกาศว่า ยึดมั่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังจะสูญเสียคะแนนเสียงจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปจำนวนไม่น้อยอีกด้วย

เหตุผลข้อที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือ ถึงแม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะสามารถจัดตั้งรัฐบาล ได้สำเร็จ แต่จะไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างราบรื่น จากข้อมูลของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎร เหลือสมาชิกที่ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จำนวน 438 คน เพราะฉะนั้น การจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีเสียงสนับสนุนเกิน 219 เสียง สมมุติว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่ขณะนี้ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ 165 คนสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากทุกพรรคการเมือง ยกเว้นอดีตพรรคพลังประชาชน คือ พรรคเพื่อแผ่นดิน 21 เสียง อดีตพรรคชาติไทย 15 เสียง อดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตย 11 เสียง พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 9 เสียง พรรคประชาราช 5 เสียง ก็จะได้เสียงสนับสนุนทั้งหมด 226 เสียง เกินกึ่งหนึ่งไปเพียง 7 เสียง และมีเสียงมากกว่า พรรคฝ่ายค้านซึ่งก็คือ อดีตพรรคพลังประชาชนที่ปัจจุบันใช้ชื่อว่า “พรรคเพื่อไทย” เพียง 14 เสียงเท่านั้น ซึ่งโดยธรรมชาติของระบบรัฐสภาแบบไทย รัฐบาลที่เสียง “ปริ่มน้ำ” แบบนี้จะไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้เลย และคงจะมีอายุอยู่ได้ไม่นาน

นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 177 วรรคสองว่า “ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารัฐมนตรีผู้ใด เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันด้วย ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นออกเสียงลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรง ตำแหน่ง การปฏิบัติหน้าที่ หรือการมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น” หมายความว่า ถ้ารัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ แต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นรัฐมนตรีทั้งหมด คะแนนเสียงของรัฐบาลเวลาลงมติร่างกฎหมายสำคัญๆ ก็จะหายไป 36 เสียงทันที คือเหลือเสียงสนับสนุนเพียง 190 เสียงเท่านั้น น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด และน้อยกว่าพรรคฝ่ายค้าน แนวทางแก้ไข ก็อาจจะต้องแต่งตั้งผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่ แต่การกระทำเช่นนี้ ก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละคน ย่อมหวังที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เมื่อผิดหวังก็อาจจะแสดงพฤติกรรม “ตีรวน” ในสภา กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล

เพราะฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ จึงเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว คือ ต้องพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยสังกัดพรรคพลังประชาชนหันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้จงได้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ของพรรคพลังประชาชน จำนวนกว่า 37 คนนั้น มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง รัฐบาลก็จะมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็น 263 เสียง ก็อาจจะกล่าวได้ว่า มีเสถียรภาพ และความมั่นคงพอสมควร

แต่ทว่า ปัญหาจะไม่ได้ยุติลงเพียงเท่านั้น เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “กลุ่มเพื่อนเนวิน” จะกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล สามารถต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี และผลประโยชน์ต่างๆ ได้ตามที่ใจปรารถนา ถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ ไปดึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคประชากรไทย จำนวน 12 คน ซึ่งต่อมาก็ถูกเรียกว่า “กลุ่มงูเห่า” มาสนับสนุนคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 เมื่อปลายปี พ.ศ. 2540 นั้น “กลุ่มงูเห่า” ยังได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 3 ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม แล้ว “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ที่มีสมาชิกถึงกว่า 37 คนก็คงจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีไม่น้อยกว่า 5 ตำแหน่ง

คำถามมีอยู่ว่า ถ้า “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ต่อรองขอตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง “เกรดเอ” ที่มีอำนาจ และงบประมาณมากมายมหาศาล เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ โดยข่มขู่ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเหล่านี้ จะถอนตัวไม่สนับสนุนรัฐบาลอีกต่อไป พรรคประชาธิปัตย์จะกล้าปฏิเสธหรือไม่ เมื่อความอยู่รอดของรัฐบาลล้วนขึ้นอยู่กับ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ทั้งสิ้น

และเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ก็คือ ถ้า “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ยังคงต้องการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ต่อรองให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกสังคมประณามว่า “ทรยศประชาชน” ด้วยการเล่น “ปาหี่” ทางการเมือง ช่วยเหลืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งหมายรวมถึง นักโทษที่หลบหนีอาญาแผ่นดินที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จะตอบคำถามประชาชนว่าอย่างไร? ไม่ทราบว่า แกนนำพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ไปนั่งแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล กับกลุ่มเพื่อนเนวิน อย่างมีความสุข เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่โรงแรมสุโขทัยนั้น เคยนึกถึง หรือนึกกลัวประเด็นเหล่านี้บ้างหรือไม่

