ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง
ปรส.อัปยศ?เมื่อไรปชป.จะตอบเสียที!

คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป โดยหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์

เว็บไซต์ //www.prachachonthai.com ได้เผยแพร่บทความชิ้นสำคัญของนายจันทร์มาแล้ว แฉสาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 และข้อมูลสำคัญกรณี ปรส. อัปยศที่เกิดขึ้นในอดีต ที่มาจากการกำหนดนโยบายและมาตรการทางการเงินของรัฐบาลในช่วงเวลานั้น
มีเนื้อหาและข้อมูลดังนี้

“วิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 ถือได้ว่าเป็นวิกฤติทางการเงินการคลังครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติชาติไทย สร้างความเสียหายนับล้านล้านบาท ส่งผลกระทบถึงแวดวงธุรกิจเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างถ้วนทั่ว ความเสียหายเหล่านี้ไม่ได้มีสาเหตุจากการบริหารการเงินการคลังในอดีตที่ผิดพลาดเท่านั้น แต่การบริหารและแก้ไขปัญหาหลังวิกฤติกลับเป็นตัวซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น

เพื่อให้การติดตามอ่านบทความนี้ให้สามารถเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัด บทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ภาคส่วน คือ 1.สาเหตุแห่งวิกฤติ และ 2.กรณี ปรส. อัปยศ

สาเหตุแห่งวิกฤติ
การเกิดขึ้นของวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เป็นการเกิดขึ้นของหลายสาเหตุที่ได้ก่อตัวมาก่อนหน้านั้นนานหลายปี จนสถานการณ์ถึงขั้นสุกงอม ตกอยู่ในสถานะที่อ่อนไหวเสมือนต้นไม้ที่พร้อมจะล้มได้ทุกขณะ เมื่อมีลมกระโชกเพียงเบาๆ ก็ล้มครืนลงทันที

การก่อตัวของวิกฤตินี้เริ่มจาก
1.การขาดดุลการค้ามานับสิบปี ในรัฐบาลต่างๆ หลายรัฐบาล ทั้งที่การส่งออกในหลายๆ ช่วงมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่แท้จริงแล้วตัวเลขการนำเข้ากลับสูงกว่า เมื่อขาดดุลการค้า ค่าเงินบาทที่น่าจะมีค่าที่ลดลง แต่เนื่องจากเราเอาเงินบาทไปผูกติดกับยูเอสดอลลาร์ ก็เลยคงที่อยู่ที่ประมาณ 25 บาทตลอดมา ซึ่งก็เป็นค่าที่ผิดจากค่าที่แท้จริงของเงินบาทควรจะเป็น

2.การเปิดเสรีทางการเงินแบบไม่มีมาตรการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้มีการกู้เงินนอกเข้ามาเกิดขึ้นมากมาย ส่วนใหญ่เพื่อเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์และตลาดทุน แต่ไม่ใช่การลงทุนในภาคการผลิต...ที่สำคัญต้องเข้าใจก่อนว่าการไหลของเงินทุนนั้น มีธุรกรรมได้ 3 แบบ คือ IN-OUT, OUT-IN และ OUT-OUT แต่หลังจากการเปิดเสรีทางการเงิน ธุรกรรมแทบจะทั้งหมดกลับเป็นแบบ OUT-IN อย่างเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่า มีแต่การกู้เข้ามาลูกเดียว มันก็เลยเกิดความไม่สมดุล ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เงินกู้ระยะสั้น ซึ่งเมื่อครบกำหนดจะต้องชำระคืนทันที

3.การล้มลงของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จากการดำเนินการอย่างไม่โปร่งใส ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่เจ้าหนี้ต่างชาติ และเริ่มระแวงสงสัยในเรื่องความมั่นคงของสถาบันการเงินต่างๆ ของไทย

4.เมื่อค่าเงินผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมากๆ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้นักเก็งกำไรค่าเงินสามารถเข้ามาโจมตีเพื่อหากำไรจากค่าเงินได้ และเผอิญธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงนั้นได้เอาเงินสำรองของประเทศเข้าทำการต่อสู้ค่าเงินอย่างไร้สติจนหมดหน้าตัก

5.และเมื่อเจ้าหนี้ทราบข่าวนี้ ก็ทำการทวงหนี้คืนในทันที ในจำนวนหนี้ทั้งหมดในระยะนั้นเป็นหนี้ระยะสั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ไม่สามารถชำระคืนให้เจ้าหนี้ได้ทัน

