เปิดหุ้นกลุ่มทุน"ประชาธิปัตย์"ผงาดฟ้า
แกะรอยกลุ่มทุนใหญ่พรรคประชาธิปัตย์พบ บมจ.น้อยใหญ่อาทิ BBL-SEAFCO-ASCON-SPALI-PRIN ตระกูลล่ำซำร่วมวงส่งท่อน้ำเลี้ยงเพียบ งานนี้ IEC-D1 ก็ร่วมวงด้วย จับตาผลประโยชน์ต่างตอบแทนในรูปแบบต่างๆทั้งงาน ราคาหุ้นบนกระดาน วงการคาดตอบแทนกันแง่นโยบาย แนะเลือกเล่นหุ้นการเมืองกลุ่มท่องเที่ยว-ส่งออก-หุ้นรับเหมาฯ
หลังจากที่การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดแรกของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีผ่านไปอย่างราบรื่น คงต้องจับตาการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29-30 ธันวาคมนี้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร และการขัดขวางการแถลงนโยบายของกลุ่ม นปช.จะนำพาไปสู่ความรุนแรงเหมือนเมื่อครั้งวันที่ 7 ต.ค.51หรือไม่เป็นสิ่งที่ยังต้องรอดูว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะพาจุดนี้ไปได้หรือไม่
อย่างไรก็ดี การขึ้นสู่อำนาจอีกครั้งของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในยุค "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ครั้งนี้จะสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากนักธุรกิจรายใหญ่ หากมาตามรอยกลุ่มนายทุนที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของพรรคประชาธิปัตย์นั้นมี หลายกลุ่มที่ชื่อคุ้นหูและเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง
จากข้อมูลพบว่า เมื่อเดือนต.ค. 2551 กลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ปและสยามพารากอนบริจาคให้ประชาธิปัตย์ 2 ล้านบาท กลุ่มเอเชียน พร็อพเพอร์ตี้ฯ (AP) กลุ่มแอล.พี.เอ็น.(LPN) รายละ 1 ล้านบาท
และในเดือนพฤศจิกายที่ทางประชาธิปัตย์จัดงานระดมทุนครั้งใหญ่ ตัวเลขเฉพาะที่แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือเกือบ 120 ล้านบาท ขณะที่พลังประชาชน 10 ล้านบาท รวมใจไทยชาติพัฒนา 3.7 ล้านบาท และกิจสังคม 20,000 บาท
ในการระดมทุนครั้งนี้มีกลุ่มทุนขาใหญ่ขาประจำเข้าร่วมเพียบ ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ,นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชาย, นายประกอบ จิรกิติ กลุ่มทุนยักษ์อย่างเครือ ซี.พี. เจ้าสัวเจริญ ศิริวัฒนภักดี แบงก์กรุงเทพ กลุ่มสหพัฒน์ ตระกูลล่ำซำ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าเฉพาะงวดเดือน พฤศจิกายน รายนามตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปมี 53 ราย
สูงสุด คือนายแทน เทือกสุบรรณ 8 ล้านบาท รองลงมานายสุเทพ 5.5 ล้านบาท, นายประกอบ จิรกิติ 5 ล้านบาท, นายชุมพล จุลใส 3 ล้านบาท, นายกำลาภ วิวัฒน์มงคลกุล 3 ล้านบาท, นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ 3 ล้านบาท, บริษัทเซนต์หลุยส์ โฮลดิ้ง จำกัด 3 ล้านบาท
นายสงคราม ชีวประวัติดำรงค์ 2 ล้านบาท นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ 2 ล้านบาท, หจก.ไพโรจน์ สมพงษ์พาณิชย์ 1,075,000 บาท, นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรณ์ 1.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีตระกูล ศรีวิกรณ์ เป็นผุ้บริหารของ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) 1.1 ล้านบาท, ม.ล.อภิมงคล โสณกุล 1,005,000 บาท
บริจาค 1 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เอทีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้, บริษัท พีระมิด คอนกรีต จำกัด, นายวรพจน์ อำนวยพล, บริษัท บัญชากิจ จำกัด, บริษัท ทีวีแสตนดาร์ด จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด (กลุ่มนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ), บริษัท ที.เอส.ปาล์ม จำกัด, บริษัท พระนครศรีอยุธยาพาณิชย์ และอุตสาหกรรม จำกัด, บริษัท ธาราวัญ คอนสตรัคชั่น จำกัด, บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป(MAJOR)
นายเทพไท เสนพงศ์, นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์, นายอาคม เอ่งฉ้วน, นางฐิติมา เปี่ยมพงศ์สานต์, นางสาวภานี อรวัฒนศรีสกุล , นายเกียรติ สิทธีอมร, นายศิริชัย แซ่โค้ว, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์, นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์, นายชาญ โสภณพนิช, บริษัท วัฒนาโชติ จำกัด, บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเอนจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) (IEC) , บริษัท ดอนเมืองการช่าง จำกัด , บริษัท มาสเตอร์ แอนด์ มอร์ จำกัด, บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด, บริษัท ยุพงษ์ จำกัด
