สุดปลายทาง...ไม่ว่างเปล่า
สุดปลายทาง…ไม่ว่างเปล่า


หนึ่งอาทิตย์ผ่านมาแล้วที่น้ำมนต์นอนดึกติดต่อกัน ก็จะอะไรซะอีกล่ะ…หนังสือเตรียมสอบกองพะเนินเทินทึกที่ยังไม่ได้อ่านอีกกว่าครึ่ง เธอรู้สึกกลุ้มใจมากว่าจะอ่านได้ทันหรือเปล่าเพราะวันสอบก็กระชั้นเข้ามาทุกๆวัน เธอทุ่มเทเวลาทั้งหมดกับการอ่านหนังสือเพื่อคณะแพทยศาสตร์ที่เธอใฝ่ฝัน แน่ละ…ว่าน้ำมนต์ต้องเรียนเก่ง เธอเรียนเก่งมาก…มากเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีความกังวลใจเกี่ยวกับการสอบครั้งนี้เสียมากมาย แว่นตาหนาเตอะใหญ่เบ้อเริ่มกับหนังสือเตรียมสอบนับสิบเล่มการันตีถึงความโลภวิชาความรู้ของเธออย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“โอ๊ย! ฉันอยากจะตาย” เธอบ่นกับตัวเองเบาๆพลางถอดแว่นตาวางลงบนหนังสือ เอนหลังกับพนักเก้าอี้พร้อมกับยกมือทั้งสองกุมขมับ น้ำมนต์เบื่อ…เบื่อเหลือเกิน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันคือหนทางสู่ความสำเร็จของเธอ

“สงสัยต้องเรียนพิเศษเพิ่มแล้วล่ะ” ในที่สุดน้ำมนต์ก็ต้องหาที่พึ่ง ซึ่งการกระทำนี้เป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ของเธออย่างแรง เพราะเธอเที่ยวบอกใครต่อใครว่าจะใช้ความสามารถของตัวเอง ไม่อาศัยสถาบันกวดวิชาแบบคนอื่นๆ แต่ถึงเวลานี้เธอกลับเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว เอ…แต่ที่ไหนล่ะ จะให้ไปนั่งเรียนตามติวเตอร์ต่างๆก็ไม่ชอบเสียด้วย จ้างครูมาสอนตัวต่อตัวดูจะเข้าท่ากว่า คิดได้ดังนั้นแล้ว น้ำมนต์จึงไปบอกแม่

“แม่คะ…ช่วยหาครูมาสอนพิเศษให้มนต์หน่อยซิคะ”

“เราน่ะรึจะเรียนพิเศษ” แม่ถามด้วยความแปลกใจ

“แน่ล่ะค่ะ มนต์อ่านหนังสือไม่ไหวแล้ว”

“แล้วแบบไหนล่ะ ถึงจะถูกใจ”

“เอาที่เก่งๆนะคะ เป็นศาสตราจารย์หรือดอกเตอร์ด้วยก็ยิ่งดี” สามวันต่อมา น้ำมนต์ก็ได้ครูสอนพิเศษที่ไม่ค่อยจะน่าไว้ใจนัก วันแรกของการเรียนเธอจึงสอบสัมภาษณ์ครูคนใหม่เสียละเอียดยิบ

“ชื่ออะไรคะ”

“ชาณุ เรียกพี่เก่งก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัว พลางคิดในใจว่า ยัยน้ำมนต์คนนี้หยิ่ง ทะนงตัวชะมัด

“จบอะไรมา”

“วิศวะ กำลังรอรับปริญญา” ชาณุรู้สึกหมั่นไส้น้ำมนต์เหลือกำลัง

“อะไรกัน! เพิ่งจบ…แล้วงี้จะสอนมนต์ได้เร้อ…มนต์น่ะไม่ชอบให้ท่องตำรามาสอนนะ” น้ำมนต์ยังวางท่าไม่เลิก ก็คนอะไร…ขี้เก๊กชะมัด

“ไม่ลองแล้วรู้จะเหรอครับ ผมว่าเราควรเริ่มเรียนกันได้แล้ว เพราะผมมีงานที่ต้องทำต่อ ไม่มีเวลามาคุยเล่นมากนัก” ชาณุเพียงพูดให้ฟังเฉยๆ แต่คนฟังคิดไปอีกแบบ

“นี่ว่ามนต์ชวนคุยไร้สาระงั้นเหรอ มนต์จ้างคุณมาสอนนะ ไม่ใช่ให้มาต่อล้อต่อเถียงอย่างนี้” น้ำมนต์แหวใส่ ชาณุนิ่งเงียบพยายามข่มอารมณ์

“เอาล่ะ ผมจะสอนแล้วนะ คุณไม่เรียนก็ตามใจ” ว่าแล้วชาณุก็เริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง น้ำมนต์ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องนั่งเรียนด้วยความขัดใจ

ถึงน้ำมนต์จะไม่ค่อยถูกใจครูอย่างเขานัก แต่เธอก็อดทึ่งไม่ได้ที่เขาเก่งกว่าที่เธอคิด สอนได้เข้าใจไม่ว่าเธอจะแกล้งถามอะไรที่ยากๆก็ตาม ส่วนชาณุ…ถึงแม้บางครั้งจะรู้ว่าถูกแกล้งแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ในเมื่ออยากลองภูมิ…เขาก็ยิ่งแสดงภูมิออกมา ทำให้น้ำมนต์อึ้งไปหลายครั้งเหมือนกัน อย่างวันนี้เธอก็แกล้งเขาอีก

