ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

ตัวอย่างความคิดของคนที่เป็นสาวกพรรคกะจั๊ว

ดิฉันบอกตรงๆเลยนะคะว่า ดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผลงานของปชป.คือเรื่องใดบ้าง
อันที่จริงปชป.เป็นรัฐบาลทีไรบ้านดิฉันมีอันต้องเสียทรัพย์ทุกที แต่ดิฉันก็ยังเลือกปชป.

คงเพราะเหลืออยู่พรรคเดียวให้เลือกมังคะ เพราะดิฉันไม่ชอบทักษิณ
ทักษิณคือนายกที่ดูถูกเสียงส่วนน้อยอย่างไม่ยี่หระ ด้วยการไม่เข้าสภา
มองฝ่ายค้านเป็นขยะเกะกะข้างทางเสียเวลาทำงาน แต่บุคคลเหล่านั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนอีกหลายล้านคน
ทักษิณดูถูกฝ่ายค้าน ก็คือดูถูกประชาชนอีกหลายล้านคนเช่นกัน
ทำไมคะ? จำนวนสส.ภาคเหนือ+อีสานก็เพียงพอให้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว เลยไม่ต้องใส่ใจภาคอื่นที่เหลืองั้นเหรอ?
ดิฉันก็หันไปฟังนักวิชาการวิจารณ์ทักษิณให้ได้พอคลายความอึดอัดบ้าง แต่ทักษิณก็ทยอยปิดสื่อที่บังอาจไปวิจารณ์ทีละแห่ง 2 แห่ง
รัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาลที่เผด็จการณ์ที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเจอค่ะ แล้วยังเป็นเผด็จการณ์ผสมกับสมบูรณาญาธิทธิราชด้วย

ส่วนที่ดิฉันเลือกปชป. เพราะชอบในระบบพรรคของเค้า มีตัวตายตัวแทน และไม่มีใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรค
ดิฉันชอบพรรคที่มีประวัติยาวนาน มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีให้ผู้คนจดจำ
สิ่งใดที่ผิดพลาด คนจะจำไปนาน
นักการเมืองไทยเป็นที่รู้กันของชาวโลกว่าโกงกิน แต่ถ้าปชป.เป็นรัฐบาล อย่างน้อยดิฉันก็เชิดหน้าได้ว่านายกของไทยไม่โกงกิน
เรื่องใครคิดว่าไม่สำคัญ แต่ดิฉันว่าสำคัญค่ะ ดิฉันไม่เคยเห็นชาติที่เจริญแล้วยอมรับผู้นำที่โกงกินเลยค่ะ

ปล. แต่จริงๆแล้วดิฉันชอบคุณชวนมากกว่าอภิสิทธิ์ค่ะ ถึงใครจะชอบกระแนะกระแหนว่าท่านเชื่องช้าก็เถอะ เวลาท่านยิ้ม เหมือนกบเคโระ น่ารักออก ^^

จากคุณ : NoMerzi - [ 5 ม.ค. 52 02:58:24 A:192.168.0.17 X:61.7.129.112 ]

ผมคิดว่าสาวกพรรคนี้มีความคิดที่เป็นแบบนี้เกือบหมดแน่ๆ ฉะนั้นผมจึงขอยกมาเป็นตัวอย่าง ไม่ขอชี้นำอะไรท่านตัดสินความคิดของสาวกท่านนี้เอาละกัน




 

Create Date : 05 มกราคม 2552    
Last Update : 5 มกราคม 2552 12:47:09 น.
Counter : 522 Pageviews.  

พท.รุกฆาต'SMS'นายกฯ 3 บาทจ่อยื่นสตง.เชือด

24 ธ.ค. 2008 - 14:22:03 น.

'เพื่อไทย'ชี้พบพิรุธSMS นายกฯ ระบุ'ทรู'ได้ประโยชน์แค่บริษัทเดียว ย้ำขัดกฎหมายรับผลประโยชน์ พร้อมถามหาจริยธรรม'อภิสิทธิ์' ลั่นเตรียมยื่นสตง.ลงดาบหากปปช.ไม่รับลูก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงข้อมูลผลประโยชน์ต่างตอบแทนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ส่งSMS ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แจ้งไปยังประชาชน 50 ล้านหมายเลขทางโทรศัพท์ระบบ AIS DTAC และTURE โดยผู้ทำการตอบรับต้องเสียค่าใช้จ่ายครั้งละ 3 บาท มาที่เบอร์ 9191 ซึ่งเป็นของบริษัททรู และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า บริษัททรูให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้จึงถือว่าเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เกิดขึ้น แล้ว ตนได้รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดตั้งแต่การเชิญผู้บริหารบริษัทดังกล่าวเข้า มาหารือ เพื่อขอความช่วยเหลือให้ส่งSMSให้ ซึ่งถือว่าเข้าข่ายความผิด เนื่องจากเงินที่เก็บได้นั้นเข้าบริษัททรูเพียงบริษัทเดียว

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนจะทำหนังสือถึงปปช.เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากปปช.ไม่รับตนก็จะแจ้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ออกมาแจ้งว่าพรรคจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนั้น ตนคิดว่าเป็นไปได้ยาก เพราะนางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาเปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์มีเงินบริจาค 40 ล้านเท่านั้น จึงอยากเรียกร้องและถามหาจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีที่ขณะนี้กำลังหาประโยชน์ เข้าตัวเกินที่กฎหมายกำหนด

นอกจากนี้นายสุรพงษ์ ยังได้โชว์ภาพการ์ตูนล้อเลียน พร้อมระบุว่าต่อไปนี้ตนจะขอเรียกนายอภิสิทธิ์ ว่า'นายกฯ 3 บาท'

ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2551    
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 16:45:43 น.
Counter : 430 Pageviews.  

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ต้องสู้กับ "เงา"ของทักษิณ

ผมเป็นคนปักษ์ใต้ เลยมีพรรคพวกเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มากหน้าหลายตา บางท่านไม่ได้เป็นสมาชิก แต่ก็เป็นยิ่งกว่าสมาชิก คือเป็นแฟน “พันธุ์แท้”ของประชาธิปัตย์
นอกจากมีพรรคพวกเพื่อนฝูงเป็นสมาชิกพรรค และหลายคนเป็นแฟนพันธุ์แท้ของพรรคเก่าแก่ที่ชื่อว่า "ประชาธิปัตย์" แล้ว นาย หัวของผม ซึ่งผมฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกวิชาว่าความให้ผม เป็นถึงรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือท่านวิทยา แก้วภราดัย อันเป็นที่เคารพรักของชาวเมืองคอน
ซึ่งปัจจุบันท่านรองวิทยา แก้วภราดัย ทำหน้าที่รัฐมนตรีเงาอยู่ด้วย

ย้อนหลังไปสมัยที่ผมเรียนอยู่ที่รามคำแหง ประมาณ ปี2526-2530 ผมกับเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคน เคยร่วมกิจกรรมในนาม "ยุวประชาธิปัตย์" และช่วยรณรงค์เลือกตั้งหลายครั้งหลายครา เดินเข้าออกพรรคนี้เป็นว่าเล่น
สมัยนั้น ที่ทำการพรรคยังคับแคบ รั้วที่ทำการอยู่ติดกันกับบ้านอดีตจอมพลท่านหนึ่ง ซึ่งเรืองอำนาจยุคก่อน 14 ตุลา 16 นั่นแหละ
ถ้าจะว่าไปแล้ว ผมก็แฟนพันธุ์แท้ของพรรคคนหนึ่งเช่นกัน
ฉะนั้นการแสดงความคิดเห็นใดของผมต่อไปนี้ มีหลักประกันว่า ไม่มีทางเลยที่จะมีอคติกับพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้แฟนพันธุ์แท้ ชนิด "หลับหู หลับตา เชียร์" อย่าได้ใส่ร้ายผม ว่ามี "อคติ" อย่างเด็ดขาด
เมื่อผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย่อมไม่ชอบ “ไทยรักไทย “ “พลังประชาชน” และพรรคอื่นๆแทบทุกพรรค
ทีไม่ชอบ เพราะมีเหตุผลรวมๆหลายประการครับ เช่น.. พรรคการเมืองอื่นๆ ต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ ดังนี้ครับ..
1.เป็นพรรคเฉพาะกิจ เกิดมาเพราะบารมีของหัวหน้าพรรค และดับไปพร้อมความเสื่อมถอยของหัวหน้าพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยล้มหายตายจากไปพร้อมหัวหน้าพรรค มีบุคคลกรของพรรค รองรับภาระกิจมาโดยตลอด
2.เป็น พรรคของนายทุน ขุนศึก กล่าวคือพรรคอื่นๆ เกิดมารองรับนายทุน และขุนศึก ศักดินาที่จะมาเล่นการเมือง แต่พรรคประชาธิปัตย์ พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง คือไม่จำเป็นต้องเป็น “นายทุน” หรือ “ขุนศึก” ก็ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้บริหารพรรคได้ ดูท่านชวนเป็นตัวอย่าง พูดง่ายๆ พรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนด้วยนักการเมืองอาชีพ ส่วนกลุ่มทุนสนับสนุน ต้องอยู่ข้างหลัง ห้ามนำพรรคเด็ดขาด หากจะเข้ามาบ้าง ก็สามารถรักษาสัดส่วนนักการเมืองอาชีพเอาไว้ได้ มิให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป
3.พรรคการเมืองอื่นๆ สื่อสารกับสังคมไม่เก่ง ไม่เครียร์ ดูเสมือนไม่โปร่งใส แต่พรรคประชาธิปัตย์สื่อสารทางการเมืองได้ดีกว่า เมื่อพูดให้สังคมเข้าใจได้ จะผิดถูกอย่างไร ก็มิใช่เรื่องสำคัญ การสื่อสารที่มีเนื้อหาดี แต่อู้อี้ในลำคอจนสังคมฟังไม่รู้เรื่อง ก็ ไม่มีประโยชน์ เช่น ท่านพลเอกเชาวลิตรฯ ท่านเป็นคนดี มีความคิดที่เป็นเลิศ แต่พูดกี่ครั้งๆ คนก็ไม่รู้เรื่อง แม้แต่ผมยังไม่ชอบฟังท่านพูดครับ ชอบอ่านที่ท่านเขียนหรืออ่านจากสื่อที่สรุปมาให้อ่านจะดีกว่า
นอกจาก 3 ประเด็นหลัก คงไม่มีอะไรที่ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นขวัญใจของผม และของคนอื่นๆอีกด้วย
แต่ปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนไป ผู้คนมีการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ช่องทางสื่อสารและการรับรู้ของคนมีมากขึ้น ทัศนคติและค่านิยมของประชาชนที่มุ่งหวังต่อนักการเมืองเปลี่ยนไปมาก
ที่สำคัญ.....คู่ต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เปลี่ยนไปแล้วครับ
คู่ต่อสู่ของพรรคประชาธิปัตย์ มี 2 อย่าง