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ กล่าวถึงเฉพาะการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี และผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดจาก “กลุ่มเพื่อนเนวิน” เท่านั้น ยังไม่นับการเจรจาต่อรอง ที่อาจเกิดจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของรัฐบาลผสมทุกยุคทุกสมัย พรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะไม่เหลือภาวะผู้นำอีกเลย นโยบาย “วาระประชาชน” ที่ประกาศไว้ในช่วงของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างสวยหรู จะไม่มีทางเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น จะมีประโยชน์อันใดถ้าได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่สามารถคุมกระทรวงสำคัญๆ ไว้ได้ อีกทั้งไม่สามารถนำนโยบายที่เคยประกาศไว้ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนก็จะรู้สึกผิดหวัง และลงโทษพรรคประชาธิปัตย์ผ่านกระบวนการการเลือกตั้งเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้น มาแล้วในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ที่ผ่านมา แล้วพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะต้องกลับไปเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง เป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งไม่คุ้มค่ากันเลย กับการได้เป็นรัฐบาลเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ต้องแลกกับความผิดหวังของประชาชน และความตกต่ำของพรรคในท้ายที่สุด

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ยังอาจจะต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้าน ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มีรูปแบบ และระดับความรุนแรง ไม่ต่างจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เท่าไรนัก เพราะเมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ สามารถดำเนินการอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจกฎหมายของบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานดอนเมือง และ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายได้ ย่อมเป็นบรรทัดฐานที่เลวร้าย ที่กลุ่มอื่นๆ จะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน เ

เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเผชิญกับสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไร ถ้าจะใช้กำลังความรุนแรงเข้าปราบปราม จะถูกประณามว่าเป็น “ทรราชที่เข่นฆ่าประชาชน” แต่ถ้าไม่ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้ การชุมนุมยืดเยื้อออกไป ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคารพ และไม่รักษากฎหมาย ไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์อดทนรออีกสักระยะหนึ่ง แล้วได้เป็นรัฐบาล ด้วยฉันทามติของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ กลุ่ม นปช. จะหมดความชอบธรรมในการชุมนุมต่อต้าน หรือขับไล่พรรคประชาธิปัตย์ในทันที

จากรายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมด พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ควรเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเวลานี้ เพราะมีแต่ผลเสีย ไม่มีผลดีอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ควรจะยืนหยัดทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งต่อไป ขณะเดียวกันก็พยายามปรับปรุงนโยบาย ให้สามารถตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น พร้อมทั้งเร่งขยายสาขา เครือข่าย และกิจกรรมในพื้นที่ที่ยังคงเป็นจุดอ่อนของพรรค คือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป ซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันว่า จะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะสามารถเป็นทางเลือกที่ดีของพี่น้องประชาชน และสามารถชนะการเลือกตั้งได้ไม่ยาก เมื่อถึงเวลานั้น พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะได้เป็นรัฐบาลอย่างสง่างาม ชอบธรรม คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภาวะผู้นำสูง สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติเพื่อนำพาประเทศออกจากวิกฤติได้อย่างแน่นอน

แต่ไม่ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมีความอดทนมากขนาดนั้นหรือไม่ เพราะจากข่าวล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้เรียบร้อย แล้ว และจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ตามที่ได้อธิบายโดยละเอียดข้างต้นแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ !!!

โดย คุณทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์
ที่มา เวบไซต์ ประชาไท
8 ธันวาคม 2551




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2551    
Last Update : 9 ธันวาคม 2551 0:43:52 น.
Counter : 469 Pageviews.  

"ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร" แฉ"แอลซี"ประวัติศาสตร์ กับเสียงเตือน"สักวันหนึ่งจะติดคุก"

หมายเหตุ - ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ติดตามตรวจสอบคดีการทุจริตโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงกรุงเทพ มหานคร มูลค่า 6,700 ล้านบาท มาตั้งแต่ปี 2547 เปิดเผยเบื้องหลังกับ "มติชน" ในการติดตามคดีนี้จนกระทั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวม 7 คน หนึ่งในนั้นคือนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ตั้งแต่ผมเข้ามาจับคดีทุจริตรถ และเรือดับเพลิง มีคนถามมาตลอดว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เล่นงานผมหรือเพราะคดีนี้มีผลกระทบกับ คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน

ขอชี้แจงว่า ผมกับคุณอภิรักษ์ เคยทำกิจกรรมร่วมกันมานานแล้ว เมื่อปี 2546 ช่วงที่คุณอภิรักษ์ยังเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท แกรมมี่ ส่วนผมเป็น ส.ส.มหาสารคาม พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นกรรมาธิการตำรวจ เวลานั้นม็อบต่อต้านลิขสิทธิ์เพลงชุมนุมหน้าตึกแกรมมี่

คุณอภิรักษ์ติดต่อขอให้ทางคณะกรรมาธิการตำรวจช่วยเจรจากับม็อบ ผมเข้าไปไกล่เกลี่ยจนเหตุการณ์ยุติ คุณอภิรักษ์ขอบคุณและจัดเลี้ยงให้คณะกรรมาธิการ

ปีถัดมา คุณอภิรักษ์ลงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ผมมีส่วนในการระดมทุนหาเสียง เรื่องนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็รู้เรื่องนี้ดี