“ไม่เอาแล้ว…ไม่เรียนแล้ว ไม่เข้าใจเลย” น้ำมนต์บ่นพลางปิดหนังสือเรียน

“ผมว่าเรื่องนี้มนต์น่าจะรู้เรื่องนะ มันง่ายกว่าเรื่องที่แล้วซะอีก”

“ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆนี่นา สอนอะไรก็ไม่รู้…ไม่เข้าใจเลย”

“ไม่เข้าใจจริงๆหรือว่าแกล้งโง่กันแน่” เขาเหลืออดขึ้นมาจริงๆเลยว่าให้

“เอ๊ะ! มีสิทธ์อะไรมาว่าฉันแบบนี้…ฮะ!” แล้วน้ำมนต์ก็ปัดหนังสือทุกเล่มบนโต๊ะหล่นลงพื้นทั้งของเขาและของตัวเอง

“น้ำมนต์… ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร แต่ผมบอกได้ว่าผมทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดแล้ว ถ้าคุณไม่พอใจผม ผมก็จะไม่เป็นครูของคุณ” ว่าแล้วชาณุก็ก้มลงเก็บหนังสือของตัวเองเตรียมกลับบ้าน น้ำมนต์เพิ่งเห็นเขาทำหน้าเครียดจริงจังก็พาลให้ใจเสียกลัวเขาจะไม่มาสอนอีก

“เดี๋ยวสิ! คุณยังไปไหนไม่ได้นะ มันยังไม่ครบกำหนดที่สัญญากันไว้นะ”

“ผมคงสอนคนเก่งมากๆอย่างคุณไม่ได้หรอกเพราะผมคงไม่เก่งพอ”

“แต่มันใกล้วันสอบแล้วนะ ฉันจะไปหาครูที่ไหนทัน คุณต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์สิ” น้ำมนต์ต่อรอง ชาณุไม่อยากมีปัญหาเพราะเกรงใจแม่เธอมาก

“คุณต้องสัญญาก่อนสิ ว่าจะทำตัวให้น่ารักกว่านี้ แล้วก็เลิกแกล้งผมซะที”

“ก็ได้” น้ำมนต์รับคำห้วนๆ แล้วการเรียนการสอนก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยที่น้ำมนต์ไม่ได้แผลงฤทธิ์อีกเลย

เหลืออีกห้าวันก็ถึงวันสอบเอ็นทรานซ์แล้ว น้ำมนต์ยังไม่หยุดคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่ชาณุจะมาสอนพิเศษให้กับเธอ น้ำมนต์รู้สึกว่าพักหลังๆนี้เขาดูแปลกๆไป ดูซูบซีด ท่าทางเหนื่อยเพลียชอบกล คงเป็นเพราะเขาทำงานหนักเกินไปกระมัง รู้สึกเป็นห่วง…เป็นห่วง! นี่เธอแอบเป็นห่วงเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่

“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยสอนมนต์” เธอกล่าวขอบคุณเขาเมื่อหน้าที่ของเขาสิ้นสุดลง และเขา…กำลังจะไป

“น้ำมนต์…ไปเที่ยวกันมั้ย” น้ำมนต์ชะงัก รู้สึกตกใจ งุนงงที่จู่ๆเขามาชวนไปเที่ยว แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ถือโอกาสเลี้ยงขอบคุณเขาเสียเลย

“ค่ะ…งั้นขอเวลาแต่งตัวครึ่งชั่วโมง”

“วันนี้น้ำมนต์รู้สึกมีความสุขบอกไม่ถูกที่ได้ออกมาเที่ยวผ่อนคลาย หรือว่าจะเป็นเพราะได้เดินกับเขาก็มิอาจทราบได้ ชาณุเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเธอเลย นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้หัวเราะ มันคงจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป วันนี้ทั้งสองดูหนังด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน น้ำมนต์อยากให้ความสุขแบบนี้คงอยู่กับเธอตลอดไป แต่…ความสุขมักจะอยู่กับคนเราได้ไม่นาน
…………………………………………………………..

น้ำมนต์มองโปสการ์ดเก่าๆที่มีรูปดอกทานตะวันเล็กๆกำลังยืนหยัดอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน มันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน เธอจำไม่ได้ว่าอ่านโปสการ์ดใบนี้กี่ครั้งแล้ว รู้เพียงว่า ไม่มีวันไหนที่เธอไม่อ่านโปสการ์ดใบนี้แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 8 ปีเต็ม หลังจากที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันคราวนั้น…8 ปีแล้วที่ไม่ได้พบเขาอีกเลย น้ำมนต์ถือโปสการ์ดใบเดิมแนบอก เดินไปหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปยังละอองหิมะที่กำลังโปรยปราย ทั้งๆที่ในห้องมีเครื่องปรับอุณหภูมิแต่เธอกลับรู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆ มันเป็นความหนาวในหัวใจที่เธอต้องทนมานานหลายปี และวันนี้ก็ครบเดือนพอดีที่เธอมาเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษหลังจบโทจากอเมริกา เธอก้มหน้าลงบรรจงอ่านข้อความสั้นๆที่เขียนด้วยลายมือที่เธอจะจดจำไปชั่วชีวิต ลายมือของเขาคนนั้น…ที่เธอไม่เคยลืมเลือน