รวมๆ แล้วนี่คือสาเหตุของวิกฤติในครั้งนั้น
* เปิดคำวินิจฉัยของ ศปร. "วิกฤติครั้งนี้เริ่มมาจากเอกชน แต่รัฐมีส่วนทำให้ปัญหาบานปลายอย่างไม่มีขีดจำกัด"

บทสรุปจากรายงานที่จัดทำโดยคณะกรรมการการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.) เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล ซึ่งก็มีรายละเอียดดังนี้

ข้อบกพร่องของโครงสร้างระบบการบริหารการเงินอันนำไปสู่วิกฤตการณ์ และความไม่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเชิงนโยบาย

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทยครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการก่อหนี้ของภาคเอกชน แต่การดำเนินนโยบายการเงินของรัฐก็มีส่วนทำให้ปัญหาการก่อหนี้บานปลายอย่างแทบไม่มีขีดจำกัด

ขั้นตอนของความเพลี่ยงพล้ำในการดำเนินนโยบายการเงิน ลำดับได้ดังนี้
1.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจเลือกที่จะไม่ให้เปิดตลาดทุนเสรีตั้งแต่ พ.ศ.2533 แต่ ธปท. ก็เลือกที่จะให้เปิด การตัดสินใจให้เปิดครั้งนั้นนับว่าเป็นผลพวงของแนวนโยบายที่เป็นมาโดยต่อเนื่องเป็นระยะยาวนาน และสะท้อนความต้องการของฝ่ายการเมืองในขณะนั้นอย่างเต็มที่ เมื่อนายวิจิตรเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ ก็สานต่อนโยบายนั้นอย่างขะมักเขม้น ถึงขั้นเปิดวิเทศธนกิจซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย

2.เมื่อ ธปท. เลือกที่จะเปิดตลาดเงินตลาดทุนให้เสรีแล้ว ธปท. ก็ควรเลือกที่จะให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นมากกว่านี้ แต่ ธปท. ก็เลือกที่จะรักษาช่วง (band) อัตราแลกเปลี่ยนที่แคบมากไว้ จะมาเริ่มพิจารณาก็ในเดือนเมษายน 2539 ซึ่งสายไปเสียแล้ว เพราะหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็รุนแรง จนทำให้ ธปท. กลัวที่จะดำเนินการใดๆ อีกต่อไป เพราะเกรงว่าจะส่งสัญญาณผิดให้กับตลาด

3.เมื่อ ธปท. เลือกที่จะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่แคบไว้เช่นนั้น ก็หมายความว่า แนวนโยบายทางด้านอุปสงค์รวม จะต้องมีความระมัดระวัง (CONSERVATIVE) เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในระยะตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นต้นมา นโยบายการคลังเป็นเรื่องของรัฐบาลและรัฐสภาก็จริงอยู่ แต่ ธปท. ก็มิได้ผลักดันอย่างจริงจังให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเกินดุล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงนั้น ส่วนนโยบายการเงินที่ดึงปริมาณเงินในประเทศก็ไร้ผล เพราะถูกลบล้างด้วยเงินกู้จากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

4.เมื่อ ธปท. ไม่สามารถใช้นโยบายการคลังหรือการเงินได้ ก็ควรจะใช้มาตรการไม่ให้เงินกู้ไหลเข้าประเทศอย่างมากมายเสียตั้งแต่ต้น แต่มาตรการที่ประกาศเป็นมาตรการที่อ่อน และนำมาใช้เมื่อสายไปแล้ว คือ หลังจากที่ไทยมีหนี้สินระยะสั้นในระดับสูงมากเกินไปเสียแล้ว

ที่กล่าวมาแล้วเป็นบทสรุปของ ศปร. เกี่ยวกับสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นปัญหาที่ก่อเกิดจากการเปิดเสรีทางการเงินแบบผิดๆ ต่อไปนี้คือเหตุผล

* ทฤษฎี (Incompatibility of Trinity)
การเงินระหว่างประเทศมีหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า “หลักการที่เข้ากันไม่ได้ของ 3 สิ่ง” (Incompatibility of Trinity) คือ
1.การใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง (Independence Monetary Policy)
2.การคงอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว (Fixed Exchange Rate)
3.การเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี (Freedom of Capital Movement)

