ตอนที่ 33 <ทวงคืน>




ตอนที่33 ทวงคืน

วันต่อมาทุกคนในบ้านก็ได้รับรู้ว่าบุตรสาวคนเล็กจับไข้ล้มหมอนนอนเสื่อไปเรียนไม่ไหวเทียมภพรู้อยู่แล้วว่าน้องต้องป่วยแน่เพราะมีอาการตัวรุมๆตั้งแต่เมื่อคืน ใบหน้าไร้เลือดฝาดซีดเซียวกับแววตาจืดชืดแสดงอาการป่วย‘ธรรมดา’ ไม่ได้บ่งบอกถึงความเสียใจจากเรื่องอื่นใดจนเทียมภพที่มองว่าน้องสาวคนเล็กบอบบางเป็นแม่ถนิมสร้อยมาตลอดชีวิตยังทึ่งแทนดาวเป็นคนอ่อนโยนก็จริง...แต่ไม่ใช่อ่อนแอ

“ปวดหัวจังเลยค่ะมีแอสไพรินไหมคะ?” หญิงสาวร้องขอยาจากพี่ชายที่เข้ามาดูอาการในตอนเช้าตรู่

“ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนสิคะ...แล้วค่อยกินยาเดี๋ยวสายๆคุณแม่จะพาไปหาหมอ วันนี้พี่ติดงานสำคัญมากๆต้องไปพบรัฐมนตรีพาณิชย์ก็เลยอยู่ดูแลหนูไม่ได้แต่ถ้าเสร็จธุระเร็วพี่จะรีบกลับมานะ”เทียมภพลูบศีรษะร้อนรุมของน้องสาวแล้วค่อยๆประคองตัวลุกขึ้นช้าๆ

“ไม่ต้องห่วงน้องพลูหรอกค่ะโอย...ต้องโทรไปขอเลื่อนพรีเซ้นต์โปรเจคกับอาจารย์อีก”

“ไม่ต้องห่วงนะ...พี่โทรไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวท่านคงไปบอกอาจารย์ประจำวิชาเองแหละ หนูกินข้าวก่อนเถอะ”เทียมภพตักข้าวต้มหมูป้อนคนตัวเล็กทีละคำจนหมดตามด้วยนมอุ่น ถ้าลองว่ากินข้าวกินปลาได้มากตามปรกติแบบนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง

“เป็นไงมั่งน้องพลู? ป้าทิพย์บอกว่าเราไม่สบายพี่เลยขึ้นมาดู” ปลายเดือนเดินยิ้มหวานเข้ามาแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอีกด้านพลางยกมือแตะหน้าผาก

”อีกสักเดี๋ยวแม่จะพาไปหาหมออ้อ...วันนี้พี่ไม่เข้าออฟฟิศนะ ไปพบรัฐมนตรีแล้วจะรีบกลับบ้านมาดูน้องพลู”เทียมภพบอกน้องสาวคนรองแล้วเตรียมจะลุกออกไป

“เอ่อ...ผึ้งก็มีเรื่องจะบอกพี่หมากเหมือนกันคือบ่ายนี้ที่ว่าจะไปเจรจากับเวนเดอร์ไต้หวัน ผึ้งไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะพอดีมีนัดอัดรายการเลดี้ โซไซตี้ พี่หมากต้องไปเองแล้วล่ะ”

“อ้อเหรอ...ไม่เป็นไรพี่ไปเองก็ได้ น้องพลูไปหาหมอกับคุณแม่แล้วก็นอนพักผ่อนนะคะ พี่จะกลับมาให้เร็วที่สุด” เทียมภพก้มลงจูบหน้าผากน้องสาวคนเล็กแล้วเดินออกไปพอคล้อยหลังพี่ชาย ปลายเดือนก็มองน้องสาวที่นอนแบบอยู่บนเตียงด้วยสายตาถากถางที่สุด

“ซีดเป็นไก่ไหว้เจ้าเลยนะจ๊ะแค่ข่าวกรอบเล็กๆนี่มันสะเทือนซางขนาดนี้เลยเหรอ?”

“พลูไม่ได้ป่วยเพราะเรื่องนั้นแต่เป็นเพราะพักผ่อนน้อยต่างหากล่ะ” แทนดาวสลัดผ้าห่มเตรียมลุกไปเลี่ยนเสื้อผ้า

“เหรอ...พี่ก็นึกว่าน้องสาวสุดที่รักช้ำในเพราะเห็นคู่หมั้นไปอี๋อ๋อกับผู้หญิงอื่นซะอีกบอกแล้วไงล่ะ...พี่ชลเขาไม่คิดอะไรกับเธอจริงจังหรอก”

“ก็ปล่อยเขาสิคะพลูกับเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว คราวนี้...พี่ผึ้งเหยียบคันเร่งเดินหน้าได้เต็มที่เลยค่ะ...ไม่ต้องห่วงพลูหรอก”

“หมายความว่า....”คำตอบของน้องสาวทำให้ปลายเดือนตาลุกวาวอย่างยินดีความสุขและความหวังเริ่มก่อประกายแรงกล้ามาขึ้นเมื่อรู้ว่าศัตรูหัวใจหายไปทีละคนสองคน

“ดีแล้วล่ะจ้ะ...ที่ตัดสินใจแบบนี้ดีใจจริงๆที่น้องสาวแสนสวยของพี่เลิกโง่เสียทีเอาล่ะ...วันนี้พี่หมากก็ไม่ได้กลับบ้านเร็วอย่างที่ตั้งใจแล้ว งั้นพี่จะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนนะคะ”แทนดาวไม่เข้าใจสิ่งที่พี่สาวพูดนักแต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ

“ไปค่ะ...น้องพลูเดี๋ยวพี่หมออชิรอนาน” มารดาเดินเข้ามาตามหลังจากปลายเดือนออกไปไม่นานทำให้คนที่กำลังนั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจกแอบสงสัยตะหงิดๆ

“โรงพยาบาลใกล้ๆบ้านก็มีนี่คะทำไมต้องไปไกลถึงโน่นด้วย?”

“ก็สีผึ้งโทรไปบอกพี่หมอว่าเราไม่สบายแล้วเลยนัดหมายให้เสร็จสรรพหนูเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ? ไปกันดีกว่า นัดคุณหมอไว้สิบโมง” แทนดาวถอนใจหนักพลางนึกค่อนขอดพี่สาวอยู่ในใจ

“พี่ผึ้งนี่เอาจะยังไงนะ? อุตส่าห์ถอยห่างออกมาแล้วยังจะวกมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องเราอีก”

ชลธีนั่งไม่ติดที่พอรู้ข่าวว่าแทนดาวไม่สบายนอนซมอยู่บ้านก็รีบกุลีกุจอทำงานของวันนี้ให้เสร็จแล้วรีบไปที่บ้านทวีกิจไพศาลในตอนเย็นพอเทียบรถจอดเรียบร้อยก็เป็นต้องหัวเสียขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นรถยนต์ของอชิตะจอดอยู่ก่อนแล้วแต่พอเข้าไปข้างในตามคำเชิญของคุณดวงทิพย์ก็ไม่พบแขก ‘พิเศษ’นั่งอยู่ในห้องรับรองแต่อย่าง

“หมออชิมาได้สักพักใหญ่แล้วค่ะคุณชลรออยู่ที่นี่ก่อนนะคะ ป้าไปจัดการเรื่องข้าวปลาให้น้องพลูสักเดี๋ยว” ชลธีอยากถามเหลือเกินว่าแล้วคุณหมอไปอยู่เสียที่ไหนแต่ก็เก็บปากเก็บคำสนิทแล้วนั่งรออย่างสงบเสงี่ยมไม่รู้ว่าคนป่วยกำลังนอนหลับอยู่หรือตื่น แล้วถ้ารู้ว่าเขามาเยี่ยม...จะยอมลงมาให้เห็นหน้าไหม

ในขณะที่คนรอข้างล่างเอาแต่กระวนกระวายแต่คนข้างบนก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างตั้งใจมือขาวสะอาดของนายแพทย์อชิตะแตะเครื่องตรวจฟังบนตัวของคนป่วยครบแล้วก็หยิบปรอทวัดไข้มาดูแล้วอ่านค่าอุณหภูมิที่วัดได้ให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนฟัง

“ไข้ลดแล้วแสดงว่าวันนี้เป็นเด็กดี กินยากับพักผ่อนตามตามที่หมอสั่ง”

“ไม่ต้องฉีดยาใช่ไหมคะ แทนดาวยิ้มแหยๆ ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายแพทย์อย่างเคร่งครัดเพราะถูกขู่เอาไว้ว่าถ้าตอนเย็นมาตรวจแล้วไข้ไม่ลดลงจะถูกฉีดยาแน่ๆ

“วันนี้ยัง แต่ถ้าพรุ่งนี้พี่ดูแล้วไข้กลับ...ก็ไม่แน่”คุณหมอยังไม่วายแกล้งขู่ให้คนไข้กลัว

“พรุ่งนี้หายแน่ๆค่ะ...รับรอง”

“ยังหรอก...ตัวยังรุมๆอยู่เลย”สิ้นคำว่าตัวรุมๆ มือขาวสะอาดก็เอื้อมอังหน้าผากเกลี้ยงเกลาจากนั้นก็ใช้หลังมือแตะเบาๆที่ข้างแก้มแทนดาวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก

“ขอบคุณพี่อชิที่เป็นห่วงนะคะ”

“ไม่ห่วงได้ไงล่ะ…ก็น้องพลูเป็นน้องสาวพี่นี่นา”

“พี่อชิคิดแบบนี้จริงๆเหรอคะ?” คำบอกเล่าก่อให้เกิดประกายฉงนเล็กน้อยในดวงตาคู่สวยเท่าที่รู้คืออชิตะคิดกับตนในเชิงชู้สาวแต่ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรอบปิดกั้นเรื่องรักวัยรุ่นหนุ่มสาวทำให้ไม่กล้าถามออกไปตรงๆ

“คิดแบบนี้...มาได้สักพัก”ชายหนุ่มถอดแว่นตามาถือไว้แล้วทำท่าคิดอะไรบางอย่างก่อนจะกลับมามองคนไข้ที่นอนมองตาแป๋วอยู่บนเตียง

“ตอนแรกพี่เคยนึกเสียดายว่าทำไมถึงเจอน้องพลูช้านัก...ช้ากว่า...เขา”สรรพนามบุรุษที่สามนั้นเดาไม่ยากว่ากำลังพูดถึงใคร

“ครั้งหนึ่ง...พี่เคยชี้หน้าว่า‘เขา’ เป็นคนเห็นแก่ตัวที่มัดมือชกผู้หญิงคนหนึ่งให้มาเป็นของตัวเองก็เลยอยากจะช่วยให้น้องพลูหลุดจากข้อผูกมัดนั่นแต่...ท้ายสุดมันกลับมาพันตัวพี่เอง น้องพลูครับ...” อชิตะวางแว่นลงบนดั้งจมูกอย่างเดิมแล้วจับมือนุ่มนิ่มมาพิจารณาแววตาของเขาละม้ายคล้ายพี่ชายมองน้องน้อยมากกว่าเป็นอย่างอื่น แทนดาวเลยไม่ปัดป้อง

“พี่...ชอบ...น้องพลูตั้งแต่วันที่เจอกันในงานเลี้ยงเซ็นสัญญาบังเอิญมากที่วันนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ ‘ประกาศหมั้น’พี่บอกกับตัวเองว่าต้องช่วยและ...เปลี่ยนใจของน้องพลูให้ได้พี่พยายามทำให้น้องพลูค่อยๆซึมซับทีละนิดว่านอกจาก ‘เขา’ก็ยังมีพี่ที่ปรารถนาและต้องการได้ใจของน้องพลูมา”

“ทั้งๆที่พี่อชิก็รู้ว่ามัน...ยาก”แทนดาวพูดพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า คำว่า ‘ยาก’ของหล่อนหมายถึงอชิตะ

จะต้องเผชิญด่านหินอย่างพี่ชายไหนจะอุปสรรคขี้ปากคนที่คอยจะนินทาว่าไปยุ่งกับคนมีเจ้าของ อีกทั้งหน้าที่การงานที่มี

คำว่านายแพทย์นำหน้าไม่ควรจะแปดเปื้อนด้วยเรื่องทำนองนี้

“มันยาก...พี่ถึงต้องรอบคอบต้องระวังทั้งคำพูด กิริยา การวางตัว ที่สำคัญ...ทำยังไงให้น้องพลูไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกชักให้‘เปลี่ยนใจ’ แต่พี่ประมาทน้องพลูเกินไปอย่าด่าพี่เลยนะ...ขอสารภาพว่าตอนแรกพี่คิดว่าน้องพลูน่ะ...อ่อน...ทั้งความคิดและการมองโลก”

“แล้วตอนนี้ล่ะคะ?”

“ตอนนี้ก็รู้ว่าน้องพลูไม่ได้นุ่มนิ่มอย่างที่คิดน่ะสิจะบอกให้ว่า...พี่ตัดสินใจจะสารภาพความในใจกับน้องพลูตอนไประยองคราวนั้นใช่...พี่ตั้งใจไปที่นั่น ต้องการทำให้ ‘เขา’เห็น” อชิตะย้ำถ้อยคำชัดเจนเป็นการตอบข้อแคลงใจในดวงตาใสแจ๋วที่มองมาแทบไม่กระพริบ

“มันเหมือนเป็นธรรมชาตินะ...ที่ผู้ชายสองคนห้ำหั่นกันเพื่อข่มคู่แข่งว่าตัวเองเหนือกว่าอีกคนพี่อยากให้เขาเห็นว่า พี่เหนือกว่าที่สามารถบอกรัก....ผู้หญิงที่เขารัก...ในถิ่นของเขาเองแต่ก็ตัดสินใจกลับเพราะบังเอิญไปรู้ว่าเขาก็มีแผนอื่นเหมือนกัน”

“มิน่าล่ะ...พี่อชิรีบกลับไปก่อนที่ว่าจะรีบกลับไปเข้าเวรก็ไม่จริงนะสิ” อชิตะหยุดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาแล้วยิ้มคล้ายจะหยันตัวเองขณะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์วันนั้น

“พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้นบ้าง พี่ก็กลับมาทบทวนสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอีกครั้งแล้วก็รู้ว่าพี่ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนใจน้องพลูได้หรอกน้องพลูยอมให้เขาสวมแหวน...มันก็ชัดเจนแล้วว่ารู้สึกกับเขายังไงไอ้เรื่องที่ว่าโดนผูกมัดหรือตกกระไดพลอยโจนนั่นเล็กขี้ปะติ๋วไปเลย” ชายหนุ่มถอนใจยาวก่อนจะพูดต่อ

“น้องพลูไม่ได้อ่อนแอจนใครจะสามารถจูงไปง่ายๆความมั่นคงหนักแน่นในจิตใจเป็นเครื่องยืนยันแล้วว่า พี่จะไม่มีวัน ‘ได้ใจ’ น้องพลูมา”

“น้องพลูขอบคุณที่พี่อชิรู้สึกดีๆด้วยแต่ไม่สามารถคิดกับพี่เป็นอย่างอื่นได้เลยจริงๆ...ขอโทษค่ะ” แทนดาวมองหน้าคนข้างๆอย่างรู้สึกผิดที่ไม่อาจตอบแทนความรักด้วยการ ‘รัก’ ตอบ

“พี่ต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษน้องพลูที่บางครั้งก็อาจจะทำอะไรให้ยุ่งยากใจ แต่ต่อไปนี้สบายใจเถอะนะว่าแต่...พี่ขออะไรอย่างนึงได้ไหม?”ใบหน้าใจดีระบายยิ้มออกมาแล้วละมือข้างหนึ่งไปลูบผมสวยที่เคยได้แต่มองและสัมผัสด้วยสายตา

“อะไรคะ?”

“ขอเป็นพี่ชายของน้องพลูอีกคนได้ไหมครับ?” คำขอของเขาเรียกรอยยิ้มพิมพ์ใจจากคนป่วยที่พยักหน้าหงึกหงักได้ทันทีความอึดอัดขัดข้องมลายหายไปสิ้นเมื่อทุกอย่างได้รับการไขให้กระจ่าง

อชิตะออกจากห้องนั้นแล้วลอบผ่อนหายใจอย่างโล่งอกเขารักแทนดาว...รักผู้หญิงแบบที่แทนดาวเป็น แต่ไม่ถึงกับต้องเป็นหล่อนเพียงคนเดียวอชิตะเพียรบอกตัวเองว่า...จะรอคอยจนกว่าจะพบสตรีที่มีอัธยาศัยและจิตใจเฉกเช่นสาวน้อยนัยน์ตาดุจดาวผู้นี้

ชลธีจ้องมองผู้ที่เดินหน้านิ่งแต่ระบายรอยยิ้มเบาๆเข้ามาในห้องรับรองโอ่โถงแห่งนี้เขารอจนอีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยแล้วจึงค่อยทักทายอย่างคนคุ้นเคยกันดี

“ไงครับ...บริการตรวจรักษานอกสถานที่หรือ?” เสียงคนถามอาจจะฟังดูสุภาพแต่ถ้าจับกระแสได้จะรู้ว่าแอบ

เหน็บนิดๆ ถึงจะเคย ‘ติดหนี้’ ในความเอื้เฟื้อของนายแพทย์คนนี้แต่ถึงอย่างไรเรื่องของหัวใจย่อมเป็นข้อยกเว้น

“ครับ...น้องพลูเป็นไข้เมื่อเช้าไปหาที่โรงพยาบาลมาแล้วทีนึง ก็เลยมาติดตามอาการ”

“เอาใจใส่ดีนะครับ...ดูแลกันถึงห้องนอนทีเดียวไอ้หมากมันบอกว่า ‘ที่นั่น’ เป็นเขตหวงห้ามไม่ใช่หรือ?แล้วทำ

ยังไงถึงขึ้นไปได้ ใช้วิชาสะเดาะกุญแจหรือไง?”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมไปวัดไข้กับฟังปอดแค่นั้น คนไข้ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล...เธอเป็นน้องสาวผม” คำตอบนั้นทำเอาชลธีต้องยืดหลังตรงแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อที่จะได้ฟังให้ชัดถ้อยชัดคำขึ้น

“น้องสาวหรือ?”

“ครับเอาล่ะ...หวังว่าเราคงไม่มีอะไรต้องบาดหมางใจกันอีกนะ อ้อ...แล้วเรื่องส่วนตัวของคุณก็ขอให้คลี่คลายได้ในเร็ววัน”อชิตะกล่าวทิ้งท้ายแล้วเก็บข้าวของกลับไปทิ้งให้คู่สนทนายังนั่งงอยู่คนเดียวไอ้เรื่องส่วนตัวที่ฝ่ายนั้นพูดถึง...มันหมายถึงเรื่องอะไรกันเรื่องงานหมั้นที่ถูกทำลายหรือว่าเรื่องข่าวที่รั่วไปถึงหูแทนดาวจนได้

“คุณชลคะ...ป้าเพิ่งให้เด็กยกข้าวต้มขึ้นไปให้น้องพลูเห็นบอกว่ากินข้าวแล้วจะกินยานอนเลย คุณชลก็อยู่กินข้าวเย็นกันก่อนนะคะ”คุณดวงทิพย์เดินมาบอกเป็นเชิงว่าบุตรสาวไม่อยาก ‘ต้อนรับ’แขก วูบหนึ่งมีรอยน้อยใจปรากฏบนใบหน้าที่เจื่อนสนิท

“อยู่ก่อนเถอะคุณชล...ลุงมีเรื่องคุยด้วย”คุณเที่ยงธรรมเดินเข้ามาสมทบอีกคน ชายหนุ่มมองหน้าบุพการีทั้งสองคนของสตรีอันเป็นที่รักด้วยคำถามมากมายพวกท่านจะรู้หรือเปล่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างตนกับบุตรสาวบ้าง

“อ้อ...หิวหรือเปล่า? ถ้ายังไม่มากนักก็รอสักครู่เถอะนะ ให้หมากกลับมาก่อนจะได้คุยเรื่องน้องสาว...อ้อ…น้องแฟงน่ะ ลุงไม่แน่ใจว่าสองคนนั้นบอกข่าวแล้วหรือยัง?”

“ข่าวอะไรครับ?” ชลธีเอะใจที่ท่านไม่ได้จะพูดเรื่องระหว่างตนกับแทนดาว แต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าจะหารือเรื่องอะไรมันคงเป็นการดีกว่าที่จะทำเป็นยังไม่รู้ เรื่องเลวทรามที่เทียมภพกระทำต่อรมย์นลินไม่ควรที่จะได้รับการไว้ชีวิตแต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ปลุกจิตใต้สำนึกให้พอมีความปราณีอยู่บ้างก็คือ เห็นแก่หัวอกหัวใจของรมย์นลินไม่อยากให้น้องต้องตรอมใจเพราะคนรักถูกความตายพรากไป

“คิดยังไงล่ะ ที่‘พี่ชายว่าที่ภรรยา’ จะกลายมาเป็น‘ว่าที่น้องเขย’ อีกตำแหน่งน่ะ?”

ของหวานถูกเก็บไปแล้วแทนที่ด้วยชากาแฟครบสูตรดูเหมือนว่าวันนี้สมาชิกครอบครัวทวีกิจไพศาลคงจะเหลือเพียงสี่คนที่ร่วมรับประทานอาหารเย็นกับแขกที่เหลืออีกหนึ่งคน

“ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาอะไรติดแต่ว่า...คนที่จะมาเป็น ‘น้องเขย’ ของผมนี่…ไม่มีอะไรติดค้างกับใครที่ไหนแล้ว”ชลธีคนกาแฟในถ้วยเล่นโดยไม่มองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย

“ฉันไม่มี ‘อะไร’กับ ‘ใคร’ อีกแล้วทั้งนั้นแหละ เพราะถ้ามีน่ะนะ...อย่างน้อยก็ต้องลงข่าวซุบซิบให้เห็นหรอกไม่ต้องตามสืบตามหาแล้วก็ปิดกันให้วุ่นวาย” เทียมภพตีกระทบว่าที่พี่เขยอย่างจังใบหน้าสำอางหล่อเหลาราวเทพบุตรโรมันยิ้มหยันให้นิดๆ แต่คน ‘ถูกตี’ไม่ได้สะดุ้งหรือสะเทือนเพราะมีเรื่องที่หนักกว่านี้ให้ขบคิด

“อ้อ...จะบอกว่าถอนเขี้ยวตัดเล็บแล้วรึ? ให้มันจริงเถอะ...ประเดี๋ยวก็จะมีแม่ประแดะที่ไหนมาแง่ดๆอยู่หน้าบ้านอีก”คุณลำเภาอดแซวหลานชายคนโตไม่ได้

“โธ่...ย่าล่ะก็ผมรู้ตัวดีครับว่าถึงเวลาแล้วที่จะลงหลักปักฐานให้มั่นคงเสียทีว่าแต่...นายสะดวกที่จะนัดคุณอาเมื่อไหร่ เทียมภพถามว่าที่พี่เขยด้วยเนื้อเสียงที่เป็นงานเป็นการกว่าเดิม

“คุณแม่จะขึ้นมาอาทิตย์ปลายเดือนพอดีแต่ยังไงผมจะเกริ่นกับท่านเอาไว้ก่อน แล้วจะมาแจ้งว่าคุณแม่จะนัดให้

เข้าไปพบวันไหนนะครับ” ชลธีไม่ตอบคำถามนี้กับคนถามแต่หันไปบอกคุณเที่ยงธรรมแทน

“ไหนๆก็นัดกันคุยเรื่องนี้แล้วงั้นผมขออนุญาตพูด ‘เรื่องของผม’ไปเสียด้วยเลยนะครับ” ชลธีเรียนพวกผู้ใหญ่ ณ ที่นั้นท่านด้วยรอยยิ้มสดใสทั้งสามมองหน้ากันอย่างเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องอะไรคงมีแต่เทียมภพที่วางถ้วยกาแฟลงด้วยอาการกระแทกแล้วแอบทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่งใครอยู่อาการผิดปรกตินี้ไม่อาจลอดเล็ดสายตาคุณลำเภาไปได้ดังนั้นคำถามที่ตามมาจึงฟังดูประชดเหน็บแนมหลานชายด้วยอารมณ์หมั่นไส้เหลือที

“กาแฟติดคอเรอะ...เจ้าหมาก?”