ผมลำดับที่มาเพื่อให้เห็นว่าผมกับคุณอภิรักษ์มีความสัมพันธ์อันดีมาตลอด เราทำงานการเมืองร่วมกันไม่มีอะไรกันเลย ดังนั้น ใครที่มากล่าวหาว่าผมจ้องเล่นคุณอภิรักษ์นั้น ผมก็ขอความเป็นธรรมด้วย

และที่สำคัญคือผมติดตามตรวจสอบคดีทุจริตรถเรือดับเพลิง กทม. ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 ก่อนที่คุณอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯกทม.เสียด้วยซ้ำไป

พรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน หน้าที่ของเราคือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เมื่อผมเห็นว่าเรื่องการจัดซื้อรถเรือดับเพลิงของ กทม.มีความไม่ชอบมาพากล จึงแจ้งให้พรรคทราบเพื่อขอยื่นกระทู้ ทางคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคร่วมรับรู้

ผมยื่นกระทู้ถามเรื่องรถเรือดับเพลิงในสภาตั้งแต่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าฯกทม.ในขณะนั้นยังไม่ได้เซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์พุคฯ แห่งออสเตรีย

มีคนถามอีกเหมือนกันว่าทำไมไม่ ให้ฝ่ายรัฐบาลเซ็นสัญญาส่งมอบเรียบร้อยเสียก่อนเพราะจะได้หลักฐานชัดเจนแน่น หนา นั่นเป็นวิธีคิดของนักการเมืองรุ่นเก่าๆ

ผมเห็นว่าหากรถเรือดับเพลิง กทม.มีความไม่ชอบพากลก็ควรจะหาทางยับยั้งป้องกันความเสียหายไว้ก่อน เป็นการทำงานการเมืองของผม

การยื่นกระทู้ถามมี 3 ครั้ง ทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นชอบ ซึ่งการตรวจสอบของผมเป็นไปอย่างเข้มข้นจนทำให้โครงการรถเรือดับเพลิง กทม.สะดุด

วันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.คุณสมัครทำ โครงการนี้อย่างเร่งด่วนโดยถอนหนังสือสัญญาการจัดซื้อโครงการรถเรือดับเพลิง จากสำนักงานอัยการสูงสุด เอากลับมาเซ็นกับบริษัท สไตเออร์ฯ ผลที่ตามมาคือการผูกมัดข้อสัญญา

ระหว่างที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ช่วยคุณอภิรักษ์ ที่ลานคนเมืองศาลาว่าการ กทม.มีการประกาศว่า หากคุณอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯกทม. สิ่งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะทำคือการตรวจสอบสัญญาการจัดซื้อรถเรือดับเพลิง และหาทางยกเลิกสัญญา

เมื่อคุณอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯกทม.ใหม่ๆ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรองผล คุณอภิรักษ์เข้าไปทำงานที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์พลางๆ ก่อน

เช้าวันหนึ่ง เจอหน้าผม คุณอภิรักษ์ถามเรื่องราวของรถเรือดับเพลิง ผมชี้ให้เห็นความไม่โปร่งใส คุณอภิรักษ์ให้สรุปเหตุการณ์ทั้งหมด

เมื่อทำเสร็จ ผมโทรศัพท์ไปหาคุณอภิรักษ์บอกว่า ให้ไปเจอกันที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท ถนนสุขุมวิท โดยให้เหตุผลว่า หากไปพบกันที่ศาลาว่าการ กทม.จะเจอสื่อตั้งคำถามและยังเพิ่งเป็นผู้ว่าฯใหม่ๆ ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้

คุณอภิรักษ์ไปกับคุณสุกิจ ก้องธรนินท์ เลขานุการ เราทั้งสามเจอกัน คุณอภิรักษ์รับผลสรุปคดีรถเรือดับเพลิงแล้วรับปากกับผมว่าจะไม่เปิดแอลซี (หนังสือที่ธนาคารรับรองทางการเงินเพื่อนำเข้าหรือส่งออกสินค้า)

เรื่อง เปิดไม่เปิดแอลซีนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้หารือกันอย่างรอบคอบ คุณบัญญัติซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศและกฎหมายของพรรค อาทิ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และคุณถาวร เสนเนียม ไปประชุมกันที่หอประชุมมหาวิทยาลัยรังสิต

ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า ถ้าไม่เปิดแอลซี สัญญาจะไม่มีผลบังคับและบริษัท สไตเออร์ฯ ฟ้องร้องไม่ได้เนื่องจากการทำข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรียเป็น ไปอย่างฉันมิตร หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่พอใจจะมีการตั้งอนุญาโตตุลาการชี้ขาด เมื่อได้ข้อสรุปอย่างนั้น ผมคิดว่า โครงการรถเรือดับเพลิง กทม.น่าจะจบลงแล้ว คุณอภิรักษ์ไม่เปิดแอลซี สัญญาก็ไม่เกิด

จากนั้น ได้นำข้อมูลทั้งหมดไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อสอบสวนผู้ร่วมกระทำผิด ต่อมามีข่าวสะพัดว่า พ่อค้าขายรถและเรือดับเพลิงวิ่งเต้นกับผู้บริหาร กทม.บางคน คุณบัญญัติ หัวหน้าพรรคได้กลิ่นเรื่องนี้เหมือนกัน