1.พรรคการการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่เดิมพรรคประชาธิปัตย์ มี คู่ต่อสู้บนเวทีการเมือง เป็นพรรค เฉพาะกิจ ไร้ชั้นเชิงทางการเมือง เพราะเป็นประเภท พ่อค้า หรือทหาร ที่อยากมาเล่นการเมือง บางคนพูดไทยยังไม่ชัด บางคนติดยึดกับระบบราชการทหาร กลุ่มการเมืองพวกนี้จึงเป็นได้แค่ "เป้า" ให้ ประชาธิปัตย์ซัดเสียจนอ่วมอรทัย
แต่ ปัจจุบัน ...มิใช่อดีต.... ปัจจุบัน ทุนทักษิณ...ร่วมหัวจมท้ายกับทุนใหญ่อื่นๆ พวกนี้นอกจากมีเงินทุนหนาแล้ว ยังพูดไทยชัด พูดภาอังกฤษคล่อง แถมเข้าใจภาษาโลกด้วย ภาษาโลกคือ การบริหารจัดการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ครับ มีการตลาด การประชาสัมพันธ์ มีการวิจัย (มิใช่การวิจารณ์นะครับ)
2.ความต้องการของสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว ในอดีต คนไทยส่วนมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของปัจจเจกชนได้น้อย ผู้ มีอำนาจรัฐและผู้กุมสื่อ จึงตอบสนองให้เฉพาะชนชั้นกลาง และชนชั้นสูง (เนื่องจากมีพลังทางการเมืองที่แท้จริง) คนเหล่าได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ส่วนคนชั้นล่าง แม้ได้รับแบ่งปันโภคทรัพย์ ก็ได้ไปอย่างไม่เป็นธรรม แต่ก็สามารถใช้ความเหนือกว่าตบตาให้เห็นว่าได้จัดสรรไปอย่างเป็นธรรมแล้ว
แต่ปัจจุบัน....สังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว ชนชั้นล่างอันต่ำต้อย..ที่เรียกกันว่า “รากหญ้า” ผู้ไม่เคยได้รับแบ่งปันโภคทรัพย์อย่างชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงมาก่อน เมื่อทักษิณ ประกาศ นโยบายเพื่อคนจน...แม้ในช่วงนั้น จะถูกเย้ยหยันว่าทำไม่ได้ ส่วนประชาชนชาวรากหญ้า แม้จะไม่ค่อยเชื่อว่าจะทำได้จริง(เพราะเคยถูกนักการเมืองหลอกจนชาชิน) แต่เมื่อทักษิณ ทำได้จริง ก็ย่อมได้ใจคนจน
เมื่อได้ใจกันก็ย่อมตายแทนได้ อย่าว่าแต่กาบัตรเลือกตั้งเลย ของเล็กไป
อย่าลืมว่า คนจนทั้งหลาย เขาจนแต่เงินนะครับ แต่เขารู้ว่า......รัฐบาลทุกยุค ใช้เงินไปกับการกลบหนี้เน่าของสถาบันการเงิน ซึ่งคนโกงแบงค์ และได้ประโยชน์ มิใช่ชาวรากหญ้า
คนจนรู้ว่า....รัฐบาลทุกสมัย ใช้เงินไปกับโครงการขนาดใหญ่ ที่ผู้ได้รับประโยชน์ เป็นกลุ่มทุนการเมือง และพวกพ้องในชนชั้นสูง ผู้รับเหมาอะไรทำนองนั้นแหละ ชาวรากหญ้าหาได้ประโยชน์ใดไม่
เมื่อทักษิณ หยิบยื่นเครื่องชูชีพให้คนใกล้จมน้ำตาย แม้จะไม่ดีพอ ก็ยังดีกว่าจมน้ำตายไปต่อหน้าคนรวยๆ

เมื่อคนจนชอบทักษิณ....ก็เกิดปัญหา2 ประการ
1.จะยุบพรรคการเมืองที่ชื่อ “ไทยรักไทย” ก็ต้องมีพรรค “พลังประชาชน” จะยุบ “พลังประชาชน” ก็ต้องมีพรรค “พลังราษฎร” จะยุบพรรค “พลังราษฎร” ก็มีพรรค “พลังคนจน” จะยุบพรรคการเมืองไหนซักกี่พรรค กลุ่มการเมืองที่ชาวรากหญ้าเลือก ต้อง เป็นพรรค ที่อยู่ภายใต้ร่มเงา ทักษิณ จะขัง 111 นักการเมือง ก็ย่อมมีทายาทรุ่น 2 จะขังทายาทรุ่น 2 ก็ย่อมมีรุ่น 3
นี่มิใช่เพราะเหตุใด นอกจาก การประจบรวมกันของ 3 ประสาน 1.มีทุนใหญ่ 2.มีนโยบายต้องใจ 3.มีการบริหารจัดการแบบใหม่(การจัดองค์กรแบบใหม่) คือการเป็น “เจ้าของพรรค”โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่น ก็เหมือนกับการเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล โดยไม่จำเป็นต้องเล่นฟุตบอลเป็น
2.ความแตกแยกในสังคม อันเหตุมาจากชนชั้นสูง และชนชั้นกลาง เริ่มได้รับส่วนแบ่งด้านเศรษฐกิจน้อยลง อีกทั้งชนชั้นสูง และชนชั้นกลางที่อยู่นอกกลุ่มทักษิณ เสียพื้นที่ทางการเมือง ไร้ที่ยืน ถูกทอนอำนาจ ถูกลดความสำคัญลง ปัญหาความแตกแยกจึงเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับ พรรคฝ่ายค้านสำคัญอย่างประชาธิปัตย์ ก็อย่างรีบถอดใจว่าจะเป็นฝ่ายคานไปนานแสนนาน อย่าได้กลัวเป็นฝ่ายค้าน เพราะการเป็นฝ่ายค้านมีโอกาสสร้างผลงานให้พรรค แต่ที่ต้องตระหนักคือ ประเด็นในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านควรเปลี่ยนไปด้วย หากยังหยิบประเด็นหยุมหยิม ไม่อาจทำร้ายความ "มหึมา"ของกลุ่มทักษิณได้
ประเด็นการค้านจึงต้องอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง เป็นจริง เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยส่วนรวม
โดย เฉพาะอย่างยิ่ง การดึงสถาบันเบื้องสูง อันเป็นที่เคารพบูชาของคนไทยทั้งชาติ เป็นสถาบันที่ทุกคนยอมรับโดยพฤตินัยและโดยกฎหมาย มาเป็นประโยชน์ทางการเมือง ไม่บังควรอย่างเด็ดขาด หากมองด้วยสายตาที่เป็นธรรมแล้ว ผมเชื่อว่า ไม่มีคนไทยคนไหนจะคิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติอย่างแน่นนอน
ฉะนั้นในยุคนี้ การดึงเอาสถาบันอันเป็นที่เคารพสูงสุดของคนไทย มากล่าวหาทางการเมือง เป็นเรื่องไม่บังควรอย่างยิ่ง
หากสงสัยว่ากรณีใดเป็นการทำผิดกฎหมาย ก็ไปร้องทุกข์กับตำรวจ ให้นำคดีไปสู่ศาลยุติธรรมจะเป็นประโยชน์และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ประเด็นการค้านจึงควรเป็นเรื่อง ความไม่ชอบมาพากลในการบริหาร หรือการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ก่อผลร้ายต่อเศรษฐกิจ สังคม ต่างหาก ที่ สำคัญควรเสนอทางออกที่เหนือกว่าวิธีการบริหารของรัฐบาลควบคู่ไปด้วย มิใช่มุ่งให้รัฐมนตรีคนหนึ่งคนใดต้องติดคุก หน้าที่ดังกล่าวเป็นเรื่องของตำรวจ อัยการ และศาลยุติธรรม
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า หากนายจักรภพ เพ็ญแข ติดคุก จะมีคนอย่างจักรภพ ที่ทักษิณปั้นเสกขึ้นมาใหม่ได้อีกหลายร้อยหลายพันคน
การต่อสู้กับพรรคการเมืองภายใต้ร่มเงาของ “ทุนทักษิณ” จึงต้องมียุทธศาสตร์ใหม่
นี่ขนาดต่อสู้กับเงาทักษิณยังเหนื่อยขนาดนี้ หากทักษิณออกมาจาก "ขวด" เลขที่ 111 ได้ จะเหนื่อยกันขนาดไหน?