ดูเหมือนว่าความพยายามในการติดต่อกับแทนดาวตลอดสามสี่วันนี้จะไม่สัมฤทธิ์ผลเอาเสียเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งโทรศัพท์หรือมาหาแบบตัวเป็นๆก็มักจะถูกปฏิเสธทุกทีไป ชลธีทราบจากคุณดวงทิพย์แค่ว่าแทนดาวหายดีแล้วและกลับไปเรียนหนังสือหนังหาได้ตามปรกติการหลบหน้าหลบตามันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนักสำหรับเขาแต่ก็ทำใจคิดเผื่อๆเอาไว้ว่ามันอาจจะดีสำหรับแทนดาวเองถ้าหล่อนประสงค์ที่จะอยู่ลำพังสักพัก...เขาก็จะให้เวลา ระหว่างนี้ก็ต้องพยายาม ‘สะสาง’ เรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้น แต่มันช่างยากลำบากเพราะตั้งแต่วันนั้นก็ไม่สามารถติดต่อหรือเสาะหาคนสร้างเรื่องอย่างเปรมยุตาได้เลย

สตรีวัยดรุณีในชุดนักศึกษาตามระเบียบที่เพิ่งจะก้าวผ่านประตูกระจกเข้ามาสะกดสายตาหลายคู่ให้หันมามองแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันขรมร่างอรชรเพียงแต่แย้มเยื้อนให้พนักงานที่หันมาสบตาแต่พองามเป็นการทักทายตามมรรยาททุกคนรู้จัก แทนดาว ทวีกิจไพศาล เป็นอย่างดี แต่ที่ต้องจับกลุ่มซุบซิบกันเพราะ ‘ลุค’ใหม่ที่เจ้าตัวเปลี่ยนแปลงจนดูผิดหูผิดตาไป เริ่มตั้งแต่ผมสลวยเป็นลอนตามธรรมชาติดำขลับยาวจรดเอวถูกซอยสไลด์ไล่ระดับตรงด้านหน้าจนระใบหน้าและประอยู่แค่บ่าสีผมเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้มขับให้วงหน้าขาวกระจ่างดูสว่างมากขึ้นใบหน้าได้รูปแต่งแต้ม ‘จัด’ กว่าเดิมจนดูสะดุดตาแต่ไม่มากจนเกินงาม

“มาหาคุณเทียมภพหรือคะ? ดิฉันเห็นเธอออกไปกับลูกค้าเมื่อสักครู่นี้เอง แต่ไม่นานก็คงจะกลับล่ะค่ะ”พนักงานคนหนึ่งรีบปรี่เข้ามารายงานด้วยลักษณะ ‘เอาหน้า’ เต็มที่

“ทราบแล้วล่ะค่ะ...เลยมารอ แต่ระหว่างรออยากจะพบคุณปาลิดา...เธออยู่ใช่ไหมคะ แทนดาวถามเอากับพนักงานสาวคนนั้นด้วยอัธยาศัยเป็นมิตรแต่ก็ไว้ตัวอยู่ในทีตามที่ได้รับการอบรมมาถึงตัวไม่ใช่คนหยิ่งแต่ก็ไม่แจกยิ้มเหลือ เฟือหรือคุยเล่นไปทั่ว ด้วยตำแหน่งที่เป็นถึงน้องสาวของหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงพ่วงด้วยทายาทลำดับที่สามของทวีกิจจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในเรื่องการวางตัวเวลาออกมาสู่สังคมดังคำคุณย่ากับคุณแม่ที่พร่ำสอนอยู่เสมอตั้งแต่เด็กจนโต

“อยู่บ้านจะออกฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่มีใครว่าแต่ถ้าออกไปข้างนอกต้องปรับตัวเสียใหม่ เจ้านาย...ต้องไม่หยิ่งผยองถือตัวเกินงามแต่ก็ไม่ใช่ทำตัวเหลาะแหละดูไม่น่าเชื่อถือ”

“อยู่ค่ะ...จะให้ไปพบที่ไหนคะ?”

“อืม...ที่ห้องรับรองพิเศษชั้นบนก็ได้ค่ะ”

ปาลิดาเดินเฉิดฉายเข้ามาพบ‘น้องสาวท่านประธาน’ ในห้องรับรองพิเศษที่เอาไว้ใช้ต้อนรับแขกหรือลูกค้าระดับสำคัญอันเป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่าถ้า‘ท่านไหน’ มีธุระปะปังหรือเชิญอาคันตุกะเข้ามาในห้องนี้แล้วจะต้องไม่เข้าไปรบกวนไม่ว่าจะมีเรื่องคอขาดบาดตายใดๆรู้เช่นนี้แล้วความสงสัยใคร่รู้ยิ่งเร่งเร้าสาวหมวยตาชั้นเดียวให้กระหายมากขึ้นด้วยคิดว่าธุระที่อีกฝ่ายจะคุยด้วยต้องมีความสำคัญระดับหนึ่งถึงกับต้องเรียกมาคุยให้ห้องมิดชิดแบบนี้

แทนดาววางแท็บเล็ตในมือลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูแล้วตามมาด้วยกลิ่นน้ำหอมฉุนโชยชวนเวียนหัวลอยนำมาก่อนร่างของสตรีในสูททำงานเก๋ไก๋ตามรสนิยม ใบหน้ากลมเหมือนซาลาเปาตกแต่งเข้มจัดจนแทบเดาเค้าเดิมไม่ออก

“ตัดผมมาใหม่เหรอ? ดูเปรี้ยวดีนี่” คำทักทายที่ออกจะไม่เป็นทางการทั้งยังกึ่งชื่นชมกึ่งประชดทำให้คนฟังยิ้ม

ตอบได้ไม่สนิทใจนัก ปาลิดากวาดตามองความเปลี่ยนแปลงของสตรีที่อ่อนวัยกว่าไม่กี่ปีด้วยรอยริษยาเล็กๆที่ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะแต่งตัวแต่งหน้าอย่างไรก็ดูจะ‘สวย’ กว่าตนไปเสียทุกครั้ง

“พลูมีข่าวดีมาบอก”แทนดาวไม่อยากต่อความด้วยเลยรีบเข้าเรื่อง หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพายแล้วเปิดคลิปเสียงที่อัดเอาไว้พร้อมกับพยักพเยิดเรียกอีกฝ่ายมานั่งฟังใกล้ๆปาลิดากัดริมฝีปากอย่างลุ้นระทึกขณะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ บางคราวสองสาวก็หันมาสบตากันจนสักครู่ก็สิ้นสุดการบันทึกเสียง

“นึกแล้วเชียว! นังสินีนุชมันถึงทำท่าไม่ค่อยจะโอภาปราศรัยกับลูกปลา แล้วพี่ชลรู้เรื่องนี้หรือยัง ปาลิดาตวัดเสียงสูงอย่างเคียดแค้นสองมือบิดไปบิดมาอย่างต้องการระบายความโกรธ ริมฝีปากฉาบสีชมพูนีออนขบเม้มแน่น

“ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกพลูตั้งใจจะให้ลูกปลาเป็นคนไปบอกเอง” คนพูดละทั้งชื่อทั้งสรรพนามราวกับว่าไม่ต้องการเอ่ยถึงอีก

“เธอมีอะไรกับพี่ชลหรือเปล่า ปาลิดามองหน้าคนส่งข่าวอย่างจับพิรุธ ความผิดสังเกตเริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนตัวเองและท่าทีคำพูดแปลกๆ

“ไม่นี่ พลูกับเขา..เราไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว”แทนดาวตอบออกไปแล้วก็หลบตาเพราะไอ้ประโยคที่บอกไปว่า ‘เราไม่ได้คุยกัน’ นั้นเป็นตนเองฝ่ายเดียวที่คอยหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า

“ไม่เชื่อหรอก...ทะเลาะกันเรื่องข่าวนั่นแน่ๆ”ปาลิดาอดซักไซ้ไล่เลียงต่อไม่ได้

“นี่...เรื่องของพลูมันไม่สำคัญเท่าของลูกปลาหรอกรีบๆแก้ไขซะ...ก่อนที่คนกระทำผิดจะไหวตัวทันแล้วชิ่งหนีไป น่ะ”แทนดาวตัดบทดื้อๆด้วยไม่อยากให้ใครมาล่วงล้ำก้ำเกินเรื่องส่วนตัว ปาลิดาเองก็ดูจะเข้าอกเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่

“งั้น...ลูกปลาขอเซฟไฟล์เสียงนี่แล้วจะบอกพี่ชลวันนี้เลย ว่าแต่...ทำไมถึงช่วยล่ะ?”ในความรู้สึกของปาลิดา แทนดาวคือคนที่มาแย่งชายที่หมายปองไป ดังนั้นควรจะไม่กินสีกินเส้นกันมากกว่าจะเป็นมิตร

“พลูเกลียดการใส่ร้ายหักหลังอีกอย่าง...ลูกปลาก็เป็นเพื่อนคนนึง”

“เพื่อน...งั้นหรือ ปาลิดาพูดพึมพำอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่...เพื่อนจะไม่ยอมให้เพื่อนต้องตกเป็นจำเลยสังคมหรอกพลูเชื่อมาตั้งแต่แรกว่าลูกปลาไม่ได้เอาเงินไป”

“ในคลิปเสียงนั่นยัยนุชยังพูดถึงคนชื่อปราง...จะเป็นปรางเดียวกับยัยเปรมยุตาผู้ดีไหแตกนั่นหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“เรื่องนี้ลูกปลาต้องไปสืบต่อเองแล้วล่ะ”แทนดาวทำท่าลุกขึ้นเมื่อจบธุระ ปาลิดาลุกตามแล้วอ้าปากเหมือนจะพูดบางสิ่งบางอย่างแต่ยังลังเลและตัดสินใจเก็บปากเงียบ

“อ้อ...ขอบใจก็แล้วกันถ้าได้เรื่องได้ราวยังไงจะมาบอก”

สองสาวแยกย้ายกันตรงนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แทนดาวก็จะคิดเสียว่าตัวเองทำดีที่สุด ชลธีจะกล้า ‘เอาความ’ กับคนรักหรือปล่อยให้ลอยนวลก็สุดแต่ใจเพราะว่าทางที่ตนเลือกเดินมันคนละสายกับเขาอยู่แล้ว

แทนดาวว่าจะกลับไปรอพี่ชายในห้องทำงานตามที่นัดกันไว้แต่พอจะเปิดห้องเข้าไปก็ได้ยินเสียงที่พยายามหลบลี้มาหลายวันเรียกไว้ปลายเท้าเล็กเพียงแค่หยุดการก้าวตรงนั้นโดยไม่ยอมหันกลับไปมอง

“สวยขึ้นนะครับ...จำแทบจะไม่ได้”เจ้าของเสียงเห็นว่าฝ่ายนั้นยืนนิ่งเฉยจึงเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเอง ร่างสูงก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแล้วกวาดตาไล่สำรวจอย่างพินิจพิจารณาอยู่นานว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป

“ดิฉันมารอคุณเทียมภพ”เสียงตอบกลับมาช่างเย็นชาและเฉียบขาดจนอดคิดไม่ได้ว่าคนพูดตั้งใจจะให้คนฟังรู้ สึกเช่นนั้นจริงๆหรือเพียงแค่‘แสดง’

“อยู่กันตามลำพัง...ไม่ต้องพิธีการนักก็ได้ไปดื่มกาแฟกันเถอะ” เสียงราบเรียบเอ่ยชวนแบบไม่ต้องการคำปฏิเสธ

“ไม่สะดวกค่ะน้องพลูบอกพี่หมากว่าจะมารอ ถ้าแกกลับมาจากข้างนอกแล้วไม่เจอ...จะลำบาก”

“รับรองว่าพี่จะไม่ทำให้ลำบาก...ไปนะครับ”แทนดาวช้อนตามองอย่างเคืองๆกับท่าทีและสายที่บังคับอยู่กลายๆแล้วตัดสินใจเดินนำลิ่วๆออกไป

ร้านกาแฟยามบ่ายคล้อยมีลูกค้าค่อนข้างบางตาแต่ก็ยังเป็นที่นิยมของคนละแวกนี้อาจจะด้วยรสชาติที่เทียบเท่ายี่ห้อดังๆกับบรรยากาศน่านั่งหลบร้อน ที่มีทั้งแบบห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำและแบบรับลมธรรมชาติให้เลือกนั่งตามอัธยาศัยชายหนุ่มสั่งกาแฟคาปูชิโนแล้วสั่งไวท์ช็อค มัคคิอาโตให้สาวน้อยที่นั่งตรงข้าม

“รู้ได้ยังไงคะ? ว่าน้องพลูยังชอบดื่มอยู่ ตอนนี้น้องพลูไม่ได้ชอบ ‘แบบเดิม’ แล้ว” สาวน้อยบอกเสียงห้วนประกอบกับอากัปกิริยาที่เจ้าตัวพยายามทำตัวให้ดูมั่นอกมั่นใจจนคนมองนึกขัน

“วางท่าดีนักนะแม่คุณ...ดูซิว่าจะดัดอยู่ได้นานแค่ไหน”

“ไม่รู้สิ...แต่พี่มั่นใจนะว่าน้องพลูยังชอบ‘แบบเดิม’อย่าถามเลยว่าไปเอาความมั่นใจผิดๆนี่มาจากไหน พี่เป็นพ่อค้า เป็นนักลงทุนเจอผู้คนมามากมายโดยเฉพาะพวกที่ชอบ...ทำตัวเองให้ดูเป็นคนอื่น คนแบบนี้ดูออกง่ายมาก”

“หาว่าน้องพลูเสแสร้งหรือคะ?” แค่คำพูดแหย่เล็กๆน้อยก็ทำให้หญิงสาวเกิดอาการ ‘เต้น’ อันไม่ทิ้งลักษณะตัวตนเดิม ชลธีเพียงยิ้มกว้างกลบเกลื่อนอาการขำขัน

“เปล่าครับ...พี่พูดถึงทั่วๆไปเข้าเรื่องของเราดีกว่า” คำว่า ‘เรื่องของเรา’ จุดประกายฟูฟ่องอยู่ในใจดวงน้อยเงียบๆ แทนดาวแอบถามตัวเองว่า การที่หลบลี้หนีหน้าเขามาหลายวันยังคงความเป็น‘เรา’ ในความรู้สึกของเขาได้อยู่ล่ะหรือ

“ทำ...ทำไม คำถามสั้นๆแต่เย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจทำให้คนถูกถามเกิดความรู้สึกว่าของเหลวสีน้ำตาลที่กำลังดื่มอยู่นี่ช่างฝืดคอเสียเหลือเกิน

“ทำอะไรคะ?”

“พี่ไม่เชื่อแน่...ถ้าน้องพลูจะอ้างว่าทำตามแฟชั่นอินเทรน ตามเพื่อนหรืออะไรก็ตาม” ชลธีจับปอยผมเคลือบสีน้ำตาลเข้มที่ซอยไล่ระดับระเพียงบ่าถึงแม้ความยาวของเส้นผมด้านหลังจะไม่ได้ตัดออกมาก แต่ด้วยความชินตากับแบบเก่ามันทำให้เขารู้สึกว่าสั้นไปไหนจะริมฝีปากฉาบสีส้มอิฐขนตาหนางอนที่ถูกดัดและปัดด้วยมาสคาร่าทั้งๆที่ของเดิมก็ยาวเป็นแพอยู่แล้วดูยิ่งหนาหนักขึ้นไปอีกบลัชออนสีส้มพีชบดบังพวงแก้มชมพูเรื่อตามธรรมชาติอันเคยทำให้เขาใจแกว่งอยู่เสมอ ทุกอย่างที่เห็นบนตัวหญิงสาวณ เวลานี้คือ ‘หน้ากาก’ ที่อีกฝ่ายสวมปิดหน้าเพื่อบังอำพรางอะไรบางอย่าง

แต่...ชลธีไม่รู้หรอกว่าเพราะไอ้ผมทรงใหม่นี่เกือบทำให้บ้านแตกแทนดาวแอบไปเข้าร้านเสริมสวยหลังจากหายป่วยได้วันเดียวพอเทียมภพที่แสนจะหวงผมของน้องสาวอย่างกับอะไรรู้เข้าเห็นเข้าเท่านั้นแหละ

“ใครอนุญาตให้ตัดผม! ดูซิ..สั้นกุดจุดจู๋ แล้วนี่...ไปย้อมทำไม? ลืมแล้วเหรอว่าพ่อแม่เป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่งมังค่า”

“โธ่...พี่หมาก สั้นอะไรกันเล่า..ซอยไล่ตรงข้างหน้าให้มันเล่นระดับแค่นี้เองข้างหลังมันก็ต้องตัดออกบ้างให้สมดุลกัน ส่วนสีนี่มันเป็นโปรโมชั่นแถมมาค่ะแค่เคลือบสีเฉยๆเท่านั้นอีกสองสามเดือนก็จางหายไปเองแหละ”

“พี่ไม่ชอบให้เราไปทำอะไรกับมันครั้งนี้แค่ครั้งเดียวนะ...เลี้ยงให้ยาวเหมือนเดิมแล้วห้ามไปตัดไปโกรกอะไรมาอีกไม่งั้นพี่จะจับเราโกนหัวให้รู้แล้วรู้รอด”

“คิดเยอะไปไหมคะ? มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ผู้หญิงแต่งตัวแต่งหน้า น้องพลูแค่เบื่อๆกับสิ่งเดิมๆ เลยลองเปลี่ยนดู ใคร...ไม่ชอบก็ช่วยไม่ได้”ใคร...ที่พูดถึงทำให้ชลธีต้องพ่นลมหายใจเบาๆ แน่ละว่าหล่อนจงใจพาดพิงเขานั่นล่ะ

“พี่ไม่ชอบสวยน่ะ...มันสวย แต่มันไม่ได้สวยตามแบบฉบับของน้องพลู พี่ขอล่ะ...อย่าประชดกันแบบนี้เรื่องนั้นเรายังไม่ทันทำความเข้าใจกันเลย น้องพลูอย่าเพิ่ง...ตัดสินใจ ‘เปลี่ยน’ ทั้งๆที่เรื่องของเรายังไม่เรียบร้อยสิครับ”

“พี่ชลคะ...สิ่งที่น้องพลูทำมันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? ไหนบอกว่าทุกอย่างจะให้น้องพลูเป็นคนตัดสินใจเองไง? นี่ก็

ตัดสินใจแล้ว น้องพลูไม่สามารถทนเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็น...คู่หมั้น...เที่ยวหิ้วใครต่อใครเข้าห้องจนเป็นข่าวขี้ปากคนพี่ชลไม่อาย...แต่น้องพลูอาย”

“พี่ก็พยายามจะหาทางอธิบายอยู่นี่ไงล่ะ? ทำไมไม่ยอมฟังกันบ้าง หรือเป็นเพราะมีคนดูแลอย่างดีเลยเห็นพี่ไม่มีความหมายแล้ว?”

“พูดถึงใครคะ?”

“ตอนป่วยอยู่...เห็นว่ามีหมอประจำตัวคอยดูแลใกล้ชิดดูกันถึงห้องนอนเลยนี่” น้ำเสียงคนพูดคล้ายจะหยันโลก มือใหญ่ล้วงบุหรี่มาจุดโดยไม่คำนึงว่านั่งอยู่กับใครตลอดเวลาเขาไม่เคยคิดจะสูบยาต่อหน้าหญิงสาวเลยเพราะไม่อยากให้หล่อนสูดควันทางอ้อม

“พี่อชิแค่ขึ้นไปตรวจอาการภายนอกเองค่ะ...ไม่ได้ตรวจภายใน คำตอบนั้นทำเอามือที่ถือไลเตอร์ค้างอยู่อย่างนั้นปลายนิ้วที่คีบมวนยาถึงกับอ่อนปวกเปียกจนปล่อยมันตกลงไป

“ยอกย้อนได้ถึงใจดีนะ...นึกว่าจะไร้เดียงสา”ชลธีเริ่มมีโทสะ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมมันออกมารูปนี้ทีแรกว่าจะมานั่งปรับความเข้าใจกันดีๆ แต่ดูเหมือนว่าจะปะทะคารมกันเองเสียมากกว่า

“พี่ชลให้คำจำกัดความคำว่า...ไร้เดียงสา...แคบไปหน่อยมั้งคะก็เลยมากำหนดมาตรฐานให้น้องพลูว่าจะต้อง ‘ไร้เดียงสา’กับทุกเรื่องเสมอ” คำย้อนยอกฉะฉานออกจากปากสีส้มอย่างต่อเนื่องชลธีส่ายหน้าเบาๆกับความรั้นตะแบงของคนตัวเล็ก

“โอเค..พี่จะได้ประเมินน้องพลูใหม่แหม...ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่า...ไม่ได้ไร้เดียงสา...กับทุกเรื่อง จะได้ทำ ‘อะไรๆ’ ให้มันทันอกทันใจกว่านี้”คำปรามาสบาดเย็นโสตประสาททำให้คนฟังหน้าร้อน นัยน์ตาสีเหล็กทอประกายเยือกเย็นระคนโกรธหากแต่คนถูกมองหาได้หวาดหวั่น ร่างบางนั่งคอตั้งบ่าอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ

“พี่หมากไลน์มาบอกว่ากำลังจะเข้ามาน้องพลูต้องไปแล้วล่ะ”

“ไปสิ...พี่ก็กินอะไรไม่ลงแล้วเหมือนกัน”แทนดาวตวัดค้อนให้คนช่างประชดแล้วเดินอาดๆลงไปก่อนมีชายหนุ่มหน้าบึ้งถมึงทึงตามมาห่างๆทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกลับเข้ามาในออฟฟิศ

“พี่ชล...คุณชลธี...ลูกปลารออยู่พอดีมีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ” ปาลิดาเดินหน้าตาแช่มชื่นมาหา แทนดาวรู้สึกว่าอารมณ์บูดของคนที่เดินมาด้วยดูจะผ่อนลง

“มีอะไรล่ะ...ไปคุยที่ห้องพี่ก็ได้”ชลธีบอกสาวหมวยที่ยังยืนยิ้มแป้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีชีวิตชีวาต่างกับตอนที่อยู่ในร้านกาแฟลี้ลับแทนดาวหยุดยืนตรงหน้าลิฟต์รอให้สองคนนั้นเข้าไปก่อนโดยตั้งใจว่าจะรอลิฟต์ตัวต่อไป

“อ้าว...แทนดาวเข้ามาสิ...จะยืนรออะไรจ๊ะ เราไปชั้นเดียวกันไม่ใช่เหรอ ปาลิดากดปุ่มเปิดประตูค้างแล้วร้องเรียกเลยต้องจำใจเข้าไปด้วย ระหว่างที่ลิฟต์กำลังพุ่งไปก็ได้ยินแต่บทสนทนาของสองหนุ่มสาวที่นับถือกันเหมือนญาติทำให้แทนดาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น

“วันนี้ไปไหนหรือเปล่า?” พอก้าวออกจากลิฟต์ชลธีก็เอ่ยปากถามสาวหมวยดังๆประหนึ่งจะให้อีกคนได้ยินด้วย

“ไม่ค่ะ...วันนี้จะกลับบ้านเลย”

“อืม...พี่ได้บัตรเชิญเข้างานไวน์ไนท์ที่คลับแถวทองหล่อ อยากไปมั้ย?”

“ไปสิคะ...ดีใจจังที่พี่ชลชวนอ้อ...ไปกันสองคนเหรอคะ? แล้วใบ...”