“จงอดทน ยืนหยัด และมั่นคงเหมือนทานตะวันดอกนี้”


“เป็นกำลังใจให้เสมอ พี่เก่ง”


น้ำมนต์อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก จำได้ว่ารับโปสการ์ดใบนี้วันเดียวกับวันที่ประกาศผลสอบ น้ำมนต์ได้เรียนแพทย์สมความตั้งใจ เธอพยายามตามหาเขาเพื่อขอบคุณ แม้วินาทีนี้…ก็ยังคงหวังว่าจะได้พบเขาอีกสักครั้ง อยากจะขอบคุณเขาที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอมีวันนี้ และจะถามว่าทำไมถึงหายหน้าไปเฉยๆแบบนี้ น้ำมนต์ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ความโศกเศร้าโหมกระหน่ำรุนแรงไม่แพ้หิมะข้างนออก อ่อนล้าจนแทบทนไม่ไหว หากแต่ข้อความบนโปสการ์ดนั้นเรียกสติให้กลับคืนมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง และรู้สึกได้ถึงกำลังใจที่เข้มแข็งขึ้นทีละน้อย ทำให้พร้อมที่จะก้าวต่อไปได้ในที่สุด

น้ำมนต์ไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า ระหว่างทางเธอเดินผ่านร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ที่ประตูกระจกปิดประกาศรับสมัครพนักงานขาย น้ำมนต์เพ่งพิศพลางคิดในใจอยู่นาน เธออยากจะทำงานบ้าง เพราะตั้งแต่เรียนจบและจากบ้านเกิดเมืองนอนมาหลายปี เธอไม่เคยได้ทำงานเลย แอบขันตัวเองที่อายุก็ 25 แล้ว แต่ยังต้องขอเงินพ่อแม่เรียนหนังสือ คงไม่มีแพทย์ปริญญาเอกคนไหนเป็นแบบเธอแน่นอน คิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าไปในร้านนั้นด้วยความมั่นใจ

น้ำมนต์ออกมาจากร้านกาแฟอีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากเข้าไปคุยอยู่กับเจ้าของร้านอยู่นาน เธอได้ทำงานที่นี่สมความตั้งใจ ทีนี้ก็ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่มากเหมือนเดิมอีก แม้ว่าวันนี้จะเรียนค่อนข้างหนัก แต่น้ำมนต์ก็รู้สึกสนุกเพราะตอนเย็นจะได้ไปทำงาน วันนี้เธอจึงแวะไปขอพรที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์หน้าโบสถ์แห่งหนึ่ง เธอยืนหันหลังให้บ่อน้ำนั้นก่อนจะตั้งใจอธิษฐาน แต่แทนที่จะขอพรให้มีโชคในการทำงานอย่างที่คิดไว้ทีแรก เธอกลับขอให้ได้พบเขาคนนั้นอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรมาดลใจให้คิดแบบนี้ เธอค่อยๆโยนเหรียญลงไปใจบ่อน้ำอย่างตั้งใจ น้ำมนต์ไม่ได้หวังให้คำอธิษฐานนี้เป็นจริงหรอก เพราะเธอก็ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่ทำก็เพื่อความสบายใจเท่านั้น

“Excuse me” ชายคนหนึ่งหยิบเหรียญส่งคืนให้เธอ เพราะว่าเธอโยนเหรียญพลาดไม่ลงบ่อ น้ำมนต์อายมากขณะรับเหรียญมาจากชายคนนั้นพร้อมกล่าวขอบคุณ แต่พอเงยหน้าเพื่อมองดูชายใจดีคนนี้ น้ำมนต์ก็แทบช็อค พยายามกระพริบตาถี่ๆหลายครั้งเพื่อความแน่ใจ เหมือน…เหมือนเขาจริงๆ แต่ก่อนที่เธอจะขยับปากพูดอะไร เขาก็เดินจากไปเสียแล้ว ทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้นเอง

น้ำมนต์ชงกาแฟอย่างเหม่อลอยจนถูกเจ้าของร้านต่อว่าหลายครั้ง แต่มันยังไม่สามารถทำให้เธอหยุดคิดถึงชายหนุ่มที่เจอในวันนี้ไม่ได้ ผู้ชายผมยาวคนนั้น เขาไม่ใช่คนอังกฤษแน่นอน น้ำมนต์มั่นใจ และที่สำคัญที่สุด…เขาเหมือนพี่เก่งมาก เธออยากจะเจอเขาอีกครั้ง อยากจะดูให้แน่ใจว่าใช่หรือไม่ ความหวังจุดประกายขึ้นในหัวใจอีกครั้ง ก่อนที่หมอคนนี้จะเดินไปเสิร์ฟกาแฟ
……………………………………………………………..