ความหมายคือประเทศหนึ่งประเทศใดไม่สามารถจะทำทั้ง 3 สิ่งนี้ได้พร้อมๆ กัน เช่น ถ้าเราเลือกใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว (Fixed Exchange Rate) และใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง (Independent Monetary policy) เราก็จะไม่สามารถปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี (Freedom of Capital Movement) ได้

เหมือนครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยใช้ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และที่ประเทศจีน มาเลเซีย กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน

เหตุผลง่ายๆ คือ การใช้เงินสกุลของตนเอง แต่ไปผูกติดกับเงินสกุลอื่น ย่อมก่อให้เกิดค่าเงินที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเมื่อค่าเงินเพี้ยนจากความเป็นจริงมากๆ ก็จะเปิดโอกาสให้สามารถทำกำไรจากค่าเงินได้ และยิ่งเมื่อมีองค์ประกอบที่สามเข้ามาอยู่ในที่เดียวกันคือ เปิดเสรีให้เงินทุนสามารถไหลเข้าออกได้โดยไม่มีการควบคุมการโจมตีค่าเงิน ก็สามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย

ตัวอย่างของการที่มีองค์ประกอบเพียง 2 สิ่ง (ไม่ครบสาม) ที่เห็นง่ายๆ คือ ของไทยช่วงก่อนเปิดเสรีที่เรามีเงินสกุลของตนเอง และผูกติดค่าเงินไว้กับดอลลาร์ แต่ไม่ได้เปิดเสรีทางการเงิน เราปลอดภัยและรอดพ้นจากการโจมตีมาได้

อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ประเทศมาเลเซีย มาเลเซียก็ตกเป็นเป้าการโจมตีค่าเงินเช่นเดียวกับไทย แต่มาเลเซียมีผู้นำที่ฉลาดและกล้าหาญ โดยกล้าออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ทำให้มาเลเซียสามารถฝ่ามรสุมทางการเงินในช่วงเวลานั้นมาได้โดยไม่เสียหาย

ด้วยทฤษฎีนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า เมื่อรัฐบาลสมัยนั้นจะเปิด BIBF (การเปิดเสรีทางการเงิน) แต่ไม่ได้คำนึงถึงหลักสากลว่าควรจะปล่อยค่าเงินลอยตัวในระดับหนึ่ง คือการเปิดช่องว่างให้มีการโจมตีค่าเงินได้