“เป็นอันว่าตกลงอ้อ...เข้าไปรอพี่ในห้องก่อนนะ เดี๋ยวตามไป”ชลธีไม่ปล่อยให้ปาลิดาพูดต่อก็รีบสรุปจบ พอ

เหลือกันอยู่สองคนก็เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น

“ขอโทษนะที่ไม่ได้ชวนน้องพลูแต่...ถึงชวนก็คงไม่อยากไปล่ะมั้ง”

“ค่ะ...น้องพลูไม่อยากไปด้วยส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่ง...พี่หมากก็เคยสั่งห้ามไม่ให้ไปข้องแวะกับสถานที่อโคจร”แทนดาวเน้นหนักในวลีสุดท้าย ชลธีเพียงยิ้มหยันน้อยๆขณะเพ่งใบหน้างามที่ฉาบเคลือบด้วยเมคอัพชั้นดี

“ที่อโคจร...น้องพลูให้คำจำกัดความสถานบันเทิงแคบไปหรือเปล่า? คนไปเที่ยวกลางคืนไม่ได้หมายความว่าจะไปทำ ‘อย่าว่า’ประการเดียวสักหน่อยอย่าไร้เดียงสามากสิครับ...เดี๋ยวพี่จะเผลอเชื่อสนิท” ชลธีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ก็ทำให้คนฟังแทบจะเผลอหลุดกรี๊ดที่อีกฝ่ายบังอาจย้อนรอยคำพูดตน

“ถึงยังไงน้องพลูก็ไม่ชอบไปเบียดเสียดเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในแหล่งรวมคนสายบันเทิงแบบนั้นหรอกเชิญพี่ชลไปดื่มไวน์ให้สุขสำราญใจเถอะค่ะ”

“อาไร้...เห็นเปลี่ยนลุคเสียเป็นสาวมั่นก็นึกว่าจะกล้าเปรี้ยวที่ไหนได้...ก็ยังเป็นคนเดิมอยู่นั่นเอง”

“เปลี่ยน...ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนไปในทางที่เลวลงน้องพลูเพิ่งจะได้บทเรียนมาว่า...รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี ดูโก้แต่จริงๆมีอะไรแอบซุกซ่อนเอาไว้เยอะแยะ”

“ก็คงคล้ายๆ พวกหน้าใสๆสวยๆ ก็อาจจะมีอะไรอีกเยอะแยะที่ซ่อนไว้ แทนดาว...พี่จะให้เวลาเราตามที่ขอเพื่อกลับไปคิดทบทวนสิ่งที่กำลังทำแต่ขอร้อง...ขอให้คิดให้ให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไปจำเอาไว้ว่าอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนของเรา...มันจะฝืนกันอยู่ได้ไม่นานนักหรอก”

ปลายนิ้วอุ่นแตะที่ริมฝีปากเคลือบสีส้มและปาดเช็ดออกเบาๆแทนความหมายในสิ่งที่พูดแทนดาวมองหลังกว้างที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกหลากหลายขณะขบคิดคำพูดของเขาไปด้วย หญิงสาวถามตัวเองเงียบๆว่าไอ้ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมเพื่อแสดงถึงบุคลิกว่าเป็นคนเก่งแกร่ง ไม่แคร์ เช่นนั้นจริงๆ หรือเพียงแค่อยากประชดที่ชลธีทำลายความไว้วางใจและความศรัทธาต่อหัวใจรักจึงอยากจะทำลายทุกสิ่งที่เขาชอบ รัก และหวงแหนเป็นการแก้แค้นล่ะหรือ

สาวน้อยในชุดเดรสสีขาวผ้าพลิ้วพิมพ์ลายกุหลายสีแดงสดสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยที่ก้าวลงบันไดมาทำให้เทียมภพต้องวางหนังสือพิมพ์ธุรกิจลงเพื่อมองดูให้ชัดว่าใช่น้องสาวคนเดิมหรือเปล่าเขาเพิ่งสังเกตว่าคนเกิดทีหลังดูแปลกตาไปค่อนข้างมาก นอกเหนือจากทรงผมกับสีผมใหม่แล้วบนใบหน้างามที่มีเค้าละม้ายตนยังแต่งแต้มด้วยเมคอัพอย่างมีสไตล์คล้ายพวกนางแบบหรืออดีตสาวๆในกรุแต่พอนึกๆดูแล้วมันอาจจะเป็นวิธีหนึ่งที่น้องสาวคนเล็กทำเพื่อต้องการลืมเรื่องยุ่งๆก็เลยอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่

“ทำไมต้องรีบกลับด้วยล่ะ นานๆผึ้งจะว่างเต็มวันแบบนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดด้วย”ปลายเดือนบ่นอุบหลังจากมาขออนุญาตพาน้องสาวคนเล็กไปงานเปิดคลินิกเสริมความงามของเพื่อนสนิทนายแพทย์อชิตะแต่ถูกกำชับให้กลับบ้านก่อนตะวันตกดิน

“ไม่เอา...รีบกลับ จะซื้ออะไรกันนักหนา อย่าพาน้องเถลไถลนานนักปล่อยให้ไปกันตามลำพังเนี่ย...พี่เป็นห่วงรู้ไหมแล้วตาแก่ขี้บ่นก็ชักแม่น้ำทั้งห้าบรรยายภัยอันตรายร้อยแปดที่ผู้หญิงอาจจะประสบให้น้องสาวทั้งสองคนนั่งฟังตาปริบๆ

“อย่าห่วงเลยค่ะ...ไม่ได้ไปกันตามลำพังเมื่อไหร่มีคุณหมอไปด้วยนี่อุ่นใจได้เลย” ตอหนวดของเทียมภพกระตุกเป็นจังหวะเมื่อได้ยินชื่อนั้นถ้าเป็นเวลาอื่นเขาต้องห้ามไม่ให้น้องสาวคนเล็กไปอยู่ใกล้ชิดกับหมอแว่นคนนั้นแน่แต่พอเห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะเครียดก็เลยยอมให้ไปแต่โดยดี

“ถึงยังไงก็ไม่ไว้ใจแล้วนี่งานมันเริ่มกี่โมงกี่ยามกันล่ะเทียมภพอ้าแขนรับตัวน้องสาวเข้ามากอดแล้วล้วง

กระเป๋าหยิบธนบัตรมูลค่าสูงสุดให้ห้าใบ

“สิบเอ็ดโมงค่ะที่จริงน่ะ...พี่หมากน่าจะไปด้วยกัน เขามีทำสปาหน้าฟรีเป็นการฉลองเปิดร้านด้วยค่ะหน้าพี่

หมากจะได้ใสเด้งสมกับเป็นว่าที่เจ้าบ่าวป้ายแดง”แทนดาวบอกพี่ชายเสียงใส

“นั่นสิ...ไม่เท่านั้นนะคะยังแจกคอร์สนวดหน้าเรียวด้วย เนี่ย...คุณหมอขอคูปองมาให้ผึ้งเป็นกรณีพิเศษเลยนะคะน่ารักจริงเชียว”ปลายเดือนรีบสนับสนุน

“พอๆ...จะหน้าเรียวหน้าแหลมก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหละแล้วพี่พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้นนะ...หกโมงเย็นเราสองคนต้องกลับถึงบ้าน”ถึงจะใจดีแค่ไหนแต่ลงท้ายแล้วเทียมภพก็ไม่วายทิ้งลายความเด็ดขาดปลายเดือนพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้แล้วมองเลยมาที่น้องสาวผู้ซึ่งไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเป็นหมากในเกมที่ถูกจับเดิน

ห้างสรรพสินค้าดังในย่านธุรกิจแห่งนี้ย่อมคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มาเดินช้อปปิ้งในวันหยุดและแน่นอนว่าทุกอย่างต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ไม่วายเว้นแม้แต่ที่จอดรถที่ต่างคนต่างก็นำพาหนะส่วนตัวมาแต่ปลายเดือนไม่ต้องประสบปัญหาในการขับวนไปเวียนมาให้เมื่อยเพราะมีป้าย VIP สำรองที่จอดให้กับผู้ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานเปิดคลินิกดังกล่าว

“คุณหมอนี่รอบคอบจริงไม่งั้นครึ่งชั่วโมงก็ยังหาที่จอดไม่ได้” หญิงสาวกล่าวชมผู้ที่เอาสติ๊กเกอร์ VIP มาให้พลาง ส่องกระจกเชคใบหน้าตัวเองอีกครั้ง

“น้องพลูไม่ทำหรอกค่ะ...สปาหน้าอะไรนี่จบพิธีอะไรนั่นแล้วว่าจะไปที่แผนกเครื่องดนตรี” แทนดาวล้วงกระเป๋าหยิบบัตรทำสปาหน้าที่ว่าให้พี่สาว

“ไม่ทำก็ตามใจแต่บอกก่อนนะว่าพี่จองคอร์สนวดหน้าเรียววันนี้ไว้แล้ว คงจะไปเดินเป็นเพื่อนไม่ได้”

“น้องพลูไปเองได้เสร็จแล้วก็โทรบอกแล้วกัน”

สองสาวเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสองที่ตั้งของคลินิกเสริมความงามครบวงจรมีแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลจำนวนหนึ่งมาถึงแล้ว ทันทีที่สองสาวย่างกรายมานั่งประจำเก้าอี้หุ้มปลอกสีขาวผูกด้วยโบว์ผ้าสีทองนักข่าวสองคนก็เข้ามาถ่ายรูปและพูดคุยกับปลายเดือนที่แต่งตัวแต่งหน้ามาพร้อมราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเป็นข่าว

“ได้ยินมาว่าคุณเทียมภพกำลังจะสละโสดเจ้าสาวเป็นใครพอจะบอกได้ไหมคะ เป็นคนในวงการหรือเปล่า

“อุ๊ย...รอให้เจ้าตัวออกมาประกาศเองดีกว่าค่ะ”เสียงหวานผนวกกับใบหน้าสวยที่โปรยยิ้มชื่นอย่างกับดาราของ ปลายเดือน ทวีกิจไพศาล เรียกเสียง‘แชะ’ ของชัตเตอร์ให้รัวขึ้น

“พี่ชายก็กำลังจะสละโสดแล้วคุณปลายเดือนล่ะคะ...เมื่อไหร่จะมีข่าวดี นักข่าวคนเดิมยังถามต่อแต่เหมือนคนถูกสัมภาษณ์จะอึ้งไปเล็กน้อย

“ก็ดูๆกันอยู่…คุยกันเป็นเพื่อนธรรมดาค่ะ แหม...ผึ้งก็ไม่อยากรีบนี่คะ ถึงทาง ‘เขา’ จะมีแย้มๆถามมาบ้าง ตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องงานอย่างเดียว”แทนดาวแอบยิ้มเยาะหลังได้ฟังคำตอบจากพี่สาวไม่เข้าใจว่าการที่จะบอกความจริงไปว่ายังไม่มีใครมาจีบหรือยังไม่มีแฟนมันจะทำให้เสียหน้าขนาดไหนกันเชียว

“นี่มากับใครคะ? ใช่น้องคนที่มีข่าวหมั้นหมายกับเจ้าของธาราหรือเปล่า?” แทนดาวเริ่มกระสับกระส่ายเพราะตอนนี้เป้าสนใจได้เปลี่ยนมาที่ตนเรียบร้อย

“นี่คือ แทนดาว...น้องสาวของผึ้งเองอ้อ..เรื่องที่ว่าเป็นข่าวยังการันตีไม่ได้หรอกนะคะ คือ...น้องยังเรียนไม่จบเลยค่ะคงต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง”

“สวยหน้ารักไม่แพ้พี่สาวเลยนะคะแหม...สงสัยจะยังไม่สะดวกเปิดตัวจริงๆก็เลยไม่เห็นควงคู่หมั้นมาด้วย” นัก

ข่าวยิงคำถามเปิดปลายหวังจะให้แทนดาวพูดอะไรบ้าง แต่ความที่มีพี่ๆเป็นหนุ่มสาวสังคมทำให้เรียนรู้ว่าการสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีที่สุด

“พี่อชิ”แทนดาวรีบเดินเข้าไปทักทายอชิตะเพื่อหวังจะหนีพวกนักข่าวไปพ้นๆเสีย ซึ่งการกระทำนั้นเข้าทางปลายเดือนที่ยังติดลมกับการให้ข่าวเรื่อยๆ

“ที่ผึ้งบอกว่าให้รอดูกันไป...ก็เพราะอย่างนั้นล่ะค่ะที่จริงงานหมั้นนี่ทางผู้ใหญ่คุยกันเรียบร้อยแล้วล่ะแต่ว่า...ดูเหมือนน้องสาวผึ้งจะลังเลเพราะมีคุณหมอคนนั้นมาติดพัน”ปลายเดือนพยักพเยิดไปทางน้องสาวที่ยืนคุยกับอชิตะอยู่ไม่ไกลกันนัก ข่าวใหม่ล่าสุดเรียกความสนใจจากนักข่าวสายบันเทิงผู้หิวกระหายได้เป็นอย่างดี

พอจบพิธีเปิดและรับของที่ระลึกเป็นเซรั่มกับครีมบำรุงขาดจิ๋วบรรจุในกระเป๋าผ้าอย่างดีแล้วปลายเดือนก็ฝากฝังน้องสาวกับนายแพทย์อชิตะโดยอ้างว่าต้องเข้ารับบริการนวดหน้าเรียวอย่างที่บอกไปตอนแรกแล้วต้องไปทำธุระที่ไหนต่ออีกสุดแต่จะทราบได้

“ถ้ายังไงฝากไปส่งยัยพลูที่บ้านด้วยนะคะอ้อ...พี่หมากสั่งไว้ว่าต้องกลับไม่เกินหกโมงเย็น” ปลายเดือนแจงตารางเวลาเสร็จสรรพ

“ไม่ต้องห่วงเลยครับคุณผึ้ง...ผมดูแลเอง”อชิตะก้มหัวให้นิดหนึ่งเป็นการรับคำและบอกลาอยู่ในที

“เราไปกันเถอะครับ...น้องพลูอยากซื้ออะไรล่ะ

“น้องพลูหิวค่ะ นี่ก็เที่ยงพอดี...ไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่าไหมคะ

“ตามใจน้องพลูสิครับ พี่น่ะ...ยังไงก็ได้” หมอหนุ่มยิ้มให้อย่างอบอุ่นเช่นเคยและช่วยถือข้าวของต่างๆให้ตามมารยาทของสุภาพบุรุษรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจของคนที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง ‘พี่ชาย’ หมาดๆทำให้อดยิ้มตอบไม่ได้

“พี่อชิชอบอาหารญี่ปุ่นไหมคะ?

“พี่เคยไปอยู่ญี่ปุ่นสามเดือนจากเดิมที่ไม่ชอบ...ตอนนี้ชอบแล้วล่ะ ไปสิครับ...น้องพลูมีร้านประจำหรือเปล่า?”

“มีค่ะ...ทางนี้”แทนดาวดึงแขนอชิตะให้เดินตามไปอีกทางแม้ทั้งคู่จะรู้จักกันและกันว่าต่างไม่มีอะไรนอกจากความเป็น ‘พี่น้อง’แต่คนนอกที่ไม่รู้อะไรด้วยย่อมจะตีความไปทางอื่นเสมอ

ดังเช่นโลกใบนี้มิได้กว้างใหญ่จนแยกชลธีกับแทนดาวให้อยู่ห่างกันได้นานๆหากคนสองคนมีดวงที่ผูกกันไว้แล้วย่อมจะต้องไม่แคล้วกันดังสุภาษิตโบราณ ชลธีเพิ่งจะเสร็จจากการเลี้ยงรับรองลูกค้าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เช่นกันทีแรกเขาไม่ได้สนใจตอนที่เห็นคู่หนุ่มสาวเดินควงแขนผ่านหน้าไป แต่พอสังเกตดีๆก็รู้สึกคุ้นเคยจนต้องเหลียวมองตามแวบแรกที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบก็คือรอยยิ้มใสๆ กับอาการหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษสวมแว่นกรอบดำที่เดินเคียงข้างนัยน์ตาคมกริบมองแขนเรียวที่คล้องของชายคนนั้นด้วยความรู้สึกเดือดพล่านจนทำให้ตัดสินใจยกเลิกนัดอื่นๆตลอดบ่ายนี้โดยไม่สนใจว่าจะมีผลกระทบกับงานมากน้อยเพียงใด

ร่างสูงเร่งฝีเท้าตามไปจนทันเห็นสองคนนั้นเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับชลธีหยุดหอบหายใจอยู่หน้าร้านครู่หนึ่ง ฝ่ามือทั้งสองข้างเย็นชื้นขณะดวงตาก็จับจ้องสองคนนั้นไม่ลดละนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมแทนดาวพยายามที่จะหายหน้าตาหายตาไปเพราะมีใครคนอื่นมาแทนที่เรียบร้อยแล้วหล่อนมิได้ใช้เวลาในการใคร่ครวญหรืออยู่กับตัวเองอย่างที่บอก...แต่กลับใช้เวลาไปออกเดทกับคนอื่น!

ดูเหมือนว่าแทนดาวจะเลือกได้ชิ้นที่ถูกใจแล้วอชิตะทำท่าจะชำระค่าสินค้าให้โดยบอกว่าอยากซื้อให้น้องสาว แต่ในนาทีนั้นเอง ชลธีก็รีบแทรกเข้ามาโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวแล้วยื่นธนบัตรให้พนักงานก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทำ

“อ้าว...คุณ” อชิตะมองหน้าคนที่มาแย่งจ่ายเงินด้วยความตกใจแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแทนดาวเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์แล้วก็ต้องอยู่ในอาการนิ่งตะลึงงันเช่นกันด้วยไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนี้ แต่พอปรับตัวได้ก็ทักทายไปตามปรกติ

“สวัสดีค่ะ...พี่ชล”

“เจอกันอีกแล้วนะครับ” ชลธีไม่ตอบรับคำสวัสดีจากสาวน้อยแต่กลับหันมาทักทายนายแพทย์หนุ่มด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแฝงเอาเรื่องอยู่ในที

“สวัสดีครับ...วันนี้ผมกับน้องพลูมางานเปิดตัวคลินิกแล้วเลยมาซื้อของนิดหน่อยระหว่างรอคุณผึ้ง” อชิตะตอบสายตาเอาเรื่องคู่นั้นเสียยืดยาวเพราะไม่แน่ใจว่าคนฟังจะเข้าใจอะไรๆได้มากน้อยแค่ไหน

“งั้นหรือครับ ชลธีเหยียดปากคล้ายจะเยาะใคร

“ใช่ค่ะ...เรามางานด้วยกัน กินข้าวเสร็จก็มาเดินซื้อของนิดหน่อยและกำลังจะไปต่อแล้ว” แทนดาวที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ใกล้ๆสูดหายใจรวบรวมความกล้าตอบรับอย่างท้าทายและอวดดี

“จะกลัวทำไม...ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา”

ชลธีสะกิดใจกับคำว่า‘เรา’ แสดงว่าที่คิดไว้ก็ไม่ผิด ที่ว่าแทนดาวกับหมอนี่นัดกันมาเต็มอกเต็มใจกันทั้งสองฝ่ายชายหนุ่มพยายามเก็บอารมณ์และอาการทุกอย่างซ่อนไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉยและฝืนให้ให้แสดงความดุดันขึ้งโกรธออกมาให้น้อยที่สุด

“น้องพลูต้องกลับบ้านแล้วเสียใจด้วยนะ...เวลาแห่งความสุขมักจะหมดเร็วอย่างนี้แหละ”เขาคว้าท่อนแขนเรียวดึงเข้ามาหาตัว แทนตวัดตามองอย่างโกรธๆที่อยู่ดีๆก็มาถือสิทธิ์ลากตัวกันไปง่ายๆ

“แต่ผมจะไปส่งน้องพลูเอง...ปล่อยเธอ” อชิตะบอกเสียงเย็นไม่แพ้กัน

“หน้าที่นั้นควรเป็นของ ‘คู่หมั้น’ นะหมอ” ชลธีทำปากคล้ายจะยิ้มเยาะส่วนมือก็ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆแล้วแย่งถุงต่างๆจากมือขาวสะอาดมาถือไว้เอง จากนั้นก็กระตุกแขนเล็กให้เดินตามออกมาถึงแทนดาวจะไม่พอใจกับการกระทำของเขาเอามากๆ แต่ก็รู้ว่าไม่ควรขัดใจเพราะตอนนี้สัมผัสได้ถึงรังสีร้อนๆที่แผ่ออกมาจากร่างสูงที่ยืนประกบอยู่ใกล้ชิด

“คุณชล...เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องไปตั้งแต่วันนั้นแล้วนะผมบอกแล้วไงว่าผมกับน้องพลูเป็น...” อชิตะรีบตามออกมาเพื่อจะอธิบายแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมฟัง

“เป็นไอ้มดแดงหวังแย่งเจาะมะม่วง...ฝันไปเถอะหมอเราต่างคนต่างไปดีกว่า ผมจะไปส่งน้องพลูเดี๋ยวนี้” ชลธีจูงข้อมือคนตัวเล็กให้เดินฉับๆต่อไป

“เดี๋ยวค่ะ” ชลธีหยุดชะงักแทนดาวรีบสลัดแขนออกจากการเกาะกุมเดินเร็วๆย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง

“น้องพลูขอโทษจริงๆนะคะ...พี่อชิ และขอบคุณมากค่ะสำหรับวันนี้” แทนดาวบอกลาอย่างสำนึกผิดเอามากๆ อชิตะมองสีหน้าวิตกของสาวน้อยแล้วเลยมองไปทางชลธีด้วยรอยไม่พอใจ

“ถ้าน้องพลูไม่อยากไปกับเขา พี่จะคุยเอง...ไม่ต้องกลัว”

“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่ชลน่ะ...ความดุนี่เท่าๆกับพี่หมากเลย”

“จะต้องกลัวทำไม พี่...กับน้องพลูไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา”

“อย่าเลยค่ะ...น้องพลูจัดการได้ แล้วจะโทรไปนะคะ”แทนดาวบอกเพียงแค่นั้นก็รีบเดินกระหืดกระหอบกลับมาพอเห็นสายตาดุดันทอดมองมาไม่หยุดหย่อนก็เดาว่าถ้าช้ากว่านี้อีกนิดคงได้ระเบิดแน่ๆ

“จะล่ำลากันไปถึงไหนไม่ทราบ เสียงเยือกเย็นถามหนักๆแล้วรีบคว้ามือมากุมไว้กลัวว่าจะสะบัดหลุดไปได้อีก

“ก็แค่ไปเอาของ” คนตัวเล็กตอบไม่เต็มเสียงนักขณะก้าวเท้าถี่ๆตามแรงฉุดออกไปยังลานจอดรถ

“มีเรื่องต้องคุยกันยาวล่ะ”เขาบอกเสียงเครียดก่อนจะกดรีโมทเปิดประตูรถแล้วจับร่างบางยัดลงไปนั่งแถมดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้เรียบร้อย

“อย่าได้คิดหนีนะ เสียงห้าวสั่งเฉียบขาดเมื่อเห็นคนดื้อทำท่าจะปลดเข็มขัดออกแทนดาวหน้าบึ้งเมื่อรู้ตัวว่าไม่

อาจขัดขืนได้ ชลธีกระแทกตัวลงนั่งประจำที่คนขับแล้วเหวี่ยงถุงทั้งหมดไปข้างหลังพอเจ้ากระทิงดุออกถนนใหญ่ได้ทุกอย่างก็ตกอยู่ในภายใต้ความเงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงเข็มตกพื้น

หลายครั้งที่แทนดาวแอบชำเลืองมองซีกหน้าเครียดขึงของคนข้างๆที่คอยแต่สบถออกมาตลอดทางทุกครั้งเวลาเจอใครขับรถไม่ได้ดั่งใจกรามนูนขบกันเป็นระยะๆ บางครั้งนัยน์ตากร้าวก็ชำเลืองมองกระจกด้านซ้ายแต่ก็ไม่ได้เหลือบแลมาทางคนที่นั่งมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่มีมากทำให้เขาต้องระบายมันออกด้วยการกดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนผู้โดยสารนั่งตัวลีบอย่างตื่นกลัว

“ช้าหน่อยได้มั้ยคะ...น้องพลูกลัว” พอทนไม่ไหวก็ยอมเปิดปากขอร้องอย่างหวาดหวั่นแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากสารถีใจร้อนนอกจากการเพิ่มความเร็วขึ้นอีกแทนดาวหลับตาแน่น ในใจนึกภาวนาถึงคุณพระคุณเจ้า

“ถ้าจะรอดก็ขอให้รอดเป็นปกติถ้าจะตายก็ตายปุบปับฉับพลันไปเลย อย่าได้บาดเจ็บพิกลพิการเลย...สาธุ”

ไม่นานนักเจ้ากระทิงเปลี่ยวก็จอดสนิทอยู่ตรงทางเข้าThe Prestige Thara ชายหนุ่มหันมาสั่งงานพนักงานสั้นๆว่าให้เอารถไปเก็บแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้ยินคำใดเล็ดลอดออกมาจากปากหยักอีกหลายคนที่นั่นอาจจะไม่รู้สึกผิดสังเกตที่เห็นบอสโอบบ่าพาคู่หมั้นขึ้นไปชั้นบนเพราะสีหน้านิ่งเรียบของเจ้านายก็ดูเป็นปกติอยู่แล้วผิดว่าหน้าตาของฝ่ายหญิงอาจจะดูคล้ายพึ่งกินบอระเพ็ดมาแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจหรือแปลกใจที่เจ้านายจะพาแฟนสาวมาเยี่ยมเยียนที่ทำงานบ้าง

ชลธีกึ่งจูงกึ่งลากร่างบางในชุดพลิ้วสวยไปยังห้องพักส่วนตัวที่อยู่บนชั้นเดียวกับออฟฟิศซึ่งแทนดาวจำได้ว่ามันเป็นสถานที่เดียวกับที่ปรากฏในข่าวฉาวนั่นความสะอิดสะเอียนบังเกิดขึ้นโดยฉับพลันเมื่อจินตนาการว่าเขากับ ‘ผู้หญิงของเขา’ ได้ประกอบกิจอันใดบ้าง ณ ที่แห่งนี้

“บอกมาให้หมด...ตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าบิดเบือนหรือโกหกเพราะตาเรามันจะฟ้อง” ชลธีเหวี่ยงร่างเล็กให้ลงไปนั่งบนโซฟา ส่วนมือก็ปลดเนคไทกับปลดประดุมเสื้อเชิ้ตออกแต่ตายังจับจ้องสตรีที่นั่งตัวลีบจมโซฟาริมบานหน้าต่างแทนดาวสบสายตาดุดันที่จับจ้องมาไม่ลดละอย่างไม่ยอมลงให้เช่นกัน

“ก็เท่าที่เห็นนั่นแหละ” คำตอบสั้นๆช่างยียวนกวนโทสะคนถามได้เป็นอย่างดี

“มองหน้าพี่...แล้วเล่ามา...เดี๋ยวนี้ เขาย้ำคำสั่งอีกครั้งซึ่งคราวนี้แทนดาวรู้ว่าจะเล่นแง่ไม่ได้อีกต่อไปก็เลยเล่าสรุปเรื่องทุกอย่าง ชลธีหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลาที่ฟังแต่พอได้รับรู้รายละเอียดจากปากแม่สาวช่างจำนรรจาแล้วสีหน้าค่อยผ่อนคลายขึ้นหน่อยแต่ยังอาบความบึ้งตึงอยู่ดี

“น้องพลูเป็นคู่หมั้นของพี่ฉะนั้นควรจะระวังตัวและคิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป การประชดประชันแบบเด็กๆมีแต่จะส่งผลเสียถ้าไม่เห็นแก่หน้าพี่...ก็ขอให้เห็นแก่แม่พี่บ้างว่าที่ลูกสะใภ้ไปเที่ยวเกาะแขนผู้ชายอื่น...งามนักล่ะ” “ทำไมพลูต้องทำขนาดนั้นด้วยคะ? ในเมื่อเราเลิกกันแล้ว หญิงสาวยอกย้อนกลับอย่างเยือกเย็นและชัดเจนเป็นเหตุให้คนที่กำลังพยายามจะปรับอารมณ์ให้เย็นลงตะปบมือลงบนไหล่เล็กแล้วกระชากร่างบางมาแนบชิด

“ให้โอกาสแก้ตัวครั้งสุดท้าย...พูดใหม่อีกทีซิ” เสียงลอดไรฟันกระซิบชิดหน้าผากมนแทนดาวเหลือบตามองอย่างหวาดหวั่นหากแต่ความดื้อรั้นก็ทำให้ไม่ยอมลง

“เรา ‘เลิก’ กันแล้ว เพราะงั้นน้องพลูจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของน้องพลูพี่ชลไม่เกี่ยวอีกต่อไป” ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นต่อจากนี้แทนดาวได้เห็นแววประหลาดจากนัยน์ตาสีเหล็กที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน มันน่ากลัวเหลือเกินทั้งโหดร้าย เหี้ยมเกรียมและเย็นชาในเวลาเดียวกัน หรือว่า...นี่จะเป็นด้านมืดที่เผยตัวตนออกมายามอารมณ์ขึ้นทะลุถึงขีดสุด

“คุยกันตั้งนานแต่ไม่ยักกะรู้เรื่อง พี่จะสอนให้น้องพลูรู้ว่า...ถ้าออกฤทธิ์กับพี่มากๆจะเป็นยังไง” มือหนาเพียงแค่สะกิดเบาๆร่างทั้งร่างก็หงายหลังลงไปนอนบนเตียงกว้าง โดยไม่ทันขยับตัวหนีร่างหนาหนักก็โถมทับลงมาอย่างรวดเร็วแขนเรียวทั้งคู่ถูกจับรวบไว้เหนือศีรษะด้วยมือแข็งแรงเพียงข้างเดียว ใบหน้าคมเข้มก้มต่ำลงมาอย่างรวดเร็วแทนดาวหลับตาปี๋รับบทลงโทษที่ดุดัน หนักหน่วง พยายามรวบรวมพลังทั้งหมดดิ้นให้หลุดพ้นจากความทรมานนี้หากแต่แขนแข็งแรงราวโซ่ตรวนที่พันธนาการอยู่มิได้โอนอ่อนผ่อนคลายให้ร่างในอ้อมกอดกระดิกกระเดี้ยไปไหน

“อื้อ...” เสียงประท้วงออกมาได้เพียงแค่นั้นจริงๆ ความรู้สึกแสบร้อนที่ริมฝีปากเริ่มทวีคูณมากขึ้น

“ออกไปนะ! อย่าแตะต้องตัวพลู...อย่าเอาร่างกายสกปรกที่เคยนัวเนียแนบชิดคนอื่นมากอดน้องพลู!”