สามอาทิตย์แล้วที่น้ำมนต์เฝ้ารอหนุ่มผมยาวคนนั้นที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก่อนไปทำงานเธอจะมาที่นี่ทุกวัน เธอหวังว่าจะได้พบกับเขาอีก แต่นี่มันก็เนิ่นนานจนไม่น่าจะมีความหวังอะไรอีก เขาอาจจะเป็นแค่นักท่องเที่ยวที่บังเอิญมาเที่ยวที่นี่ แต่น้ำมนต์ก็ยังคงมีความหวังว่าจะได้พบเขาอีก ถึงแม้ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ เธอก็ยังคงอยากพบเขา วันนี้เป็นอีกวันที่น้ำมนต์กลับไปด้วยความผิดหวัง เธอเดินคอตกไปทำงานอย่างไร้ชีวิตชีวา แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็เหลือบไปเห็นชายคนนั้นอยู่ในร้านหนังสือ ความตื่นเต้นดีใจทำให้น้ำมนต์รีบวิ่งข้ามถนนจนไม่ทันดูรถ เสียงบีบแตรดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับเสียงสบถที่ไม่น่าฟังจากคนขับรถที่เหยียบเบรกจนตัวโก่งเมื่อหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งตัดหน้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจสักนิด ชายหนุ่มในร้านหนังสือต่างหากเล่าที่เธอสนใจยิ่งกว่าชีวิตตนเอง น้ำมนต์วิ่งพรวดพราดเข้าไปในร้านหนังสือ ทำเอาคนในร้านตกอกตกใจ โดยเฉพาะหนุ่มผมยาวคนนั้น ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างตกตะลึง แต่เขาคนนั้นตั้งสติได้ก่อน

“Nice to see you again” เขาทักทายเธอเป็นภาษาอังกฤษ แสดงว่าเขาจำเธอได้ น้ำมนต์ดีใจมากที่เขาจำได้
“คุณเป็นคนไทยหรือ” ก่อนที่น้ำมนต์จะพูดอะไรออกไป เขาชิงถามเสียก่อน เขาคงเห็นหนังสือเล่มหนึ่งของเธอที่เป็นภาษาไทย

“ใช่ค่ะ คุณก็เป็นคนไทยเหมือนกันใช่ไหมคะ” เธอถามด้วยความกระตือรือร้นจนเห็นได้ชัด

“ครับ คุณชื่ออะไร” เขาถาม น้ำมนต์ไม่ตอบเพราะมัวแต่เหม่อมองหน้าเขา

“ว่าไงครับ” เขาย้ำคำถามอีกครั้ง น้ำมนต์จึงได้สติ

“ชื่อน้ำมนต์ค่ะ” เขาอึ้งไปทันที่ได้ยิน ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งนานก่อนที่น้ำมนต์จะถามชื่อเขาบ้าง

“คุณล่ะคะ” หนุ่มผมยาวนิ่ง ไม่ตอบในทันที น้ำมนต์ตื่นเต้น ถ้าเป็นเขาจริงๆล่ะ

“ผมชื่อคม ขอตัวนะครับ ผมมีธุระ” เขาตอบ พร้อมกับยิ้มให้เธอแทนการกล่าวลา น้ำมนต์ใจหายวาบ ไม่ใช่เขา แต่เธอก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีจึงรีบวิ่งตามเขาไป

“เดี๋ยวค่ะ…ให้ฉันเลี้ยงกาแฟขอบคุณเรื่องวันนั้น ได้ไหมคะ” เขาหยุดเดิน หันมามองเธอช้าๆ

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณ” แล้วเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีกเลย น้ำมนต์ใจเสีย แต่ก็ไม่ละความพยายาม เธอสะกดรอยตามเขาไปไกลพอควร จนกระทั่งถึงอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง น้ำมนต์ยิ้มกับตัวเองอย่างผู้ชนะ พรุ่งนี้เธอจะมาดักรอเขาที่นี่

น้ำมนต์นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะคิดถึงแต่หนุ่มผมยาวคนนั้น พอได้คุยกับแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่ ทั้งรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง กิริยาที่เคร่งขรึม เธอจำภาพทุกภาพที่เกี่ยวกับเขาได้ดี แต่ทำไมเขาต้องปกปิดตัวเอง เขาบอกว่าชื่อคม…ไม่ใช่หรอก เขาต้องโกหกแน่ๆ เธอจะต้องทำให้เขายอมรับให้ได้ว่า เขาคืนคนที่เธอตามหา

วันนี้น้ำมนต์รีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอเขาที่อพาร์ทเมนต์ แม้ว่าอากาศข้างนอกจะหนาวเหน็บ แต่ทว่าหัวใจของเธอกลับอบอุ่นและมีพลัง หนทางข้างหน้าดูสดใสสวยงามเหมือนกับความรู้สึกของเธอตอนนี้ที่กำลังตื่นเต้นขณะยืนอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ สามชั่วโมงผ่านไปกับการยืนรอคอยใครสักคนคงเป็นที่น่าเบื่อสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับเธอแล้ว 3 ชั่วโมงมันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น ก็เธอรอเขามาตั้ง 8 ปี การยืนคอยแค่นี้ไม่ทำให้อ่อนล้าได้อย่างแน่นอน และแล้วความพยายามก็บรรลุผล เขาเดินมาแล้ว ดูจากการแต่งตัว เขาน่าจะได้ทำงานที่ดีพอสมควร น้ำมนต์รีบเดินไปขวางไว้ เขาตกใจเล็กน้อยที่เห็นเธอ

“สวัสดีตอนเช้าค่ะ” เธอทักก่อน

“คุณตามผมมางั้นหรือ” เขาถามงงๆ

“ฉันบอกแล้วว่าอยากเลี้ยงกาแฟคุณ” แล้วน้ำมนต์ก็สมหวัง เมื่อครู่ต่อมาทั้งสองนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง

“ผมไม่คิดว่าคุณจะจำผมได้” เขาเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน หลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่นาน

“ฉันจำคุณได้ทันทีที่เห็น ฉันจำคนเก่งนะ”

“คุณมาทำอะไรที่นี่ ทำงาน หรือว่าเรียน”