บริษัท สุปรีมโบรคเกอร์ จำกัด , บมจ. ซีฟโก้(SEAFCO), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ,หจก. สามประสิทธิ์ (กลุ่มนายสมบัติ เพ็ชรตระกูล) ,นายไพบูลย์ ควรทรงธรรม, นายถาวร เสนเนียม, นายแพทย์บุญ วนาสิน, ธนาคารกรุงเทพ(BBL), บริษัท เศรษฐีวรรณพัฒนาการ จำกัด, บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์, บริษัท อมตะบี กริม เพาเวอร์ จำกัด, บมจ.สหพัฒนพิบูล (SPC), บริษัท อุตสาหกรรมมิตรเกษตร จำกัด, บริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยส์ จำกัด
ผู้บริจาคต่ำกว่า 1 ล้านบาท 24 ราย ได้แก่ นายพูลชัย ลักษณวิศิษฎ์ 6.2 แสนบาท อีก 22 รายบริจาค 5 แสนบาท ได้แก่ บริษัท ซัมมิท แหลมฉบัง โอโต ซีท แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (กลุ่มจึงรุ่งเรืองกิจ), บมจ.โรงพยาบาลธนบุรี, บริษัทคลองถม ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด , นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ, บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ), บริษัท ซีเอ โพสท์ (ไทยแลนด์) จำกัด , นายสมเกียรติ ฉันทวานิช , นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ผู้บริหารหนุ่มของ บมจ. แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON), นายสาธิต ปิตุเตชะ
บริษัท ผาสุก จำกัด, หจก.นภาก่อสร้าง, บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง, บริษัท ทีพีเอส การ์เด้น เฟอร์นิเจอร์ จำกัด, บริษัท กลุ่ม 79 จำกัด, บริษัท วัสดุภัณฑ์ธุรกิจ (ตระกูลสะสมทรัพย์), บริษัท ไฮ-เทค เน็ทเวิร์ค จำกัด, บริษัท อมตะ สปริง ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท โปรเกรส คอนซัลแตนท์ แอนด์เทรนนิ่ง จำกัด, บริษัท กรุงธนสถาปัตย์ (2003) จำกัด, น.ส.ประกายดาว เขมะจันตรี อดีตผู้บริหารของ บมจ.บลิส-เทล(BLISS) , บมจ.ปัญจพลพัลพ์ อินดัสตรี, บริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซิสเต็ม จำกัด
นอกจากนี้กลุ่ม ซี.พี. 2 บริษัท คือ บมจ.ทรูวิชันส์ 3 แสนบาทกับบริษัท เซเว่นสตาร์ โฮลดิ้ง 1 แสนบาท บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัดของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี 1 แสนบาท, บมจ.เมเจอร์ดีเวลลเม้นท์ (MJD) 2 แสนบาท, บมจ.ดรากอนวัน(D1) 3 แสนบาท, นายมนตรี ศรีไพศาล 1 แสนบาท, บมจ.ศุภาลัย(SPALI) 1 แสนบาท, บมจ.ปริญสิริ(PRIN) 2 แสนบาท, บมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ (CMO)4 แสนบาท , บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด 3 แสนบาทเป็นต้น
มีรายงานข่าวแจ้งว่า การระดมทุนครั้งนี้เป็นครั้งแรก "แบงก์กรุงเทพ" เปิดตัวอย่างชัดเจน หลังจากบริจาคผ่านคนในตระกูลโสภณพนิชมานาน
กล่าวอย่างถัดไปที่ต้องจับตาคือ ผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างกลุ่มนายทุนและผู้รับทุนว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ที่แน่ๆราคาหุ้นบนกระดานหลายตัวที่มีรายชื่อออกหน้าเป็นนายทุนของพรรค วิ่งออฟไซด์ไปเรียบร้อยแล้ว อย่าง SEAFCO เองบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า มีภาษีดีสุดที่จะคว้างานเสาเข็มรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ตอนนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ กำลังเร่งวันเร่งคืน และหากไม่มีอะไรผิดพลาดงานนี้ก็น่าจะเป็นของ SEAFCO แน่นอน เพราะอะไรนั้นคนในวงการรู้ดี
ส่วนหุ้นแบงก์ยักษ์ใหญ่อย่าง BBL หรือแบงก์ในเครือตระกูลล่ำซำนั้น คนในวงการคาดว่าน่าจะได้รับอานิสงส์ผลบุญในการปล่อยสินเชื่อ
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เองก้ถือว่าเป็นแหล่งเงินใหญ่ หากปีหน้าธุรกิจไม่ดีเงินทุนอาจหดหาย ดังนั้น มาตรการอะไรที่พอจะช่วยหนุนการทำธุรกิจดีต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคย่อม น่าจะเร่งผลักดันออกมา เพราะไม่เช่นนั้นเศรษบกิจไทยอาจไปไม่รอด ดังนั้น ต้องจับตาจากนี้รัฐบาลจะมีมาตรอะไรออกมาฟื้นตลาดอสังหาฯหรือไม่ นี่ยังไม่นับรวมบรรดาหุ้นเก็งกำไรใหญ่น้อยทั้ง IEC,D1 ที่ผลประโยชน์ต่างตอบแทนน่าจะมาในรูปแบบต่างๆ