“โอ้...น้องพลูคงต้องทำใจหน่อยล่ะเพราะพี่เสียความบริสุทธิ์ไปตั้งแต่อายุสิบแปดแล้ว”

“ต่ำ!”

“คร้าบ....นี่คือมุมระยำบัดซบของพี่ล่ะเป็นไง...ชอบไหม?”

“คนหยาบคาย! แอ๊บเป็นคนดีอยู่ได้ตั้งนาน”

“แล้วน้องพลูล่ะครับ...แอ๊บกับเขาด้วยหรือเปล่า?” นัยน์ตาดุวาวโรจน์ด้วยโทสะอีกครั้งเมื่อนึกภาพหัวร่อต่อกระซิกของคนที่นอนอยู่ใต้ร่างกับหมอแว่นมาดเนิร์ดคนนั้นช่วงเวลาที่หล่อนหายไปอยู่กับไอ้หมอนั่นจะไปทำอะไรกันมา บ้างก็ไม่รู้

“หึ...บางทีก็แอบสงสัยนะว่า...ไม่เจอกันหลายวันแบบนี้น้องพลูเสียความ ‘บริสุทธิ์’ ให้ใครไปแล้วหรือยัง?”

‘ฉาด

ฝ่ามือเล็กข้างหนึ่งที่หลุดเป็นอิสระตวัดไปบนซีกแก้มสีน้ำผึ้งอย่างแรงจนหน้าสะบัดเล็บยาวกรีดลากบนเนื้อหนังจนเกิดรอยถลอกเป็นริ้วยาวไม่นานเลือดสีแดงเป็นยางบอนก็ซึมปริ่มตลอดแนวข่วน คนถูกตบจ้องหน้าเจ้าของฝ่ามือหนักหน่วงอย่างเอาเรื่อง

“กรี๊ด....ปล่อย!” แทนดาวตะโกนร้องสุดเสียงเมื่อเดรสตัวสวยถูกกระชากขาดดังแควก! ร่างแกร่งยันกายลุกขึ้นแต่ยังคร่อมร่างบอบบางเอาไว้แล้วจัดการปลดเปลื้องเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่สวมอยู่มือเล็กพยายามทุบตีลำตัวหนาหนั่นให้แรงที่สุดแต่ก็เกิดเพียงแค่ริ้วแดงๆจากเล็บคมและเพียงไม่นานแขนเล็กทั้งสองข้างก็ถูกจับรวบเอาไว้มั่น

“หุบปาก!”

น้ำเสียงที่ตวาดกลับมาทั้งเยือกเย็นและโหดเหี้ยมแก้มทั้งนุ่มสองข้างถูกฝ่ามือใหญ่บีบบี้จนเจ็บ รู้สึกอึดอัดจุกแน่นไปหมดเหมือนลมหายใจกำลังจะขาดห้วงจนต้องขอร้องให้เขาหยุดเดี๋ยวนี้แต่พอเผยอปากจะพูดก็เป็นอันล่วงรู้ว่าถูกกลลวงเข้าให้แล้วกลายเป็นว่าเปิดทางสะดวกให้เขาป้อนบทลงโทษได้ถนัดถนี่ยิ่งขึ้นโดยมิอาจหลบหนีไปไหนได้

ความไม่คุ้นชินกับการถูกรุกรานด้วยจุมพิตดื่มด่ำทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดค่อยๆมลายหายไปด้วยกับแรงจูบที่ค่อยๆผ่อนปรนลงจนอ่อนโยนขึ้นทีละนิดๆไม่ช้าก็กลายเป็นความอ่อนหวานและเรียกร้อง แต่จิตได้สำนึกของแทนดาวกลับไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสนั้นหล่อนกำลังร้าวรานและหมดแรงขณะที่น้ำตาเริ่มไหลรินอย่างคนหมดทางสู้

“พี่จะไม่ยอม...ให้น้องพลูต้องตกเป็นของใคร”เสียงแหบพร่าเปรยชิดกับริมฝีปากสั่นระริก ฝ่ามืออุ่นค่อยๆเปลื้องชุดสีขาวลายกุหลาบออกจากร่างบอบบางจนเหลือเพียงชุดชั้นในสีพีชปกปิดเรือนร่างอรชรอันมีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนรัญจวนใจริมฝีกปากร้อนมอบจุมพิตเรียกร้องอีกครั้งก่อนจะเลื่อนลงมาตรงเนินเนื้อนุ่มที่ล้นขึ้นมาจากกรวยผ้าสีสวยมือข้างหนึ่งค่อยๆสอดไปด้านหลังเพื่อเกี่ยวตะขอให้หลุดออกจากกันอย่างชำนาญ

“ถ้ามันจะต้องจบลงด้วยการขืนใจ พี่ชลก็จะ ‘ได้’ สมใจ แต่พลูจะไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้ชีวิตของพลูไม่เหมือนเดิม”คำพูดสลับกับเสียงสะอึกสะอื้นเป็นห้วงอยู่ในลำคอค่อยๆดึงสติของคนใจร้ายที่กำลังซุกไซร้เนื้อหอมด้วยอารมณ์เตลิดให้กลับคืนมา

“น้องพลู...” ร่างหนาค่อยๆผละตัวออกเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่คลุกเคล้าบนใบหน้า นัยน์ตาดุคมอ่อนแสงยวบยามมองร่างบางนอนสะอื้นริมปีฝากแดงช้ำ

“ใบพลู...พี่ขอโทษนะ…ขอโทษ” ชลธีกระซิบพร่ำคำขอโทษชิดหน้าผากมนพร้อมกับรีบดึงผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างกายเกือบเปลือยปลายนิ้วปัดผมเผ้าที่ระเกะระกะให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะกดจมูกลงตรงกลางกระหม่อมเพื่อปลอบประโลมขวัญอ้อมแขนแข็งแรงดึงร่างสั่นสะท้านเข้ามากอดแนบแน่น ร่างบางสะอื้นแรงขึ้นขณะที่ซุกหน้าระหว่างอกแกร่งเพื่ออาศัยซับน้ำตา

“เกลียดพี่ชล...เกลียดที่สุด เสียงสั่นเครือบริภาษอู้อี้กับอกกว้างอยากจะทุบตีให้สมแค้นแต่ก็ไม่มีแรงเลย ชลธีรับฟังด้วยหัวใจเบาโหวงไม่ว่าหล่อนจะพูดออกมาด้วยความโกรธหรือพูดมาจากใจจริงก็ไม่อยากได้ยินคำนี้ทั้งนั้น

“โอ๋...พี่ไม่ทำแล้ว น้องพลูนิ่งซะนะ” ฝ่ามือร้อนลูบหลังไหล่อย่างอ่อนโยนทะนุถนอมแทนดาวพยายามสกัดกลั้นเสียงสะอื้นแต่ก็ยากลำบาก ชายหนุ่มชันตัวขึ้นนั่งพิงกับพนักเตียงพร้อมๆกับพยุงร่างบางให้อิงซบกับซอกอกแล้วปาดน้ำตาให้จนเกือบจะเหือดแห้งสายตาคมวับหลุบตามองริมฝีปากแดงแดงก่ำเพราะชอกช้ำจากการลงโทษหนักหน่วง เสียใจเหลือเกินที่ทำอะไรรุนแรงทั้งยังเกือบจะ...ประทับรอยมลทินให้คนที่นอนซอบอกอยู่นี่

“คนที่กำลังกอดน้องพลูอยู่ตอนนี้...คือพี่ชลคนเดิมใช่ไหมคะ?” ทั้งคู่อยู่ในสภาพอิงแอบแบบนั้นเนิ่นนานจนหญิงสาวเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ย นัยน์ตาสวยยังคงเอ่อล้นด้วยน้ำตาพร่างพรู

“คนเดิมสิคะ...คนที่มอบหัวใจรักให้น้องพลูท่ามกลางทะเลทีโอบล้อม...ในวันนั้นคนเดียวกับที่น้องพลูบอกว่า...เผลอรักหมดใจ” ชลธีประคองใบหน้าหวานให้สบตานิ่งนาน น้ำเสียงนุ่มกระซิบข้างแก้มจมูกโด่งคลอเคลียอยู่ใกล้ๆกดลงเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งพอลมหายใจอุ่นจัดรดรินใกล้ๆซอกคอชื้นเหงื่อทำให้แทนดาวขนลุกเกรียวจนต้องกระชับผ้าแน่นขึ้นตอนนี้เองที่เริ่มรู้สึกหนาวแม้มีผ้าห่มแถมยังถูกกอดอยู่อีกชั้น

“พี่ชลคนเดิม...ต้องไม่รังแกกัน...แบบเมื่อกี้”ความหวาดกลัวจางไปเมื่อมั่นใจว่าเจ้าซาตานร้ายได้บินออกไปจากร่างบุรุษที่อิงแอบอยู่ความอ่อนโยนทั้งน้ำเสียงแววตาและการปฏิบัติเดิมๆกลับมาทำให้คลายใจได้ว่าอารมณ์โมโหดุจเพลิงนรกโลกันต์ในตอนแรกได้ดับมอดลงสนิทแล้ว

“พี่ไม่ข่มเหงหัวใจใครหรอกถ้าพี่ตั้งใจจะแสดงความ ‘รัก’ กับน้องพลู ต้องเกิดจากความเต็มใจเพียงอย่างเดียว”

ริมฝีกปากร้อนรุมกดลงตรงต้นคอขาวนวลแล้วไล่เรื่อยไปตามลาดไหล่เปลือยที่โผล่พ้นผืนผ้า

“แต่น้องพลูยังไม่ได้เต็มใจนะคะ”คนตัวเล็กรีบกระถดถอยร่างออกห่างแต่ก็ไปไม่ได้ไกลเพราะติดผ้าห่ม

“แล้ว...ถ้าพี่ทำให้น้องพลู‘เต็มใจ’ ล่ะคะ?” สายตาเจ้าเล่ห์กวาดไปทั่วดวงหน้าหวานที่ประดับด้วยริ้วรอยความอุธัจมือหนาสอดเข้าในผ้าห่มเพื่อสัมผัสโอบกอดร่างเล็กในแนบแน่นยิ่งขึ้นอยากรู้นักเชียว...ว่าหล่อนจะต้านทานกระแสไออุ่นจากร่างกายเขาได้สักกี่น้ำ

“น้องพลูขอปฏิเสธค่ะ”

“โอเค...ถ้าปฏิเสธพี่ก็จะไม่ทำ”ชลธีจับใบหน้าแดงซ่านเข้ามาใกล้แล้วมอบจุมพิตหวานตรึงใจให้อีกหนคนตัวเล็กร้องอุทานในลำคอเมื่อร่างถูกดึงกลับเข้ามากกกอดอีกครั้ง

“จะไม่ทำให้น้องพลู‘ปฏิเสธ’ ได้เลย” เขาต่อให้ด้วยน้ำเสียงรัญจวนและแววตาวาบหวามขณะที่จมูกอุ่นฝังลงตรงต้นคอใกล้ใบหูแต่ดูเหมือนจะเป็นการหยอกมากกว่า‘เอาจริง’

“พี่ชลใจร้าย...ตัวเองทำเรื่องเอาไว้เองแท้ๆทีน้องพลูทำบ้างจะมาโกรธ” แทนดาวรีบเบี่ยงตัวหลบเป็นพัลวันแล้วต่อว่าต่อขานคนกระทำผิด

“พี่ทำอะไรอีกล่ะ ไหนพูดมาซิ

“พี่ชลแอบ ‘ซุกซ่อน’ ใครเอาไว้ใช่ไหม ชลธีถอนหายใจกับประเด็นข่าวซุบซิบที่ยังคงทำให้หล่อนเข้าใจไปตามเนื้อหาอยู่ดี

“ถ้าเรื่องข่าวนั่น...พี่ยืนยันด้วยเกียรติลูกผู้ชายเลยว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆในคืนนั้นน้องพลูอย่าสงสัยอีกเลยว่าพี่จะกลับไปคบกับปรางอีก มัวแต่ระแวงอย่างนี้มันไม่ได้อะไรทุกวันนี้ที่ไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับน้องพลูมากนักก็เพราะเรายังเรียนหนังสือพี่อยากให้น้องพลูทุ่มเทให้เรื่องเรียนอย่างเดียว ทั้งที่ใจจริงอยากอยู่ใกล้ๆอยากกอด อยากจูบแฟนตัวเองเหมือนผู้ชายทั่วๆไป...”แทนดาวก้มหน้านิ่งขณะฟังคำอธิบาย

“น้องพลูจะเชื่อใคร ลองถามใจตัวเองดูนะครับคนอย่างพี่...ต่อหน้ากับลับหลังนั้นเหมือนกันเรื่องบางเรื่อง...พี่ก็ย่อมมีเหตุผลที่จะพูดหรือไม่พูด มันมีหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึงน้องพลูเองก็อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็ทำไปแต่ถ้ามันจะเป็นผลเสียกับตัวเองก็อย่าทำ” เขาถือโอกาสสั่งสอน แล้วค่อยๆจับคางมนให้หันมาสบตา

“อย่างวันนี้...พี่โกรธมากรู้หรือเปล่า”

“น้องพลูไม่ได้ตั้งใจจะไปกับพี่อชิสองคนสักหน่อย...ก็บอกไปแล้วนี่” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ ชลธีจับมือบางทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วจุมพิตหนักๆ ซ้ำลงไปหลายๆที

“พี่ชลทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ เจ้าของมือพยายามดึงมือกลับแต่ก็ไม่ถนัดถนี่เพราะต้องหนีบผ้าห่มกะเร้อกะรังไปด้วย

“ลบรอยที่ไอ้แว่นนั่นมันจับไว้ไง” คำตอบนุ่มนวลชวนให้คนฟังสะเทิ้นหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที

“จำไว้นะ...มือนี้ แก้มนี้ แล้วก็...ตรงนี้”ชายหนุ่มไล้นิ้วมือไปตามอวัยวะที่ถูกกล่าวถึงจนมาหยุดแตะค้างไว้ที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่น

“เป็นสิทธิ์ของพี่...คนเดียว”

“น้องพลูเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เป็นของใครค่ะ” คนตัวเล็กเถียงไม่เต็มเสียงนัก

“ดูเถอะ...ตะกี้ยังป่าเถื่อนอยู่แหม็บๆตอนนี้มาทำวาบหวิวอะไรก็ไม่รู้”

“งั้นต้องประทับตราย้ำให้ชัดอีกที”คนพูดแกล้งก้มหน้าลงมาอีก แทนดาวรีบเอามือยันตัวคนช่างหากำไรเอาไว้ได้เฉียดฉิวใบหน้าห่างกันแค่ไม่ถึงเซ็น

“อ้อ...อีกเรื่อง อย่าพูดว่า ‘เลิกกัน’ อีกเด็ดขาดนะ…อย่าให้ได้ยินเชียว”

“ก็ตอนนั้นกำลังโกรธนี่”

“ทีนี้รู้หรือยังว่าความโกรธมันให้อะไรเราบ้าง?นิสัยขี้ใจร้อนนี่เหมือนใครกันนะ...ไม่ต้องเดาเลย” ปลายนิ้วหยกแก้มนิ่มเบาๆแล้วจุ๊บปากช่างจำนรรจาแรงๆ เร็วๆ คนตัวเล็กได้แต่ฮึดฮัดอยู่กับที่ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอีกเพราะมีแต่เข้าเนื้อเปล่าๆ

“ห้ามหลบหน้าพี่อีกนะ...ไม่งั้นจะถูกลักพาตัวแบบนี้แหละ ส่วนไอ้หมอนั่น...ถ้าเห็นว่าขืนมาวุ่นวายกับน้องพลูอีกล่ะ...มีเจ็บแน่” พอนึกถึงภาพบาดตาเมื่อครู่อารมณ์ที่สงบลงแล้วก็เริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นอีกครั้งเขาทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นใครมาเดินข้างๆ ผู้หญิงคนนี้ที่ทั้งหวงห่วงสุดหัวใจ

“คนเผด็จการ...เหมือนพี่หมากไม่มีผิด” คนตัวเล็กบ่นงึมงำ

“พี่กับไอ้หมาก...มีอยู่อย่างนึงที่เหมือนกันก็คือ...กำลังรักผู้หญิงคนเดียวกัน” ชลธีสบตาคนในอ้อมแขนอย่างให้ความหมายในตัว

“แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือว่า พี่รักด้วยเหตุผล ส่วนพี่ชายเราน่ะ...รักแบบบ้าระห่ำ”

“ถ้าอย่างนั้นสัญญาได้ไหมคะ ว่าพี่ชลจะ...ไม่ทำ...แบบเมื่อกี้อีก” หญิงสาวหน้าแดงเรื่อเมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดกับตัวหยกๆชายหนุ่มหลุบตามองริมฝีปากที่ยังมีร่องรอยบอบช้ำสายตาอ่อนโยนลงทันทีเมื่อตระหนักว่าได้ทำรุนแรงเกินไปแทนดาวเปรียบเสมือนแก้วเปราะบาง ควรจับต้องด้วยความทะนุถนอมไม่ใช่บุ่มบ่ามเอาแต่ใจ

“พี่ขอโทษ...ทีหลังจะทำเบาๆ” คนเจ้าเล่ห์ใช้วิชาเลี่ยงคำภีร์ตอบออกไปแถมยังยื่นหน้ามาจูบแก้มบางที่อยู่ห่างแค่คืบ

“เอาล่ะ...น้องพลูรออยู่ในนี้สักพักนะพี่จะไปหาซื้อชุดมาเปลี่ยนให้ ระหว่างนี้ก็ใส่เสื้อพี่ไปก่อน” ร่างสูงลุกพรวดขึ้นจากเตียงจนขาเกี่ยวเอาชายผ้าห่มที่อีกคนพยายามหนีบไว้แน่นลากติดไปด้วยผลคือคนบนเตียงถลาลงไปนั่งคุดคู้กองกับพื้นเพราะมัวแต่ตามตะครุบผ้า

“เอ๊ะ...ยังไงกันล่ะ? ไม่อยากให้พี่ไปขนาดนั้นเลยหรือไง” เขาหัวเราะเบาๆแล้วเปิดตู้หยิบเอาเสื้อเชิ้ตสีขาวล้วนส่งให้แทนดาวรีบห่อตัวให้มิดชิดแล้วเข้าไปจัดการเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำโดยเร็ว

“ดูสิ...พี่ผึ้งบ่นกระจายแน่”หญิงสาวหยิบเดรสสีขาวตัวสวยที่ช่วงบนขาดเป็นทางยาวด้วยแรงกระชาก ชุดนี้ปลายเดือนเป็นคนพาไปตัดที่ร้านเสื้อที่บรรดาเซเลบริตี้หรือดารานิยมไปใช้บริการกัน นึกเสียดายอยู่ครามครันที่เพิ่งจะสวมได้แค่ครั้งเดียว พอกลับออกมาก็ยังเห็นเขานั่งยิ้มอ่อนอยู่บนเตียงชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเช่นกัน สวมเสื้อยืดคอกลมสีเทาตัวใหม่กับกางเกงยีนส์ดูเป็นหนุ่มเซอร์มากกว่านักธุรกิจหน้ายุ่ง

“ยิ้มอะไรคะ แทนดาวสังเกตว่าฝ่ายนั้นเอาแต่จ้องมองตนตาพราวระยับก็เก้อกระดากชลธีไม่ตอบอะไรแต่มองตามร่างอรชรในเสื้อเชิ้ตสีขาวขนาดรูปร่างของเขาทำให้เสื้อเชิ้ตตัวที่คิดว่าพอดียาวเกือบถึงเข่าคนสวมใส่จนดูเหมือนชุดแซกสั้นดวงตาสีเหล็กมองเรียวขาเนียนสวยโผล่พ้นเสื้อด้วยอาการใจวับเขาเองผ่านผู้หญิงมาก็มากในสภาพล่อแหลมยิ่งกว่านี้หลายเท่าแต่คนตรงหน้ากลับยวนตายวนใจจนแทบจะห้ามใจไม่อยู่อีกรอบ

“มองคนสวย”เสียงตอบยานคางมาพร้อมกับสายตาเจ้าชู้เปิดเผยทำให้คนถูกมองต้องรีบนั่งลงแล้วดึงผ้าห่มมาปิดท่อนขาชายหนุ่มจับข้อมือบางขึ้นมาแล้วสามวัตถุเย็นๆให้

“ห้ามถอดอีกนะหรือถ้าจะถอด...ก็เหวี่ยงทิ้งไปเลย พี่ไม่รับคืน” แทนดาวมองกำไลรูปดอกลิลลี่ ออฟเดอะ วัลเล่ย์ที่คืนเขาไปก่อนหน้านี้ มือบางลูบไล้มันเบาๆอย่างแสนคิดถึง

“ใครจะกล้าทิ้งคะ...ของแพงขนาดนี้”แทนดาวรู้ตัวว่าคำตอบนี้ผิดจากความรู้สึกนึกคิด ความหมายของวัตถุชิ้นนี้มีราคาสูงกว่ามูลค่าที่เป็นตัวเงินมากมายนัก

“งั้นก็ไปถามพี่ชายเราดูสิ...ว่ามันกล้าทิ้งได้ยังไง ชลธีสบตาเศร้าๆของคนตัวเล็กที่ปรากฏรอยเสียดายแหวนวงนั้น ชายหนุ่มจุมพิตเบาๆที่หน้าผากก่อนจะออกจากห้องไปแทนดาวเพียงแต่มองตามอย่างครุ่นคิดกับประโยคที่เขาพูดไว้

“น้องพลูจะเชื่อใคร ลองถามใจตัวเองดูนะครับคนอย่างพี่...ต่อหน้ากับลับหลังนั้นเหมือนกันเรื่องบางเรื่อง...พี่ก็ย่อมมีเหตุผลที่จะพูดหรือไม่พูด มันมีหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึงน้องพลูเองก็อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็ทำไปแต่ถ้ามันจะเป็นผลเสียกับตัวเองก็อย่าทำ”

ร่างอรชรเดินกลับไปส่องกระจกในห้องแต่งตัวมือเรียวลูบผมที่มีรอยสไลด์ระเรี่ยประบ่าแล้ววักน้ำล้างหน้าเอาเครื่องสำอางที่ฉาบผิวออกไปแม้จะไม่หมดจดเสียทีเดียวแต่ก็เผย ‘หน้าจริง’ออกมา หญิงสาวประจักษ์แก่ใจตนว่า ถึงจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นใครแต่สุดท้ายก็ไม่สารถกลบเกลื่อน ‘พื้นเพ’ เดิมอย่างเช่นที่เคยเป็นการที่จะแสดงให้คนอื่นมองว่า ‘เข้มแข็ง’ มิได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนความเป็นตัวของตัวเองไปด้วย ความมั่นคงในจิตใจแนวนิด วิธีการดำเนินชีวิตต่างหากที่เป็นเครื่องประกอบที่จะหล่อหลอมให้ตัวเองเข้มแข็งมิใช้สำแดงความทระนงโดยที่จิตใจยังหาแก่นสารไม่ได้




Create Date : 30 เมษายน 2559
Last Update : 1 พฤษภาคม 2559 17:43:50 น.
Counter : 701 Pageviews.