“เรียนปริญญาเอก ฉันจบหมอมานะ”

“ไม่น่าเชื่อ หน้าคุณยังเด็ก แสดงว่าคุณเรียนเก่งมาก”

“เป็นเพราะฉันได้ครูดีมากกว่า รู้มั้ย…ฉันพยายามตามหาคนๆหนึ่ง ตามหามา 8 ปีเต็ม” พอพูดถึงตรงนี้ เขามองหน้าหล่อนด้วยแววตาอย่างหนึ่งที่น้ำมนต์ต้องแอบยิ้มให้ตัวเอง

“งั้นหรือ เขาคงเป็นคนสำคัญ” ดูท่าทางเขาไม่สนใจ แต่น้ำมนต์ดูออกว่าเขาก็อยากรู้เหมือนที่เธออยากพูด

“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนสำคัญมาก เพราะว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้” น้ำมนต์มองตาเขาราวกับจะย้ำเตือน

“ที่ว่าเรียนหมอ คุณเรียนหมอทางไหนเหรอ” เขาเปลี่ยนเรื่องทันที นั่นยิ่งทำให้เธอมั่นใจยิ่งขึ้น ต้องใช่เขาแน่ๆ

“เป็นหมอเฉพาะทางค่ะ เกี่ยวกับหัวใจ” เธอตอบ ชายหนุ่มเงียบอยู่นานจนน้ำมนต์ทนไม่ไหว

“รู้มั้ยคะ คุณเหมือนคนๆนั้นมาก มากเสียจนฉันคิดว่าคุณคือเขาจริงๆ” เขานิ่งสักพักหนึ่ง น้ำมนต์รู้สึกว่าโลกกำลังจะหยุดหมุน

“งั้นหรือ ผมคงต้องไปทำงานก่อน ขอบคุณสำหรับกาแฟ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นดื้อๆ

“แล้วฉันจะพบคุณได้อีกเมื่อไหร่คะ” เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ตอบคำถามของเธอ น้ำมนต์หน้าสลด เขาเย็นชามากจนเธอไม่กล้าหวังอะไรอีก

เย็นวันเดียวกัน น้ำมนต์ไปรอเขาอีกแต่ก็ได้รับความเย็นชากลับมาอีกเช่นกัน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย แต่มันก็ยิ่งทำให้เธออยากจะเอาชนะให้ได้ เธอไปพบเขาทุกวัน ทั้งก่อนไปเรียนและก่อนไปทำงาน เจอบ้างไม่เจอบ้างแต่ก็ยังไปหาเขาทุกวัน จนถึงวันนี้ก็ครบเดือนพอดี

“คุณน้ำมนต์ ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผม แต่ผมขอพูดกับคุณตรงๆว่าต่อไปนี้อย่ามาพบผมอีกเลย ผมขอร้อง” ทั้งสองนั่งคุยกันในร้านขนมแห่งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายชวนเธอ

“คุณรำคาญหรือคะ แต่ฉันอยากรู้จักคุณจริงๆ คุณเหมือนคนที่ฉันตามหามาก” น้ำมนต์ไม่ยอม

“แต่ผมบอกคุณหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนๆนั้น” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง น้ำมนต์เงียบ รู้สึกน้อยใจจนต้องร้องไห้ออกมา พอเห็นเธอร้องไห้ เขาก็ใจเสีย

“ผมขอโทษ ผมเพียงอยากจะบอกว่า ไม่อยากให้คุณมาเสียเวลา คุณต้องเรียนและทำงาน ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”

“ฉันไม่เคยเหนื่อยกับการที่จะต้องมารอคุณ ตรงข้าม…ฉันกลับมีความสุขเพราะ…” เธอไม่กล้าพูดต่อ

“คิดว่าผมคือคนๆนั้น” เขาต่อให้ “ผมเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้กับคุณแล้วล่ะ แต่ยังไงผมก็ขอยืนนะ อย่ามาพบผมอีกเลย” แล้วเขาก็หยิบกระเป๋าสตางค์เตรียมจ่ายเงิน ช่วงจังหวะนั้นเขาทำมันตก น้ำมนต์เก็บให้และสายตาเธอก็เห็นรูปถ่ายใบหนึ่งอยู่ในกระเป๋าของเขา มันเป็นรูปของเธอเอง เธอจำได้ดี เป็นรูปที่เขาขอเธอไว้เมื่อ 8 ปีก่อน น้ำมนต์มองดูอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ในที่สุดก็พบเขา ใช่เขาจริงๆ!

“ขอกระเป๋าผมคืนด้วย” เขาดึงกระเป๋าสตางค์มาจากเธอด้วยความรีบร้อน พอจ่ายเงินเสร็จเขาก็รีบเดินจากไป แต่น้ำมนต์ก็ตามเขาไปอีกเช่นกัน

“เดี๋ยวสิคะ…พี่เก่ง คุณคือพี่เก่งจริงๆด้วย” น้ำมนต์ขวางหน้าเขาไว้

“เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่” เขายังปฏิเสธ

“ไม่ใช่แล้วทำไมมีรูปของมนต์อยู่ในกระเป๋าพี่ พี่เก่งคะ…อย่าโกหกกันอีกเลย รู้มั้ยว่ามนต์รอคอยที่จะเจอพี่เก่งมา 8 ปี ทำไมคะ…ทำไมถึงหนีกันมาแบบนี้” เธอกอดเขาไว้พลางร้องไห้คร่ำครวญ เขาตัวยืนตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆแกะมือหล่อนออก