โดย ธัญศักดิ์ ณ นคร
สำนักงานทนายความธัญศักดิ์ ณ นคร
Weblog ต้นขั้ว




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2551    
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 15:06:17 น.
Counter : 548 Pageviews.  

โครงสร้างตลาดหุ้นเปลี่ยน ประชาธิปัตย์โชว์ผลงาน3ปีหลังวิกฤตฟองสบู่แตก

(นสพ.ผู้จัดการรายวัน ฉบับ 10 พ.ย.43)

3 ปีรัฐบาลประชาธิปัตย์สร้างผลงานเปลี่ยนโครงสร้างตลาดหุ้นไทยครั้งใหญ่ ต่างชาติฮุบ กิจการโบรกเกอร์ บริหาร จนตลาดหุ้นเล็กลงจนชาติยุโรปเมิน แถมปล่อยโอกาสฟื้นเศรษฐกิจจากตลาดทุนผ่านไปโดยไร้ค่า บริษัทจดทะเบียนออกจากตลาดแล้ว 79 บริษัท ขณะที่พอร์ตลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันเป็นของชาติเอเชีย คนในวงการตลาดทุนระบุเงินแค่ 2 ร้อยล้านคุมตลาดหุ้นได้ดั่งใจ

ครบ 3 ปีของการบริหารประเทศภายใต้การอาสาเข้า มากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศของพรรคประชาธิปัตย์แทนพรรคความหวังใหม่ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 และ 9 พฤศจิกายน 2543 ถูกกำหนดให้เป็นวันยุบสภา

ในช่วงที่ผ่านมาสัญญาณการฟื้นตัวถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ผ่านมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตร-การ 14 สิงหาคม 2541 มาตรการ 30 มีนาคม 2542 และมาตรการ 10 สิงหาคม 2542 หรือแม้แต่การพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2543 จะ โต 5% แต่ ผลตอบรับ กลับไม่เป็นไปอย่างที่รัฐบาลต้องการ

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯผันผวนตลอดในช่วง 3 ปี การ ปักหัวลงของดัชนีหุ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2541 จากระดับ 500 กว่าจุด ลงมาเหลือ 207 จุด ในเ ดือนสิงหาคมปีเดียวกัน มาตรการ 14 สิงหาคมจึงถูกเข็นออกมาและได้กลายเป็นสูตรสำเร็จที่จะกระตุ้นตลาดหุ้นให้ ดีดตัว
กลไกตลาด

นักเศรษฐศาสตร์มองว่า 3 มาตรการใหญ่ในช่วงรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ มุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาตลาดทุนโดยตรง ส่วนใหญ่จะเน้นที่การสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินและกระตุ้นกำลัง ซื้อของประชาชนในประเทศ ขณะที่แรงซื้อขายที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้น ถือเป็นเรื่องของการคาด การณ์ว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

"จะเห็นได้ว่าหลังจากที่มาตรการ 10 สิงหาคม 2542 ใช้แล้วและนักลงทุนเห็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสิ้นปี 2542 ไม่ดีอย่างที่คาดการณ์กันไว้ จึงเริ่ม ทิ้งหุ้นตั้งแต่เข้าสู่ปี 2543" ความตกต่ำที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นของ ไทยถูกปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด ไม่มี มาตรการใดๆ เข้ามาช่วยโดยตรง ผิดกับประเทศอื่นในเอเชียอย่างญี่ปุ่นหรือไต้หวัน ที่ รัฐบาลได้เข้ามาช่วยหยุดยั้งความตกต่ำของตลาดหุ้น

ดังนั้นการที่บริษัทมอร์แกน สแตนเล่ย์ฯ ผู้จัดทำดัชนี MSCI ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็น เครื่องมือตัดสินใจลงทุน จึงลดน้ำหนักการลงทุนในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนี FTSE ของอังกฤษกลับตัดเมืองไทยออกจากดัชนี และในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ทาง MSCI จะมีการประกาศน้ำหนัก การลงทุนอีกครั้ง ซึ่งทางบริษัทหลักทรัพย์พัฒนสินได้ คาดการณ์ไว้ว่าน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะถูกปรับลดลงไปอีก

แรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ ที่ต้องปรับน้ำหนักการลงทุนตาม MSCI เพื่อ ป้องกันความเสี่ยงจึงส่งผลให้ดัชนีของตลาด หลักทรัพย์ไทยไหลลงอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้(9 พ.ย.)ดัชนีปิดตลาดที่ 293.59 จุด ลดลง 5.78 จุด มูลค่าซื้อขาย 5,630.82 ล้านบาท 2 ร้อยล้านคุมได้

ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นรายหนึ่งกล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศแถบยุโรปโดยเฉพาะรายที่ต้องการลงทุนระยะย าว พวกเขาขายตั้งขายทุกราคา โดยไม่สนใจว่าจะขายทุนมากน้อยเพียงใด เพราะพวกเขาสามารถไปเอากำไรจากตลาดหุ้นที่อื่นมาชดเชยได้

ตลาดหุ้นไทยในช่วงวันที่ 13 ตุลาคมนั้น มีมูลค่าตลาดเพียง 1.1 ล้านล้านบาท เท่านั้น ถือว่าเล็กมากและไม่สามารถดึงดูดให้บรรดา ผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่มาลงทุนในเมืองไทย เพราะยังมีตลาดหุ้นอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้และไต้หวันที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ช่วงที่นักลง ทุนยุโรปพากันเคลื่อนย้าย การลงทุนออกจากเมืองไทยจึงกลายเป็นโอกาส ที่ดีของนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มทุนจากเอเชียที่เข้ามาแทนคือ สิงคโปร์ และไต้หวัน

"มูลค่าตลาดหุ้นแค่ 1 ล้านล้านบาทนั้นใช ้เงินสัก 2-3 ร้อยล้านบาทก็สามารถควบคุมตลาด หุ้นได้ทั้งหมดแล้ว"

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ทีมงานจากสิงคโปร์และไต้หวันรู้ธรรมชาติของนักลงทุนไทยเป็นอย่างดี แถมยังมีระบบการซื้อและขายหุ้นตัวเดียวกันใน วันเดียวกันยิ่งทำให้การควบคุมทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้พวกเขาไม่ได้ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวแต่จะมีสิ่ง ที่เป็นผลพลอยได้อีกนั่นคือกำไรจากค่าเงินบาทอีกด้วย

แม้ขณะนี้มูลค่าตลาดหุ้น ภายใต้การบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ต่างจากวันที่เข้ามาบริหาร มากนัก และดัชนี 493.04 จุด จนถึงวานนี้ปิดที่ 293.59 จุด ลดลงไป 199.45 จุด อาจจะไม่สำคัญเท่าโครงสร้างหลักๆ ของตลาดทุนได้เปลี่ยนไปเกือบทั้งหมด

โดยเฉพาะโบรกเกอร์ซึ่งเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่มีอยู่ราว 27 ราย เหลือเป็นของ คนไทยเพียงไม่กี่รายเท่านั้น เนื่องจากถูกสั่งปิดกิจการและเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาประมูล ใบอนุญาต ไป ดังนั้นเงินกำไรของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จึงไหลออกไปยังต่างประเทศ

พฤติกรรมการแข่งขันกันระหว่างโบรกเกอร์ ด้วยกัน ยิ่งทำให้พฤติกรรมของนักลงทุนเปลี่ยนไปด้วย ถือเป็นการทำลายนักลงทุนระยะยาวเพราะปัจจุบันนี้นักลงทุนของไทยส่วนใหญ่จึง มุ่งเน้นแค่การเก็งกำไร

นอกจากนี้ตลาดทุนยังกลายเป็นแหล่งระดมทุนชั้นดีจากนักลงทุนต่างชาติที่ เข้ามาทำธุรกิจในไทย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้อ งนำเงินทุนจาก ต่างประเทศเข้ามาและเมื่อได้กำไรก็จะถ่ายออกไปต่างประเทศอีก

ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่ใช้ตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่ได้คงนโยบายอัตรา ดอกเบี้ยต่ำมาโดยตลอด แต่ไม่เข้ามาสร้างความ เชื่อมั่นให้กับนักลงทุน จึงทำ ให้ บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ประสบปัญหา หลังจากการที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อย สินเชื่อใหม่ บริษัทเหล่านี้ ไม่สามารถเพิ่มทุนใหม่หรือออกหุ้นกู้ใหม่ๆ ได้

ลดบจ. ได้ 79 ราย

นับตั้งแต่การเข้ามารับงานต่อจากพรรคความหวังใหม่ในปี 2540 มีบริษัทจดทะเบียน ถูกเพิกถอน 24 ราย ซึ่งเกิดจากการถูกสั่งปิดกิจการปี2541 มีบริษัทออกจากตลาด หลัก ทรัพย์อีก 14 ราย ปี 2542 ออกจาก ตลาด 26 ราย และปี 2543 ออกจากตลาด หลักทรัพย์ไปแล้ว 13 รายและกำลังจะออกอีก 2 ราย รวมทั้งสิ้น 79 ราย ซึ่งล่าสุด บริษัทกระจกไทยอาซาฮี เพิ่งประกาศถอนตัว

แม้ว่าสาเหตุการออกจากตลาดหลักทรัพย์ของ บริษัทจดทะเบียน จะเกิดจากการการที่ถูกทางการสั่งปิดหรือขาดคุณสมบัติตามที่ตลาด หลักทรัพย์กำหนด แต่ระยะหลังสาเหตุของการ ออกจากตลาดหลักทรัพย์นั้นเกิดขึ้นมาจากการออกโดยสมัครใจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ น่าเป็นห่วง

"นโยบายของตลาดหลักทรัพย์ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนต้องพ้น สภาพ ด้วยเหตุผลของการปกป้องนักลงทุน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ ไม่ดีพอ แต่ภายหลังทางตลาด หลักทรัพย์ก็ได้ลดหย่อนเงื่อนไขหลาย ประการเพื่อที่จะรักษาบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ไว้ หลังจาก ที่เริ่มมีบริษัทหลายแห่งออกจากตลาด" แหล่งข่าวกล่าว

โบรกเกอร์ต่างชาติรายหนึ่งกล่าวว่า แม้ว่าจะดูเหมือนนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาฮุบ กิจการด้านนี้ แต่ทุกวันนี้ทุกคนขาดทุนกันเป็นส่วนใหญ่ หาก สภาพตลาดหุ้นยังมีการ ซื้อขายเฉลี่ยต่อวันต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาทแล้ว อีก ไม่ช้าผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ต้องตัดสินใจ ออกจากเมืองไทยแน่นอน

คนในวงการ นี้พูดกันเสมอว่าถือเป็นความโชคร้ายของตลาดหุ้นไทย ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งเลขาธิ การสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง 3 ท่านเน้นแต่ คำว่า"กลไกตลาด" จนทำให้ตลาดหุ้นเมืองไทยมีแต่แย่ลงในทุกวันนี้




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2551    
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 14:32:33 น.
Counter : 429 Pageviews.  

เปิดหุ้นกลุ่มทุน"ประชาธิปัตย์"ผงาดฟ้า

แกะรอยกลุ่มทุนใหญ่พรรคประชาธิปัตย์พบ บมจ.น้อยใหญ่อาทิ BBL-SEAFCO-ASCON-SPALI-PRIN ตระกูลล่ำซำร่วมวงส่งท่อน้ำเลี้ยงเพียบ งานนี้ IEC-D1 ก็ร่วมวงด้วย จับตาผลประโยชน์ต่างตอบแทนในรูปแบบต่างๆทั้งงาน ราคาหุ้นบนกระดาน วงการคาดตอบแทนกันแง่นโยบาย แนะเลือกเล่นหุ้นการเมืองกลุ่มท่องเที่ยว-ส่งออก-หุ้นรับเหมาฯ

หลังจากที่การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดแรกของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีผ่านไปอย่างราบรื่น คงต้องจับตาการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29-30 ธันวาคมนี้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร และการขัดขวางการแถลงนโยบายของกลุ่ม นปช.จะนำพาไปสู่ความรุนแรงเหมือนเมื่อครั้งวันที่ 7 ต.ค.51หรือไม่เป็นสิ่งที่ยังต้องรอดูว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะพาจุดนี้ไปได้หรือไม่

อย่างไรก็ดี การขึ้นสู่อำนาจอีกครั้งของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในยุค "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ครั้งนี้จะสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากนักธุรกิจรายใหญ่ หากมาตามรอยกลุ่มนายทุนที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของพรรคประชาธิปัตย์นั้นมี หลายกลุ่มที่ชื่อคุ้นหูและเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง

จากข้อมูลพบว่า เมื่อเดือนต.ค. 2551 กลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ปและสยามพารากอนบริจาคให้ประชาธิปัตย์ 2 ล้านบาท กลุ่มเอเชียน พร็อพเพอร์ตี้ฯ (AP) กลุ่มแอล.พี.เอ็น.(LPN) รายละ 1 ล้านบาท

และในเดือนพฤศจิกายที่ทางประชาธิปัตย์จัดงานระดมทุนครั้งใหญ่ ตัวเลขเฉพาะที่แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือเกือบ 120 ล้านบาท ขณะที่พลังประชาชน 10 ล้านบาท รวมใจไทยชาติพัฒนา 3.7 ล้านบาท และกิจสังคม 20,000 บาท

ในการระดมทุนครั้งนี้มีกลุ่มทุนขาใหญ่ขาประจำเข้าร่วมเพียบ ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ,นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชาย, นายประกอบ จิรกิติ กลุ่มทุนยักษ์อย่างเครือ ซี.พี. เจ้าสัวเจริญ ศิริวัฒนภักดี แบงก์กรุงเทพ กลุ่มสหพัฒน์ ตระกูลล่ำซำ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าเฉพาะงวดเดือน พฤศจิกายน รายนามตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปมี 53 ราย

สูงสุด คือนายแทน เทือกสุบรรณ 8 ล้านบาท รองลงมานายสุเทพ 5.5 ล้านบาท, นายประกอบ จิรกิติ 5 ล้านบาท, นายชุมพล จุลใส 3 ล้านบาท, นายกำลาภ วิวัฒน์มงคลกุล 3 ล้านบาท, นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ 3 ล้านบาท, บริษัทเซนต์หลุยส์ โฮลดิ้ง จำกัด 3 ล้านบาท

นายสงคราม ชีวประวัติดำรงค์ 2 ล้านบาท นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ 2 ล้านบาท, หจก.ไพโรจน์ สมพงษ์พาณิชย์ 1,075,000 บาท, นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรณ์ 1.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีตระกูล ศรีวิกรณ์ เป็นผุ้บริหารของ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) 1.1 ล้านบาท, ม.ล.อภิมงคล โสณกุล 1,005,000 บาท

บริจาค 1 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เอทีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้, บริษัท พีระมิด คอนกรีต จำกัด, นายวรพจน์ อำนวยพล, บริษัท บัญชากิจ จำกัด, บริษัท ทีวีแสตนดาร์ด จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด (กลุ่มนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ), บริษัท ที.เอส.ปาล์ม จำกัด, บริษัท พระนครศรีอยุธยาพาณิชย์ และอุตสาหกรรม จำกัด, บริษัท ธาราวัญ คอนสตรัคชั่น จำกัด, บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป(MAJOR)

นายเทพไท เสนพงศ์, นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์, นายอาคม เอ่งฉ้วน, นางฐิติมา เปี่ยมพงศ์สานต์, นางสาวภานี อรวัฒนศรีสกุล , นายเกียรติ สิทธีอมร, นายศิริชัย แซ่โค้ว, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์, นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์, นายชาญ โสภณพนิช, บริษัท วัฒนาโชติ จำกัด, บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเอนจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) (IEC) , บริษัท ดอนเมืองการช่าง จำกัด , บริษัท มาสเตอร์ แอนด์ มอร์ จำกัด, บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด, บริษัท ยุพงษ์ จำกัด

บริษัท สุปรีมโบรคเกอร์ จำกัด , บมจ. ซีฟโก้(SEAFCO), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ,หจก. สามประสิทธิ์ (กลุ่มนายสมบัติ เพ็ชรตระกูล) ,นายไพบูลย์ ควรทรงธรรม, นายถาวร เสนเนียม, นายแพทย์บุญ วนาสิน, ธนาคารกรุงเทพ(BBL), บริษัท เศรษฐีวรรณพัฒนาการ จำกัด, บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์, บริษัท อมตะบี กริม เพาเวอร์ จำกัด, บมจ.สหพัฒนพิบูล (SPC), บริษัท อุตสาหกรรมมิตรเกษตร จำกัด, บริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยส์ จำกัด