1 comment
ตอนที่ 32 <ทางที่เลือกเอง>
ตอนที่ 32 ทางที่เลือกเอง

รมย์นลินกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบลงไปตรงนั้น ชลธีหันมามองน้องสาวตัวเองที่ทรุดร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจเช่นกัน สายตาเยือกเย็นส่งประกายวาบก่อนจะลดปืนลงแล้ววางทิ้งไว้แถวนั้นรีบไปประคองน้องสาว ขณะเดียวกันเป้าสังหารถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นหญ้า ดวงตาตะลึงจับจ้องร่างบางที่นอนสลบไสลไม่ได้สติในอ้อมกอดของพี่ชาย
เทียมภพคิดว่าตัวเองคงจะตายไปแล้วพร้อมกับเสียงปืนดังก้องสะท้าน หากแต่วิถีกระสุนไม่ได้เล็งมาที่ตัวเองแต่อย่างใด ลูกเหล็กร้อนจากอาวุธปืนพุ่งแหวกอากาศขึ้นไปบนฟ้า ชลธีไม่ยิงเขา...เทียมภพไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ทั้งที่ก่อนนั้นสายตาเยือกเย็นและโหดร้ายแสดงถึงความตั้งใจเต็มที่ในการปลิดชีวิตคนที่ได้กระทำล่วงเกินต่อน้องสาว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่เพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่ได้กระทำลงไป
“พาเธอเข้าบ้านสิ!” พอตั้งสติได้เทียมภพก็พาตัวเองเดินเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังเขย่าตัวเรียกสติน้องสาว
“ไม่ต้องยุ่ง!” คนถูกสั่งหันมาตวาดก่อนจะอุ้มร่างบางอ่อนปวกเปียกเข้าไปในบ้าน เทียมภพมองตามไปด้วยความเป็นห่วงกลัวว่ารมย์นลินจะเป็นอะไรไป
“แฟงจ๋า...แฟงตื่นสิ” ชลธีวางร่างน้องสาวลงบนโซฟาตัวยาวแล้วตะโกนเรียกให้สาวใช้นำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมาให้ พยายามเรียกสติน้องให้กลับคืนมาหลายครั้งแต่ร่างบางยังคงนอนแน่นิ่ง ใบหน้าซีดเผือดขาวราวกระดาษทำให้เทียมภพเริ่มใจเสีย หากเกิดอะไรขึ้นกับรมย์นลินแล้ว...ให้เขาตายไปเสียยังดีกว่า
“หลบไป!” เทียมภพอดรนทนยืนดูต่อไปไม่ได้ก็สั่งเสียงกร้าว ความร้อนใจที่สุมทรวงอยู่ตอนนี้ไม่อาจบังคับให้เขาเพิกเฉยต่อร่างที่นอนสลบแน่นิ่ง
“ฉันบอกให้แกกลับไปไง!” ชลธีตาขวาง หากคนถูกไล่ไม่ได้ใส่ใจกับอาการโกรธเลือดขึ้นหน้านั้น มือหนากระชากตัวอดีตเพื่อนกึ่งเหวี่ยงจนกระเด็นออกไปแล้วช้อนร่างหมดสติมากอดในอ้อมแขน
“แกอย่าได้แตะต้องน้องฉันอีกเป็นอันขาดนะ!” คนถูกเหวี่ยงรีบถลาตัวเขามาหมายจะขัดขวางคนที่ทำท่าจะเข้าไปลวนลามน้องสาว
“แกนั่นแหละเงียบไปเลย!” สิ้นเสียงตวาดห้ามปรามก็ก้มหน้าลงปฐมพยาบาลด้วยวิธีผายปอด ชลธีโมโหเดือดอีกครั้งจะเข้าไปยื้อแย่งตัวน้องสาวกลับคืนมา แต่วินาทีเดียวกันนั้นร่างบางที่นอนนิ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ หน้าตาเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง
“แฟงตายไปแล้วใช่ไหมคะ? ถึงได้เห็นคุณหมากอยู่ตรงนี้” มือน้อยค่อยๆลูบไล้ไปตามใบหน้าและไรคาง สับสนมึนงงกับว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกแห่งความตาย
“ไม่จ้ะ...ไม่มีใครตายทั้งนั้น ผมยังไม่ตาย แฟงจ๋า...เรายังอยู่” เทียมภพยิ้มบางๆให้รมย์นลินที่ที่ยังมองอย่างไม่แน่ใจ มืออุ่นจับมือเย็นเฉียบที่กำลังลูบสำรวจใบหน้าของตนมาจุมพิตและเลยไปยังหน้าผากขาวซีด เนื้อตัวนุ่มนิ่มเริ่มอุ่นจนเข้าสู่อุณหภูมิปกติทำให้ใจชื้นเมื่อในที่สุดหล่อนก็ปลอดภัย
“คุณหมาก...ยังอยู่จริงๆด้วย”
“จ้ะ...ผมยังอยู่” หญิงสาวโผเข้ากอดคอแนบแน่น ลืมความเกลียดชังทั้งหมดที่เขาได้กระทำเอาไว้ รู้ตัวแล้วว่าแค่มีเขาอยู่...ไม่ว่าจะร้ายหรือดี จะมีใจให้หรือไม่ ก็พอใจแล้วที่เห็นเทียมภพอยู่บนโลกใบนี้ ยืนอยู่บนผืนดินแผ่นเดียวกัน

ชลธีมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เห็นรมย์นลินรักเทียมภพจริงๆชนิดพร้อมมอบกายถวาย
ชีวิต ที่สำคัญก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นเองก็ดูเหมือนจะคิดเหมือนกัน จากการที่สังเกตเห็นแววอ่อนโยนและห่วงใยเปิดเผยยามมองร่างในอ้อมกอด มั่นใจได้ว่ามันมาจากใจไม่ได้เสแสร้งและมั่นใจว่าอดีตเพื่อนรักคนนี้มีใจให้น้องสาวอยู่เต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน
ร่างสูงหันหลังกลับเข้าไปในห้องหนังสืออีกด้านหนึ่งโดยไม่ลืมสั่งแม่บ้านให้ยกบรั่นดีกับกับแกล้มตามเข้าไปด้วย ทิ้งให้สองคนนั้นได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ถ่ายทอดให้กันและกัน เขาไม่อาจบังคับใจใครได้ หากรมย์นลินเลือกที่จะรักผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปขัดขวาง ดูแต่เมื่อกี้เถอะ...แค่เล็งปืนใส่ไอ้ตัวบ้าเลือดก็ถึงกับหมดสติไม่รู้เรื่องราว แล้วนี่ถ้าตัดสินใจปลิดชีวิตมันจริงๆล่ะก็...คงได้สูญเสียน้องสาวแถมไปอีกคนแน่ๆ
“แฟงตกใจแทบแย่ คุณหมากรู้ไหม?” พอคลายจากอาการหวาดหวั่นแล้วรมย์นลินก็อิงอกเขา เทียมภพเกยคางบนกลุ่มผมสวย กอดรัดร่างเล็กเอาไว้แนบอกด้วยความรักลึกซึ้ง
“ผมก็คิดว่าตัวเองคงตายไปแล้ว ไอ้พี่คุณแม่งเล่นแรงชิบ!” เขาสบถด่าคนที่นั่งซดเหล้าเคล้าน้ำตาอยู่เดียวให้ห้องถัดไป รมย์นลินยิ้มบางๆที่จับเนื้อเสียงได้ว่าเป็นการพูดยั่วเย้ามากกว่าโกรธแค้น
“แฟงกลัวมากเลย เวลาพี่ชลแกโกรธจัดจนขาดสติก็เหมือนซาตานดีๆนี่เอง”
“ถ้าผมต้องตายจริงๆ คุณจะรู้สึกยังไง?”
“ถามอะไรอย่างนั้นคะ แค่นี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอ?” ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอด น้ำเสียงฟังดูน้อยอกน้อยใจจน เทียมภพต้องรีบรวบตัวเข้ามาใหม่อีกครั้งพร้อมเชยคางเล็กให้ขึ้นมาสบตา
“รู้มานานแล้ว...แต่ผมชอบให้แฟงพูดออกมานี่นา ฟังจากปากน่ะ...รู้สึกดีกว่าให้เดาเอาเองเยอะแยะ” เขาเย้าพลางกดจมูกกับแก้มนวลฟอดใหญ่ รมย์นลินฟาดเพี๊ยะเข้าให้ฐานที่ทำรุ่มร่ามไม่ถูกกาลเทศะ
“นี่บ้านแฟงนะคะ...พี่ชลก็อยู่ ทำอะไรระวังหน่อยซี่...เมื่อกี้ยังไม่เข็ดอีกเหรอ?”
“แล้วไง...ก็ผมรักเมียผมนี่นา เป็นอันว่าเรื่องนี้รู้ถึงหูพี่ชายคุณแล้ว งั้นก็ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลอีกแล้วนะแฟง ผมจะพาญาติผู้ใหญ่ไประยอง ไปเจรจากับคุณอาวารี” เทียมภพว่าพลางจุมพิตมือนุ่มหนักหน่วง รมย์นลินรู้สึกเก้อกระดาก นึกมโนภาพคนเจ้าชู้กะล่อนนั่งเอี้ยมเฟี้ยมต่อหน้าพวกผู้ใหญ่แล้วพูดจาสู่ขอต่อหน้าสักขีพยาน คงดูพิลึกที่คนแข็งๆอย่างเทียมต้องทำอะไรเป็นพิธีการขนาดนั้น
“ถ้าจะให้พูดจริงๆ...แฟงเองก็ไม่ต้องการอะไรมากนะคะ แค่เรียนให้ผู้ใหญ่ท่านทราบก็น่าจะพอแล้ว พิธีการอะไรคงไม่สำคัญ”
“ไม่ได้หรอก...ผมอยากทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง ถึงจะข้ามขั้นตอนสำคัญไปแล้วก็เถอะ” เขาตอบตาพราว คนฟังเลยเขินจนหน้าแดงก่ำ
“คนอย่างเทียมภพ จะแต่งเมียทั้งทีจะมาทำงุบงิบ แอบซ่อนก็ใช่เรื่อง ผมจะให้เกียรติคุณที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าสงสัยในตัวผมอีกเลยนะว่าทำไปเพราะความจำใจหรือเปล่า...ผมรักคุณจริงๆ” ชายหนุ่มยืนยันคำพูดด้วยจุมพิตหนักๆที่แก้มอีกครั้ง
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ แฟงไม่อยากทำอะไรปุบปับ”
“ก็ผมอยากแต่งงานกับคุณเร็วๆนี่นา อยากอยู่ด้วยกันเร็วๆ” เขาว่าพลางกอดร่างเล็กแนบแน่น ความสุขล้ำลึกแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทั้งคู่ รมย์นลินซบหน้ากับอกอุ่นที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถฝากชีวิตนี้ไว้ได้ เพียงเขาบอกว่า ‘รัก’ แค่นี้ก็ปลื้มใจหนักหนา หากแต่ความพะวงก็ยังไม่หมดไปจากใจ แม้ว่าคนสองคนจะใจตรงกันแต่ปัจจัยภายนอกอื่นๆก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน
“น้องพลูล่ะคะ? เธอรักคุณมาก เธอจะยอมหรือเปล่าถ้า...เราจะลงเอยกัน?” น้ำเสียงบ่งบอกความกังวล เทียมภพ
คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ผมว่าน้องพลูเองก็ชอบคุณ ไม่น่าจะมีปัญหานะ” แม้ปากจะบอกว่าไม่มีปัญหาแต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ แทนดาวจะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะแต่งงาน สิ่งที่น้องสาวคนเดียวคนนี้กลัวมาตลอดชีวิตก็คือการที่แย่งความรัก กลัวว่าจะรักผู้หญิงคนอื่นมากกว่า นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เขาไม่เคยคบใครระยะยาวสักทีตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมา
“แฟงว่ารอดูไปก่อนดีไหมคะ? อย่าเพิ่งทำอะไรเลย รอให้น้องพลูเรียนจบก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยพูดเรื่องนี้”
“ไม่ได้หรอก...เกิดคุณท้องแล้วล่ะ?” เทียมภพพูดตรงๆเล่นเอาคนฟังหน้าชา
“จะบ้าหรือไง! คะ...แค่ครั้งเดียวเองนะคะ คงไม่...” หญิงสาวอึกอักไม่กล้าพูดต่อเพราะความกระดาก เทียมภพหัวเราะเบาๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ว่าได้เหรอ? ผมน่ะออกจะแข็งแรงขนาดนี้ แล้ววันนั้นก็...ไม่ได้ป้องกันซะด้วยสิ” รมย์นลินพยายามหลบสายตาฉ่ำเยิ้มที่กำลังทอดมองมา พอลองตรองดูอีกทีแล้วไอ้ที่เขาบอกก็อาจจะมีความเป็นไปได้
“ไม่ต้องห่วงนะแฟง ผมจะอธิบายให้น้องพลูเข้าใจ แต่สิ่งที่ยืนยันได้ตอนนี้ก็คือ...ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด ผมมีโอกาสรอดชีวิตคราวนี้ก็เพราะความรักที่มีต่อคุณ งั้นก็จะใช้โอกาสนี้แหละ...แก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยทำเอาไว้ คุณไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกของผมก็จริง แต่สาบานเลยว่าจะเป็นคนสุดท้าย...ขอให้ไว้วางใจผมอย่างเดียวก็พอ” รมย์นลินพยักหน้าก่อนจะเงยขึ้นตอบรับจุมพิตนุ่มนวลที่เขาบรรจงมอบให้แทนคำมั่นสัญญา

คุณลำเภามองหลานชายคนโตและ ‘ว่าที่หลานสะใภ้ใหญ่’ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแทบจะตลอดเวลาไม่ต่างจากคุณเที่ยงธรรมกับคุณดวงทิพย์ เทียมภพตัดสินใจพารมย์นลินเข้ามาแจ้งข่าวดีกับท่านทั้งสามซึ่งทุกคนออกจะดูตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆทายาทคนโตของบ้านนัดให้มารวมตัวกันในเย็นวันหนึ่ง บอกว่ามีเรื่องสุดยอดแห่งความประหลาดใจจะบอก หลังรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยก็จูงมือรมย์นลินมานั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกผู้ใหญ่ รมย์นลินออกจะดูมีความสุขล้นเหลือจนเปล่งประกายออกมาทางใบหน้า
“อย่าถามเลยครับว่าเราเกิดต้องตาต้องใจกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาเป็นว่าที่ผมมาเรียนให้ทราบก็เพราะว่าเราสองคน...พร้อมแล้วครับ” น้ำเสียงมุ่งมั่นที่ออกมาจากปากทายาทคนโตทำเอาหลายคนอดปลื้มไม่ได้ ฝ่ามืออุ่นจัดกอบกุมมือบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยราวกับจะให้คำมั่นว่าจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ออกไปจากชีวิตเด็ดขาด
“นี่พ่อหูฝาดไปหรือเปล่า เราน่ะนะ...จะมีเมีย?” คุณเที่ยงธรรมแกล้งแหย่แล้วหัวเราะชอบใจ คนอื่นๆเลยพลอยขำไปด้วย
“โธ่!...พ่อครับ ถึงผมจะเป็นยังไงมาก่อนแต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้วนะครับ ตอนนี้ผมอยากจะมีชีวิตคู่จริงๆจังๆซะที...พ่อต้องช่วยผมนะ”
“เกินความคาดหมายจริงๆนะ...นึกว่าจะผูกกับบ้านนั้นด้วยคู่เจ้าพลู ที่ไหนได้มีคู่เจ้าหมากแถมมาด้วย ยังงี้ก็แน่นแฟ้นขึ้นอีกชั้นสินะ” คุณลำเภากล่าวอย่างพออกพอใจ
“แฟงก็...แล้วแต่คุณย่า คุณลุง คุณป้าจะพิจารณาค่ะ” รมย์นลินพูดอย่างประหม่า
“ป้าดีใจที่น้องแฟงจะมาเป็นลูกสาว หมากจะได้มีคนเอาไว้เกรงใจเสียที” คุณดวงทิพย์ตอบพลางบีบไหล่ว่าที่ลูกสะใภ้เป็นเชิงให้กำลังใจซึ่งนั่นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมากมาย
“แล้วนี่น้องพลูรู้เรื่องหรือยังล่ะ?” คำถามของบิดาทำให้สองคนมองหน้ากันอย่างกังวล
“ตรงนี้แหละครับสำคัญที่สุด ถึงต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนไงครับว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับน้อง เราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะรอให้น้องเรียนจบซะก่อนค่อยจัดงาน”
“ไม่เข้าท่า! เจ้าพลูมันโตพอที่จะแยกแยะเหตุและผล มัวแต่มาถนอมกันอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะเลิกเอาแต่ใจกันล่ะ
อีกอย่างก็เห็นสองคนนี้สนิทกันดีอยู่แล้วนี่นะ ไม่น่าจะติดขัดตรงไหน” คุณลำเภาคัดค้านความคิดที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์ของหลานชาย
“แฟงเห็นด้วยกับคุณหมากนะคะ น้องพลูผูกพันกับคุณหมากมาก แฟงไม่อยากรีบเข้ามาทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังจะถูกแย่งของรัก”
“เหลวไหล! เอาไว้แม่จะพูดกับใบพลูเอง” คุณดวงทิพย์ตัดบทและยื่นคำขาดไปในคราวเดียวกัน
“แม่ครับ...ถือว่าผมขอร้อง อีกไม่กี่เดือนน้องพลูจะเรียนจบแล้ว ระหว่างนี้ก็ต้องรบกวนคุณพ่อให้ไปพูดกับคุณอาวารี จะดูฤกษ์ดูยามเอาไว้ก่อนก็ได้...ผมไม่ค่อยถนัดหรอกเรื่องพวกนี้”
“แต่พ่อไม่เห็นเหตุผลว่าต้องทำอย่างนี้เลยนะลูก จะรอทำไมในเมื่อลูกบอกเองว่าพร้อมแล้ว”
“เถอะครับพ่อ...ผมรักน้องพลูที่สุด ไม่อยากทำให้น้องว้าวุ่น ไหนจะต้องกังวลเรื่องไอ้ชลแถมยังมีเรื่องผมพ่วงเข้ามาอีก” ถึงจะรอดชีวิตจากเงื้อมมืออดีตเพื่อนแต่ก็ยังไม่วายเหน็บ รมย์นลินเลยต้องแอบหยิกสีข้างเตือนสติ
“พูดถึงเรื่องคุณชล...ไหนๆหมากกับหนูแฟงก็ตกลงปลงใจกันแล้ว ย่าว่าจัดงานพร้อมกันเสียเลยดีไหม?”
“ไม่ได้นะครับคุณย่า ผมยังไม่ยอมให้น้องพลูแต่งงานเด็ดขาด ผมแต่งคนเดียวพอ” คนพูดทำเสียงขึ้นจมูกทำให้รมย์นลินต้องค้อนขวับ
“อะไรกันเจ้าหมาก? จะมีลูกเมียแล้วยังไม่เลิกหวงน้องอีก ใจคอจะปล่อยให้มันขึ้นคานรึไง?”คุณย่าว่าหลานชายคนโต
“โธ่! ย่าครับ...ถ้าผมเห็นสมควรแก่เวลาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ แต่ตอนนี้ผมอยากให้น้องพลูอยู่กับเราก่อน เอาไว้ช่วยเลี้ยงลูกผมไง จริงไหมจ๊ะแฟง?” เขาหันมาขอความคิดเห็นคนนั่งข้างๆ เลยได้ตาเขียวๆแทนคำตอบ
“ตามใจ...พ่อไม่อยากขัดใจลูก ถ้าเราสองคนเห็นชอบแบบนี้พ่อก็ไม่ว่าอะไร ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องหาเวลาไประยอง ไปพูดกับคุณวารีไว้ก่อน”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ คุณแม่จะขึ้นมากรุงเทพทุกเดือนอยู่แล้ว”
“งั้นก็ดี...ระหว่างนี้หมากก็ดูแลหนูแฟงดีๆ แล้วอย่าได้ทำอะไรฉาบฉวยให้เสียมาถึงเราได้ล่ะ ไม่งั้นพ่อจะแพ่นกบาลแกเอง” คุณเที่ยงธรรมกำชับบุตรชายแล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เทียมภพอาศัยจังหวะนั้นกระซิบข้างหูรมย์นลินจนคนฟังขนลุกเกรียว
“ไม่ทันแล้วล่ะครับพ่อ”
แต่นาทีต่อมาเสียงหัวเราะก็เงียบสนิทเมื่อน้องคนเล็กที่ทุกคนกำลังพูดถึงเดินเข้ามาพร้อมโน้ตเพลงที่แต่งขึ้นเองมาอวดครูสาว ดวงตาทรงอัลมอนด์ฉายประกายกังขาขณะกวาดตามองทุกคนจนมาหยุดตรงพี่ชายกับคุณครูที่นั่งกุมมือกันอยู่บนพื้น ปฏิกิริยานั้นทำให้รมย์นลินรีบดึงมือออกมาประสานไว้บนตักอย่างเดิม
“น้องพลูได้ยินว่าใครจะแต่งงานกันเหรอคะ?”
“หนูกำลังจะมีพี่สะใภ้แล้วนะน้องพลู...ดีใจไหมคะ?” คุณดวงทิพย์บอกลูกสาวแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆนอกจากการหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที รมย์นลินหน้าสลดลงทันควัน
“เดี๋ยวผมไปคุยกับน้องเองครับ” เขาหันมาบอกพร้อมกับบีบไหล่รมย์นลินอย่างให้กำลังใจแล้วรีบวิ่งตามน้องสาวที่มายืนสงบสติอารมณ์ในศาลาแปดเหลี่ยม
“พี่หมาก...จะแต่งงานกับพี่แฟงจริงๆหรือคะ?” เสียงสั่นน้อยๆปนหอบหายใจทำให้เทียมภพใจคอไม่ดี จริงอยู่ว่าน้องสาวสนิทกับรมย์นลินในฐานะที่เป็นครู แต่ในฐานะอื่นก็ไม่แน่ใจว่าจะคิดอย่างไร
“คือ...ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะจ๊ะ ยังอีกนาน” เทียมภพจับมือทั้งสองข้างของน้องสาวไว้กันไม่ให้ผลุนผลันวิ่งหนีไป
“ทำไมล่ะคะ? ทำไมไม่มีใครบอกน้องพลูเลย! อย่างนี้ก็หมายว่า...อีกไม่นานพี่แฟงก็ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเรา พี่หมากก็จะมีครอบครัวใหม่ แล้ว...” แทนดาวพูดด้วยน้ำเสียงที่คนพี่ตีความว่ากำลังตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ
“น้องพลูสบายใจได้เลยนะ ถึงยังไงพี่ก็รักเราเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างที่หนูเคยได้...ก็ต้องได้เหมือนเดิม” เทียมภพย้ำหนักแน่นแต่แทนดาวกลับส่ายหน้าราวกับไม่ยอมรับในสิ่งที่ได้ยิน
“ถ้ารักน้องพลู...ทำไมต้องปิดบังกันด้วย เห็นน้องพลูเป็นอะไรคะ? พี่หมากรู้ไหมว่าน้องพลูรอคอยวันนี้มานานแค่ไหน?” แทนดาวพูดต่อเรื่อยๆแต่เทียมภพกลับเริ่มเอะใจกับคำพูด
“รอคอย…หนูหมายถึงอะไรคะ?”
“เอ๊า...ก็น้องพลูเชียร์พี่หมากกับพี่แฟงมาเป็นปี ลุ้นจนหืดขึ้นคอกว่าพี่สองคนจะลงเอยกันได้ โอ๊ย...แฟนคลับ
โล่งอกซะที” คำเฉลยทำให้คนเกิดก่อนตกตะลึงจนเผลอเขย่าตัวน้องสาวหัวสั่นคลอน
“อะไรนะ? ไอ้ที่เราตะบึงตะบอนทำท่างอนตุ๊บป่องนี่ไม่ใช่เพราะโกรธที่พี่จะแต่งงานหรอกรึ?”
“โกรธ? ใครเขาคิดแบบนั้นกันล่ะ น้องพลูแค่ดีใจมากเท่านั้นเอง แล้วที่วิ่งหนีมานี่ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะปล่อยเสียงกรี๊ดจนคุณย่าตกใจต่างหาก พี่หมากนี่นะ...คิดมากไม่เข้าท่า” คนตัวเล็กเอ็ดพี่ชายเสียงดังแล้วทำท่านับนิ้วไล่รายการอะไรบางอย่าง
“เอ...ต้องรีบเตรียมชุดสวยๆสักสี่ห้าชุด ต้องไปดูชุดของ วีร่า แวง ที่ช้อปฮ่องกงด้วยล่ะ ตอนนี้กำลังออกคอลเลคชั่นใหม่ ให้ยัยพวกนั้นมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วย แล้วก็ต้องซ้อมเพลงหวานๆเอาไว้เล่นในงานะ พี่หมากต้องซื้อเปียโนหลังใหม่ให้น้องพลูนะ งานช้างแบบนี้ต้องแกรนด์เปียโนเท่านั้น...อัพไรท์ที่ใช้อยู่ไม่ไหวหรอก” เสียงแจ๋วๆร่ายรายการต่างๆให้พี่ชายที่ยังยืนเปื้อนยิ้มแก้มปริฟัง
“โธ่...พี่ก็กังวลว่าเราจะไม่อยากให้แต่งงาน เห็นวันก่อนยังแง๊วๆอยู่เลยว่ายังไม่อยากให้แต่ง”
“ที่น้องพลูพูดวันนั้นนึกว่าพี่หมากจะแต่งกับยัยสิตาหน้าปลอม คิ้วปลิง นมซิลิโคนต่างหากล่ะ ลืมไปว่าพี่หมากเปลี่ยนมาอินเลิฟกับพี่แฟงตั้งนานแล้ว”
“เฮ้อ...ทำเอาพี่หัวหมุนหมดเลยนะ แฟงก็กลัวว่าเราจะไม่ยอมรับเขา” มือหนาลูบผมสลวยของคนเกิดที่หลังอย่างโล่งใจ
“น้องพลูสมหวังต่างหากที่พี่แฟงจะมาเป็นพี่สะใภ้ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมที่สุดในความคิดของน้องพลู” แทนดาวจับมืออุ่นที่ประคบประหงมตนมาแต่เยาว์วัยมาแนบแก้ม รู้สึกมีความสุขเหลือล้นที่พี่ชายจะได้มีครอบครัวเสียที “น้องพลูรอวันที่พี่หมากถอดเขี้ยวเล็บลงเอยกับใครสักคนแล้วก็มีหลานเล็กๆ เพราะว่าจะได้เอาเวลาไปทุ่มเทกับครอบครัวให้หมด จนไม่มีเวลามาสะกดรอยตามน้องพลู” คำพูดที่ฟังออกจะซึ้งในตอนแรกแต่หักมุมเอาตอนท้ายทำให้คนฟังอดไม่ได้ที่จะหยิกจมูกเล็กแรงๆ
“ไหงพูดงี้ล่ะยัยตัวยุ่ง ถึงพี่จะมีครอบครัวไปแต่เรายังต้องอยู่บ้านเดียวกัน เพราะฉะนั้น...พี่ก็จะคอยสอดส่องดูแลเราอย่างเดิม” เทียมภพจูบหน้าหน้าผากมนอย่างรักใคร่ รมย์นลินที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลแอบปาดน้ำตาเงียบๆขณะมองภาพสองพี่น้องที่กำลังหัวเราะให้กัน