*ความผิดพลาดครั้งนี้ต่อให้เชิญเทวดามาบริหารก็ยังพังอยู่ดี...
การล้มลงของเศรษฐกิจ เกิดขึ้นในช่วงของรัฐบาลก่อนหน้าปี 2540 จริง แต่สาเหตุมันได้ก่อตัวมาจากหลายๆ รัฐบาลก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มาสุกงอมเอาในช่วงของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต การกู้เงินไอเอ็มเอฟ ดูได้จากการไปลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ฉบับที่ 1 เซ็นในช่วงของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต แต่ส่วนที่เหลือ ตั้งแต่ฉบับที่ 2-8 เป็นของรัฐบาลต่อมา ที่รัฐบาลชุดนั้นไม่ได้พยายามทัดทานมาตรการต่างๆ ที่ไอเอ็มเอฟแนะนำให้รัฐบาลนำมาปฏิบัติ ทั้งที่มาตรการเหล่านั้นล้วนเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายได้อย่างมากที่สุด แต่รัฐบาลกลับยอมไอเอ็มเอฟ ทำให้ประเทศไทยไร้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ เปรียบเหมือนการตกเป็นทาสของไอเอ็มเอฟโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของสื่อมวลชนและประชาชน
ความเสียหายจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไปต่อสู้ค่าเงินที่เสียหายไป นับหมื่นล้านยูเอสดี แต่ความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยรัฐบาลในช่วงนั้น กลับสร้างความเสียหายมากกว่า เป็นหลายเท่าทวีคูณ
กรณี ปรส. อัปยศ
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การสูญเสียจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนั้น นอกจากการสูญเสียในการต่อสู้กับค่าเงินแล้ว การเสียหายจากการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาต่างๆ นั้น กลับรุนแรงมหาศาลมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น
1.การปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งเป็นการถาวร โดยไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายทางการเงินอย่างใหญ่หลวง และกระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ กับสถาบันการเงินที่มีพันธะทางการเงินกันอยู่ นักธุรกิจชาวไทยจึงต้องล้มระเนระนาด และล้มหายตายจากไปบนถนนสายธุรกิจ อย่างไม่มีวันจะหวนกลับคืนมาได้ เพราะไม่สามารถเดินบัญชีหมุนเวียนทางการเงินได้
2.มาตรการ 14 สิงหาคม ที่รัฐบาลชุดชวน หลีกภัย ใช้เงินภาษีของประชาชนไปดำเนินมาตรการอุดหนุนพยุงสถานภาพของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เงินที่ใช้ในมาตรการดังกล่าวนี้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” โดยไม่เกิดผลใดๆ ต่อประชาชน อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดนั้น ในอดีตเคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรหรือเปล่า? ช่วยตอบอย่างเสียงดังฟังชัดให้ประชาชนทั้งประเทศได้ยินด้วย
3.รัฐบาลชุดที่แล้วได้ใช้มาตรการไม่ให้เงินไหลออกไปนอกประเทศ ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์อย่างสูงลิบลิ่ว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในธนาคารพาณิชย์บางแห่งสูงกว่าร้อยละ 20 โดยคาดหวังให้เป็นปัจจัยล่อให้เงินทุนที่ไหลออกไปยังต่างประเทศไหลกลับเข้าประเทศ แต่ในสภาวการณ์เช่นนั้น มันคือการประหารธุรกิจในประเทศอย่างกว้างขวาง เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับธุรกิจจนสุดจะแบกรับได้ ประกอบกับปัญหาที่วิกฤติยิ่งสำหรับนักธุรกิจในขณะนั้น คือการไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ ภาคผู้ประกอบการจึงต้องประสบกับการล้มละลายไปโดยไม่ได้รับความเหลียวแล ช่วยเหลือใดๆ
ยิ่งกว่านั้น เป้าหมายที่จะเรียกเงินทุนให้ไหลกลับเข้าประเทศก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เนื่องจากไทยในขณะนั้น ยังขาดปัจจัยสำคัญที่จะให้เงินทุนไหลเข้า นั่นคือความมั่นใจจากตลาดเงิน ตลาดทุน นั่นเอง

*ในที่นี้ขอยกเพียง 3 ประการนี้มากล่าวถึง
ขอลงลึกในรายละเอียดในเรื่องการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง เพราะส่วนนี้ทำให้เราเสียหายไปกว่า 400,000 ล้านบาท จากการปิดสถาบันการเงิน และนำสินทรัพย์ของสถาบันเหล่านี้ออกขายในราคาถูกๆ
เรื่องก็คือ ในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต มีการสั่งปิดสถาบันการเงิน 58 แห่งเป็นการชั่วคราว เมื่อเดือนตุลาคม 2540 เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์สำหรับการปฏิรูปและฟื้นฟูสถาบันการเงินเหล่านั้น เพื่อให้ธุรกรรมต่างๆ ของธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ หลังการฟื้นฟูโดยได้ตั้ง ปรส. ขึ้นมาเพื่อดำเนินการในครั้งนั้น...เหมือนแพทย์ทำการวินิจฉัยโรคก่อนลงมือรักษา
ครั้นมีรัฐบาลต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2540 ก็ได้สั่งปิดถาวร 56 ใน 58 สถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2540 ในช่วงก่อนการประกาศปิดสถาบันการเงินแบบถาวรนั้น ในช่วงแรกสื่อต่างๆ ก็คาดเดาว่า อย่างเก่งก็คงปิดสักสิบกว่าราย แล้วก็ลดลงมาเป็นคาดว่า จะมีสถาบันการเงินรอดได้ 16 แห่งในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนการประกาศ
เอาเข้าจริง สถาบันการเงินของไทยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย 56 ใน 58 แห่ง นั่นคือการวิเคราะห์ในสายตาของรัฐบาลขณะนั้น แต่ในสายตาบุคคลทั่วไปต่างงง รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย หาเหตุผลไม่ได้ว่าที่ทำกันเช่นนี้ มันเป็นการฟื้นฟูหรือทำลายกันแน่ จนเมื่อเห็นวิธีการประมูลทรัพย์สินให้ต่างชาติในราคาถูกๆ แล้ว จึงได้ถึงบางอ้อว่า กลุ่มนี้เขาวางแผนไว้อย่างแยบยลจริงๆ
ล่าสุด ผลสอบ “ศปร.3” ออกมาแล้ว และได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล และความผิดพลาดของ ปรส. ตั้งแต่ต้นจนปลาย (ลองหาอ่านในหนังสือ “เปลือยธารินทร์” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ที่เดี๋ยวนี้กลายเป็น "หนังสือหายาก" ไปแล้ว)