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการตอบแทนผลประโยชนในลักษณะต่างตอบแทนของ พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำรัฐบาลกับกลุ่มทุนหรือกลุ่มบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ที่บริจาคเงินสนับสนุนการบริหารพรรค เนื่องจากการบริจาคเงินให้พรรคอ้างอิงตามตัวเลขเฉพาะที่แจ้งต่อคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.)เป็นการบริจาคอย่างเปิดเผยต่อทางการจึงไม่น่าจะเป็นเจตนาที่ไม่ บริสุทธิ์หรือหวังผลประโยชน์
ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงินบริจาคเข้าพรรคมากจะได้รับผล บวกในแง่จิตวิทยาการลงทุนจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเพราะคาดการณ์ว่าจะ ได้รับผลดีจากการเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล แต่อาจเป็นแค่ผลจิตวิทยาในช่วงสั้นๆแต่ไม่ได้ช่วยให้แง่พื้นฐาน จึงไม่มีคำแนะนำในเชิงกลยุทธ์เพราะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐาน
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน เปิดเผยว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีประเด็นที่หลายองค์กร รวมถึงกลุ่มทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และภาคส่วนนักธุรกิจจำนวนมากเข้าบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ล็อตใหญ่ นั้น ก็ไม่น่าจะส่งผลในแง่ของจิตวิทยาการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเข้ามาบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ และก็ไม่น่าจะมีการให้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม หากจะมีการให้ผลตอบแทนกัน ก็น่าจะเป็นการตอบแทนกันในแง่ของนโยบาย แต่ทั้งนี้ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีการตอบแทนกันหรือไม่
แต่อย่างไรก็ดี โดยรวมแล้วสิ่งที่น่าจะเป็นประเด็นที่หนุน หรือเป็นแรงจูงใจให้มีการเก็งกำไรของนักลงทุน น่าจะมาจากการเข้าเก็งกำไรนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่มากกว่า โดยเฉพาะประเด็นนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะเร่งแผน เพื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งน่าจะมีนโยบายที่กระตุ้นภาคการส่งออก การบริโภค และการท่องเที่ยว รวมถึง ให้จับตานโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ทั้งการพยุงราคายางพารา ข้าวโพด และราคาข้าว เนื่องจากจะมีผลต่อแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายที่จะเข้ามากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว อาจจะเป็นการกระตุ้นการการท่องเที่ยว โดยหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์ และมีแรงหนุนเข้ามา คือ ERAWAN และ MINT รวมถึง CPN ส่วนมาตรการที่จะกระตุ้นการการบริโภคน่าจะหนุนหุ้นในกลุ่มสิ้นค้าที่ส่งออก อาทิอาหารเช่นหุ้นกลุ่มซีพี และส่วนของมาตรการที่เร่งโครงการเมกะโปรเจ็กน่าจะเป็นแรงหนุนหุ้นกลุ่มรับ เหมาก่อสร้าง
Website E Finance Thai
เปิดกลุ่มทุนหนุน"ปชป." ดัน"อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ
วันที่ 08 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11200 มติชนรายวัน
เปิดกลุ่มทุนหนุน"ปชป." ดัน"อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ
"ประชาธิปัตย์" เป็นพรรคการเมืองแรกๆ จัดทัพพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งก่อนใคร
ด้วยความมั่นใจในสถานะของ "ฝ่ายค้าน" ที่มีภาษีดีและเป็นต่อ "ฝ่ายรัฐบาล" อยู่หลายขุม
อันมีสาเหตุมาจาก "กระแส" และ "กระสุน" ที่ต่างพากันเทเข้าใส่ "ประชาธิปัตย์" ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา
รวม ทั้งการรอดพ้น "การยุบพรรค" จากกรณีข้อหา "แจกตั๋วภาพยนตร์" ที่อุบลราชธานี ของ "วิฑูรย์ นามบุตร" ส.ส.สัดส่วน กอปรกับสถานะของ "ฝ่ายรัฐบาล" ที่เริ่มสั่นคลอนจากปัจจัยและปัญหาที่รุมเร้า
ทำให้มีการ "พยากรณ์" ว่า รัฐบาลอาจอยู่ไม่ครบเทอม จะมีการ "ยุบสภา" เกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้การเลือกตั้งเร็วขึ้น
ดัง นั้น "พรรคประชาธิปัตย์" จึงเปิดเกมรุกช่วงชิง "ทุนรอน" จากภาคธุรกิจต่างๆ รวมทั้ง "เศรษฐีคนมีตังค์" แฟนพันธุ์แท้ ที่ยังแอบมีความหวังว่า "ประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาล (สักวัน)"
8 พฤศจิกายน 2551 จึงเป็นฤกษ์งามยามดี ที่พรรคจะจัดงาน "ระดมทุน" ภายใต้หัวข้อ "เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์" ที่อิมแพค เมืองทองธานี
เพื่อ เปิดโอกาสให้ "กลุ่มทุน" ทั้งหน้าใหม่และรายเดิม ได้ร่วมลงขัน ช่วยกันสานฝัน "ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล" อีกสักครั้ง หลังจากที่พลาดหวังมาจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา
ว่ากันว่า "ระดมทุน" ครั้งนี้ "ไม่หมู" อย่างที่คิด เพราะแม้ว่าชื่อ "ประชาธิปัตย์" ขายได้เสมอ แต่คราวนี้เจ้าภาพถึงกับบ่นอุบถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ มีผลต่อสภาพคล่องในการขาย "โต๊ะ" จำนวน 400 โต๊ะ ราคาโต๊ะละ 1 ล้าน จึงไม่ลื่นเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา (21 กรกฎาคม 2550)
แม้ยอดที่ตั้ง ไว้คือ "400 ล้านบาท" แต่ในทางปฏิบัติ ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ "กระสุน" มากกว่านี้อีกเท่าตัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ "เทพเทือก" สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ในฐานะ "แม่งาน" เพราะดูเหมือนบรรดานักธุรกิจ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ เริ่มมองเห็นโอกาสและความท้าทายอีกครั้ง ที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็น "นายกรัฐมนตรี คนที่ 27" หากมีการเลือกตั้งเร็ววันนี้ จึงได้ตบเท้าเข้า "ซื้อโต๊ะ" กันไม่ขาดสาย
ทำ ให้งานนี้อาจไม่ต้องเหนื่อยมาก เมื่อ "กลุ่มทุนหน้าเก่า" ที่ยังเหนี่ยวแน่น อาทิ เครื่องดื่มชูกำลังรายยักษ์ อย่าง "กระทิงแดง" ของ "เสี่ยเฉลียว อยู่วิทยา" ที่ยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี แม้จะหยุดบริจาคไปในช่วงที่ "ไทยรักไทย" เป็นรัฐบาล
ตามมาด้วยบริษัท ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ของ "เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" "กลุ่มทุนใจดี" ของทุกพรรคการเมือง ที่เคยสร้างความฮือฮาทำตัวเลขเงินบริจาคเดือนกรกฎาคม 2551 ไว้สูงถึง 23 ล้านบาท ทำให้ "ประชาธิปัตย์" สร้างประวัติศาสตร์เงินบริจาคสูงสุด
ขณะ ที่ยักษ์ใหญ่วงการน้ำเมา "เบียร์ช้าง" บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ของ "เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ "กรณ์ จาติกวณิช" รองหัวหน้าพรรค งานนี้ก็คงไม่พลาดเช่นกัน
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า "มหาอำนาจตลาดทุน" ทั้ง 3 เจ้า น่าจะ "เหมา" ที่เดียว "10 โต๊ะ" หรือไม่เช่นนั้น ก็สนับสนุน "ทุนหนา" ก้อนเดียวจบ แบบที่ไม่ต้องเอา "โต๊ะ" ก็เป็นได้
แต่ที่น่าจับตามอง คือ "กลุ่มทุนใหม่" ที่อาจจะสอดแทรกเข้ามาซื้อทีเดียว "5-10 โต๊ะ" เช่นกัน คือ กลุ่มธุรกิจ "คิงเพาเวอร์" ของ "วิชัย รักศรีอักษร" ที่ผ่านสายสัมพันธ์ "เทพเทือก" ในฐานะที่เป็นลูกค้าคนสำคัญ ที่ไปใช้บริการโรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ อยู่บ่อยๆ
ทั้งนี้ "ขาใหญ่" ที่ยังคงภักดีต่อ "ประชาธิปัตย์" คงหนีไม่พ้น "ตระกูลโสภณพนิช" กลุ่มทุนจากธนาคารกรุงเทพ ยังอาจจะสอดแทรกเข้าผ่าน "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" ส.ส.กรุงเทพฯ เช่นเดียวกับ "ตระกูลล่ำซำ" ของ "ท่านโพธิพงษ์ ล่ำซำ" เจ้าของธุรกิจ "เมืองไทยประกันชีวิต" ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี (เงา) ซึ่งตามกฎแล้ว "ครม.(เงา)" ต้องรับผิดชอบคนละ "5 โต๊ะ" งานนี้อาจใจป้ำควักกระเป๋าเหมาหมดก็เป็นได้
รวมทั้งอาจจะมีธุรกิจน้ำ ดำค่าย "ไทยน้ำทิพย์" ของ "ตระกูลสารสิน" และ "ตระกูลเบญจรงคกุล" อดีตเจ้าของธุรกิจบริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "ยูคอม" ที่มี "น้องเขย" "ประกอบ จิรกิติ" เป็น ส.ส.สัดส่วนในสังกัด น่าจะร่วมลงขันในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ ช่องทางของรายได้ ยังรวมถึงกลุ่มสมาชิกพรรค "กระเป๋าหนัก" อาทิ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" "กรณ์ จาติกวณิช" และ "นิพนธ์ พร้อมพันธุ์" รองหัวหน้าพรรค ที่คราวนี้คงต้องยอม "ควักเนื้อ" กันบ้างนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 8 พฤศจิกายน ภาพของกลุ่มทุนต่างๆ จะชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็น "ความเชื่อมั่น" ในตัว "ประชาธิปัตย์" และ "หัวหน้าอภิสิทธิ์" ว่าจะให้เป็น "นายกรัฐมนตรี คนที่ 27" ได้หรือไม่
Websiteมติชน
เช็กกลุ่มทุน-กระเป๋าเงิน"ประชาธิปัตย์"ครั้งล่าสุด ก่อนจะโจนสู่ห้วงแห่งอำนาจ
วันที่ 12 ธันวาคม 2551 - เวลา 19:04:39 น.
เปิดกลุ่มทุนปชป.ก่อนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เผยกลุ่มทุนเก่ายังอยู่ครบทั้งล่ำซำ, โสภณพนิช, ไกรฤกษ์, บริพัตร ,จาติกวณิช,เทพบุตร ฯลฯและส.ส.กระเป๋าหนักในพรคคอีกหลายคนที่ยังควักเงินบริจาคสม่ำเสมอ !!