ชลธีถึงกับปวดหัวหนึบเมื่อผู้ช่วยส่วนตัวมารายงานว่าใครมาขอพบในเวลาแบบนี้ การมาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้งของเปรมยุตานำความไม่สบายใจมาเยือนเงียบๆ แต่ถ้าหากปฏิเสธที่จะพบ...หล่อนก็ต้องหาวิธีเข้ามาจนได้อยู่ดี เลยต้องยกเลิกนัดรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้าออกไปก่อน
“คุณมีธุระอะไรกับผมอีกล่ะปราง?” น้ำเสียงราบเรียบเป็นการทักทายที่ทำให้คนฟังนึกน้อยใจอยู่กลายๆ ชลธีทำเหมือนหล่อนไม่มีตัวตน
“ปรางแค่คิดถึงคุณเท่านั้นเองค่ะ ตอนนี้ก็เที่ยงพอดี...งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีไหม?” ร่างอรชรเคลื่อนเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมฉุนจัดผสมกลิ่นผิวกายที่คุ้นเคยแต่มิได้สร้างความตราตรึงใจอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาออกจะ ‘รังเกียจ’ เสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่สะดวกหรอก ถ้าธุระของคุณด่วนมากจริงๆ...ว่ามาเลยก็ได้” ชายหนุ่มผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เปรมยุตาย้ายตัวเองไปนั่งอย่างว่าง่าย หากแต่แววตาบ่งบอกถึงความถือดีและไม่ได้ลดละความมุ่งมั่นตั้งใจเลย
“ชลจะหลบหน้าปรางอย่างนี้ตลอดไปเลยหรือคะ? ลืมไปแล้วเหรอว่าทำอะไรเอาไว้กับปรางบ้าง”
“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะปราง ทุกอย่างมันจบไปแล้วนะเท่าที่ผมจำได้”
“คุณก็พูดง่ายๆนี่คะชล ใช่สิ...ตอนนี้คุณคงมีความสุขกับคู่หมั้นเด็กจนลืม ‘เมียหลวง’ อย่างปรางไปแล้ว!” ริมฝี ปากฉาบลิปสติกสีชมพูโพล่งขึ้น
“ผมยังไม่เคยแต่งงานเพราะฉะนั้นก็ยังไม่มี ‘เมียหลวง’ อย่างที่คุณอุปโลกน์ตัวเอง...เสียใจด้วยนะ” นัยน์ตาดุคมจ้องกลับเขม็ง
“ถ้าชลคิดว่ามันจะง่าย...ก็ต้องขอบอกว่าอาจจะผิดหวังนะคะ ปรางจะไม่ยอมให้ ‘ใคร’ มาพรากคุณไปจากปรางอีก” หญิงสาวผุดลุกขึ้นแล้วจะเดินออกไปแต่ชลธีวิ่งไปขวางไว้ ว่าถ้า ‘ใคร’ ในที่นี้หมายถึงแทนดาวแล้วล่ะก็…เขาจะไม่มีวันยอมให้หล่อนทำอะไรบ้าๆแน่
“ปราง! คุณต้องการอะไรน่ะ? คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
“เพื่อเราไงคะ ครั้งนึงคุณเคยบอกว่ารักปรางแล้วเราก็มีอะไรกันมาก่อนที่คุณจะรู้จักเธอด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้ล่ะคะ... ปรางเป็นอะไร?” หล่อนแผดเสียงใส่หน้าเอย่างไม่เกรงใจ
“ปราง....คุณเองไม่ใช่เหรอ? ที่เป็นฝ่ายเดินไปจากผมเอง”
“ชลไม่เข้าใจ! คิดเหรอว่าปรางอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ ปรางรักคุณนะคะชล ถึงตอนนี้ก็ยังรักคุณ!” เปรมยุตาโผเข้ากอดแนบแน่น ชลธีรีบผละออกโดยเร็วเพราะหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว คนที่เคยรักที่สุดกำลังกลับมาทำร้ายชีวิตของเขาเอง
“เรา ‘จบ’ กันไปนานแล้วนะปราง...ตั้งแต่วันที่คุณฆ่าลูกของผม แล้วไหนจะวันที่คุณเดินจากผมไป คุณคิดบ้างไหมว่าผมจะเสียใจแค่ไหน?” ชลธีกำหมัดแน่น ความรู้สึกบีบคั้นอย่างหนักก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายฟูมฟายร้องไห้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทนดูอยู่ไม่ได้แน่แต่ว่าตอนนี้เขามีจิตใจที่มั่นคงพอต่อคนๆเดียว
“กลับไปเถอะนะปราง...ผมไปส่งก็ได้”
“เพราะนังเด็กขบเผาะคนนั้น! ชลถึงไม่สนใจใยดีปรางเลย” เปรมยุตาแผดเสียงดังต่อเนื่อง โชคดีที่ห้องทำงานของเขามิดชิดพอที่จะกันเสียงรบกวนต่างๆได้ดีเยี่ยม ไม่งั้นคงต้องมีคนได้ยินและคิดว่ากำลังทำมิดีมิร้ายเปรมยุตาอยู่แน่ๆ
“อย่าเอาน้องพลูมาเกี่ยวนะปราง! อย่าทำตัวเป็นคนที่พูดจาไม่รู้เรื่องนะ”
“แตะไม่ได้เลยหรือคะ?”
“ใช่! เพราะว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย อย่าได้คิดไปตามรังควาญเธอให้ต้องวุ่นวายใจ”
“เด็กนั่นคงจะสดกว่า...ใหม่กว่าใช่ไหมล่ะ? ชลถึงได้ลงทุนพาไปหมั้นกันถึงระยอง ทิ้งปรางเอาไว้คนเดียวเหมือนของตายไร้ค่า!”
“ผมจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย...อย่าเอาน้องพลูมาเกี่ยว” เสียงของเขาเย็นชาพร้อมกับส่งสายตาว่างเปล่าจ้องมอง
ใบหน้าเปื้อนน้ำตาชุ่มฉ่ำ
“ถ้าชลยังดึงดันที่จะปฏิเสธเรื่องของเราอย่างนี้ต่อไปแล้วล่ะก็...ปรางคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการทวงสิทธิ์ให้ตัวเอง ปรางไม่มีอะไรจะเสียแล้วค่ะชล แต่จะไม่ยอมเสียคุณไปอีกแน่ๆ” ชลธีมองตามร่างระหงที่เดินคอตั้งออกไปช้าๆ เขาเป็นห่วงแทนดาวเหลือเกิน เด็กสาวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้านจะรับมือหรือใช้สติในการจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรหนอ
ชายหนุ่มเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบเอาผลการตรวจร่างกายมาคลี่อ่านอีกรอบ แม้มันจะไม่ทำให้ความเคลือบแคลงใจลดลงเท่าใดนักแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลยถ้าหากว่าเปรมยุตาต้องการจะใช้เรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรอง ถ้าอ่านเกมไม่ผิด...เดาว่าหล่อนคงไม่ได้ต้องการเอาชนะด้วยวิธีการเรียกร้องให้แต่งงานด้วยแน่ แต่อาจต้องการทำให้แทนดาวเข้าใจผิดและเกลียดเขาไปตลอดชีวิต หรือไม่...ก็ทำลายชื่อเสียงของเขาด้วยวิธีอื่น
นัยน์ตากระด้างไล่อ่านทีละตัวอักษรบนกระดาษประทับตราโรงพยาบาลระบุผลการตรวจเลือดว่าพบตัวยาซึ่งเป็นสารประเภทเดียวกับยานอนหลับ ส่วนอีกบรรทัดหนึ่งเขียนด้วยลายมือหวัดๆว่าไม่พบ ‘ร่องรอย’ การมีเพศสัมพันธ์ มุมล่างขวาของจดหมายลงลายเซ็นยุ่งๆของนายแพทย์อชิตะ รัษฎาธร ชลธีพับจดหมายเก็บใส่ซองอย่างเดิมแล้วลุกออกไปสูดอากาศตรงระเบียงด้านนอก มือหนาดึงบุหรี่ต่างประเทศมาสูบผ่อนคลายความหนักหน่วงที่เกาะกินความคิดทั้งมวลขณะนึกทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับอชิตะเมื่อหลายวันก่อน
“ในเบื้องต้นไม่พบ ‘ร่องรอย’ หรือ ‘คราบ’ อะไรที่บอกว่าคุณได้มีเพศสัมพันธ์ไปเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน ส่วนผลการตรวจเลือดต้องรออีกวันนะ” อชิตะบอก ‘คนไข้’ ยามวิกาลที่สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อฟังรายงานผลจากปากหมอหนุ่มมาดเนิร์ด
“แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม...ถ้าคุณจะใช้ผลการตรวจนี้ไปแจ้งความคงจะไม่ได้ผล เพราะว่าต้องตรวจร่างกายด้วยกันทั้งสองฝ่ายเพื่อหาดีเอ็นเอของคุณจากคู่กรณีด้วย”
“ผมคงไม่แจ้งความอะไรให้วุ่นวาย แค่อยากพิสูจน์ข้อสงสัยเท่านั้น” ชลธีนั่งนิ่ง สายตาจดจ้องมองอชิตะที่กำลังเก็บสเตทโทสโคปกับข้าวของอื่นๆลงกระเป๋าแล้วถามสิ่งที่ค้างคาในใจออกไป
“ทำไมหมอถึงช่วยผม?”
“คำตอบง่ายมากเลย...ก็ผมเป็นหมอ”
“แต่ผม...เคยพูดจาไม่ดีแล้วก็...วางมวยกับหมอด้วย” ชลธีเปลี่ยนสายตามามองมือตัวเองที่สานกันอยู่บนโต๊ะเมื่อระลึกถึงสิ่งที่เคยกระทำกับอชิตะ จนแอบคิดว่าความบาดหมางส่วนตัวอันน่าจะนำมาซึ่งความ ‘เหม็นขี้หน้า’ จนนึกอยากจะกลั่นแกล้งตนคืน
“นั่นมันเรื่องส่วนตัวระหว่างเรา ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องของสุขภาพร่างกาย คุณเป็นคนไข้...ผมก็รักษาไปตามหน้าที่เท่านั้น อีกอย่าง...ไม่ดีหรือที่จะได้มีหลักฐานไปแสดงให้น้องพลูดูถ้าวันนึงเธอเกิดรู้เรื่องเข้าแล้วเข้าใจผิด” นายแพทย์หนุ่มตอบสบายๆราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหนักหนาอะไรแต่คนฟังตาวาวโรจน์
“ถามจริงเถอะ นี่นอกจากจะเป็นหมอแล้ว....ยังรับจ๊อบเป็นนักสืบด้วยหรือเปล่า?”

ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชลธีคิดเอาไว้ไม่มีผิด อีกสามวันต่อมาก็ปรากฏพาดหัวข่าวจากเพจข่าวบันเทิงรายหนึ่งโชว์หราอยู่บนหน้าฟีดงเพจโซเชียลชื่อดัง ใบหน้าคมจับจ้องที่จอคอมพิวเตอร์ คิ้วเข้มแทบจะผูกเป็นปมกับมือชื้นเหงื่อกำเม้าส์แน่นขณะคลิกภาพที่ปรากฏบนจอสี่เหลี่ยมดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หลุด! คนหน้าคล้ายนักธุรกิจดัง ช. หิ้วสาวขึ้นคอนโด คาดซุ่มเงียบซุกลูก-เมีย” นัยน์ตาดุหรี่มองภาพชายหญิงคู่
หนึ่งที่ยืนนัวเนียกัน แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่คนคุ้นเคยกันดีก็คงเดาไม่ยากว่าเป็นเขา ไหนจะชื่อย่อที่บอกใบ้เสียชัดเจนขนาดนี้ นัยน์ตากระด้างไร้อารมณ์ใดๆกวาดอ่านเนื้อข่าวต่อเงียบๆ
“แซ่บซี๊ดจากใต้เตียงเมื่อนักธุรกิจหนุ่มโสดที่เพิ่งประกาศหมั้นหมายกับเด็กสาววัยกระเตาะไปไม่นานเพิ่งจะปูดความลับว่าแอบซุกเมียลับๆไว้ที่คอนโดส่วนตัว ผู้ใกล้ชิดแอบกระซิบแฉว่าคุณ ช. เจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่คนนี้มีภรรยาเป็นตัวตนอยู่แล้วแต่ความที่ชอบทำบุญเลยเปิดสถานรับเลี้ยงต้อยเด็กสาวชื่อว่า ‘พืชสมุนไพร’ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ งานนี้ไม่รู้ว่าน้ำพริกถ้วยเก่ากับพืชสมุนไพร...อะไรจะนัวถึงใจคุณ ช. มากกว่ากัน”
“ผมเห็นแล้ว กำลังหาทางจัดการอยู่” ชลธีวางสายจากเพื่อนนักข่าวสายบันเทิงคนหนึ่งแล้วกลับมาดูภาพนั้นต่อ ตั้งแต่หนุ่มน้อยยันหนุ่มมาก...ใช่ว่าจะไม่เคยถูกข่าวคาวพรรค์นี้เล่นงาน เขาคงไม่มานั่งกลัดกลุ้มกังวลให้เสียเวลาทำมาหากินแน่ถ้าเนื้อหาไม่ได้พาดพิงถึงสตรีที่พยายามกันออกไปจากวังวนอุบาทว์นี่ มือหนาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็ต่อโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งอย่างรีบร้อน
“ไอ้พวกนี้! ปล่อยมานานจนเหลิง ถ้าพวกแกยังไม่รู้จักชลธีตัวจริง...วันนี้จะได้รู้จัก”
“เทพ...ไปดูหน่อยว่าไอ้คนเขียนข่าวนั่นมันอยู่ที่ไหน แล้วก็ช่วยจัดการให้มันออกไปหาข่าวไม่ได้สักเดือน” เสียงเหี้ยมเกรียมสั่งงานลูกน้องคนสนิทเสร็จก็โยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะอย่างแรงจนมันกระดอนไปชนกองจดหมายร่วงกระจายบนพื้น จากนั้นกดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานต่อเบอร์ภายใน
“คุณนาตาชา...ช่วยติดต่อแอดมินเพจ ‘รู้แล้วแชร์’ บอกว่าให้ลบสกู๊ปข่าวที่เขียนพาดพิงผมออกเดี๋ยวนี้ อ้อ...เก็บภาพกับเนื้อหาส่งให้ทนายไปแจ้งความไว้เลย ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เงินช่วยปิดข่าวก็บอกทันที” พอวางสายไม่ถึงครึ่งนาทีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้นอีก
“ว่าไงคุณนุช?”
“คุณเทียมภพมาขอพบค่ะ” ชลธีสบถเบาๆในลำคอแล้วเดินปึงปังออกไปพบกับเพื่อนเคยสนิทที่นั่งเคาะนิ้วรออยู่ในห้องรับแขกอย่างใจเย็นเหลือเชื่อ บนโต๊ะมีกระดาษสองสามแผ่นวางอยู่คู่กับถ้วยกาแฟควันโชยกรุ่น ฝ่ายนั้นส่งสายตาเยือกเย็นจับจ้องมองบุรุษผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้สาบานเป็นเพื่อนตายตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมาจนนั่งลงตรงข้ามกัน
“อ้าวลูกปลา...มาด้วยเหรอ?” ชลธีมองผ่านหน้าตาเอาเรื่องของคนที่มารอพบไปยังปาลิดานั่งยิ้มแป้นอยู่บนเก้าอี้ถัดไป
“คุณเทียมภพบอกว่าจะมาธุระที่นี่ ลูกปลาเลยขอตามมาด้วย เนี่ย...ไม่เห็นหน้าพี่ชลเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ กลับไปนอนบ้านมั่งสิ ลูกปลาฝึกทำปอเปี๊ยะเห็ดหอมจนฝีมือสู้ใบพลูได้แล้วนะ” ปาลิดาจีบปากเล่าจ๋อยๆยิ้มจนเปลือกตาชั้นเดียวฉาบสีดำไล่เฉดแบบสโม๊กกี้อายส์หยีจนแทบปิด
“ปาลิดา...ไปรอข้างนอกก่อน ผมจะคุยธุระกับคุณชลธี” เทียมภพโบกมือให้หยุดพูดแล้วส่งสายตาออกคำสั่งกับสาวหมวยที่พามาด้วยแล้วหันมาคุยกับคนต้นเรื่อง
“ข่าวน่ารักๆ กุ๊กกิ๊กที่แชร์กันกระหน่ำจนเพจแทบล่มเมื่อเช้านี้ทำให้ฉันฟินม๊าก...มาก ก็เลยอยากมาดูหน้าดาราตัวเป็นๆแล้วก็แสดงความยินดีด้วย ดังแล้วนะ…คุณ ช.!” เทียมภพเลื่อนกระดาษที่ปริ้นท์จากคอมพิวเตอร์ให้คนที่เพิ่งออกสรรพนามเรียกว่า ‘คุณ ช.’ ตามพาดหัว
“คนหน้าคล้าย....เฮอะ นี่เป็นเพราะฉันคุ้นเคยกับแกมาตั้งแต่เสียงยังไม่แตกหนุ่มจนหมาเลียตูดไม่ถึงเลยรู้ว่ามันไม่ใช่แค่คล้าย...แต่ใช่เลยล่ะ” น้ำเสียงนั้นทั้งดุดันและเย้ยหยันเต็มที่
“ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนะ” ชลธีเหวี่ยงกระดาษพวกนั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดีแล้วมองกลับคู่สนทนาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ถุย! ...แมนๆหน่อยสิวะ ไอ้ชล! นึกแล้วไม่มีผิดว่าแกก็ยังไม่ทิ้งสันดานเดิมๆที่ชอบกินแล้วทิ้ง ไม่เก็บกากให้เรียบร้อย ถึงได้ขึ้นพาดหัวแซ่บซี้ดแบบนี้ไง” เทียมภพขึ้นเสียงแต่ยังคุมอารมณ์ได้ดี
“วันนั้นฉันไม่ได้มีอะไรกับปราง! ทุกอย่างเป็นการจัดฉากแล้วก็มีหลักฐานยืนยันด้วย”
“หลักฐาน? ได้ข่าวว่านอกจากภาพนิ่งแล้วยังมีเวอร์ชั่นคลิปด้วยนะ แต่เสียดายที่เราทั้งคู่ไม่ทันได้ดูเพราะระหว่างที่นั่งรอแก...ฉันจ่ายเงินแสนนึงให้ไอ้เพจอัปรีย์ลบเรื่องนี้เสียเหี้ยน ไม่ใช่เพราะอยากปกป้องชื่อเสียงแกในฐานะที่เป็นประธานกรรมการใหญ่ของทวีกิจหรอกนะ...แต่กลัวยัยพลูจะมาเห็นเข้า” เทียมภพหยิบโทรศัพท์มาดูอีกครั้งก็ไม่พบข่าวนั้นแล้ว
“ฉันสั่งทนายให้ไปแจ้งความแล้ว แกไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่อยากติดหนี้ใคร”
“มัวแต่รอแจ้งความก็พอดียัยพลูคงช็อกเสียสติถ้าเห็นภาพกับคลิปสิบแปดบวกเข้า อย่าว่าแต่แสนเล้ย...ล้านนึงฉันก็ยอมจ่ายเพื่อซื้อความสุขสงบใจให้น้องสาว เห็นหรือยังว่าฉันรักทะนุถนอมแทนดาวขนาดไหน? ไม่เหมือนแก...มีแต่จะหาเรื่องทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วยังงี้จะทำใจยอมรับเป็นน้องเขยได้ไงวะ?”
“อธิบายปากเปล่าไปแกก็ไม่เชื่อ ถามหน่อยเถอะ...กะโหลกตุงๆของแกนี่มีสมองอยู่หรือแค่เป่าลูกโป่งยัดไว้วะ? แกดูดีๆ...มันเป็นมุมกล้อง”
“เฮอะ! นี่ขนาดอยู่ข้างนอกยังได้มุมกล้องสโลว์ซบขนาดนี้ แล้วตอนอยู่ในห้องจะเห็นกี่ซอก กี่มุม กี่ท่าวะ? ถ้าแกอยากกลับไปอยู่กินกับปรางแล้วจะมายุ่งกับยัยพลูทำไม?”
“ไอ้หมาก....ฉันจะพิสูจน์ให้แกเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฉัน” ชลธีถอนหายใจแรงจนไหล่โยก
“ชล...ยัยพลูของฉันทนไม่ได้แน่ที่จะต้องเจอเรื่องอัปยศนี่ ฉันเลี้ยงน้องมาแบบโลกสวยดุจเจ้าหญิงในนิยาย แกไปเถอะนะ...ไปจากชีวิตแทนดาวเงียบๆ”
“ขอโทษค่ะที่เสียมารยาท คุณชล...ชาช่าเชคดูแล้วนะคะ ข่าวนั่นหายไปแล้ว คาดว่ามีใครสั่งลบไปก่อนค่ะ” นาตาชาเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะพูดคุยเพื่อรายงานข่าวใหม่ ชลธีพยักหน้ารับรู้แล้วปรายตากลับมามองคู่สนทนาที่เบะปากให้อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
“ตรงไหนสูบบุหรี่ได้มั่งวะ? อั้นมานานแล้ว” เทียมภพถามหงุดหงิดพลางควักซองบุหรี่ออกมา
“ถ้าแกไม่รีบกลับก็ลงไปนั่งละเลียดจิบกาแฟริมสระข้างล่าง...ทางนี้” ชลธีเดินนำไปที่สระว่ายน้ำที่ว่า บางทีก็อยากลองเชิงว่าถ้าเพื่อนคนนี้ได้เห็นอะไรสวยๆงามๆอย่างแหม่มนุ่งบิกินี่แล้วอารมณ์จะดีขึ้นหรือไม่ อีกประการหนึ่ง...จะได้พิสูจน์ด้วยว่าคนอย่างเทียมภพเลิกนิสัย ‘สอยสาว’ พร้อมที่จะมาเป็นน้องเขยหรือยัง
“รู้แล้วแชร์...เราตามเพจนี้อยู่นี่ แล้วพี่ชลให้ลบข่าวอะไรหว่า?” ปาลิดาที่ยืนหลบฟังอยู่แถวนั้นเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วอาศัยจังหวะนั้นแอบย่องเข้าในห้องทำงานเก่าเพื่อตามหาเอกสารหรือหลักฐานที่จะช่วยให้ตัวเองพ้นมลทินจากการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงิน แต่ต่อมสงสัยก็สั่งให้เข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายเก่า หญิงสาวย่องเงียบกริบไปที่โต๊ะจึงได้เห็นภาพข่าวที่เปิดค้างไว้บนจอคอมพิวเตอร์
“เฮ้ย! นี่มันรูปพี่ชลกับยัยเปรมยุตานี่นา” หญิงสาวเบิ่งตาเรียวเล็กให้กว้างที่สุดเพื่อที่จะเพ่งดูภาพตรงหน้าให้ชัดๆริมฝีปากฉาบสีส้มนู้ดอ้าค้างๆน้อยขณะกวาดตาอ่านเนื้อหาข่าว พออ่านจบสายตาสอดรู้สอดเห็นก็สะดุดกับกองจดหมายที่ร่วงกระจายบนพื้น ปาลิดาถือวิสาสะหยิบฉบับบนสุดที่เป็นผลการตรวจร่างกายมาเปิดอ่านแล้วก็พาให้เอะใจ นึกถึงบทสนทนาที่ได้ยินสองหนุ่มนั่นคุยกันเรื่องหลักฐานอะไรบางอย่าง ประกายตาแฝงรอยเจ้าเล่ห์วาบขึ้นแล้วตัดสินใจเก็บจดหมายใส่กระเป๋าไปด้วย
เทียมภพไม่ได้ลงมาสูบบุหรี่อย่างที่บอกเมื่อครู่แต่หาทางเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของเลขาฯสาวกับปาลิดาที่
คอยเอาแต่จะเดินโฉบมาใกล้ๆสร้างความรำคาญและทำให้ไม่สะดวกที่จะพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน สองหนุ่มนั่งมองกาแฟควันกรุ่นในถ้วยโดยไม่มีทีท่าว่าจะยกขึ้นจิบ มีแต่ความเงียบที่กางกั้นระหว่างบุรุษหน้าคมเคร่งขรึมกับบุรุษใบหน้าสำอาง
เป็นนานกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะยอมเปิดประเด็น
“ทีแรกฉันกะจะมาตื้บแกให้กระอักเลือด แต่มาคิดๆดูอีกที...ถึงทำแบบนั้นแกก็ไม่หยุดตามป้อนตามหยอดน้องฉันอยู่ดี สู้มาเจรจากันดีๆจะดีกว่า” เทียมภพยกกาแฟขึ้นดื่มอึกแรกพลางมองไปยังสระน้ำที่มีสาวสวยนุ่งห่มน้อยชิ้นนอนอาบแดดอยู่บนเตียงผ้าใบ ชลธีลอบสังเกตสายตาของเพื่อนแต่ก็ไม่พบอะไรอื่นนอกความเมินเฉย
“ฉันจะคืนเงินแสนนั่นให้เดี๋ยวนี้เลย ส่วนข่าวที่ออกมา...ฉันจะไปพูดกับปราง”
“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก ฉันบอกแล้วว่าทำเพื่อน้อง...ไม่ใช่เพื่อแก อ้อ...แล้วก็ตัดปรางออกไปจากเรื่องที่เราจะตกลงกันด้วย” เทียมภพจ้องหน้าฉงนสนเท่ของคนตรงข้ามแต่ก็ยังไม่พูดอะไรต่อจนคนรอฟังต้องเตือน
“พูดมา”
“ขอร้องเถอะ...ไปเสียจากชีวิตของแทนดาว ผู้หญิงบนโลกมีนับแสนนับล้านที่พร้อมจะยอมตกลงปลงใจกับแก ขอเว้นไว้แค่แทนดาวคนเดียว อย่าทำร้ายดวงใจดวงนี้ของฉันอีกต่อไปเลย” เทียมภพสลัดความทระนงและทิฐิทั้งหมดพูดขอร้องเพื่อนเคยรัก
“ฉันทำไม่ได้! ความรักที่ฉันมีต่อเธอมันมากเสียจน...ต่อให้ตายแล้วกลับชาติมาเกิดอีกก็ยังไม่หมดรัก” สิ่งที่พูดออกไปถึงจะฟังดูเหมือนท่อนพลอดรักในนิยายตลาดแต่มันก็ไม่ได้เกินจริงเลยเพราะคนพูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“ถ้าแกทำไม่ได้...งั้นฉันจะเป็นคนพาเธอออกไปจากชีวิตแกเอง ฉันจะส่งน้องไปเรียนต่อต่างปะเทศ” เทียมภพสูดหายใจเข้าปอดลึก คิดอยู่แล้วว่าชลธีต้องไม่ยอมก็เลยเตรียมแผนสำรองไว้ การพาน้องหนีไปไกลๆน่าจะเป็นอีกทางออกหนึ่งที่จะช่วยอยู่ห่างๆจากคนพรรค์นี้
“แล้วแกคิดเหรอว่าฉันจะไม่ตาม?”
“ฉันรู้ว่าแกต้องตามแน่...แต่มั่นใจว่าแกจะตามไม่เจอ ชล...เราสองคนต่างก็รู้นิสัยกันดี ฉันรู้ว่าแกจะต้องพลิกแผ่นดินหาตัวเธอ ส่วนฉัน...ก็จะเปิดฟ้าผ่ามหาสมุทรเอาเธอไปซ่อนให้พ้นหูพ้นตาแกจนได้นั่นแหละ”