“คุณน้ำมนต์…ฟังผมนะ ผมไม่ใช่พี่เก่งของคุณ” ขาดคำ เขาก็รีบขึ้นแทกซี่หนีไป ทิ้งให้เธอยืนหัวใจสลายอยู่อย่างนั้น

คืนที่สามแล้วที่น้ำมนต์นอนร้องไห้ เธอไม่เป็นอันทำอะไรทั้งนั้นเพราะยังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่ยอมรับว่าเขาคือพี่เก่ง ทั้งยังตั้งใจหลบหน้าเพราะเธอไปรอเขาแต่ไม่ได้พบเขาเลย น้ำมนต์ตัดสินใจเด็ดขาด หยิบโปสการ์ดใบเก่าออกมาอ่านเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้…อดีตทั้งหมดจะถูกลืม

วันนี้หิมะตกหนัก น้ำมนต์ยังคงยืนคอยเขาอยู่ที่เดิม เกล็ดหิมะท่วมสูงขึ้นมาครึ่งขาแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้เธอสะทกสะท้าน ความหนาวเหน็บครอบคลุมไปทั่วทั้งกายและจิตใจ เที่ยงคืนแล้วแต่ยังไร้วี่แววของเขา น้ำมนต์ค่อยๆวางซองสีขาวลงข้างๆบันได มองมันอย่างอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เดินร้องไห้จากไป คล้อยหลังน้ำมนต์ ชาณุที่ยืนหลบอยู่มุมหนึ่งของตึกอยู่นานก็เดินมาหยิบซองนั้นเปิดออกดู มันคือโปสการ์ดที่เขาส่งให้เธอก่อนที่เขาจะมาอยู่ที่นี่ ดอกทานตะวันดอกเล็กๆยังคงยืนหยัดกร้าวแกร่ง หากแต่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เขายืนนิ่ง…ในใจเต็มไปด้วยความปวดร้าว หัวใจแหลกสลาย ครั้งนี้…เขาเสียเธอไปแล้วจริงๆ เขาจะทนได้หรือที่ต้องเสียเธอไป 8 ปีที่ผ่านมามันยังทรมานใจไม่พออีกหรือ ภาพอดีตเก่าๆผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงไม่ขาดสาย หญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ เรื่องราวดีๆที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ความดื้อดึง ความน่ารักที่เธอเป็น ทุกอย่างรุมเร้าจิตใจเขาอยู่ทุกลมหายใจ คิดได้ดังนั้น เขาก็รีบวิ่งไปยังที่ที่เธอเดินไป ในขณะที่นำมนต์ยังคงเดินเหม่อลอยราวกับไม่มีชีวิต นัยน์ตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เธอเดินไปเรื่อยๆโดยไม่ทันระวัง ม่านน้ำตาทำให้มองไม่เห็นรถที่วิ่งมาหาด้วยความเร็วสูง และก่อนที่เรื่องร้ายๆจะเกิดขึ้น มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็คว้าตัวเธอไว้ รถคันนั้นบีบแตรดังลั่น น้ำมนต์ตกใจสุดขีด นึกว่าตัวเองจะต้องตายเสียแล้ว หากแต่อ้อมกอดนั้นรัดรึงตัวเธอเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ความกลัวค่อยๆคลายลง น้ำมนต์ลืมตาขึ้นช้าๆ สายตาแห่งความอบอุ่นเหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนทอดมายังเธอ น้ำตาที่ไหลรินอยู่ค่อยๆเหือดหายด้วยปลายนิ้วของเขาที่ซับให้

“พี่เก่ง” เธอพูดอะไรต่อไม่ได้อีกเพราะความตื้นตันใจ

“พี่ขอโทษ พี่ผิดเอง” ในที่สุดเขาก็ยอมรับออกมา น้ำมนต์ดีใจจนกลั้นไม่อยู่ เธอกอดตอบเขาแน่นก่อนที่จะหมดสติไปเพราะความอ่อนเพลีย

น้ำมนต์ลืมตาขึ้นมาก็ตกใจที่เห็นตนเองนอนอยู่บนเตียงในห้องๆหนึ่ง แต่อึดใจต่อมาก็คลายความกังวลเมื่อเห็นชาณุเดินเข้ามาพร้อมกับร้อยยิ้มที่คุ้นเคย

“ไงจ๊ะ ดีขึ้นหรือยัง” เขานั่งลงข้างๆพลางเอามือลูบผมเธอเบาๆ น้ำมนต์ยันตัวลุกขึ้นช้าๆ พอเห็นเขา เธอก็รีบโผเข้าหาด้วยความดีใจ

“พี่เก่ง ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย พี่หนีหายมาโดยไม่บอกลา 8 ปีที่มนต์ตามหาพี่ ไม่นึกเลยว่าพอเจอพี่ พี่กลับไม่ยอมรับ รู้มั้ยว่ามนต์เสียใจขนาดไหน” น้ำมนต์ระบายทุกสิ่งออกมาพร้อมด้วยน้ำตา ชาณุรู้สึกสะเทือนใจและยอมรับผิดอย่างไม่มีข้อแม้

“แล้วมนต์คิดว่าพี่มีความสุขนักหรือ รู้มั้ยว่าพี่ก็เจ็บเหมือกัน เจ็บมากกว่ามนต์ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ที่พี่ทำแบบนี้เพราะพี่มีเหตุผลที่สำคัญ มนต์ไม่เข้าใจหรอก” ชาณุระบายออกมาอย่างสุดกลั้น