เมื่อข่าวแรงขึ้นเรื่อยๆ คุณบัญญัติเรียกคุณอภิสิทธิ์ คุณอภิรักษ์ คุณสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม.สมัยนั้น คุณสุกิจ ก้องธรนินท์ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค ไปคุยกันที่พรรค ได้ข้อสรุปยืนยันว่า คุณอภิรักษ์จะไม่เปิดแอลซี และจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโครงการจัดซื้อรถเรือดับเพลิง ให้คุณสามารถ ราชพลสิทธิ์ เป็นประธาน

คณะกรรมการชุดของคุณสามารถประชุมกันนับสิบครั้ง พบสิ่งปกติในโครงการนี้มากมาย ซึ่งสรุปผลส่งให้คุณอภิรักษ์

ปรากฏว่าคุณอภิรักษ์กลับเซ็นอนุมัติเปิดแอลซี โดยไม่ได้ฟังความเห็นจากคณะกรรมการเลย คุณบัญญัติทราบเรื่องนี้ รู้สึกโกรธมาก

ในวันที่เกิดเหตุตึกถล่มใน กทม. คุณบัญญัติในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมเดินทางไปดูจุดเกิดเหตุร่วมกับ คุณอภิรักษ์ ระหว่างนั้นทั้งสองคนได้คุยกันเรื่องรถเรือดับเพลิง คุณอภิรักษ์รับปากกับคุณบัญญัติจะไม่มีวันเปิดแอลซีอย่างเด็ดขาด

เมื่อ คุณบัญญัติเดินทางกลับไปที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นธนาคารที่ทำเอกสารแอลซีโครงการรถเรือดับ เพลิง แจ้งกับคุณถาวร เสนเนียมซึ่งเป็นฝ่ายกฎหมายของพรรคว่า คุณอภิรักษ์เซ็นเปิดแอลซีเรียบร้อยแล้ว

ผมกับคุณถาวรไปหาคุณบัญญัติสอบถามข่าวนี้ คุณบัญญัติยืนยันว่าไม่จริง เพราะคุณอภิรักษ์รับปากกับหัวหน้าพรรค คงไม่เบี้ยวหรอก

ผมติดต่อขอให้ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยส่งแฟ็กซ์การเปิดแอลซี ทันทีที่คุณบัญญัติเห็นก็รู้ว่าถูกหลอก และรีบโทรศัพท์ไปหาคุณอภิรักษ์ทันที แต่คุณอภิรักษ์ไม่รับสายทั้งๆ ที่โทร.หลายครั้ง แม้กระทั่งคุณหญิงกัลยาโทร.คุณอภิรักษ์ก็ยังไม่รับสายเหมือนกัน

คุณบัญญัติโกรธมากพูดกับคุณหญิงกัลยาและคุณสุทัศน์ เงินหมื่น กรรมการบริหารพรรคว่า

"ผู้ว่าฯอภิรักษ์รู้ว่าของแพงยังเปิดแอลซีสั่งซื้อ สักวันหนึ่งจะติดคุก"

ผมยังจำคำพูดของหัวหน้าพรรค "บัญญัติ" ได้จนถึงทุกวันนี้

อีก เรื่องหนึ่งอยากจะขอชี้แจง กรณีที่มีคนกล่าวหาว่า ผมตรวจสอบเรื่องรถเรือดับเพลิงเพราะผมเป็นนายหน้าของบริษัทผลิตรถดับเพลิง จากประเทศสเปน

ผมยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักบริษัทรถดับเพลิงของสเปนเลย ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นใครมาจากไหน คุณถาวร เสนเนียม เอาเอกสารมาให้ผม บอกว่าถ้าตรวจสอบว่ารถของบริษัท สไตเออร์ฯแพง ก็ควรเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ จะพูดลอยๆ ไม่ได้

ผมเอาเอกสารมาเปรียบเทียบ ก็พบว่าของสเปนถูกกว่าสไตเออร์ฯราว 2 พันล้านบาท

ในเวลาต่อมา ป.ป.ช.สอบสวนโครงการรถเรือดับเพลิง ชี้ความผิดสรุปผลการจัดซื้อจากสไตเออร์ฯแพงทำให้รัฐเสียหายราว 1,900 ล้านบาท แสดงว่าการเปรียบเทียบข้อมูลของผมถูกต้อง

ถ้าถามผมว่า คดีรถเรือดับเพลิงฯทำมานาน 4 ปีกว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อไม่กี่วันก่อน มีอะไรที่น่าชื่นชมและผิดหวังบ้าง

สิ่งที่น่าผิดหวังคือคุณนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และอดีตประธานคณะอนุ คตส.ไต่สวนคดีรถเรือดับเพลิง กทม.