แทนดาวมองภาพในมือตาค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ดวงตาทรงอัลมอนด์แทบไม่ไม่กระพริบขณะไล่อ่านข้อความบรรยายภาพทีละตัวอักษรนิ่งนานราวกับว่าสะกดคำไม่ออก ปาลิดานั่งคนสมูทตี้โยเกิร์ตในแก้วเล่นอย่างใจเย็นระหว่างรอให้คนตรงข้ามอ่านข้อความให้จบ
“เนี่ย...ลูกปลาว่าจะเอาไปให้ดูตั้งแต่สามวันก่อนแล้วแต่ไม่ว่างเลย เห็นพี่...เอ่อ..คุณเทียมภพบอกว่าใบพลูจะมาวันนี้ก็เลยเอาให้ดูนี่แหละ ตอนเห็นข่าววันแรกก็รีบแคปหน้าจอแล้วเก็บเอาไว้ให้เธอเลยนะ...กลัวตกข่าว” ปาลิดาเล่าที่มาของภาพนี้พลางลอบสังเกตอาการ โชคดีที่แอบเก็บเอาไว้ได้ทันก่อนที่เทียมภพจะสั่งให้เอาไปย่อยทิ้ง
“ก็...ข่าวเขียนบอกว่า ‘คนหน้าคล้าย’ ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวจริงนี่” แทนดาวพิจารณาแล้วแสดงความเห็นที่คนรอฟังอยู่นานทำท่าทางคล้ายจะ ‘ผิดคาด’ นิดๆ เลยนั่งเงียบรออีกสักหน่อยเผื่อจะเปลี่ยนความคิดแต่ทว่าใบหน้าเรียบสงบปราศจากรอยกังวลซ้ำยังทำท่าไม่ให้ความสนใจกับมันทำให้คนรอดูปฏิกิริยาเป็นฝ่ายเต้นเสียเอง
“โอ๊ย...โลกสวยอย่างที่พี่ชายเธอบอกไม่มีผิด ดู๊ดู...ตรงนี้นะคะคุณ ‘พืชสมุนไพร’ นี่มันทางเดินไปห้องพักส่วนตัวที่อยู่บนชั้นเดียวกับออฟฟิศพี่ชล แล้วนั่นน่ะ...ประตูห้องนอน! ลูกปลาจำได้เพราะเคยช่วยพี่ชลหิ้วยัยปรางขี้เมาเข้าไปนอนพัก” นิ้วที่จิ้มแรงๆบนภาพกับคำพูดย้ำแล้วย้ำอีกของปาลิดาก็ยังคงไม่สามารถทำให้เกิดอาการไหวติงใดๆ
“ห้องที่โรงแรมมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ พลูอ่านแล้วก็เฉยๆนะ มันก็แค่ข่าวไร้สาระแก่นสาร เหมือนกับข่าวซุบ
ซิบดารารายวันนั่นแหละ พี่หมากเองก็เคยโดนข่าวทำนองนี้เล่นอยู่บ่อยๆ พลูชินแล้วล่ะ” แทนดาวตอบอย่างไม่ยี่หระแล้วตั้งหน้าตั้งตาตักขนมเข้าปากต่อไป
“อ้าว! นี่เธอไม่เชื่อข่าวนี่เลยรึ? ลูกปลาอุตส่าห์ขโมย..เอ๊ย...แคปหน้าจอไว้ได้เชียวนะ ไปหาอ่านอีกก็ไม่เจอแล้ว” ปาลิดามองอีกฝ่ายโกรธๆเมื่อเห็นเพียงรอยยิ้มมุมปากกับการส่ายหน้าไปมาของคู่สนทนา
“ว่าแต่...ลูกปลาเคยเลี้ยงยูนิคอร์นไหม?”
“เกี่ยวไรกับยูนิคอร์น?” ปาลิดางงหนักกับคำถามประหลาดที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันตอนนี้
“อ้าว...ก็โลกสวยไงล่ะ คนโลกสวยอย่างพลูไม่เชื่อข่าวนี่หรอก ว่าจะกลับไปวิ่งเล่นในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ไล่จับกระต่ายน้อยขนปุยคุยกับผีเสื้อแล้วก็พาเจ้ายูนิคอร์นไปเดินเล่นรับแสงแดดอ่อนๆกับสายลมโชยเอื่อยๆ...”
“พูดจาเพ้อเจ้อ! เชอะ…ไม่เชื่อก็ตามใจ เราอุตส่าห์หวังดีมาบอกข่าวให้หูตาสว่างว่าพี่ชลกำลังถูกยัยปรางหน้าสวยแต่ใจทรามโฉบไป รู้งี้ไม่น่าคาบมาให้เลย เรื่องส่วนตัวก็ยังไม่จบยังต้องสละเวลางานอันมีค่ามายุ่งเรื่องของชาวบ้านอีก ดูเถอะ...เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง แถมยังต้องเอากระดูกมาแขวนคอ เสียเวลาจริงๆ” ปาลิดาบ่นยาว ยกตัวเองราวกับเป็นนางฟ้าใจดีที่มาช่วยให้เจ้าหญิงตาบอดได้เห็นทางสว่าง
“ไปทำงานต่อดีกว่า อ้อ...เงินเดือนเรายังไม่ออกนะ ช่วยจ่ายค่าน้ำกับขนมให้ด้วยแล้วกัน” แทนดาวพยักหน้าส่งๆแล้วจิ้มขนมคำสุดท้ายเข้าปากที่ชาจนไม่รับรู้รสชาติหวานละมุนของมัน
“ยัยบื้อเอ๊ย! ดี…โง่แบบนี้ก็สมควรแล้วที่พี่ชลถูกฉกไป โธ่เอ๊ย...งั้นไอ้ผลตรวจนี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วสิ ในเมื่อยัยพืชสมุนไพรไม่เชื่อข่าวนั่นอยู่แล้ว พี่ชลก็คงไม่ต้องหาอะไรมาช่วยยันความบริสุทธิ์หรอก” ปลาลิดาขยำรายงานผลการตรวจร่างกายทิ้งถังขยะแถวนั้นแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปย่างขัดใจที่แผนการสร้างความร้าวฉานไม่เป็นผลอย่างที่คิดไว้
ปาลิดามิเคยตระหนักเลยว่าความคิดน้อย คิดเอาชนะ คิดเอาแต่ความสนุกสะใจของตัวเองกำลังจะฆ่า ‘ต้นรัก’ ในรั้วใจของคนสองคนที่ช่วยกันเพาะเมล็ดอย่างยากลำบากกว่าที่จะแตกยอดอ่อนจนใกล้จะผลิดอกอยู่แล้วให้กลับเฉาและคงจะเหี่ยวตายไปในไม่ช้า
พอคล้อยหลังคนส่งสารผู้ปรารถนาดี สองมือน้อยที่สั่นระวิงก็บีบขยำกระดาษใบเดิมจนมันย่นยู่อยู่ในกำมือเดียว ริมฝีปากเม้มหากันจนเจ็บ ไม่ช้าน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดย้อยแล้วถูกปาดจนเหือดไปด้วยปลายนิ้วเกือบจะทันที ในความคิดของแทนดาว...น้ำตาคือเครื่องหมายของความอ่อนแอซึ่งจะต้องซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
“น้องพลูอย่าคิดมากนะครับ พี่กับปรางจบกันไปหลายปีแล้ว ตอนนี้พี่กับเขาก็เป็นเพียงแค่คนเคยรู้จัก...”
จำได้ว่าได้ยินประโยคนี้จากเขาเมื่อไม่นานนี้เองมิใช่หรือ? แค่เห็นรูปก็รู้ตัวแล้วว่าเป็นใครไม่ต้องบอกชื่อย่อหรือบอกใบ้กันให้เขว ลักษณะที่เป็นเขา ความสูง รูปร่าง ทรงผม รสนิยมการแต่งตัว ทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้ในหน่วยความจำอย่างดี เรียกว่าต่อให้หลับตาก็สามารถนึกภาพชายหนุ่มนัยน์ตาสีเหล็กใบหน้าคมคายไร้รอยยิ้มนามว่า ‘ชลธี’ อันมีความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานว่า ‘ทะเล’ ห้วงน้ำกว้างใหญ่จรดเส้นขอบฟ้าอันกระแสของมันซอกซอนไปได้ทุกทิศทุกทางไม่เคยหยุดอยู่ ‘ที่ใด’ และไม่เคยเป็น ‘ของใคร’
“เราเคยเจอแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความสุข พอได้รู้จักเขา...โลกใบนี้ก็ยิ่งน่าอยู่ขึ้นไปอีก แต่...ชีวิตจริงเราไม่ใช่เจ้าหญิงแล้วจะโศกาอาดูรไปทำไมถ้าต้องเจอกับความจริงที่ไม่งดงาม” แทนดาวบอกกับตัวเองพลางคลี่กระดาษในกำมือออกอีกครั้งและรีดให้เรียบที่สุดก่อนจะพับมันใส่กระเป๋าแล้วเดินเร็วๆลงมาจากชั้นบนของร้านกาแฟเจ้าประจำออกมาโบกแท็กซี่

ชลธีมองสาวน้อยที่กำลังคิดถึงมาตลอดหลายวันด้วยสายตาถวิลหาเต็มเปี่ยม เขารีบออกจากห้องประชุมก่อน
เวลาพอได้รับรายงานว่าสาวน้อยคนเดิมมานั่งคอยอยู่ที่นี่ ความดีใจที่ได้เจอกันทำให้ลืมเรื่องข่าวเสียสนิท
“รอพี่นานไหมครับ? ติดนิสัยชอบทำเซอร์ไพรส์แบบพี่ล่ะสิ” ชายหนุ่มเดินมานั่งข้างๆแล้วทำท่าจะกอดแต่อีกฝ่ายรีบเบี่ยงตัวหลบ
“น้องพลูทราบว่าพี่ชลจะเข้าไปที่บ้านวันเสาร์นี้ แต่ว่าคิดถึงจนรอไม่ไหว...เลยมาหาเสียแต่วันนี้ค่ะ” คำพูดรื่นหูชวนแช่มชื่นไม่อาจทำให้ชลธียิ้มได้อย่างสนิทใจนักเพราะมันช่างขัดกับแววตาเรียบเฉยและเนื้อเสียงที่ค่อนไปทางเหน็บแนม
“หืม...จริงเหรอเนี่ย เซอร์ไพรส์จริงๆด้วยที่น้องพลูเป็นฝ่ายบอกคิดถึงพี่ก่อน” มืออุ่นจับปอยผมยาวอย่างแสนคิดถึงแล้วรวบทั้งหมดมาสูดดมเต็มปอด
“ทำไมจะไม่คิดถึงล่ะคะ? วันไหนที่ไม่มีเรื่องของพี่ชลมากวนใจ...วันนั้นก็จะนอนไม่หลับ” ประโยคนี้สะกิดใจคนฟังอย่างมากเพราะตนเคยพูดเหมือนกันว่าถ้าวันไหนไม่มีเรื่องของหล่อนให้คิด วันนั้นก็จะนอนไม่หลับ
“แล้วพี่ไปกวนใจอะไรคนสวยอีกล่ะครับ?” แทนคำตอบ หญิงสาวหยิบกระดาษแผ่นนั้นให้ ชลธมองมันนิดหนึ่งอย่างสังหรณ์ใจแล้วรับมาคลี่อ่าน
“คุณ ช. ในรูปนี่คือพี่ชล ถูกไหมคะ? ส่วนคุณพืชสมุนไพรนี่ฟังดูน่ารักดี...น้องพลูชอบ” รอยยิ้มประชดประชันแย้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนข้างๆนิ่งอึ้งกับของกำนัล
“ใช่...คนในภาพคือพี่ ผู้หญิงที่มองไม่เห็นหน้าคือปราง สถานที่ในภาพ...ก็คือที่นี่” ชลธีตอบรับทันทีจนคนส่งสารต้องแปลกใจเสียเอง แสดงว่าเขารู้เรื่องนี้มาแต่แรกแต่จงใจ ‘ปิด’
“ดีค่ะ...รับกันแมนๆแบบนี้น้องพลูชอบ” แทนดาวยันกายลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่างแล้วทอดสายตามองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย อย่าเพิ่งวิ่งหนี อย่าด่วนสรุป ภาพที่เห็นมีคนจงใจแกล้งให้เราเข้าใจผิดกัน วันนั้นพี่ถูกวางยานอนหลับแล้วก็ไม่ได้มีอะไรกับปราง อ้อ...ไม่ใช่แค่คำพูดปากเปล่านะ พี่มีหลักฐานการตรวจร่างกายด้วย” ชายหนุ่มรีบไปเปิดลิ้นชักแล้วค้นหาอะไรกุกๆกักๆ พอไม่เจอก็เปลี่ยนมารื้อค้นกองเอกสารบนโต๊ะแล้วลามไปตรงชั้นหนังสือ
“อ้าวเฮ้ย! ไปอยู่ที่ไหนวะ?” ชลธีสบถด้วยความโมโหเมื่อหาจดหมายฉบับนั้นไม่เจอ เสียงคุ้ยเขี่ยข้าวของเริ่มดังโครมครามจนเลขานุการสาวต้องเข้ามาดู
“คุณชลหาอะไรคะ? นุชช่วยไหม?”
“ไม่ต้อง! แล้ววันนี้ผมไม่สะดวกพบใคร ไม่รับโทรศัพท์จากใครทั้งนั้น” เสียงตะคอกดังลั่นทำเอาสินีนุชต้องยกมือทาบอกแล้ววิ่งลนลานออกไปเพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่ยังไม่เคยเห็นชลธีใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดเช่นนี้กับพนักงานคนไหนเลยไม่ว่าจะ ‘พื้นเสีย’ มาจากไหนหรือด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
“น้องพลู...พี่กำลังหาผลตรวจร่างกายอยู่ จะได้ดูให้เห็นกับตาว่าสิ่งที่พี่พูดมันเป็นความจริง” เขาร้องบอกแทนดาวที่ยังยืนสงบนิ่งหันหลังให้ตรงริมหน้าต่างบานกระจก
“แม่งเอ๊ย!...เก็บไว้ตรงไหนวะ?” เสียงสบถเป็นระยะสลับกับการรื้อข้าวของยังได้ยินอยู่เรื่อยๆแต่แทนดาวไม่ใส่ใจและไม่เคลื่อนไหวใดๆ อาการไหวติงเพียงอย่างเดียวก็คือมือข้างหนึ่งลูบสัมผัสกับวัตถุเย็นๆที่สวมอยู่บนข้อมือข้างซ้าย
“พี่ชลคะ...ไม่ว่าพี่ชลกำลังหาอะไรอยู่ จะสำคัญมากน้อยแค่ไหน...น้องพลูก็ไม่อยากจะเห็นแล้วล่ะค่ะ”
“น้องพลู...พี่บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร” เขาก้าวยาวๆเข้าไปหาร่างบางที่ยังคงยืนนิ่งแล้วหมุนไหล่ให้หันมาหันมาพูดคุย ดวงตาทรงอัลมอนด์มีแต่ความเงียบสงบจนหัวใจของเขาเริ่มรู้สึกชา แทนดาวปลดมือทั้งสองข้างออกจากไหล่แล้วเดินไปหยุดยืนใกล้โต๊ะทำงานที่มีข้าวของและเอกสารต่างๆที่ถูกรื้อค้นกองสุมอยู่
“น้องพลูไม่ได้ด่วนสรุป...แต่ตรองมาดีแล้วจากการพิจารณาเหตุการณ์หลายครั้งประกอบกัน” คนพูดพยายาม
อย่างยิ่งยวดที่จะบังคับเส้นเสียงไม่ให้สั่นพร้อมๆกับสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลขณะวางกำไลรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ย์ที่เขามอบให้เมื่อครั้งเริ่มต้นความสัมพันธ์อันดี
“ในเมื่อไม่มีทั้งแหวน ไม่มีทั้งกำไล...และ...ไม่มีความไว้วางใจ น้องพลูตัดสินใจลาออกจากสถานรับเลี้ยงต้อยแห่งนี้เพื่อที่คุณ ช. จะได้ไม่ต้องลำบากในการแอบซ่อนซุกลูกเมียอีกต่อไป”
“น้องพลูจ๋า...ได้โปรดเถอะนะ เชื่อใจพี่นะ...อย่าทำแบบนี้สิครับ” ชลธีใจหายและตกใจไปพร้อมๆกันขณะมองดูการกระทำของหญิงสาว
“น้องพลูไม่อยากเป็นเงาของใครทั้งนั้นค่ะ”
“คิดได้ยังไงเนี่ย...พี่ไม่เคยเอาน้องพลูมาแทนใคร” ชลธีส่ายหน้าตกใจกับความคิดนี้
“แล้วทำไมพี่ชลแอบไปมีอะไรกับเธออีกโดยที่ยังคบน้องพลูไปด้วย พี่ชลทำอย่างนั้นทำไมคะ? เผื่อเลือกอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่นะน้องพลู! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ พี่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้น้องพลูเข้าใจ จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อว่าพี่ไม่ได้กลับไปคบหรือมีอะไรกับเขา!” ชลธีรู้สึกถึงก้อนแข็งๆที่จุกตรงคอ การอธิบายว่าไม่ได้มีอะไรกับเปรมยุตานั้นยากกว่าทำให้หล่อนยอมรับฟังคำอธิบายในตอนนี้
“น้องพลูเคยมองว่าพี่ชลมีชีวิตส่วนตัวคล้ายกับพี่หมากหลายอย่างแม้กระทั่งการมีข่าวพัวพันกับสาวๆอยู่เนืองๆ แต่ก็ยอมรับได้เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายเขาเป็นกัน จะต่างกันตรงที่ว่าพี่หมากเป็นคนเด็ดขาดและชัดเจนกับเรื่องนี้มาก รักก็รักจริง...เลิกก็เลิกขาด ตอนนี้น้องพลูเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่หมากถึงไม่ชอบพี่ชล ทำไมถึงกีดกันเรา”
“พี่ไม่เคยหลอกหรือคิดจะเอาน้องพลูมาแทนที่ใคร น้องพลูคือ ‘ความสุขที่หวนคืนมา’ ของพี่ เป็นความรักลึกซึ้งที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบ” เขาพยายามจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยทั้งๆที่แทบจะทรงตัวยืนอยู่ไม่ไหวเพราะหัวใจปริร้าวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงอยู่รอมร่อ
“พี่ชลตัดสินใจอีกครั้งเถอะนะคะ พี่สองคนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่อย่างจริงๆจังๆดีกว่า มัวแต่หลบซ่อนอย่างนี้...คนที่เจ็บที่สุดคงหนีไม่พ้นหนังหน้าไฟอย่างน้องพลู รอยถลอกเล็กๆน้องพลูหายาใส่เองได้...ไม่นานก็หายดี แต่ถ้าปล่อยให้แผลมันกว้างและลึกจนลามกลายเป็นบาดทะยัก...น้องพลูอาจไม่รอดแน่”
คำพูดนุ่มนวลแต่บีบคั้นหัวใจเปล่งออกมาโดยไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย ไม่มีแม้เพียงสักหนึ่งหยดของน้ำตาทำให้ชลธีประจักษ์แก่ตาแก่ใจวินาทีนี้เองว่า...สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวกว่าชายอกสามศอกอย่างเขามากมายนัก หล่อนไม่ต้องการได้รับการถนอมปลอบโยนใดๆ ไม่มีแม้แต่สัญญาณแห่งความเสียอกเสียใจเช่นมวลน้ำตา หรือเพียงแค่ประกายสั่นวูบไหวก็ไม่แสดงให้เห็นเลย
ชลธีต้องกระพริบตาถี่ๆจนแน่ใจว่าสตรีที่ยืนไหล่ตั้งคอตรงคนนี้คือ แทนดาว ทวีกิจไพศาล เด็กสาวที่ใครๆต่างปรามาสว่าอ่อนแอ อ่อนต่อโลกจนไม่สารถปล่อยให้ออกไปใช้ชีวิตตามลำพังได้ ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งห่อไหล่บนโซฟาแล้วแหงนหน้าขึ้นเพื่อบังคับให้น้ำอุ่นๆไหลย้อนกลับเข้าไปในดวงตา เขาไม่โทษใครทั้งนั้นที่เอาเรื่องนี้ไปบอกแทนดาว เขาโทษตัวเองเพียงผู้เดียวที่ปล่อยให้ความผิดซ้ำผิดซากเกิดขึ้นจนมิอาจมีสิทธิ์แก้ตัวใดๆอีก
“แทนดาว ถ้าจะฆ่าพี่ก็ฆ่าร่างกายสกปรกนี้ไปด้วยสิ...อย่าฆ่าแต่หัวใจ” เขาเรียกชื่อหญิงสาวด้วยเสียงอันอ่อนแรงขณะมองตามร่างบางที่เดินห่างไปเรื่อยๆ หัวใจชาด้านจนไม่แน่ใจว่ายังเต้นอยู่หรือเปล่าต่อเมื่อยกมือขึ้นสัมผัสแล้วรู้สึกถึงสัญญาณชีพจรซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้สำนึกได้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่ อันเป็นการหายใจเอาแต่อากาศเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ชีพดำรงอยู่เพียงอย่างเดียว มิได้รับรู้ถึงการมีจิตวิญญาณและสัมผัสจากประสาททั้งห้า
แทนดาวเดินออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างคนที่ไร้หัวใจไม่ต่างกัน ด้วยความตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกถึงความรักอื่นใดนอกจากความรักที่ครอบครัวมีให้ หัวใจดวงน้อยไม่เคยต้องชอกช้ำเพราะพิษแห่งรักเสน่หาอันเกิดกับเพศตรงข้าม เลยไม่แน่ใจว่าไอ้ความรู้สึกโหวงเหวงหน่วงๆที่เป็นอยู่นี่คืออาการของคนที่ผิดหวังในความรักหรือไม่ แต่เท่าที่นึกออก...ไม่ว่าจะในละครหรือในหนังสือนวนิยายก็บรรยายถึงคนช้ำรักว่ามีสภาพตรอมตรมหัวใจ หม่นหมองโศกเศร้า ยิ่งถ้าเป็นนางเอกก็ต้องร้องไห้ฟูมฟายเป็นวรรคเป็นเวร มือบางยกขึ้นสัมผัสดวงตาของตัวเองแผ่วเบาเพื่อลองตรวจสอบดูว่ามีน้ำตาไหลออกมาบ้างหรือไม่ เมื่อไม่พบกับความเปียกชื้นบนแก้มก็แปลกใจว่าทำไมอาการผิดหวังในความรักของตนถึงไม่เหมือนกับนางเอกละครเอาเสียเลย
“แทนดาว....ร้องไห้ออกมาเถิด เธอรักเขามากขนาดนี้...จะไม่ร้องไห้สักนิดเลยเหรอที่ต้องตัดใจคืนเขาให้เจ้าของเดิมไป”