แม้จะยังต้องลุ้นตัวโก่งว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าจับตาประการหนึ่งในห้วงแห่งการแย่งชิงอำนาจจัดตั้งรัฐบาลของ พรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ท่าทีของกลุ่มทุนไทยต่อประชาธิปัตย์ เพราะช่วงหลังมานี้ เงินประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่งได้มาจากการควักกระเป๋าของกลุ่มทุนหน้าใหม่ผ่าน เงินบริจาคพรรคการเมืองอยู่เรื่อยๆ เช่น กลุ่ม ซี.พี. หรือกลุ่มเดอะมอลล์ เป็นต้น เสมือนจะรู้ว่าสายลมกำลังเปลี่ยนทิศ
เอาเข้าจริง ประชาธิปัตย์หลุดจากอำนาจทางการเมือง ในปี 2544 หลังพ่ายแพ้พรรคไทยรักไทยหมดรูป
การเป็นฝ่ายค้านยาวนานเกือบ 10 ปี และได้แต่เฝ้าดูตระกูลชินวัตรร่ำรวยติดอันดับเศรษฐีโลก ฉะนั้นความพยายามในการกลับมารอบใหม่ของประชาธิปัตย์ ทำให้ "ประชาชาติธุรกิจ" ต้องกลับไปดูกระเป๋าเงินแกนนำพรรคครั้งสุดท้ายก่อนจะโจนสู่ห้วงแห่งอำนาจและ ผลประโยชน์
จากการตรวจสอบกลุ่มทุนในพรรค เช่น ตระกูลล่ำซำ ของนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ตระกูลบริพัตร ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ตระกูลโสภณพนิช ของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ตระกูลไกรฤกษ์ ของนายจุติ ไกรฤกษ์ หรือตระกูลจาติกวณิช ของนายกรณ์ จาติกวณิช ที่ยังคงเป็นถุงเงินชั้นดีของพรรคประชาธิปัตย์เรื่อยมา พบว่ากลุ่มทุนเก่าเหล่านี้ยังคงเป็นถุงเงินชั้นดีให้กับพรรคเรื่อยมา เห็นได้จากเงินบริจาคพรรคที่ควักกระเป๋าจ่ายอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด
เมื่อแยกเป็นรายบุคคล จะพบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 646.6 ล้านบาท โดยมีทรัพย์สินเป็นที่ดินกว่า 590 ล้านบาท จำนวน 40 แปลง นอกจากนี้ยังมีเงินฝาก 9 บัญชี จำนวน 19.9 ล้านบาท เงินลงทุน 452,664 บาท บ้าน 3 หลัง มูลค่า 11.8 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน มูลค่ารวม 5.6 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ รวม 18.7 ล้านบาท มีหนี้สิน 14 ล้านบาท
ส่วนภริยา นางสาวิตรี มีทรัพย์สิน 23.5 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 446,130 บาท เงินลงทุน 860,086 บาท ที่ดิน 1 แปลง 10 ล้านบาท บ้าน 1 หลัง 9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 3.2 ล้านบาท มีหนี้สิน 4.2 ล้านบาท รวม 2 คนมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 656.2 ล้านบาท
นายกรณ์ จาติกวณิช มีทรัพย์สิน 812.5 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 10 บัญชี 72 ล้านบาท เงินลงทุน 541.6 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 8 ล้านบาท ที่ดิน 12 แปลง 97 ไร่ 95.6 ล้านบาท บ้าน 3 หลัง 48.6 ล้านบาท รถยนต์ 4 คน มูลค่ารวม 9.3 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 36.9 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 480,000 บาท ภรรยา นางวรกร มีทรัพย์สิน 117.2 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 10 บัญชี 29.5 ล้านบาท ที่ดิน 6 แปลง 73 ไร่ 25.5 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง 20.3 ล้านบาท รถยนต์ 1 คัน 5.1 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 36.6 ล้านบาท รวม 2 คน มีทรัพย์สิน 929.2 ล้านบาท
ด้านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช มีทรัพย์สิน 67.5 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 8 บัญชี 31.3 ล้านบาท เงินลงทุน 24.7 ล้านบาท ที่ดิน 2 แปลง 27 ไร่ 1.2 ล้านบาท
รถยนต์ 9 แสนบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 9.2 ล้านบาท ส่วนคู่สมรส นายโชติ มีทรัพย์สิน 554.4 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 2 บัญชี 18.2 ล้านบาท เงินลงทุน 458.4 ล้านบาท ที่ดิน 7 แปลง 67.8 ล้านบาท บ้าน 9.9 ล้านบาท รวม 2 คน มีทรัพย์สิน 662 ล้านบาท