หากคุณนามตรวจสอบคดีนี้อย่างเข้มข้นเหมือนกับ ป.ป.ช. ป่านนี้จะไม่เกิดความเสียหายกับรัฐมากมาย เพราะเมื่ออนุ คตส.ชุดคุณนามระบุว่า คุณอภิรักษ์เปิดแอลซีไม่มีความผิด มีผลทำให้คุณอภิรักษ์เดินหน้าจ่ายเงินค่างวดให้กับบริษัท สไตเออร์ฯถึง 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2,900 ล้านบาท

ไม่เพียงแค่นั้น คุณนามยังทำให้ชาวกรุงเทพมหานครเดือดร้อน ต้องเลือกผู้ว่าฯกทม.กันใหม่ เสียเงินงบประมาณอีก 154 ล้านบาท เพราะถ้าย้อนกลับไปคุณนามในฐานะประธานอนุ คตส.ชี้ความผิด คุณอภิรักษ์จะไม่มีโอกาสได้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

ผมถามว่า เมื่อ ป.ป.ช.สรุปผลคดีรถเรือดับเพลิง กทม.แล้ว คุณนามจะแสดงความรับผิดชอบต่อชาวกรุงเทพมหานครหรือเปล่า

ผมคิดว่าการตรวจสอบทุจริตในโครงการรถเรือดับเพลิงครั้งนี้ ผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์คงจะมีความเข้าใจในตัวผม และสิ่งนี้ผมเห็นว่าเป็นเส้นทางการเมืองใหม่ ซึ่งกาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

หน้า 11 วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11212 มติชนรายวัน


นายอภิรักษ์คงคิดว่า ยิงประตูตามน้ำหรือกินตามน้ำ ความผิดคงไม่ถึงตัวเอง เพราะตนเองไม่ได้เซ็นสัญญาดังกล่าว อาจจะด้วยความโง่แต่คิดว่าคงเป็นเพราะความโลภมากกว่า ยืนยันโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างประเทศของแบงค์กรุงไทยว่า นายอภิรักษ์ได้เดินทางไปเร่งรัดให้ทางธนาคารเปิดแอลซีด้วยตนเองและได้ส่ง จดหมายยืนยันให้เปิดแอลซีโดยไม่ต้องแก้ไขเงื่อนไขใดด้วย ซึ่งธนาคารได้แจ้งให้ทราบว่าเงื่อนไขที่ร่างไว้ทำให้กรุงเทพมหานครเสีย เปรียบอย่างมาก แต่นายอภิรักษ์ก็ไม่นำพา ยืนยันเปิดแอลซีลูกเดียวจริงๆๆๆ

ใคร ไม่เชื่อก็ลองหาเพื่อนที่มีตำแหน่งสูงๆในธนาคารกรุงไทยมายืนยันได้ แต่คงขอหลักฐานใดๆๆไม่ได้ เพราะเบื้องบนของธนาคารสั่งเก็บเอาไว้เป็นเกราะคุ้มกันธนาคารไว้ จึงมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับแอลซีฉบับดังกล่าวไม่ถึง 4 คนครับ

จากคุณ : สลักหิน - [ 20 พ.ย. 51 10:11:56 A:58.10.9.85 X: ]

และที่แสบไปกว่านั้ ข้อตกลงในการเปิดแอลซี อภิรักษ์ แก้ไขใหม่ ให้ส่งมอบรถสินค้า กันในประเทศไทย แทนที่จะเป็นตามข้อตกลงเดิมคือ ออสเตรียแหล่งผลิต(หลอกว่าผลิตที่นั่น)...

การแก้ไขเงื่อนไขใหม่เองเพื่อประโยชน์ในการส่งมอบสินค้าที่ทำในไทย อภิรักษ์ แก้ไขให้และ จ่ายเงินให้ ..

รวย เท่าใด ไม่รู้ รู้แต่ กทม.เงินภาษีของคุณของผม จ่ายไปแล้ว หลายพันล้านบาท โดยไม่ได้ของมาใช้ ผู้บริหารแบบนี้ละหรือ ที่ ปชป.เชิญมาเป็นรองหัวหน้าพรรค และ ส่งลงผู้ว่า กทม.

จากคุณ : ทรงวิทย์ - [ 20 พ.ย. 51 10:19:24 A:58.8.77.99 X: ]




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 4:22:14 น.
Counter : 511 Pageviews.  

จ่อฟันกมธ.ตร.ผลาญงบดูงาน เด็กปชป.อ้างใช้งบถูกกว่าที่อื่น

18 พ.ย. 2008 - 00:41:14 น.

กรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติ เศรษฐกิจ แต่คณะกรรมาธิการการตำรวจ ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์เป็นประธาน กลับมีแผนไปดูงานที่สาธารณรัฐประชาชนจีน กลางเดือน ธ.ค. ที่ปักกิ่ง-กำแพงเมืองจีน-หังโจว-เซี่ยงไฮ้ รวม 7 วัน 6 คืน โดยสายการบินไทย ที่นั่งชั้นหนึ่ง พักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่กลับไม่ได้บรรจุโปรแกรมการดูงานแม้แต่วันเดียว