“แล้วทำไม่พี่เก่งไม่เคยบอกอะไรมนต์เลย บอกมาสิคะว่าเพราะอะไร” เธอคาดคั้น

“บางที…การที่เราไม่รู้อะไรเลยก็เป็นเรื่องที่ดีนะจ๊ะมนต์” เขาพูดเป็นปริศนา


“บอกมาเถอะค่ะ มนต์รับได้ทุกอย่าง” น้ำมนต์ค่อยๆจับมือเขาขึ้นมาแนบแก้ม ชาณุมองกิริยานั้นแล้วก็ใจอ่อน ยอมเปิดปากเล่าความจริง

“พี่มาที่นี่…ก็เพื่อรักษาตัว” น้ำมนต์อึ้ง งงในสิ่งที่เขาพูด

“พี่เป็นโรคหัวใจรั่ว พี่มาอยู่ที่นี่ก็เพื่อทำงานเก็บเงิน ไว้เปลี่ยนหัวใจ” ถึงตอนนี้เขาเริ่มร้องไห้ น้ำตาแห่งความเป็นลูกผู้ชายไหลริน

“แล้วทำไมไม่บอกมนต์ล่ะคะ หนีมาทำไม” เธอเองก็ร้องไห้เช่นกัน

“หมอบอกว่าเวลาของพี่เหลือไม่มากถ้าไม่รีบผ่าตัด มนต์รู้มั้ย…สามปีก่อนพี่เคยผ่าตัดมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ร่างกายของพี่ต่อต้านหัวใจดวงใหม่ หมอบอกว่าต้องรอจนกว่าจะมีคนบริจาคใหม่ นี่พี่ก็รอมาหลายปีแล้ว แล้วที่พี่ต้องหนีมนต์มา ก็เพราะ…พี่รักมนต์” เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“พี่ไม่อยากให้คนที่พี่รัก ต้องมาทุกข์ใจเพราะเรื่องของพี่ อีกอย่าง..ถ้าพี่ได้อยู่ใกล้ชิดมนต์ พี่ก็จะยิ่งทำใจไม่ได้ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องจากมนต์ไปในไม่ช้า พี่อยากให้มนต์ลืมพี่”

“พี่เก่งถึงทิ้งมนต์มาแบบนี้ใช่มั้ยคะ” น้ำมนต์ปล่อยโฮ ชาณุกอดปลอบเธอแนบแน่น

“ทำไมต้องมาเกิดเรื่องร้ายๆกับพี่เก่งด้วย มนต์คิดถึงพี่เก่งมาก ต่อไปนี้ มนต์จะอยู่เคียงข้างพี่ จะไม่ไปไหน ไม่ต้องกลัวนะคะพี่เก่ง ขออย่างเดียว…พี่เก่งอย่าทิ้งมนต์ไปอีกนะคะ” ทั้งสองมองตากันอย่างมีความหมาย

“พี่สัญญา…พี่จะไม่มีวันหนีมนต์ไปไหนอีก พี่จะใช้เวลาที่เหลือของพี่…อยู่กับมนต์” เขาให้สัญญา

“มนต์จะช่วยพี่เก่ง พี่เก่งจะต้องอยู่กับมนต์ตลอดไป” น้ำมนต์บอกอย่างมั่นใจ เธอนี่แหละจะเป็นคนรักษาเขาเอง ในที่สุด…หัวใจทั้งสองดวงก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งคู่ปรียบเสมือนเงาตามตัวซึ่งกันและกัน ทุกๆวันชาณุเขาจะรับเธอไปทานข้าว ตอนเย็นก็ไปรับกลับบ้าน ในขณะที่น้ำมนต์ก็พยายามหาทางช่วยเหลือเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้เขา ซึ่งก็ต้องแข่งกับเวลาเพราะอาการของชาณุนั้นอยู่ในขั้นอันตราย
………………………………………………………………

“เป็นไงบ้าง ทรงนี้ดูดีหรือเปล่า” ชาณุอวดผมทรงใหม่ที่เพิ่งไปตัดมา น้ำมนต์ยิ้ม ในที่สุดเขาก็กลับมาเป็นพี่เก่งคนเดิมเสียที

“เสียดายผมเหมือนกันนะนี่” เขาพูดไม่จริงจังนัก
“พี่เก่งคะ มนต์มีข่าวดีมาบอก” เธอบอกเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ชาณุเห็นแล้วก็ชุ่มชื่นใจ

“จริงเหรอ…มีคนบริจาคหัวใจแล้วใช่ไหม” เขาถามอย่างตื่นเต้น ทำให้เธอพลอยตื่นเต้นไปด้วย

“ค่ะ อีกสองเดือนพี่ก็เข้าห้องผ่าตัดได้ แต่…” เธอไม่กล้าพูดต่อ

“โอกาสรอด 50-50 ใช่มั้ย” เขาตอบให้ น้ำมนต์พยักหน้า ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงลมหายใจของชายหญิงคู่หนึ่ง

“ไปเดินเล่นกันมั้ย” เชาเอ่ยชวน หลังจากนิ่งเงียบกันอยู่นาน ชาณุพาเธอเดินไปตามถนนที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ เขาจับมือที่เย็นเฉียบของเธอ