“วันนี้คุณชลอารมณ์เสียมาจากไหนก็ไม่รู้ค่ะ นุชโดนตวาดลั่นเลย คุณแทนดาวก็นั่งหน้าซีดอยู่ในห้องด้วย สงสัยคงทะเลาะกันแรงเลยล่ะค่ะ” เสียงบทสนทนาที่ดังลอดมาจากห้องน้ำข้างๆสะกดหญิงสาวที่กำลังจะล้างหน้าล้างตาหยุดยืนฟังนิ่งโดยอัตโนมัติเพราะมีการเอ่ยชื่อตนเอง ไม่เพียงเท่านั้น...จิตสำนึกสั่งให้เข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ติดกันแล้วรีบหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมากดอัดเสียงที่ดังข้ามผนังกั้นเข้ามา
“อ้อ...นุชเล่าให้ฟังหรือยังคะ ว่าวันก่อนคุณลูกปลามาที่ออฟฟิศด้วยค่ะ มากับเจ้านายใหม่นั่นแหละ ไม่รู้ว่ามาหาหลักฐานเรื่องนั้นหรือเปล่า อุ๊ย...ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ นุชจัดการลบร่องรอยไม่ให้ใครสาวถึงตัวพวกเราได้หรอกค่ะ” แทนดาวยกมือปิดปากกลั้นเสียงอุทาน คำว่า ‘พวกเรา’ แสดงว่ามีคนอื่นร่วมวางแผนกับสินีนุชใส่ร้ายปาลิดา
“ว่าแต่...นุชมีเรื่องต้องใช้เงินสิ้นเดือนนี้อีกสามหมื่น คุณพอจะมีให้ไหม? แหม...เงินสองแสนนั่นหมดไปตั้งนานแล้วค่ะ ไอ้เจ้าหนี้มันมาทวงอยู่หน้าบ้านปาวๆทุกวัน ถ้าไม่คืนให้มัน...นุชคงโดนยำเละแน่ ขอครั้งนี้แค่สามหมื่นเท่านั้นค่ะ แล้วเรื่องนั้นจะเป็นความลับตลอดไป” แทนดาวแนบหูกับผนังกั้นให้มากขึ้นไปอีกเพื่อเก็บรายละเอียด มือที่กำโทรศัพท์เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
“นุชไม่ได้จะหักหลังคุณนะคะ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ขอหรอกค่ะ คิดดูนะ...กว่าจะหาทางกำจัดคุณลูกปลาไปได้ต้องเสี่ยงตารางขนาดไหน ถ้าคุณชลรู้เข้านุชไม่รอดแน่ โอนเข้าบัญชีเดิมเลยค่ะ...คุณปราง” บทสนทนาจบเพียงแค่นั้นแล้วก็มีเสียงกดน้ำตามมา แทนดาวรอจนมั่นใจว่าได้ยินเสียงคนเดินออกไปแล้วก็ลอบระบายลมหายใจยาว ปาลิดาถูกใส่ร้ายจริงๆแล้วเป็นโชคดีเหลือเกินที่เก็บหลักฐานไว้ได้ ถ้า ‘ปราง’ ที่สินินุชเลขาฯหน้าห้องของชลธีคุยด้วยคือคนๆเดียวกับ ‘ปรางของคุณ ช.’ แล้วล่ะก็...อยากรู้จริงๆว่าชลธีจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร
“พี่ชลเลี้ยงงูพิษไว้ใกล้ตัวแท้ๆ ทีนี้ปาลิดาจะได้พ้นข้อครหาเสียที” แทนดาวเก็บโทรศัพท์แล้วรีบออกมา สิ่งที่จะทำต่อไปคือนำหลักฐานไปให้ปาลิดาแล้วก็ให้มาบอกเล่าเก้าสิบกับชลธีเอาเอง หล่อนจะไม่มีวันไปพบหน้าหรือเอาตัวเข้าไปพัวพันกับผู้ชายคนนั้นอีกเด็ดขาด

เกือบเที่ยงคืนแล้วที่แทนดาวยังคงนั่งจมโซฟาในห้องรับแขก สายตาว่างเปล่าจับจ้องโทรทัศน์ที่เปิดรายการประกวดร้องเพลงของต่างประเทศทิ้งไว้แต่ดูเหมือนจิตใจของคนดูไม่ได้จดจ่อที่หน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลย ตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปล่อยให้ใจมันล่องลอยไปแห่งหนใด นานๆทีก็จะหยิบเอาโทรศัพท์มาดู มีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับอยู่สิบห้าสายจากคนๆเดียวกัน ในครั้งสุดท้ายที่เบอร์นั้นโทรเข้ามาก็ตัดสินใจตั้งค่า ‘ปฏิเสธสาย’ ในที่สุด หญิงสาวตัดสินใจดีแล้วว่าจะไม่รับ ไม่คุย ไม่เปิดประตูให้บุรุษหน้านิ่งคนนั้นเข้ามาอยู่ในวังวนชีวิตอีก
“น้องพลู...ครึ่งค่อนคืนแล้วทำไมยังไม่ไปนอนอีก พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่เหรอคะ?” เทียมภพที่เพิ่งกลับถึงบ้านแปลกใจที่เห็นไฟในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ เห็นน้องสาวนั่งดูรายการโทรทัศน์รอบดึกก็ยิ่งสงสัยเพราะตามปรกติวิสัยของคนเกิดทีหลังไม่เคยรอดูอะไรตอนดึกดื่น ถ้าเป็นรายการโปรดจริงๆก็จะไปหาคลิปย้อนหลังมาดู
“น้องพลูซ้อมพูดพรีเซ้นต์โปรเจคพรุ่งนี้ค่ะ” คำตอบเรียบเฉยทำให้รู้สึกตะหงิดๆ เทียมภพเหวี่ยงเสื้อนอกพาดกับเท้าแขนแล้วย่อตัวลงนั่งข้างๆมองหน้าน้องสาวอย่างตั้งคำถาม ดวงตาสีนิลเหลือบมองบนโต๊ะกาแฟก็ไม่เห็นมีหนังสืออะไรสักเล่มหรือชีทสักแผ่นนอกจากกระดาษยับยู่ยี่แผ่นเดียว
“เหรอคะ? พี่ว่าไม่ใช่มั้ง พี่เลี้ยงของพี่มา...รู้หรอกว่าน้องพลู ‘มีเรื่อง’ อยากคุยกับพี่” เทียมภพกดรีโมทปิดทีวีปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องกว้าง แทนดาวมองหน้าพี่ชายด้วยสายตาราบเรียบอยู่อย่างนั้น
“น้องพลูเพิ่งรู้ว่า...ตัวเองเริ่มจะดังแล้ว ได้เป็นข่าวกับเขาด้วย อ่านแต่ข่าวของพี่หมากมานาน พอได้อ่านข่าวตัวเองบ้าง...มันเขินชอบกลค่ะ” คำตอบเป็นปริศนาทำให้คนรอฟังต้องนิ่งคิดก่อนจะหยิบกระดาษยับๆแผ่นนั้นมาดู ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนานเพื่อหาคำอธิบายที่คิดว่าจะกระทบความรู้สึกของคนฟังให้น้อยที่สุดแต่มันตันไปหมดทุกทาง คิดว่าได้ทำทุกวิถีทางอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เรื่องนี้รู้ถึงน้องสาวที่รัก
“ได้มายังไง?”
“ประเด็นสำคัญไม่ใช่ว่าน้องพลูได้ข่าวนี้มายังไงหรอกค่ะ แต่ที่ติดใจก็คือ...พี่หมากรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ?”
“มันก็แค่ข่าวซุบซิบไร้สาระ คนหน้าคล้ายคนโน้นคนนี้ก็เอามาเขียนล่อเป้าเรียกแขกเข้าไปดูเพื่อเพิ่มเรตติ้ง จะได้
มีแฟนเพจตามเยอะๆ ค่าโฆษณาต่างๆก็จะตามมา มันเป็นกลยุทธ์การตลาดน่ะจ้ะ”
“ถ้ามันไร้สาระ ถ้ามันเป็นแค่ ‘คนหน้าคล้าย’ อย่างที่พี่หมากว่า แล้วทำไมต้องปิดกันด้วยคะ? น้องพลูเข้าไปหาข่าวนี้ในเน็ตก็ไม่เจอแล้ว”
“นี่...ไอ้เจ้าของเพจคงได้สติรู้ว่าถ้าลงข่าวมั่วๆสุ่มสี่สุ่มห้าก็โดนฟ้องกระเป๋ากลวงน่ะสิ หรือไม่...ไอ้คนที่ดัน ‘หน้าคล้าย’ กับคนในข่าวอาจจะไปเจรจาให้ลบทิ้งล่ะมั้ง” เทียมภพหลบตาน้องสาวที่จ้องมองมาอย่างจับผิด
“นี่พี่หมากยังคิดว่า...น้องพลูเปราะบาง เหยาะแหยะ จนไม่อาจจะทนดูหรือรับรู้เรื่องอะไรพวกนี้ได้เหรอคะ? ถึงต้องระแวดระวังปิดบังอำพรางกันตลอด”
“ช่างมันเถอะน่า...เรื่องกากขยากแบบนี้อย่าไปใส่ใจให้รกสมองเลย...ไปนอนเถอะไป” เทียมภพรีบลุกขึ้นแล้วจะฉุดตัวน้องสาวให้ลุกตามแต่ก็กลับถูกดึงแขนให้นั่งลงอย่างเดิม
“พี่ชล คุณปราง น้องพลู รักสามเส้า....เราสามคน นี่ถ้าน้องพลูมียางอายน้อยกว่านี้นิดเดียว...ก็จะโทรเรียกนักข่าวมานั่งฟังแถลงว่าตัวเองสละตำแหน่งเส้าที่สามไปแล้ว”
“น้องพลูพูดจาอะไร? ฟังไม่เพราะหูเลยนะ นี่...พี่ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันเป็นมุมกล้อง” เทียมภพบีบมือน้องสาวแน่นขึ้นพร้อมๆกับห้ามฟันไม่ให้กัดลิ้นตัวเองที่ยอมกลืนน้ำลายหยิบยกเอาประโยคเดียวกับที่ชลธีพูดวันนั้นมาใช้กับน้องสาว เขาไม่ต้องการให้แทนดาวต้องคิดมากกับสิ่งที่เห็น ที่สำคัญ...อยากให้เรื่องระหว่างน้องกับอดีตเพื่อนรักจบลงอย่างนุ่มนวลที่สุด
“วันนี้น้องพลูไปพบพี่ชลมาค่ะ” คำสารภาพทำให้อาการกังวลของคนพี่แปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มดังเพลิงเผาแต่ก็ยอมสงบเสงี่ยมไม่โวยวาย
“ไปทำไม!”
“ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของพี่หมากไงคะ จะได้ไม่ต้องเป็นธุระไปบอกเขาว่าห้ามมายุ่งกับน้องพลูอีก”
“คืออะไร?” เทียมภพลูบแก้มซีดๆของน้องสาวจนรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นจัดจนเกือบร้อน อุ้งมืออุ่นคอยลูบหลังไหล่
ราวกับจะช่วยซับความหม่นหมองในหัวใจที่เริ่มฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวย
“น้องพลูไปบอกยุติความสัมพันธ์กับเขา...ด้วยตัวเอง” แทนดาวจับมือทั้งสองข้างของพี่ชายแน่นคล้ายกับจะใช้มันยึดเหนี่ยวไม่ให้ตกลงไปในบ่อแห่งความทรมานอารมณ์
“น้องพลู...ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” เทียมภพกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วกอดน้องสาวแนบอก น่าแปลก...ที่กลับไม่โล่งอกโล่งใจเรื่องที่ได้ยิน ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องเป็นกังวลในเมื่อคนที่เขารักพบทางสว่างแล้ว เขาควรจะดีใจด้วยสิถึงจะถูก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้องพลูกับเขารู้จักกันในเวลาอันสั้น มันไม่ลึกซึ้งเกินไปกว่านี้ได้หรอกค่ะ” แทนดาวยันตัวออกจากอกอุ่นแล้วยิ้มเศร้าๆให้พี่ชาย เทียมภพมองน้องสาวเพื่อหาร่องรอยหยาดน้ำตาแต่ก็ไม่มีออกมาให้เห็นเลย เขากดศีรษะเล็กให้แนบอกเพื่อซ่อนรอยทุกข์ใจที่เห็นน้องสาวต้องเศร้าสร้อย ตัวเองก็เจ็บไม่แพ้กันที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัญญาว่าจะรักและดูแลไม่ให้น้องคนนี้ต้องพบกับความผิดหวังหรือเสียใจ แล้วสิ่งที่คนเกิดทีหลังกำลังเผชิญอยู่คืออะไร? จะเจ็บ จะทุกข์ทนแค่ไหน?
เทียมภพรู้ซึ้งดีว่าการพลาดหวังจากคนที่เรารักมันเจ็บปวดทรมานเกินจะเอ่ย นึกถึงคราวที่ตัวเองใช้เวลานับแรมปีในการลบลืมเรื่องราวและสมานแผลบาดเจ็บในหัวใจ แล้วแทนดาวที่ถูกฟูมฟักมาอย่างทะนุถนอมจะรับมือกับความเจ็บปวดได้หรือ?
“ถ้าหนูเจ็บ...อัดอั้น...หรือเสียใจก็ระบายออกมาสิจ๊ะ พี่หมากของหนูอยู่ตรงนี้...ร้องออกมาสักนิดสิคะ ให้พี่ได้สบายใจว่าหนูรู้จักปลดปล่อยความรู้สึกเสียใจกับความรักที่ไม่แฮปปี้ เอนดิ้ง” ฝ่ามืออุ่นช้อนประคองใบหน้าซีดเซียวไว้ในอุ้งมือแล้วจุมพิตแผ่วตรงหน้าผากลาดนูนเป็นการปลุกปลอบ
“ไม่ต้องปลอบน้องพลูหรอกค่ะ ใจมันชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะ นี่มันคือชีวิตของจริงค่ะ...ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีปราสาท ไม่มีม้ายูนิคอร์นหรือกระต่ายขนปุย เลิกพยายามปกป้องน้องพลูจากโลกไร้มลภาวะได้แล้วนะคะ ขอให้น้องพลูได้ลองเจอกับความผิดหวังเหมือนๆกับคนทั่วไป” แทนดาวเสียเองเป็นฝ่ายพูดให้พี่ชายสบายใจ เทียมภพรู้สึกป่วนปั่นที่ตอนนี้ความคิดในหัวตีกันวุ่นไปหมด แทนดาวไม่ตกใจหรือฟูมฟายกับภาพที่เห็นอย่างที่คิดพะวงไปเอง ไม่ร้องไห้แทบบ้าคลั่งกับความผิดหวังในรักอย่างที่คาดการณ์ไว้ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าน้องสาวต้องแบกรับความทุกข์โศกขนาดไหน หล่อนกำลังว่ายวนอยู่ในท้องทะเลแห่งความโศกเศร้าและว่ายทวนกระแสความหนาวเหน็บของเกลียวคลื่นแห่งความขื่นขมที่ตีซัดเข้ามาในชีวิตเป็นระลอกแรก ความเหนื่อยล้าทำให้อ่อนกำลังจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขับน้ำตาออกมา!
แทนดาวครวญคิดซ้ำไปซ้ำมา หรือเป็นเพราะตั้งแต่แต่รู้จักกับบุรุษนัยน์ตาสีเหล็กคนนี้ก็มีเรื่องให้เสียน้ำตาเล็กๆน้อยๆอยู่เนืองนิจจนเคยชินเสียแล้ว ครั้งนี้จึงไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ก็ดีแล้วมิใช่หรือที่ยับยั้งหัวใจเปราะบางไม่ให้ถลำเกินเลยไปมากกว่านี้
จงเจ็บเสีย...จงปวดใจเสียให้รู้รสของพิษสงแห่งรัก หลังจากวันนี้จะไม่อีกแล้ว...ดาวดวงนี้จะทอแสงเพียงหรี่เรืองซ่อนตัวตรงเส้นขอบฟ้าอันมืดมิดเพียงลำพัง มิอาจล่องลอยไปเปล่งประกายไสวสว่างเพียงหนึ่งเดียว ณ ท้องทะเลแห่งนั้น

“สีผึ้ง...ทำไมไอ้นี่ถึงหลุดมาได้?” ปลายเดือนเดินปิดปากหาวหวอดๆลงบันไดมาอย่าง่วงงุนเพราะถูกพี่ชายขี้ใจร้อนปลุกมาคุยกลางดึก หญิงสาวขยี้ตาสองสามครั้งแล้วดูสิ่งที่พี่ชายยัดใส่มือให้
“อะไรคะ? เอ๋....นี่พี่หมากไปเอามาจากไหนอีกล่ะ?” ปลายเดือนเบิ่งตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชัดเจน
“พี่ต้องถามมากกว่า จำได้ไหม...วันนั้นพี่ให้เราจ่ายเงินเพื่อลบข่าวนี่ ทำไมยัยพลูถึงได้มันมา?”
“จำได้สิคะ ก็พี่หมากโทรบอกผึ้งให้โอนเงินตั้งแสนให้เพจบ้านั่น ผึ้งก็รีบดำเนินการทันทีโดยไม่มีใครรู้เพราะว่าเป็น
คนโอนเงินออนไลน์ด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้เลขาฯหรือบอกใครเลย อีกอย่าง...ผึ้งรู้มาว่าไอ้คนเขียนข่าวไปมีเรื่องกับนักเลงที่ไหนไม่รู้ ป่านนี้ยังนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงพยาบาลแน่ะ มันคงไม่มีแรงวิ่งโร่คาบข่าวมาให้หรอก” ปลายเดือนมองหน้าพี่ชายสลับกับภาพนั้นงงๆ
“พี่บอกตรงๆว่าไม่อยากจะคิดเยอะแต่ก็อดไม่ได้ สีผึ้ง...พี่พอรู้มาว่าเราเองก็คิดยังไงกับไอ้ชล แต่...ใบพลูเป็นน้องนะ! ทำไมต้องทำร้ายจิตใจน้องแบบนี้ด้วยล่ะ?”
“พี่หมาก! นี่พี่คิดว่าผึ้งเอาข่าวนี้ให้น้องดูเหรอคะ? ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะเสียเงินเป็นแสนทำไมกัน สู้ปล่อยให้มันเอาลงทั้งภาพทั้งคลิปไปเลยไม่ดีกว่าเหรอคะ?” ปลายเดือนเถียงคอขึ้นเอ็นพร้อมกับมองหน้าคนเป็นพี่อย่างผิดหวัง
“พี่ขอโทษ...คือ...พี่แค่อยากรู้เท่านั้นเอง”
“ใช่สิคะ...ผึ้งมันแค่ลูกผู้น้อง พี่หมากจะมาไว้เนื้อเชื่อใจอะไร” น้ำเสียงสั่นไหวตัดพ้อระคนโกรธทำให้เทียมภพหน้าสลดที่วู่วามจนไม่ทันคิดไตร่ตรอง
“สีผึ้ง! ทำไมพูดแบบนี้? พี่รักเราเท่าๆกับยัยพลูนั่นแหละ เอาเถอะ...อาจจะมีใครบางคนที่เก็บข่าวนี้ได้ทันก่อนโดนลบแล้วเอามาให้ยัยพลูดูโดยไม่ตั้งใจ ไปนอนเถอะ...พี่ไม่รบกวนแล้ว” เทียมภพบีบบ่าน้องสาวคนรองแล้วเดินกลับไป ปลายเดือนมองตามขณะที่ในใจก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ
“ใครกันที่ส่งข่าวนี้ให้ยัยพลู คงกะจะทำให้สองคนนี้ผิดใจกันล่ะสิ”
“แต่จะว่าไป...มุขบ้านๆสร้างความร้าวฉานแบบนี้ดูอ่อนไปเสียหน่อย เพราะถ้าผึ้งคิดจะทำลายใบพลูจริงๆ มันต้องแรงกว่านี้ค่ะ..พี่หมาก” หญิงสาวกระซิบกระซาบกับตัวเอง ไม่มีใครจะได้เห็นประกายตาบางอย่างที่ลุกพรึ่บราวเปลวเทียนถูกน้ำมันเบนซิน






Create Date : 27 เมษายน 2559
Last Update : 29 เมษายน 2559 9:33:37 น.
Counter : 668 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com