นอกจากคณะกรรมาธิการแต่ละคณะจะเดินทางฟรีด้วยงบประมาณของกรรมาธิการแต่ละคณะ แล้ว ส.ส.และส.ว.แต่ละคนยังสามารถเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าพาหนะ รวมทั้งค่าเช่ายานพาหนะ ค่าเชื้อเพลิงหรือพลังงานสำหรับยานพาหนะ ค่าระวางบรรทุก ค่าจ้างคนหาบหาม ค่ารับรอง ค่าของขวัญ ค่าเครื่องแต่งตัวและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นเนื่องในการเดินทางอีกด้วย โดยจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเดินทางเหมาจ่าย 3,100 บาทต่อวัน และกรณีมิได้เบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางเหมาจ่ายให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่ เกิน 4,500 บาทต่อวันอีกด้วย

ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงในกรณีดังกล่าวว่า ตนไม่ได้ผลาญงบประมาณแผ่นดินอย่างที่ตกเป็นข่าว โดยสามารถตรวจสอบหลักฐานกับทางคณะกรรมาธิการ ว่ามีการกำหนดงบประมาณในการเดินทางเท่าไร ซึ่งตนมองว่าคณะกรรมาธิการของตนเมื่อทำการเทียบเคียงกับคณะอื่นๆ ถือว่ามีการใช้งบประมาณน้อยที่สุดแล้ว

ถามว่ารายละเอียดการเดินทางนั้นมีแต่สถานที่ท่องเที่ยวโดยไม่ได้ระบุถึงการ ดูงาน นายเฉลิมชัยชี้แจงว่า พูดกันตามจริงไม่มีใครดูงานตลอด 24 ชั่วโมง ก็ต้องมีพักผ่อนบ้าง แต่ว่าตนไม่มีพ็อกเก็ตมันนี่ให้แต่อย่างใด จำนวนเงินที่นำมาใช้ก็เป็นส่วนของคณะกรรมาธิการต้องมีการให้ประธานสภาทำการ เซ็นอนุมัติ และนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเพราะการเดินทางดูงานในต่างประเทศต้องทำหนังสือไป ยังกระทรวงต่างประเทศ และทำหนังสือชี้แจงไปยังสถานทูตในประเทศนั้นๆด้วย ดังนั้นทุกอย่างมีขั้นตอนตามระเบียบ

เมื่อถามว่าไม่ใช่ได้เดินทางเพื่อไปดูพัฒนาการระบบตำรวจของประเทศจีนหรือ นายเฉลิมชัยถึงกับลนลานและตอบว่า ตนก็ต้องเดินทางไปดูการทำงานของตำรวจที่ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ เพื่อเอามานำเสนอและพัฒนาในระบบข้าราชการตำรวจของประเทศไทย อย่างไรก็ตามตนทำการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายในสัปดาห์นี้

ขณะที่นายประชา ประสพดี ประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนรัฐสภา กล่าวว่า การไปดูงานแต่ละครั้งต้องไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองมากที่สุดอย่า นำเงินงบประมาณแผ่นดินไปละเลง ซึ่งการไปดูงานแต่ละครั้งเมื่อกลับมาทางคณะที่ไปดูงานต้องทำรายงานส่งประธาน สภา ว่าได้อะไรกลับมาจากการดูงาน ซึ่งหลังจากนั้นเราก็จะคอยดูกันว่าการไปดูงานตามที่คณะกรรมมาธิการไปนั้นได้ ประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะจะให้ตนวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้คงไม่เหมาะสม




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 11:33:30 น.
Counter : 476 Pageviews.  

เปิดกลุ่มทุนหนุน"ปชป." ดัน"อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ

"ประชาธิปัตย์" เป็นพรรคการเมืองแรกๆ จัดทัพพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งก่อนใคร

ด้วยความมั่นใจในสถานะของ "ฝ่ายค้าน" ที่มีภาษีดีและเป็นต่อ "ฝ่ายรัฐบาล" อยู่หลายขุม

อันมีสาเหตุมาจาก "กระแส" และ "กระสุน" ที่ต่างพากันเทเข้าใส่ "ประชาธิปัตย์" ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา

รวม ทั้งการรอดพ้น "การยุบพรรค" จากกรณีข้อหา "แจกตั๋วภาพยนตร์" ที่อุบลราชธานี ของ "วิฑูรย์ นามบุตร" ส.ส.สัดส่วน กอปรกับสถานะของ "ฝ่ายรัฐบาล" ที่เริ่มสั่นคลอนจากปัจจัยและปัญหาที่รุมเร้า

ทำให้มีการ "พยากรณ์" ว่า รัฐบาลอาจอยู่ไม่ครบเทอม จะมีการ "ยุบสภา" เกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้การเลือกตั้งเร็วขึ้น

ดัง นั้น "พรรคประชาธิปัตย์" จึงเปิดเกมรุกช่วงชิง "ทุนรอน" จากภาคธุรกิจต่างๆ รวมทั้ง "เศรษฐีคนมีตังค์" แฟนพันธุ์แท้ ที่ยังแอบมีความหวังว่า "ประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาล (สักวัน)"

8 พฤศจิกายน 2551 จึงเป็นฤกษ์งามยามดี ที่พรรคจะจัดงาน "ระดมทุน" ภายใต้หัวข้อ "เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์" ที่อิมแพค เมืองทองธานี