*ขอสรุปสั้นๆ ด้วยภาษาชาวบ้านดังนี้
1.รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตั้ง ปรส. ขึ้นมา ให้ทำหน้าที่ปฏิรูปสถาบันการเงินให้มีความแข็งแรง และฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นกำลังทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป จึงให้หยุดกิจการ 58 สถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว แต่ครั้นเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายก็เปลี่ยนแปลงไปหมด มีการสั่งปิดตาย 58 สถาบันการเงินทันที และกลับมาเปิดใหม่เพียง 2 แห่ง เสมือนเป็นการเริ่มต้นของแผนร้าย โดยไม่ดำเนินการตามวัตถุประสงค์เดิม
2.เมื่อปิดสถาบันการเงินแล้วโอนทรัพย์สินและลูกหนี้กว่า 6 แสนล้านบาทไปให้ ปรส. บริหารจัดการ โดยรัฐบาลรับใช้หนี้เงินฝากแก่ประชาชนที่ฝากไว้กับสถาบันการเงินที่ถูกปิดไป ทั้งหมดเท่ากับว่า การบริหารจัดการหนี้เสียของสถาบันเหล่านี้ จักต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ คือจะต้องจัดการให้ได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกัน มิฉะนั้น รัฐบาลก็จะเสียหาย ซึ่งก็คือประชาชนเสียหาย
3.ผู้บริหาร ปรส. และ ธปท. จ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษา และกำหนดให้ขายทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาทโดยเร็ว โดยวิธีการจัดรวมหนี้เน่ามารวมกองกับหนี้ดี ซึ่งก็คือ ทำให้ราคาหนี้ดีต้องถูกกดตามหนี้เน่าในกองเดียวกันไปด้วย (แทนที่จะจัดหนี้ดีกองรวมกัน แยกต่างหากจากกองหนี้เน่า) และจะขายเป็นกองๆ ละประมาณหมื่นล้านบาท แต่ไม่ให้ลูกหนี้เดิมมีส่วนร่วมประมูล เท่ากับเป็นการเปิดทางให้เฉพาะต่างชาติซึ่งเป็นพวกพ้องเท่านั้น
4.ที่ปรึกษาฝรั่งแห่งหนึ่ง ได้เข้ามาตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่เป็นลูกหนี้ทั้งหมด รวบรวมเก็บข้อมูลทั้งหมด แล้วจัดกองลูกหนี้เอง จากนั้นก็กำหนดเงื่อนไขการขายคือ ไม่ให้ลูกหนี้เข้าประมูล และเมื่อขายกองละหมื่นล้านบาทขึ้นไป ก็เท่ากับกีดกันผู้ประมูลทั่วไปให้เหลือน้อยลง
5.เมื่อประกาศประมูล ได้มีผู้แสดงความสนใจหลายราย จึงต้องเปิดให้ผู้แจ้งความจำนงจะเข้าร่วมประมูล มีโอกาสตรวจกองลูกหนี้ เพื่อจะได้รู้สถานะที่แท้จริง เพื่อเสนอราคาได้ถูกต้องหลังจากเปิดให้ตรวจแล้ว ผู้ดำเนินการประมูลได้ใช้เล่ห์กลเพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้จะเข้าร่วมประมูล โดยการสลับกองลูกหนี้ ย้ายลูกหนี้กองนั้นไปไว้กองโน้น ทำให้ผู้สนใจที่มาตรวจดูกองลูกหนี้แล้วเกิดความไม่แน่ใจว่า กองหนี้ที่ตั้งใจจะประมูลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จึงทำให้มีผู้สละสิทธิ์ ไม่เข้าประมูลหลายราย เหลือแต่พรรคพวกในขบวนการเดียวกันเท่านั้น
6.ในจำนวนผู้สนใจซื้อหนี้ มีบริษัทที่ที่ปรึกษาฝรั่งถือหุ้น 99.99% ที่เพิ่งจดทะเบียนเพื่อทำธุรกรรมเฉพาะกิจในครั้งนี้รวมอยู่ด้วย และสุดท้ายก็คือผู้ชนะการประมูล เพราะชงเอง ชู้ตเอง จึงรู้ตื้นลึกหนาบางทุกรายละเอียดนั่นเอง
ทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาท จึงขายได้ต่ำกว่า 200,000 แสนล้านบาท เท่ากับชาติถูกปล้นไปกว่า 4 แสนล้านบาท! เป็นมหาวีรกรรมโกงชาติระดับโลก ที่ต้องจารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
7.พอชนะประมูลแล้วยังคิดโกงภาษีต่อไปอีก โดยวิธีตั้งเป็นบริษัทกองทุนเข้ามารับช่วงต่อ เพื่อให้เข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีบริษัทกองทุน จึงต้องถูกจดทะเบียนอย่างเร่งด่วน ดังนั้น เมื่อถึงวันเซ็นสัญญา ผู้ชนะประมูลไม่ได้มาร่วมลงนามเซ็นสัญญา คงมีแต่ ปรส. เซ็นชื่อข้างเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการทำสัญญาแบบไหน แต่ก็มีการโอนเงินเข้ามาชำระเงินงวดแรกหลังจากนั้นอีกหลายเดือน เมื่อมีการตั้งกองทุนเสร็จ ก็เอากองทุนเข้ามาทำสัญญา เท่ากับเป็นการโกงภาษีอีกต่อหนึ่ง ความเสียหายกว่า 4 แสนล้านบาท คนไทยทั้งประเทศต้องรับภาระต่อไปอีกนาน
ความจริงยังมีวีรกรรมของ ปรส. ในยุคของรัฐบาลเวลานั้นอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องการขายสัญญาลีสซิ่งของสถาบันการเงินให้กับ จีอี แคปปิตอล ในราคาถูกๆ แต่หัวใจของเรื่องก็คือ จีอี แคปปิตอล ผู้ประมูลได้นั้น มีประธานบริษัทที่ว่ากันว่า เป็นนายกฯ ผู้ดีในช่วงวิกฤติพฤษภา 2535
ท่านทั้งหลายที่อ่านมาถึงบทนี้ คงคุ้นๆ กับชื่อตัวแสดงเหล่านี้ ที่ส่วนใหญ่จะละม้ายกับกลุ่มตัวละครในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก
โอ้! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!
นี่คือข้อมูลที่ชำแหละนโยบายและพฤติกรรมของพรรครัฐบาลในช่วงเวลานั้นได้อย่างถึงลูก ถึงคน ถึงแก่น
ข้อมูลเช่นนี้ ยากที่จะหาคนไม่เชื่อ
ยากที่จะหาข้อมาคัดง้าง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ “กรณีอัปยศนี้” ล่วงเลยผ่านไปแล้ว 11 ปี
เป็น 11 ปีที่ไร้คำตอบ และคำชี้แจงของ ปชป. ผู้เป็นรัฐบาลในเวลานั้น
สุดท้าย! ขอเลียนแบบพฤติกรรมของเหล่าพันธมิตรฯ ที่ชอบตะโกนด่าทอบนเวทีดังๆ สักหน่อยว่า “ปชป. ตอบได้แล้วโว้ย”


Create Date : 25 สิงหาคม 2551
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 2:04:02 น. 2 comments
Counter : 505 Pageviews.

 
ยุคนี้คนไทยมีแต่คนเก่งๆคนมีความรู้ (รู้มันไปทุกเรื่อง)
ไม่รู้อยู่เรื่องเดียวว่าจะใช้วิธีการใดทำให้คนในชาติรักสามัคคีกันให้เกิดขึ้นเร็วๆจะได้ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปนะ เอ๊า! ช่วยกันหน่อยลาวจะแซงแล้ว!!!!!!


โดย: peswat@gmail.com IP: 125.26.184.9 วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:10:49:41 น.  

 
คุณคือผูที่มีความรู้ ขอให้คุณได้บุญกุศลมากๆเพราะเป็นการให้ความรู้กับเพื่อนมนุษย์ ไม่ได้ชมนะครับพูดจากใจจริง
kong


โดย: kong IP: 124.122.210.179 วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:0:05:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.