ผู้บริจาคต่ำกว่า 1 ล้านบาท 24 ราย ได้แก่ นายพูลชัย ลักษณวิศิษฎ์ 6.2 แสนบาท อีก 22 รายบริจาค 5 แสนบาท ได้แก่ บริษัท ซัมมิท แหลมฉบัง โอโต ซีท แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (กลุ่มจึงรุ่งเรืองกิจ), บมจ.โรงพยาบาลธนบุรี, บริษัทคลองถม ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด , นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ, บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ), บริษัท ซีเอ โพสท์ (ไทยแลนด์) จำกัด , นายสมเกียรติ ฉันทวานิช , นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ผู้บริหารหนุ่มของ บมจ. แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON), นายสาธิต ปิตุเตชะ

บริษัท ผาสุก จำกัด, หจก.นภาก่อสร้าง, บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง, บริษัท ทีพีเอส การ์เด้น เฟอร์นิเจอร์ จำกัด, บริษัท กลุ่ม 79 จำกัด, บริษัท วัสดุภัณฑ์ธุรกิจ (ตระกูลสะสมทรัพย์), บริษัท ไฮ-เทค เน็ทเวิร์ค จำกัด, บริษัท อมตะ สปริง ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท โปรเกรส คอนซัลแตนท์ แอนด์เทรนนิ่ง จำกัด, บริษัท กรุงธนสถาปัตย์ (2003) จำกัด, น.ส.ประกายดาว เขมะจันตรี อดีตผู้บริหารของ บมจ.บลิส-เทล(BLISS) , บมจ.ปัญจพลพัลพ์ อินดัสตรี, บริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซิสเต็ม จำกัด

นอกจากนี้กลุ่ม ซี.พี. 2 บริษัท คือ บมจ.ทรูวิชันส์ 3 แสนบาทกับบริษัท เซเว่นสตาร์ โฮลดิ้ง 1 แสนบาท บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัดของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี 1 แสนบาท, บมจ.เมเจอร์ดีเวลลเม้นท์ (MJD) 2 แสนบาท, บมจ.ดรากอนวัน(D1) 3 แสนบาท, นายมนตรี ศรีไพศาล 1 แสนบาท, บมจ.ศุภาลัย(SPALI) 1 แสนบาท, บมจ.ปริญสิริ(PRIN) 2 แสนบาท, บมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ (CMO)4 แสนบาท , บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด 3 แสนบาทเป็นต้น

มีรายงานข่าวแจ้งว่า การระดมทุนครั้งนี้เป็นครั้งแรก "แบงก์กรุงเทพ" เปิดตัวอย่างชัดเจน หลังจากบริจาคผ่านคนในตระกูลโสภณพนิชมานาน

กล่าวอย่างถัดไปที่ต้องจับตาคือ ผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างกลุ่มนายทุนและผู้รับทุนว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ที่แน่ๆราคาหุ้นบนกระดานหลายตัวที่มีรายชื่อออกหน้าเป็นนายทุนของพรรค วิ่งออฟไซด์ไปเรียบร้อยแล้ว อย่าง SEAFCO เองบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า มีภาษีดีสุดที่จะคว้างานเสาเข็มรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ตอนนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ กำลังเร่งวันเร่งคืน และหากไม่มีอะไรผิดพลาดงานนี้ก็น่าจะเป็นของ SEAFCO แน่นอน เพราะอะไรนั้นคนในวงการรู้ดี

ส่วนหุ้นแบงก์ยักษ์ใหญ่อย่าง BBL หรือแบงก์ในเครือตระกูลล่ำซำนั้น คนในวงการคาดว่าน่าจะได้รับอานิสงส์ผลบุญในการปล่อยสินเชื่อ

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เองก้ถือว่าเป็นแหล่งเงินใหญ่ หากปีหน้าธุรกิจไม่ดีเงินทุนอาจหดหาย ดังนั้น มาตรการอะไรที่พอจะช่วยหนุนการทำธุรกิจดีต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคย่อม น่าจะเร่งผลักดันออกมา เพราะไม่เช่นนั้นเศรษบกิจไทยอาจไปไม่รอด ดังนั้น ต้องจับตาจากนี้รัฐบาลจะมีมาตรอะไรออกมาฟื้นตลาดอสังหาฯหรือไม่ นี่ยังไม่นับรวมบรรดาหุ้นเก็งกำไรใหญ่น้อยทั้ง IEC,D1 ที่ผลประโยชน์ต่างตอบแทนน่าจะมาในรูปแบบต่างๆ

นายวรุฒม์ ศิวะศริยานท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการตอบแทนผลประโยชนในลักษณะต่างตอบแทนของ พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำรัฐบาลกับกลุ่มทุนหรือกลุ่มบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ที่บริจาคเงินสนับสนุนการบริหารพรรค เนื่องจากการบริจาคเงินให้พรรคอ้างอิงตามตัวเลขเฉพาะที่แจ้งต่อคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.)เป็นการบริจาคอย่างเปิดเผยต่อทางการจึงไม่น่าจะเป็นเจตนาที่ไม่ บริสุทธิ์หรือหวังผลประโยชน์

ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงินบริจาคเข้าพรรคมากจะได้รับผล บวกในแง่จิตวิทยาการลงทุนจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเพราะคาดการณ์ว่าจะ ได้รับผลดีจากการเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล แต่อาจเป็นแค่ผลจิตวิทยาในช่วงสั้นๆแต่ไม่ได้ช่วยให้แง่พื้นฐาน จึงไม่มีคำแนะนำในเชิงกลยุทธ์เพราะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐาน

ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน เปิดเผยว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีประเด็นที่หลายองค์กร รวมถึงกลุ่มทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และภาคส่วนนักธุรกิจจำนวนมากเข้าบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ล็อตใหญ่ นั้น ก็ไม่น่าจะส่งผลในแง่ของจิตวิทยาการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเข้ามาบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ และก็ไม่น่าจะมีการให้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม หากจะมีการให้ผลตอบแทนกัน ก็น่าจะเป็นการตอบแทนกันในแง่ของนโยบาย แต่ทั้งนี้ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีการตอบแทนกันหรือไม่

แต่อย่างไรก็ดี โดยรวมแล้วสิ่งที่น่าจะเป็นประเด็นที่หนุน หรือเป็นแรงจูงใจให้มีการเก็งกำไรของนักลงทุน น่าจะมาจากการเข้าเก็งกำไรนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่มากกว่า โดยเฉพาะประเด็นนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะเร่งแผน เพื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งน่าจะมีนโยบายที่กระตุ้นภาคการส่งออก การบริโภค และการท่องเที่ยว รวมถึง ให้จับตานโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ทั้งการพยุงราคายางพารา ข้าวโพด และราคาข้าว เนื่องจากจะมีผลต่อแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มดังกล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายที่จะเข้ามากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว อาจจะเป็นการกระตุ้นการการท่องเที่ยว โดยหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์ และมีแรงหนุนเข้ามา คือ ERAWAN และ MINT รวมถึง CPN ส่วนมาตรการที่จะกระตุ้นการการบริโภคน่าจะหนุนหุ้นในกลุ่มสิ้นค้าที่ส่งออก อาทิอาหารเช่นหุ้นกลุ่มซีพี และส่วนของมาตรการที่เร่งโครงการเมกะโปรเจ็กน่าจะเป็นแรงหนุนหุ้นกลุ่มรับ เหมาก่อสร้าง

Website E Finance Thai


เปิดกลุ่มทุนหนุน"ปชป." ดัน"อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ

วันที่ 08 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11200 มติชนรายวัน

เปิดกลุ่มทุนหนุน"ปชป." ดัน"อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ

"ประชาธิปัตย์" เป็นพรรคการเมืองแรกๆ จัดทัพพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งก่อนใคร

ด้วยความมั่นใจในสถานะของ "ฝ่ายค้าน" ที่มีภาษีดีและเป็นต่อ "ฝ่ายรัฐบาล" อยู่หลายขุม

อันมีสาเหตุมาจาก "กระแส" และ "กระสุน" ที่ต่างพากันเทเข้าใส่ "ประชาธิปัตย์" ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา

รวม ทั้งการรอดพ้น "การยุบพรรค" จากกรณีข้อหา "แจกตั๋วภาพยนตร์" ที่อุบลราชธานี ของ "วิฑูรย์ นามบุตร" ส.ส.สัดส่วน กอปรกับสถานะของ "ฝ่ายรัฐบาล" ที่เริ่มสั่นคลอนจากปัจจัยและปัญหาที่รุมเร้า

ทำให้มีการ "พยากรณ์" ว่า รัฐบาลอาจอยู่ไม่ครบเทอม จะมีการ "ยุบสภา" เกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้การเลือกตั้งเร็วขึ้น

ดัง นั้น "พรรคประชาธิปัตย์" จึงเปิดเกมรุกช่วงชิง "ทุนรอน" จากภาคธุรกิจต่างๆ รวมทั้ง "เศรษฐีคนมีตังค์" แฟนพันธุ์แท้ ที่ยังแอบมีความหวังว่า "ประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาล (สักวัน)"

8 พฤศจิกายน 2551 จึงเป็นฤกษ์งามยามดี ที่พรรคจะจัดงาน "ระดมทุน" ภายใต้หัวข้อ "เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์" ที่อิมแพค เมืองทองธานี