ส่วนหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน 36.1 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 1.6 ล้านบาท ที่ดิน 2 แปลง 15 ไร่ มูลค่า 19.5 ล้านบาท บ้าน 3 หลัง มูลค่า 13.8 ล้านบาท รถยนต์ 2 คัน รวม 9 แสนบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 255,000 บาท ส่วนภรรยา ดร.พิมพ์เพ็ญ มีทรัพย์สิน 14.6 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 4.1 ล้านบาท เงินลงทุน 7.3 ล้านบาท ทรัพย์สินเครื่องประดับรวม 3.06 ล้านบาท รวม 2 คน มีทรัพย์สิน 51.2 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในพรรค ปชป.ยังมี ส.ส.ร่ำรวยระดับ 100 ล้านอีกหลายคน อาทิ นายประกอบ จีรกิตติ ส.ส.ระบบสัดส่วน นายทุนพรรค มีทรัพย์สิน 441.5 ล้าน เป็นเงินสด 2 ล้านบาท เงินฝาก 50 บัญชี 88.9 ล้านบาท ที่ดิน 29 แปลง 125.5 ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 53 ล้านบาท รถยนต์ 2 คัน 4.1 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 35 ล้านบาท ส่วนภรรยา นางวรรณา มีทรัพย์สินถึง 2,070.9 ล้านบาท เป็นเงินสด 2 ล้านบาท เงินฝาก 28 บัญชี 967.1 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 30 ล้านบาท ที่ดิน 21 แปลง 25.3 ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 6.1 ล้านบาท มีหนี้สิน 368,017 บาท รวม 2 คนมีทรัพย์สินมากถึง 2,482.1 ล้านบาท
แต่ที่น่าสนใจคือ นายประกอบจัดเป็นนักการเมืองรวยหุ้น โดยมีเงินลงทุนมากถึง 1,153.1 ล้านบาท โดยเป็นของนายประกอบ 66 รายการ มูลค่า 102.9 ล้านบาท ขณะที่ภรรยามี 41 รายการ มูลค่า 1,040.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่นายประกอบลงทุนมากสุดได้แก่กองทุนต่างๆ อาทิ กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี มันนี่แมนเนจเม้นท์ 4,631,859 หุ้น กองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ 268,568 หุ้น กองทุนเปิดรวงข้าวหุ้นกู้ 1 แสนหุ้น บมจ.ประชาอาภรณ์ 1 ล้านหุ้น
อีกคนที่น่าสนใจ คือ นายทศพร เทพบุตร สามี อัญชลี เทพบุตร มีทรัพย์สิน 498.1 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 37 บัญชี 4.7 ล้านบาท เงินลงทุน 117.3 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 167.8 ล้านบาท ที่ดิน 59 แปลง 174.5 ล้านบาท บ้าน 4 หลัง 27.5 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน 4.9 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 126,793 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ 972,000 บาท มีหนี้สิน 9.7 ล้านบาท
ส่วนนางอัญชลีมีทรัพย์สิน 464 ล้านบาท เป็นเงินฝาก 21 บัญชี 31.4 ล้านบาท เงินลงทุน 114.1 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 25 ล้านบาท ที่ดิน 10 แปลง 65.4 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง 12.5 ล้านบาท รถยนต์ 4 คัน 3.5 ล้านบาท สิทธิและสัมปทาน 201.4 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 10.5 ล้านบาท รวม 2 คนมีทรัพย์สิน 953.7 ล้านบาท
นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีทรัพย์สิน 278.8 ล้านบาท เป็นเงินสด 350,000 บาท เงินฝาก 5 บัญชี 2.9 ล้านบาท เงินลงทุน 60.6 ล้านบาท ที่ดิน 4 แปลง 79.9 ล้านบาท บ้าน 1 หลังมูลค่า 22 ล้านบาท รถยนต์ 10 คัน 58.4 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 45.5 ล้านบาท
ภรรยา นางสุนงค์ มีทรัพย์สิน 429.6 ล้านบาท เป็นเงินสด 3 แสนบาท เงินฝาก 4 บัญชี 67,840 บาท เงินลงทุน 38.1 ล้านบาท ที่ดิน 25 แปลง 330.3 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง 18.5 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน มูลค่า 16.8 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ 24.2 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีก 39.8 ล้านบาท รวมมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 734.7 ล้านบาท
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ มีทรัพย์สิน 250 ล้านบาท
ส่วนสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯพรรค ผู้จัดการรัฐบาล ร่ำรวยแบบพอเพียง 38.8 ล้านบาท ส่วนบุตรชายนายเชน เทือกสุบรรณ มี 33.7 ล้านบาท แต่กระนั้นบริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม ของนายสุเทพ ก็ควักกระเป๋าให้พรรคไม่เคยขาด เฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านบาท
จากการตรวจสอบเบื้องต้น ต้องยอมรับว่าทุนของประชาธิปัตย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนเก่ายังสะสมทุนได้เป็นกอบเป็นกำ
แหล่งข่าว ประชาชาติธุรกิจ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2248 30 ส.ค. - 01 ก.ย. 2550 กลุ่มทุนประชาธิปัตย์ขยับ หนุน'อภิสิทธิ์'นายกฯ