“หนาวหรือ” เขาถาม น้ำมนต์พยักหน้า เขาจึงโอบเธอไว้แล้วพาเดินไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

“8 ปี…มันนานเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีก” เขาพูดพลางปัดละอองหิมะที่แก้มของเธอและบีบมือเธอไว้จนน้ำมนต์รู้สึกอบอุ่น

“ดวงของเราคงถูกผูกไว้ด้วยกันมั้งคะ” น้ำมนต์ว่า ซึ่งเขาก็เชื่อเช่นนั้น จมูกเย็นๆบรรจงแตะที่แก้มของเธอเบาๆทั้งซ้ายขวา น้ำมนต์เขินอายจนไม่กล้าสบตา

“พี่รักมนต์นะ” เขากระซิบข้างหูก่อนจะดึงเธอมากอดไว้ทั้งตัว น้ำมนต์กอดตอบและบอกเขาเช่นเดียวกันว่า

“มนต์ก็รักพี่เก่งค่ะ” ถึงแม้ว่าอากาศรอบตัวจะหนาวจัดแต่หัวใจของทั้งสองกลับอบอุ่นเหลือเกิน น้ำมนต์อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ อยากให้เขากอดไว้แบบนี้นานๆ ชาณุเองก็รู้สึกเช่นนั้น เขาได้หัวใจกลับคืนมาแล้วและเขาก็จะไม่มีวันทิ้งมันไปอีก

แล้ววันผ่าตัดก็มาถึง ชาณุได้กำลังใจเต็มเปี่ยมเพราะน้ำมนต์ได้เข้าร่วมการผ่าตัดครั้งนี้ด้วย เขาบอกว่าถ้าการผ่าตัดครั้งนี้สำเร็จ เขาจะพาเธอไปฉลอง น้ำมนต์รู้ดีว่าเขามีความหวังที่แรงกล้า เธอเองก็หวังเช่นเดียวกับเขา แต่ความรู้สึกลึกๆมันคอยเตือนเธออยู่ตลอดเวลาว่า โอกาสนั้นมีน้อย

“มนต์จ๊ะ พี่ไม่ได้หวัง 100 เปอร์เซ็นหรอกนะ แต่สิ่งที่พี่หวังก็คือ ได้อยู่กับมนต์ไปนานๆ” เขาบีบมือเธอแน่น

“ไม่ต้องกลัวนะคะ มนต์จะอยู่ใกล้ๆพี่” เธอบอกเขาก่อนที่เขาจะดมยานอนหลับ
………………………………………………………………

ชาณุลืมตาขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศที่คุ้นเคย โปสการ์ดใบนั้นถูกใส่กรอบอย่างดีแขวนติดไว้ที่ผนังปลายเตียง เขามองมันอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะยิ้มให้อย่างมีความสุข วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ เขาอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เวลานี้เขามีแต่ความสุข ความสุขที่ได้อยู่กับคนที่เขารักโดยไม่ต้องกังวลกับอะไรอีก

“ที่รัก…อยู่ไหนน่ะ มาหาพี่หน่อย” เขาเรียกน้ำมนต์ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเช้าและครู่ต่อมาคนที่เขาต้องการพบก็เข้ามาในห้องพร้อมกับซุปหอมกรุ่น

“เป็นไงคะ หายปวดหัวหรือยัง” เธอถามเขาด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ตัวเขาอุ่นๆไม่ร้อนผ่าวเหมือนเมื่อคืน

“เห็นหน้าเมียก็หายแล้วล่ะ” เขาปากหวาน น้ำมนต์ค้อนให้นิดหนึ่ง

“อย่ามาพูดดีหน่อยเลย ชอบทำตัวเป็นฮีโร่ แล้วไงล่ะ...ต้องมานอนป่วยแบบนี้” เธอต่อว่าเขา เพราะเมื่อคืนเขาขึ้นไปตัดกิ่งไม้ที่ถูกพายุแล้วหักอยู่บนหลังคาบ้านในขณะที่หิมะตกหนัก

“ก็พี่ไม่อยากให้มนต์เหนื่อยนี่” เขาออดอ้อนและหอมแก้มเธอฟอดหนึ่ง น้ำมนต์ปลื้มใจที่เขาเป็นห่วงเธอมากมาย ทั้งสองแต่งงานกันได้เกือบปีแล้วหลังจากที่น้ำมนต์เรียนจบ การผ่าตัดครั้งนั้นประสบความสำเร็จและถึงแม้ว่าเขาจะได้หัวใจดวงใหม่มา แต่ความรักที่เขามีให้เธอยังคงอยู่ในจิตวิญญาณ อีกไม่นานทั้งคู่ก็จะเดินทางกลับเมืองไทยพร้อมด้วยสมาชิกใหม่ที่กำลังจะเกิดมา น้ำมนต์มีความสุขมากที่ได้อยู่กับเขา ชาณุดึงภรรยาสาวมาโอบกอดไว้ด้วยความรักล้นใจ ทั้งสองมองไปยังโปสการ์ดใบนั้นอีกครั้ง ดอกทานตะวันดอกเดิมยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน มันเบ่งบานและจะไม่มีวันร่วงโรยเพราะรากของมันฝังลึกมั่นคงเหมือนหัวใจของทั้งสองที่มั่นคงในความรักและจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป.



Create Date : 16 เมษายน 2550
Last Update : 16 เมษายน 2550 22:39:41 น.
Counter : 321 Pageviews.

8 comment

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com