เพื่อ เปิดโอกาสให้ "กลุ่มทุน" ทั้งหน้าใหม่และรายเดิม ได้ร่วมลงขัน ช่วยกันสานฝัน "ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล" อีกสักครั้ง หลังจากที่พลาดหวังมาจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา

ว่ากันว่า "ระดมทุน" ครั้งนี้ "ไม่หมู" อย่างที่คิด เพราะแม้ว่าชื่อ "ประชาธิปัตย์" ขายได้เสมอ แต่คราวนี้เจ้าภาพถึงกับบ่นอุบถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ มีผลต่อสภาพคล่องในการขาย "โต๊ะ" จำนวน 400 โต๊ะ ราคาโต๊ะละ 1 ล้าน จึงไม่ลื่นเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา (21 กรกฎาคม 2550)

แม้ยอดที่ตั้ง ไว้คือ "400 ล้านบาท" แต่ในทางปฏิบัติ ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ "กระสุน" มากกว่านี้อีกเท่าตัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ "เทพเทือก" สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ในฐานะ "แม่งาน" เพราะดูเหมือนบรรดานักธุรกิจ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ เริ่มมองเห็นโอกาสและความท้าทายอีกครั้ง ที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็น "นายกรัฐมนตรี คนที่ 27" หากมีการเลือกตั้งเร็ววันนี้ จึงได้ตบเท้าเข้า "ซื้อโต๊ะ" กันไม่ขาดสาย

ทำ ให้งานนี้อาจไม่ต้องเหนื่อยมาก เมื่อ "กลุ่มทุนหน้าเก่า" ที่ยังเหนี่ยวแน่น อาทิ เครื่องดื่มชูกำลังรายยักษ์ อย่าง "กระทิงแดง" ของ "เสี่ยเฉลียว อยู่วิทยา" ที่ยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี แม้จะหยุดบริจาคไปในช่วงที่ "ไทยรักไทย" เป็นรัฐบาล

ตามมาด้วยบริษัท ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ของ "เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" "กลุ่มทุนใจดี" ของทุกพรรคการเมือง ที่เคยสร้างความฮือฮาทำตัวเลขเงินบริจาคเดือนกรกฎาคม 2551 ไว้สูงถึง 23 ล้านบาท ทำให้ "ประชาธิปัตย์" สร้างประวัติศาสตร์เงินบริจาคสูงสุด

ขณะ ที่ยักษ์ใหญ่วงการน้ำเมา "เบียร์ช้าง" บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ของ "เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ "กรณ์ จาติกวณิช" รองหัวหน้าพรรค งานนี้ก็คงไม่พลาดเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า "มหาอำนาจตลาดทุน" ทั้ง 3 เจ้า น่าจะ "เหมา" ที่เดียว "10 โต๊ะ" หรือไม่เช่นนั้น ก็สนับสนุน "ทุนหนา" ก้อนเดียวจบ แบบที่ไม่ต้องเอา "โต๊ะ" ก็เป็นได้

แต่ที่น่าจับตามอง คือ "กลุ่มทุนใหม่" ที่อาจจะสอดแทรกเข้ามาซื้อทีเดียว "5-10 โต๊ะ" เช่นกัน คือ กลุ่มธุรกิจ "คิงเพาเวอร์" ของ "วิชัย รักศรีอักษร" ที่ผ่านสายสัมพันธ์ "เทพเทือก" ในฐานะที่เป็นลูกค้าคนสำคัญ ที่ไปใช้บริการโรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ อยู่บ่อยๆ

ทั้งนี้ "ขาใหญ่" ที่ยังคงภักดีต่อ "ประชาธิปัตย์" คงหนีไม่พ้น "ตระกูลโสภณพนิช" กลุ่มทุนจากธนาคารกรุงเทพ ยังอาจจะสอดแทรกเข้าผ่าน "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" ส.ส.กรุงเทพฯ เช่นเดียวกับ "ตระกูลล่ำซำ" ของ "ท่านโพธิพงษ์ ล่ำซำ" เจ้าของธุรกิจ "เมืองไทยประกันชีวิต" ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี (เงา) ซึ่งตามกฎแล้ว "ครม.(เงา)" ต้องรับผิดชอบคนละ "5 โต๊ะ" งานนี้อาจใจป้ำควักกระเป๋าเหมาหมดก็เป็นได้

รวมทั้งอาจจะมีธุรกิจน้ำ ดำค่าย "ไทยน้ำทิพย์" ของ "ตระกูลสารสิน" และ "ตระกูลเบญจรงคกุล" อดีตเจ้าของธุรกิจบริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "ยูคอม" ที่มี "น้องเขย" "ประกอบ จิรกิติ" เป็น ส.ส.สัดส่วนในสังกัด น่าจะร่วมลงขันในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ ช่องทางของรายได้ ยังรวมถึงกลุ่มสมาชิกพรรค "กระเป๋าหนัก" อาทิ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" "กรณ์ จาติกวณิช" และ "นิพนธ์ พร้อมพันธุ์" รองหัวหน้าพรรค ที่คราวนี้คงต้องยอม "ควักเนื้อ" กันบ้างนิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 8 พฤศจิกายน ภาพของกลุ่มทุนต่างๆ จะชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็น "ความเชื่อมั่น" ในตัว "ประชาธิปัตย์" และ "หัวหน้าอภิสิทธิ์" ว่าจะให้เป็น "นายกรัฐมนตรี คนที่ 27" ได้หรือไม่

Websiteมติชน

เช็กกลุ่มทุน-กระเป๋าเงิน"ประชาธิปัตย์"ครั้งล่าสุด ก่อนจะโจนสู่ห้วงแห่งอำนาจ

วันที่ 12 ธันวาคม 2551 - เวลา 19:04:39 น.

เปิดกลุ่มทุนปชป.ก่อนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เผยกลุ่มทุนเก่ายังอยู่ครบทั้งล่ำซำ, โสภณพนิช, ไกรฤกษ์, บริพัตร ,จาติกวณิช,เทพบุตร ฯลฯและส.ส.กระเป๋าหนักในพรคคอีกหลายคนที่ยังควักเงินบริจาคสม่ำเสมอ !!

แม้จะยังต้องลุ้นตัวโก่งว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าจับตาประการหนึ่งในห้วงแห่งการแย่งชิงอำนาจจัดตั้งรัฐบาลของ พรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ท่าทีของกลุ่มทุนไทยต่อประชาธิปัตย์
เพราะช่วงหลังมานี้ เงินประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่งได้มาจากการควักกระเป๋าของกลุ่มทุนหน้าใหม่ผ่าน เงินบริจาคพรรคการเมืองอยู่เรื่อยๆ เช่น กลุ่ม ซี.พี. หรือกลุ่มเดอะมอลล์ เป็นต้น เสมือนจะรู้ว่าสายลมกำลังเปลี่ยนทิศ

เอาเข้าจริง ประชาธิปัตย์หลุดจากอำนาจทางการเมือง ในปี 2544 หลังพ่ายแพ้พรรคไทยรักไทยหมดรูป

การเป็นฝ่ายค้านยาวนานเกือบ 10 ปี และได้แต่เฝ้าดูตระกูลชินวัตรร่ำรวยติดอันดับเศรษฐีโลก ฉะนั้นความพยายามในการกลับมารอบใหม่ของประชาธิปัตย์ ทำให้ "ประชาชาติธุรกิจ" ต้องกลับไปดูกระเป๋าเงินแกนนำพรรคครั้งสุดท้ายก่อนจะโจนสู่ห้วงแห่งอำนาจและ ผลประโยชน์

จากการตรวจสอบกลุ่มทุนในพรรค เช่น ตระกูลล่ำซำ ของนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ตระกูลบริพัตร ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ตระกูลโสภณพนิช ของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ตระกูลไกรฤกษ์ ของนายจุติ ไกรฤกษ์ หรือตระกูลจาติกวณิช ของนายกรณ์ จาติกวณิช ที่ยังคงเป็นถุงเงินชั้นดีของพรรคประชาธิปัตย์เรื่อยมา พบว่ากลุ่มทุนเก่าเหล่านี้ยังคงเป็นถุงเงินชั้นดีให้กับพรรคเรื่อยมา เห็นได้จากเงินบริจาคพรรคที่ควักกระเป๋าจ่ายอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด

เมื่อแยกเป็นรายบุคคล จะพบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 646.6 ล้านบาท โดยมีทรัพย์สินเป็นที่ดินกว่า 590 ล้านบาท จำนวน 40 แปลง นอกจากนี้ยังมีเงินฝาก 9 บัญชี จำนวน 19.9 ล้านบาท เงินลงทุน 452,664 บาท บ้าน 3 หลัง มูลค่า 11.8 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน มูลค่ารวม 5.6 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ รวม 18.7 ล้านบาท มีหนี้สิน 14 ล้านบาท

ส่วนภริยา นางสาวิตรี มีทรัพย์สิน 23.5 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 446,130 บาท เงินลงทุน 860,086 บาท ที่ดิน 1 แปลง 10 ล้านบาท บ้าน 1 หลัง 9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 3.2 ล้านบาท มีหนี้สิน 4.2 ล้านบาท รวม 2 คนมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 656.2 ล้านบาท