เพื่อ เปิดโอกาสให้ "กลุ่มทุน" ทั้งหน้าใหม่และรายเดิม ได้ร่วมลงขัน ช่วยกันสานฝัน "ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล" อีกสักครั้ง หลังจากที่พลาดหวังมาจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา

ว่ากันว่า "ระดมทุน" ครั้งนี้ "ไม่หมู" อย่างที่คิด เพราะแม้ว่าชื่อ "ประชาธิปัตย์" ขายได้เสมอ แต่คราวนี้เจ้าภาพถึงกับบ่นอุบถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ มีผลต่อสภาพคล่องในการขาย "โต๊ะ" จำนวน 400 โต๊ะ ราคาโต๊ะละ 1 ล้าน จึงไม่ลื่นเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา (21 กรกฎาคม 2550)

แม้ยอดที่ตั้ง ไว้คือ "400 ล้านบาท" แต่ในทางปฏิบัติ ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ "กระสุน" มากกว่านี้อีกเท่าตัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ "เทพเทือก" สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ในฐานะ "เจ้าภาพงาน" เพราะดูเหมือนบรรดานักธุรกิจ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ เริ่มมองเห็นโอกาสและความท้าทายอีกครั้ง ที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็น "นายกรัฐมนตรี คนที่ 27" หากมีการเลือกตั้งเร็ววันนี้ จึงได้ตบเท้าเข้า "ซื้อโต๊ะ" กันไม่ขาดสาย

ทำ ให้งานนี้อาจไม่ต้องเหนื่อยมาก เมื่อ "กลุ่มทุนหน้าเก่า" ที่ยังเหนี่ยวแน่น อาทิ เครื่องดื่มชูกำลังรายยักษ์ อย่าง "กระทิงแดง" ของ "เสี่ยเฉลียว อยู่วิทยา" ที่ยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี แม้จะหยุดบริจาคไปในช่วงที่ "ไทยรักไทย" เป็นรัฐบาล

ตามมาด้วยบริษัท ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ของ "เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" "กลุ่มทุนใจดี" ของทุกพรรคการเมือง ที่เคยสร้างความฮือฮาทำตัวเลขเงินบริจาคเดือนกรกฎาคม 2551 ไว้สูงถึง 23 ล้านบาท ทำให้ "ประชาธิปัตย์" สร้างประวัติศาสตร์เงินบริจาคสูงสุด

ขณะ ที่ยักษ์ใหญ่วงการน้ำเมา "เบียร์ช้าง" บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ของ "เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ "กรณ์ จาติกวณิช" รองหัวหน้าพรรค งานนี้ก็คงไม่พลาดเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า "มหาอำนาจตลาดทุน" ทั้ง 3 เจ้า น่าจะ "เหมา" ที่เดียว "10 โต๊ะ" หรือไม่เช่นนั้น ก็สนับสนุน "ทุนหนา" ก้อนเดียวจบ แบบที่ไม่ต้องเอา "โต๊ะ" ก็เป็นได้

แต่ที่น่าจับตามอง คือ "กลุ่มทุนใหม่" ที่อาจจะสอดแทรกเข้ามาซื้อทีเดียว "5-10 โต๊ะ" เช่นกัน คือ กลุ่มธุรกิจ "คิงเพาเวอร์" ของ "วิชัย รักศรีอักษร" ที่ผ่านสายสัมพันธ์ "เทพเทือก" ในฐานะที่เป็นลูกค้าคนสำคัญ ที่ไปใช้บริการโรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ อยู่บ่อยๆ

ทั้งนี้ "ขาใหญ่" ที่ยังคงภักดีต่อ "ประชาธิปัตย์" คงหนีไม่พ้น "ตระกูลโสภณพนิช" กลุ่มทุนจากธนาคารกรุงเทพ ยังอาจจะสอดแทรกเข้าผ่าน "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" ส.ส.กรุงเทพฯ เช่นเดียวกับ "ตระกูลล่ำซำ" ของ "ท่านโพธิพงษ์ ล่ำซำ" เจ้าของธุรกิจ "เมืองไทยประกันชีวิต" ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี (เงา) ซึ่งตามกฎแล้ว "ครม.(เงา)" ต้องรับผิดชอบคนละ "5 โต๊ะ" งานนี้อาจใจป้ำควักกระเป๋าเหมาหมดก็เป็นได้

รวมทั้งอาจจะมีธุรกิจน้ำ ดำค่าย "ไทยน้ำทิพย์" ของ "ตระกูลสารสิน" และ "ตระกูลเบญจรงคกุล" อดีตเจ้าของธุรกิจบริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "ยูคอม" ที่มี "น้องเขย" "ประกอบ จิรกิติ" เป็น ส.ส.สัดส่วนในสังกัด น่าจะร่วมลงขันในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ ช่องทางของรายได้ ยังรวมถึงกลุ่มสมาชิกพรรค "กระเป๋าหนัก" อาทิ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" "กรณ์ จาติกวณิช" และ "นิพนธ์ พร้อมพันธุ์" รองหัวหน้าพรรค ที่คราวนี้คงต้องยอม "ควักเนื้อ" กันบ้างนิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 8 พฤศจิกายน ภาพของกลุ่มทุนต่างๆ จะชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็น "ความเชื่อมั่น" ในตัว "ประชาธิปัตย์" และ "หัวหน้าอภิสิทธิ์" ว่าจะให้เป็น "นายกรัฐมนตรี คนที่ 27" ได้หรือไม่