นิตยสารไทม์ ฉบับล่าสุด วิเคราะห์อนาคตการเมืองไทยหลังเลือกตั้งปลายเดือนธันวาคม นี้ ว่า หัวหน้าพรรคนักการเมือง ที่มีอายุน้อยที่สุด ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เว้นแต่ หนึ่ง มีเงื่อนไขจาก นายทหารที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช.) กระโดดลงมาเล่นการเมืองด้วยตัวเอง สอง ปัจจัยจากกระสุนดินดำ เป็นอีกเงือนไขสำคัญ ที่ประชาธิปัตย์ กุมขมับอยู่เนืองๆ เพราะเผลอทำหน้าที่ฝ่ายค้านยาวนานถึง 6 ปี และขาดช่วงทำกิจกรรมในรัฐสภาอีก 2 ปี ยิ่งมีข้อมูลที่ระบุว่า ในฤดูกาลการเลือกตั้งที่เสียงปี่เสียงกลอง กำลังจะมาถึง คาดว่ามีตัวเลข ต่อรองค่าตัวผู้สมัครมีการเคลื่อนไหวสูงถึง 30 ล้านบาทต่อผู้สมัคร 1 คน ตัวเลขนี้หลายคนอาจคิดว่า เป็นนิทานหลอกเด็ก ถ้าคนเปิดประเด็นไม่ใช่ มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) มีประสบการณ์ในแวดวงกฎหมายที่เกี่ยวโยงกับการเมือง การเลือกตั้ง อย่างแยกไม่ออก ระยะเวลาห่างไม่กี่สัปดาห์ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้ที่กลุ่มมัชฌิมา ของสมศักดิ์ เทพสุทิน เคยส่งเทียบเชิญให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ออกมาประเมินตัววิ่งในสนามการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นอีกว่า ต้องใช้เม็ดเงินเฉลี่ยมากถึง 30,000 ล้านบาท คนๆนี้ก็ไม่น่ามองข้าม เพราะเคยทำนายกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาคดียุบพรรค ชี้เปรี้ยงก่อนวันตัดเชือก ประชาธิปัตย์ "รอด" แต่ไทยรักไทย " ยุบ" เชื่อไม่เชื่อไม่มีใครว่า แต่ถึงเวลาพิสูจน์ที่ความแม่นยิ่งกว่าตาเห็น ล่าสุด การุณ ใสงาม สนช. ประเมินว่า ตัวเลขซื้อขาย 30 ล้านบาทเป็นตัวเลขจิ๊บจ๊อย เพราะข้อมูลล่าสุดที่ได้ยินมาจากจังหวัดสุรินทร์ ณ วันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา เปิดพอร์ตซื้อ-ขาย ผู้สมัครส.ส.สนนราคาคนละ 40 ล้านบาท
จัดโต๊ะจีนระดมทุนทั่วประเทศ
จากเงื่อนไขดังกล่าว สุเทพ เทือกสุบรรณ แม่บ้านพรรคประชาธิปัตย์ จึงมองหาช่องทางระดมทุนเข้าพรรค เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสนามเลือกตั้ง ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ไม่พ้น การจัดโต๊ะจีน จากที่ตั้งตัวเลขกลมๆ จากการระดมทุนจากการจัดโต๊ะจีน ที่ 1,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย !! การระดมทุนด้วยการจัดโต๊ะจีน ครั้งแรกของประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ปชป.จัดกิจกรรมระดมเงิน ที่ศูนย์ประชุมไบเทค ได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำ มากถึง 426 ล้านบาท งานนี้มีกลุ่มธุรกิจที่เคยสนับสนุนมาร่วมฟังวิสัยทัศน์จากหัวหน้าพรรคพร้อมเพรียง แผนงานหารายได้ หลังจากจัดที่กรุงเทพฯ นัดต่อๆไป จะเป็นการระดมทุนในส่วนภูมิภาค เริ่มที่ไม่ไกลจากรุงเทพฯมากนัก เป้าหมายแหล่งสะสมทุนในภูมิภาค จุดแรกจึงไปจัดที่โรงแรมนารีภิรมย์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้ชื่องานว่า " ประชาธิปัตย์ ประชาชน ประจวบคีรีขันธ์ งานนี้มี พล.ต. มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา และที่สร้างสีสันให้กับงานระดมทุนนี้ได้มากโข เห็นจะเป็น เจ้าพ่อ"พระราม 9 คาเฟ่" สมยศ สุธางกูร งานนี้ ได้เกินเป้า จากที่ป๋าเทพ ตั้งไว้ที่ 14 ล้านบาท แต่ได้มาจริงๆ 16 ล้าน จากทั้งหมด 40 โต๊ะ ราคาเริ่มต้นที่โต๊ะละ 2 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท โปรแกรมต่อไป ประชาธิปัตย์ มีเป้าหมายแอ่วเมืองเหนือ เตรียมจัดที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิด"ทักษิณ" หวังแก้ภาพลักษณ์ในอดีตที่โดนชาวเหนือกลุ่มหนึ่งถล่มเวทีหาเสียง ขณะ"หนุ่มมาร์ค"กำลังปราศรัย สะสมคะแนนเมื่อครั้งการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2548
ฮือฮา "ซีพี"บริจาค 23 ล้าน
ข้อมูลที่สร้างรอยยิ้มให้กับพลพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม ไม่น้อย เห็นจะเป็นข้อมูลที่ถูกเปิดเผยโดยเว็บไซด์คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) หลังผลการลงประชามติ รับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม เสร็จสิ้น เว็บไซต์ของ กกต. ได้โชว์ตัวเม็ดเงินที่บุคคลและบริษัทที่บริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองต่างๆ ในเดือนกรกฎาคม 2550 พบว่า มีตัวเลขบริจาคในเดือนกรกฎาคม พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ถึง 109,878,218 บาท เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ประชาธิปัตย์ มีเงินบริจาคที่ 9,884,618 บาท เดือนพฤษภาคม ยอดบริจาค 6,616,700 บาท ส่วนเดือนอื่นๆก่อนหน้านั้น รวมยอดบริจาคไม่ถึง 10 ล้านบาท ข้อมูลล่าสุดพบว่า กลุ่มบริษัทซีพี หรือ เจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้บริจาครายใหญ่ ที่ทำตัวเลขไว้สูงถึง 23 ล้านบาท ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ สร้างประวัติศาสตร์เงินบริจาคสูงสุดแบบถล่มถลายพรรคไทยรักไทย ในงวดเดือนเดียวกันที่มีเงินเหลือหลังถูกคำสั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 30 พฤษภาคม 2550 มีเงินค้างท่ออยู่ 6,666,700 บาท เมื่อย้อนไปดูตัวเลขการบริจาคของกลุ่ม ซีพี ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ จากเว็บไซต์ กกต. เมื่อปี 2549 พบว่า ในเดือนมิถุนายน บริษัท ซีพี อินเตอร์ฟู้ด ( ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท สตาร์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจ ในกลุ่มซีพี บริจาค ในระดับ 1 ล้านบาท เท่านั้น