นายกรณ์ จาติกวณิช มีทรัพย์สิน 812.5 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 10 บัญชี 72 ล้านบาท เงินลงทุน 541.6 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 8 ล้านบาท ที่ดิน 12 แปลง 97 ไร่ 95.6 ล้านบาท บ้าน 3 หลัง 48.6 ล้านบาท รถยนต์ 4 คน มูลค่ารวม 9.3 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 36.9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 480,000 บาท ภรรยา นางวรกร มีทรัพย์สิน 117.2 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 10 บัญชี 29.5 ล้านบาท ที่ดิน 6 แปลง 73 ไร่ 25.5 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง 20.3 ล้านบาท รถยนต์ 1 คัน
5.1 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 36.6 ล้านบาท รวม 2 คน มีทรัพย์สิน 929.2 ล้านบาท

ด้านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช มีทรัพย์สิน 67.5 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 8 บัญชี 31.3 ล้านบาท เงินลงทุน 24.7 ล้านบาท ที่ดิน 2 แปลง 27 ไร่ 1.2 ล้านบาท

รถยนต์ 9 แสนบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 9.2 ล้านบาท ส่วนคู่สมรส นายโชติ มีทรัพย์สิน 554.4 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 2 บัญชี 18.2 ล้านบาท เงินลงทุน 458.4 ล้านบาท ที่ดิน 7 แปลง 67.8 ล้านบาท บ้าน 9.9 ล้านบาท รวม 2 คน มีทรัพย์สิน 662 ล้านบาท

ส่วนหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 36.1 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 1.6 ล้านบาท ที่ดิน 2 แปลง 15 ไร่ มูลค่า 19.5 ล้านบาท บ้าน 3 หลัง มูลค่า 13.8 ล้านบาท รถยนต์ 2 คัน รวม 9 แสนบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 255,000 บาท ส่วนภรรยา ดร.พิมพ์เพ็ญ มีทรัพย์สิน 14.6 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 4.1 ล้านบาท เงินลงทุน 7.3 ล้านบาท ทรัพย์สินเครื่องประดับรวม 3.06 ล้านบาท รวม 2 คน มีทรัพย์สิน 51.2 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในพรรค ปชป.ยังมี ส.ส.ร่ำรวยระดับ 100 ล้านอีกหลายคน อาทิ นายประกอบ จีรกิตติ ส.ส.ระบบสัดส่วน นายทุนพรรค มีทรัพย์สิน 441.5 ล้าน เป็นเงินสด 2 ล้านบาท เงินฝาก 50 บัญชี 88.9 ล้านบาท ที่ดิน 29 แปลง 125.5 ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 53 ล้านบาท รถยนต์ 2 คัน 4.1 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 35 ล้านบาท ส่วนภรรยา นางวรรณา มีทรัพย์สินถึง 2,070.9 ล้านบาท เป็นเงินสด 2 ล้านบาท เงินฝาก 28 บัญชี 967.1 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 30 ล้านบาท ที่ดิน 21 แปลง 25.3 ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 6.1 ล้านบาท มีหนี้สิน 368,017 บาท รวม 2 คนมีทรัพย์สินมากถึง 2,482.1 ล้านบาท

แต่ที่น่าสนใจคือ นายประกอบจัดเป็นนักการเมืองรวยหุ้น โดยมีเงินลงทุนมากถึง 1,153.1 ล้านบาท โดยเป็นของนายประกอบ 66 รายการ มูลค่า 102.9 ล้านบาท ขณะที่ภรรยามี 41 รายการ มูลค่า 1,040.2 ล้านบาท

ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่นายประกอบลงทุนมากสุดได้แก่กองทุนต่างๆ อาทิ กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี มันนี่แมนเนจเม้นท์ 4,631,859 หุ้น กองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ 268,568 หุ้น กองทุนเปิดรวงข้าวหุ้นกู้ 1 แสนหุ้น บมจ.ประชาอาภรณ์ 1 ล้านหุ้น

อีกคนที่น่าสนใจ คือ นายทศพร เทพบุตร สามี อัญชลี เทพบุตร มีทรัพย์สิน 498.1 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 37 บัญชี 4.7 ล้านบาท เงินลงทุน 117.3 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 167.8 ล้านบาท ที่ดิน 59 แปลง 174.5 ล้านบาท บ้าน 4 หลัง 27.5 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน 4.9 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 126,793 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ 972,000 บาท มีหนี้สิน 9.7 ล้านบาท

ส่วนนางอัญชลีมีทรัพย์สิน 464 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 21 บัญชี 31.4 ล้านบาท เงินลงทุน 114.1 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 25 ล้านบาท ที่ดิน 10 แปลง 65.4 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง 12.5 ล้านบาท รถยนต์ 4 คัน 3.5 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 201.4 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 10.5 ล้านบาท รวม 2 คนมีทรัพย์สิน 953.7 ล้านบาท

นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีทรัพย์สิน 278.8 ล้านบาท เป็นเงินสด 350,000 บาท เงินฝาก 5 บัญชี 2.9 ล้านบาท เงินลงทุน 60.6 ล้านบาท ที่ดิน 4 แปลง 79.9 ล้านบาท บ้าน 1 หลังมูลค่า 22 ล้านบาท รถยนต์ 10 คัน 58.4 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 45.5 ล้านบาท

ภรรยา นางสุนงค์ มีทรัพย์สิน 429.6 ล้านบาท เป็นเงินสด 3 แสนบาท เงินฝาก 4 บัญชี 67,840 บาท เงินลงทุน 38.1 ล้านบาท ที่ดิน 25 แปลง 330.3 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง 18.5 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน มูลค่า 16.8 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 24.2 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีก 39.8 ล้านบาท รวมมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 734.7 ล้านบาท

นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ มีทรัพย์สิน 250 ล้านบาท

ส่วนสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯพรรค ผู้จัดการรัฐบาล ร่ำรวยแบบพอเพียง 38.8 ล้านบาท ส่วนบุตรชายนายเชน เทือกสุบรรณ มี 33.7 ล้านบาท แต่กระนั้นบริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม ของนายสุเทพ ก็ควักกระเป๋าให้พรรคไม่เคยขาด เฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านบาท

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ต้องยอมรับว่าทุนของประชาธิปัตย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนเก่ายังสะสมทุนได้เป็นกอบเป็นกำ

แหล่งข่าว ประชาชาติธุรกิจ


จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2248 30 ส.ค. - 01 ก.ย. 2550

กลุ่มทุนประชาธิปัตย์ขยับ หนุน'อภิสิทธิ์'นายกฯ

นิตยสารไทม์ ฉบับล่าสุด วิเคราะห์อนาคตการเมืองไทยหลังเลือกตั้งปลายเดือนธันวาคม นี้ ว่า หัวหน้าพรรคนักการเมือง ที่มีอายุน้อยที่สุด ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
เว้นแต่ หนึ่ง มีเงื่อนไขจาก นายทหารที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช.) กระโดดลงมาเล่นการเมืองด้วยตัวเอง
สอง ปัจจัยจากกระสุนดินดำ เป็นอีกเงือนไขสำคัญ ที่ประชาธิปัตย์ กุมขมับอยู่เนืองๆ เพราะเผลอทำหน้าที่ฝ่ายค้านยาวนานถึง 6 ปี และขาดช่วงทำกิจกรรมในรัฐสภาอีก 2 ปี
ยิ่งมีข้อมูลที่ระบุว่า ในฤดูกาลการเลือกตั้งที่เสียงปี่เสียงกลอง กำลังจะมาถึง คาดว่ามีตัวเลข ต่อรองค่าตัวผู้สมัครมีการเคลื่อนไหวสูงถึง 30 ล้านบาทต่อผู้สมัคร 1 คน
ตัวเลขนี้หลายคนอาจคิดว่า เป็นนิทานหลอกเด็ก ถ้าคนเปิดประเด็นไม่ใช่ มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) มีประสบการณ์ในแวดวงกฎหมายที่เกี่ยวโยงกับการเมือง การเลือกตั้ง อย่างแยกไม่ออก
ระยะเวลาห่างไม่กี่สัปดาห์ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้ที่กลุ่มมัชฌิมา ของสมศักดิ์ เทพสุทิน เคยส่งเทียบเชิญให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ออกมาประเมินตัววิ่งในสนามการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นอีกว่า ต้องใช้เม็ดเงินเฉลี่ยมากถึง 30,000 ล้านบาท
คนๆนี้ก็ไม่น่ามองข้าม เพราะเคยทำนายกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาคดียุบพรรค ชี้เปรี้ยงก่อนวันตัดเชือก ประชาธิปัตย์ "รอด" แต่ไทยรักไทย " ยุบ" เชื่อไม่เชื่อไม่มีใครว่า แต่ถึงเวลาพิสูจน์ที่ความแม่นยิ่งกว่าตาเห็น
ล่าสุด การุณ ใสงาม สนช. ประเมินว่า ตัวเลขซื้อขาย 30 ล้านบาทเป็นตัวเลขจิ๊บจ๊อย เพราะข้อมูลล่าสุดที่ได้ยินมาจากจังหวัดสุรินทร์ ณ วันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา เปิดพอร์ตซื้อ-ขาย ผู้สมัครส.ส.สนนราคาคนละ 40 ล้านบาท