มติชน หน้า 11

ตั้งเป้ายอดโต๊ะจีน400โต๊ะ แต่ทำได้จริงเพียง300โต๊ะเท่านั้น โต๊ะละ1ล้านบาท

NoteจากBlogger : ยังดีที่ผมไม่ได้ดื่มเบียร์ช้าง กระทิงแดง หรือแม้แต่เปิดบัญชีกับแบ๊งค์กรุงเทพด้วย คงต้องงดดื่มโค้ก แฟนต้า สไปร์ หันไปดื่มเป๊ปซี่ 7UP มิรินด้า เป็นการคว่ำบาตรไทยน้ำทิพย์ไปอุดหนุนของเสริมสุขแทน
ส่วนCP.ไม่เป็นไรผม เว้นไว้ เพราะเชื่อว่าคงพยายามจะรักษาภาพความเป็นกลางของตัวเองให้ได้จนถึงที่สุด แม้มันจะไม่เป็นธรรมกับการต่อสู้ทางการเมืองก็เหอะ




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2551 3:55:19 น.
Counter : 549 Pageviews.  

‘อภิรักษ์’หนูติดจั่น!ส่อโกงคดีป้าย

20 ต.ค. 2008 - 19:03:26 น.

ชำเรา การเมืองสามานท์ “ฮั้วเป็นขบวนการ” ใน กทม. “อภิรักษ์-พุทธิพงศ์” หนูติดจั่น รอการเช็กบิลคดีทุจริต ปธ.สอบฯย้ำข้อกังขา! ส่อโกงบริษัทเอกชน ยัดไส้ประมูลป้ายพีอาร์ฉาว น่าฉงน! เพราะเอกสาร 2 ฉบับคนลงนามไม่ตรงกัน แต่เลขที่ออกเหมือนกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีบริษัท เอสเอฟจี จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง ในฐานความผิดเบี้ยวค่าจ้างจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ “กรุงเทพฯ เมืองแห่งชีวิต” หรือ “กรุงเทพฯ... ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว” เพื่อประชาสัมพันธ์ป้ายรูปลายประจำยามคล้ายดอกบัวสี่กลีบ ที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. จะให้เป็นโลโก้เมืองกรุงเทพฯ โดยมีการเปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2549 ต่อมาเมื่อต้นปี 2551 บริษัทได้ฟ้องศาลเรียกค่าชดเชยว่า กทม.ยังไม่จ่ายเงินค่าจ้าง รวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 9,069,097.17 บาท แต่เนื่องจากคำฟ้องไม่มีสัญญาจ้างทำของ กทม.จึงส่งเรื่องให้อัยการต่อสู้คดี รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีนายสมชาย จันทนะศิริ ผู้ตรวจราชการ 10 เป็นประธานการสอบนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ประธานสอบฯ ได้มีไปรษณียบัตรถึงนายอภิรักษ์ และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. เพื่อเชิญทั้งคู่มาสอบสวนข้อมูล กรณีได้ตรวจสอบพบว่าเอกสารที่บริษัทฟ้องศาลเรียกค่าชดเชยได้ระบุเอกสาร ราชการจาก กทม. เลขที่ กทอ200/3830 จำนวน 2 ฉบับออกจากสำนักงานเลขาผู้ว่าฯ ฉบับหนึ่งลงนามโดยนายอภิรักษ์ และอีกฉบับลงนามโดยนายพุทธิพงษ์ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2549 แต่ใช้เลขที่เดียวกัน ในหนังสือดังกล่าวมีถึงเจ้าของอาคารเมอคิวรี่ และเซ็นทรัลเวิลด์ ระบุชัดเจนว่าขอความร่วมมือให้บริษัทเอส เอฟ จีฯ เป็นผู้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารที่บริษัทใช้อ้างต่อศาล พร้อมมีภาพหลักฐานการติดป้าย ว่าบริษัทเป็นผู้รับจ้างทำของจริง แม้ว่า กทม. จะไม่มีสัญญาจ้างก็ตาม

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบเลขที่หนังสือดังกล่าวพบว่ามีการลงเลขออกชัดเจนจาก กองกลาง อย่างไรก็ตามมีความผิดปกติ เพราะข้าราชการ กทม. ระบุว่าการลงนามโดยบุคคล 2 คน และเป็นหนังสือคนละฉบับเลขที่หนังสือต้องเป็นคนละเลข แต่กรณีนี้กลับใช้เลขเดียวกัน ซึ่งตามปกติสามารถใช้เลขเดียวกันได้หากมีหนังสือไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลาย ๆ ฉบับ แต่ต้องลงนามโดยบุคคลคนเดียวกัน

จากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2551    
Last Update : 21 ตุลาคม 2551 0:03:46 น.
Counter : 595 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.