จากยอดบริจาคของกลุ่มซีพีที่กระจายไปยังบริษัทเล็กๆอีก 11 บริษัท สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ ทางธุรกิจของเจ้าสัว "ธนินท์ เจียรวนนท์" กับ" กำนันเทพ" และการประเมินการเมืองหลังเลือกตั้ง สอดคล้องกับการวิเคราะห์การเมืองของนิตยสารไทม์ ว่า แนวโน้มประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาลแหงๆ เพราะในภาวะที่ทุน ไทยรักไทย ถูกพันธนาการ จากคำสั่งอายัดทรัพย์ของคณะกรรมการตรวจตรวจการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสีย หายแก่รัฐ ( คตส.) แม้จะสร้างบ้านหลังใหม่ ภายใต้หัวที่เป็นนอมินีของ"ทักษิณ ชินวัตร" ใช่ว่าศรัทธาจะกลับมาท่วมทันเหมือนเดิม ส่วนกลุ่มทุนอื่น ที่มีการบริจาค ในตัวเลข 7 หลักขึ้นไป อาทิ ตระกูล วิริยประไพกิจ บริษัท บางกอกไรวิชั่น บริษัทฮัลโล บางกอกไตรวิชั่น เป็นต้น รายนามผู้บริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นรายย่อย บริจาคตั้งแต่ 500บาท 1,000 บาท ถึง หลักหมื่น ที่บริจาคสม่ำเสมอทุกเดือน ไม่ใช่ใคร นอกจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นทั้งแม่บ้าน และถุงเงินพรรค บริจาคเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าตัวเลขเจ็ดหลัก แถมยังทำสถิติดึงลูกชาย "แทน เทือกสุบรรณ "เจ้าของ "บริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด " ซึ่งเป็นบริษัทเลี้ยงฟาร์มกุ้งและปลูกสวนปาล์ม ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเจ้าประจำบริจาคเดือนละ1 ล้านบาท
เปิดตัวกลุ่มทุนดั้งเดิม
ข้อมูลที่น่าสนใจ นอกจากกลุ่มทุน"เทือกสุบรรณ " ที่สร้างผลงานบริจาคไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายอย่างน่าทึ่งแล้ว กลุ่มทุนดั้งเดิมที่สนับสนุนประชาธิปัตย์ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ปรากฏในเว็บไซต์ กกต. รองจากขาใหญ่ เทือกสุบรรณ เห็นจะเป็นกลุ่ม "ล่ำซำ" ของนายโพธิพงษ์ ล่ำซำ เจ้าของธุรกิจเมืองไทยประกันชีวิต เคยทุ่มเงินบริจาคให้ประชาธิปัตย์ ถึง 10 ล้านบาท เมื่อเดือน มิถุนายน 2549 กลุ่ม "ตระกูลสารสิน" เจ้าธุรกิจน้ำดำ ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เป็นอีกกลุ่มที่สนับสนุนเงินให้ประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ยุค "พงศ์ สารสิน "จนถึงรุ่นลูก ได้ทิ้งมรดกการเมือง ให้ พรวุฒิ สารสิน บริจาคเงินสนับสนุนอยู่เนืองๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายน 2549 มียอดบริจาค 10 ล้านบาท ทุนการเมืองที่เหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ อีกกลุ่มคือ "จาติกวณิช" ที่มี กรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ทีมเศรษฐกิจ และทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทักษิณ อย่างเผ็ดร้อน กลุ่ม"โสภณพนิช " จากแบงก์กรุงเทพ ส่งผ่านมาทางคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ตระกูล"เบญจรงคกุล "อดีตผู้บริหารดีแทค ผ่าน ประกอบ จิรกิติ น้องเขย อดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร แม้ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนในอดีต แต่ยังมีชื่อบริจาคเป็นระยะๆ ส่วนผู้สนับสนุนรายอื่น อาทิ นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ รองหัวหน้าพรรค ตระกูล " แก้วทอง"ของนายไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.ปาร์ต้ลิสต์ นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ณรงค์ศักดิ์ ปัทมปาณีวงศ์ ในขณะที่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค มีชื่อ บริจาคไม่บ่อยครั้งหนัก โดยพบว่ามีข้อมูลบริจาคเมื่อเดือน มกราคม ,มีนาคม 2549 เป็นเงิน 50,000 บาท เป็นต้น หลังจากนี้ คงต้องติดตามและพิสูจน์ฝีมือ"เทพเทือก"ที่ได้ประกาศปั้นอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ คนที่ 25 จะไปถึงดวงดาวหรือไม่ !!
Create Date : 24 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 24 ธันวาคม 2551 14:45:42 น. |
Counter : 2664 Pageviews. |
| |
|
|
|