จัดโต๊ะจีนระดมทุนทั่วประเทศ

จากเงื่อนไขดังกล่าว สุเทพ เทือกสุบรรณ แม่บ้านพรรคประชาธิปัตย์ จึงมองหาช่องทางระดมทุนเข้าพรรค เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสนามเลือกตั้ง ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ไม่พ้น การจัดโต๊ะจีน
จากที่ตั้งตัวเลขกลมๆ จากการระดมทุนจากการจัดโต๊ะจีน ที่ 1,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย !!
การระดมทุนด้วยการจัดโต๊ะจีน ครั้งแรกของประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ปชป.จัดกิจกรรมระดมเงิน ที่ศูนย์ประชุมไบเทค ได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำ มากถึง 426 ล้านบาท
งานนี้มีกลุ่มธุรกิจที่เคยสนับสนุนมาร่วมฟังวิสัยทัศน์จากหัวหน้าพรรคพร้อมเพรียง
แผนงานหารายได้ หลังจากจัดที่กรุงเทพฯ นัดต่อๆไป จะเป็นการระดมทุนในส่วนภูมิภาค เริ่มที่ไม่ไกลจากรุงเทพฯมากนัก
เป้าหมายแหล่งสะสมทุนในภูมิภาค จุดแรกจึงไปจัดที่โรงแรมนารีภิรมย์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้ชื่องานว่า " ประชาธิปัตย์ ประชาชน ประจวบคีรีขันธ์ งานนี้มี พล.ต. มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา และที่สร้างสีสันให้กับงานระดมทุนนี้ได้มากโข เห็นจะเป็น เจ้าพ่อ"พระราม 9 คาเฟ่" สมยศ สุธางกูร
งานนี้ ได้เกินเป้า จากที่ป๋าเทพ ตั้งไว้ที่ 14 ล้านบาท แต่ได้มาจริงๆ 16 ล้าน จากทั้งหมด 40 โต๊ะ ราคาเริ่มต้นที่โต๊ะละ 2 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท
โปรแกรมต่อไป ประชาธิปัตย์ มีเป้าหมายแอ่วเมืองเหนือ เตรียมจัดที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิด"ทักษิณ" หวังแก้ภาพลักษณ์ในอดีตที่โดนชาวเหนือกลุ่มหนึ่งถล่มเวทีหาเสียง ขณะ"หนุ่มมาร์ค"กำลังปราศรัย สะสมคะแนนเมื่อครั้งการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2548

ฮือฮา "ซีพี"บริจาค 23 ล้าน

ข้อมูลที่สร้างรอยยิ้มให้กับพลพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม ไม่น้อย เห็นจะเป็นข้อมูลที่ถูกเปิดเผยโดยเว็บไซด์คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) หลังผลการลงประชามติ รับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม เสร็จสิ้น
เว็บไซต์ของ กกต. ได้โชว์ตัวเม็ดเงินที่บุคคลและบริษัทที่บริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองต่างๆ ในเดือนกรกฎาคม 2550 พบว่า มีตัวเลขบริจาคในเดือนกรกฎาคม พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ถึง 109,878,218 บาท เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ประชาธิปัตย์ มีเงินบริจาคที่ 9,884,618 บาท เดือนพฤษภาคม ยอดบริจาค 6,616,700 บาท ส่วนเดือนอื่นๆก่อนหน้านั้น รวมยอดบริจาคไม่ถึง 10 ล้านบาท
ข้อมูลล่าสุดพบว่า กลุ่มบริษัทซีพี หรือ เจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้บริจาครายใหญ่ ที่ทำตัวเลขไว้สูงถึง 23 ล้านบาท ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ สร้างประวัติศาสตร์เงินบริจาคสูงสุดแบบถล่มถลายพรรคไทยรักไทย ในงวดเดือนเดียวกันที่มีเงินเหลือหลังถูกคำสั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 30 พฤษภาคม 2550 มีเงินค้างท่ออยู่ 6,666,700 บาท
เมื่อย้อนไปดูตัวเลขการบริจาคของกลุ่ม ซีพี ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ จากเว็บไซต์ กกต. เมื่อปี 2549 พบว่า ในเดือนมิถุนายน บริษัท ซีพี อินเตอร์ฟู้ด ( ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท สตาร์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจ ในกลุ่มซีพี บริจาค ในระดับ 1 ล้านบาท เท่านั้น

จากยอดบริจาคของกลุ่มซีพีที่กระจายไปยังบริษัทเล็กๆอีก 11 บริษัท สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ ทางธุรกิจของเจ้าสัว "ธนินท์ เจียรวนนท์" กับ" กำนันเทพ" และการประเมินการเมืองหลังเลือกตั้ง สอดคล้องกับการวิเคราะห์การเมืองของนิตยสารไทม์ ว่า แนวโน้มประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาลแหงๆ
เพราะในภาวะที่ทุน ไทยรักไทย ถูกพันธนาการ จากคำสั่งอายัดทรัพย์ของคณะกรรมการตรวจตรวจการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสีย หายแก่รัฐ ( คตส.) แม้จะสร้างบ้านหลังใหม่ ภายใต้หัวที่เป็นนอมินีของ"ทักษิณ ชินวัตร" ใช่ว่าศรัทธาจะกลับมาท่วมทันเหมือนเดิม
ส่วนกลุ่มทุนอื่น ที่มีการบริจาค ในตัวเลข 7 หลักขึ้นไป อาทิ ตระกูล วิริยประไพกิจ บริษัท บางกอกไรวิชั่น บริษัทฮัลโล บางกอกไตรวิชั่น เป็นต้น
รายนามผู้บริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นรายย่อย บริจาคตั้งแต่ 500บาท 1,000 บาท ถึง หลักหมื่น ที่บริจาคสม่ำเสมอทุกเดือน ไม่ใช่ใคร นอกจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นทั้งแม่บ้าน และถุงเงินพรรค บริจาคเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าตัวเลขเจ็ดหลัก
แถมยังทำสถิติดึงลูกชาย "แทน เทือกสุบรรณ "เจ้าของ "บริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด " ซึ่งเป็นบริษัทเลี้ยงฟาร์มกุ้งและปลูกสวนปาล์ม ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเจ้าประจำบริจาคเดือนละ1 ล้านบาท

เปิดตัวกลุ่มทุนดั้งเดิม

ข้อมูลที่น่าสนใจ นอกจากกลุ่มทุน"เทือกสุบรรณ " ที่สร้างผลงานบริจาคไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายอย่างน่าทึ่งแล้ว กลุ่มทุนดั้งเดิมที่สนับสนุนประชาธิปัตย์ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ปรากฏในเว็บไซต์ กกต. รองจากขาใหญ่ เทือกสุบรรณ เห็นจะเป็นกลุ่ม "ล่ำซำ" ของนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ เจ้าของธุรกิจเมืองไทยประกันชีวิต เคยทุ่มเงินบริจาคให้ประชาธิปัตย์ ถึง 10 ล้านบาท เมื่อเดือน มิถุนายน 2549
กลุ่ม "ตระกูลสารสิน" เจ้าธุรกิจน้ำดำ ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เป็นอีกกลุ่มที่สนับสนุนเงินให้ประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ยุค "พงศ์ สารสิน "จนถึงรุ่นลูก ได้ทิ้งมรดกการเมือง ให้ พรวุฒิ สารสิน บริจาคเงินสนับสนุนอยู่เนืองๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายน 2549 มียอดบริจาค 10 ล้านบาท
ทุนการเมืองที่เหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ อีกกลุ่มคือ "จาติกวณิช" ที่มี กรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ทีมเศรษฐกิจ และทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทักษิณ อย่างเผ็ดร้อน
กลุ่ม"โสภณพนิช " จากแบงก์กรุงเทพ ส่งผ่านมาทางคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช
ตระกูล"เบญจรงคกุล "อดีตผู้บริหารดีแทค ผ่าน ประกอบ จิรกิติ น้องเขย อดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร แม้ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนในอดีต แต่ยังมีชื่อบริจาคเป็นระยะๆ
ส่วนผู้สนับสนุนรายอื่น อาทิ นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ รองหัวหน้าพรรค ตระกูล " แก้วทอง"ของนายไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.ปาร์ต้ลิสต์ นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ณรงค์ศักดิ์ ปัทมปาณีวงศ์
ในขณะที่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค มีชื่อ บริจาคไม่บ่อยครั้งหนัก โดยพบว่ามีข้อมูลบริจาคเมื่อเดือน มกราคม ,มีนาคม 2549 เป็นเงิน 50,000 บาท เป็นต้น
หลังจากนี้ คงต้องติดตามและพิสูจน์ฝีมือ"เทพเทือก"ที่ได้ประกาศปั้นอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ คนที่ 25 จะไปถึงดวงดาวหรือไม่ !!




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2551    
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 14:45:42 น.
Counter : 2664 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.