ตอนที่ 36 <ปลูกรักในรั้วใจ อวสาน_1> ครึ่งหลัง




ตอนที่ 36 ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_1) ครึ่งหลัง


หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปพร้อมกับฤดูฝนที่มาเยือน ดูราวกับว่า...เรื่องราวต่างๆ เพิ่งจะเกิดขึ้นและจบลงไปเมื่อวานนี้เองสมาชิกในบ้านทวีกิจไพศาลยังคงดำเนินชีวิตและทำกิจวัตรต่าง ๆ ไปตามปรกติเว้นเสียแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาอาจจะเกิดความวุ่นวายเล็ก ๆ ขึ้น ณ บ้านหลังนี้ ก็คือการตกแต่งต่อเติมบ้านเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ที่กำลังจะเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

เทียมภพดูจะเป็นบุคคลยุ่งที่สุดต้องรับผิดชอบงานประจำและคอยดูแลการต่อเติมบ้านควบคู่กันไป ห้องนอนเดิมได้รับการขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้นรวมถึงเปลี่ยนวอลเปเปอร์กับผ้าม่านใหม่เป็นสีเหลืองไล่โทนเอาใจว่าที่เจ้าสาว เฟอร์นิเจอร์กับเตียงนอนก็ออกแบบและสั่งทำขึ้นใหม่ทั้งหมดทุกอย่างเทียมภพเป็นคนดำเนินการเองโดยไม่สนใจคำคัดค้านของว่าที่เจ้าสาวที่เห็นว่าเป็นการสิ้นเปลืองพอบ่นเข้าก็จะย้อนว่า

“ต้องต้อนรับให้สมเกียรติเมียดีเด่นแห่งชาติ”

ในระหว่างนี้ทั้งคู่ก็ต้องเดินสายแจกการ์ดเชิญก่อนหน้านี้ก็เดินทางไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ของรมย์นลินที่ตรังรายชื่อแขกเกือบจะตกพันคนเกินการคาดคะเนของว่าที่เจ้าสาวไปไกลมากตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติและเพื่อนสนิทไม่เกินสองร้อยแต่เทียมภพอีกนั่นล่ะที่มีโองการเชิญแขกเหรื่ออย่างกับจะแต่งกองทัพไปรบ ตัวเลขสักขีพยานก็เลยพุ่งสูงหลายเท่าเพราะแค่ญาติโกโหติกาทั้งสองฝั่งรวมกันก็ปาไปเกือบร้อยแล้วไหนจะแขกทางฝั่งบิดาที่มีทั้งลูกค้า คู่ค้า ข้าราชการ ฝั่งคุณวารีก็กว้างขวางอยู่ไม่น้อยไหนจะเพื่อน ๆ สมัยเรียนของทั้งคู่ ยิ่งพรรคพวกของเทียมภพก็มีอยู่ทั่วสารทิศ ไม่นับรวมพนักงานของทวีกิจกับธาราอีกนับร้อยคน

“ทีตอนยังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนล่ะ…ชอบเอาไปซุบซิบกันนักตอนนี้มีเป็นทางการแล้วก็ประกาศให้รู้ทั่วกันเสียเลย ดูซิว่า...ข่าวฉาวกับข่าวดีอะไรมันจะดังกว่ากัน”

ในขณะที่ชีวิตของเทียมภพกำลังจะก้าวสู่การเริ่มต้นครอบครัวชีวิตของแทนดาวก็เดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวชีวิตนักศึกษาสิ้นสุดลงแล้ว แต่พี่ชายยังคงปรารถนาดีอยากเห็นอนาคตของน้องสาวรุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งขึ้นก็เลยมุ่งมาดวาดหวังให้เรียนต่อในระดับปริญญาโททันทีกระนั้นก็ยังใจดีอะลุ่มอล่วยให้พักสมองเป็นเวลาหนึ่งปีในระหว่างรอรับพระราชทานปริญญาบัตรก็ไปช่วยสอนเปียโนแทนรมย์นลินที่กำลังวุ่นวายเรื่องงานแต่งงาน

การได้ออกไปทำงานนอกบ้านเป็นทางออกที่ดีสำหรับแทนดาวที่ต้องการหยุดคิดเรื่องของชลธีซึ่งนับวันจะเจอแต่ทางตัน นานนับเดือนแล้วที่ไม่ได้พูดกันเป็นเรื่องราวนับแต่แยกกันคราวนั้นเวลาเจอหน้าก็ได้แต่ทักทายตามมารยาทพอคุยด้วยก็ถามคำตอบคำจนบางครั้งแทนดาวก็เกือบจะท้อใจ อย่างวันนี้พอเลิกสอนก็แวะไปหาที่ธาราโดยใช้ข้ออ้างที่แสนธรรมดามากก็คือหิว...มาหาข้าวกิน

“คุณชลเพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”

เลขานุการคนใหม่แจ้งข่าวที่ทำเอาหัวใจดวงน้อยเบาโหวงความผิดหวังน้อยใจก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุเฮอริเคน ทำไมเขาจึงผิดนัดกะทันหันทั้งที่เมื่อตอนกลางวันก็ตอบตกลงดิบดีหญิงสาวอยากจะร้องแต่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ อาจเป็นไปได้ว่ากิจนั้นคงสำคัญมากจนไม่อาจเลี่ยงได้เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา...ชลธีไม่เคยผิดสัญญา

“งั้นหรือคะถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณแหม่มช่วยยกเลิกจองโต๊ะที่ห้องอาหารชั้นสิบสองให้ด้วยนะคะ”

หญิงสาวบอกเสียงแห้งแล้วเดินออกมาเงียบ ๆสายตาเศร้าสร้อยเหลือบมองไปยังประตูบานไม้เรียบที่สามารถเปิดสู่

ห้องทำงานของเขาเมื่อก่อนตนเคยได้รับสิทธิ์ให้เข้านอกออกในได้ตามสบายแต่หลังจากที่ตอบปฏิเสธคำขอแต่งงานไปแทนดาวก็รู้สึกว่าตนเองเป็นบุคคลแปลกหน้าสำหรับเขาไปเสียแล้ว

พายุฝนด้านนอกเริ่มก่อตัวทะมึนมืดแทนดาวก้เร่งก้าวเท้าถี่ขึ้นเพื่อให้ทันขึ้นรถไฟฟ้าก่อนที่ฝนจะเทลงมาหญิงสาวเริ่มหวั่นใจ ร่มก็ลืมไว้ในรถ แถมยังไม่ได้บอกคนขับให้รอเพราะคิดว่ารับประทานข้าวเสร็จแล้วชลธีจะไปส่งแต่ในเมื่อถูกเบี้ยวนัดไม่บอกกล่าวแบบนี้ก็คงต้องช่วยเหลือตัวเองตามมีตามเกิด นี่ถ้าเทียมภพรู้ว่าหล่อนถูกปล่อยลอยแพแบบนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่โตแต่แทนดาวไม่คิดจะฟ้องร้องอะไร ในเมื่อหล่อนเป็นคนนัดแต่เขาไม่ว่าง ก็ต้องยอมรับโดยดุษณี

ละอองฝนโปรยปรายเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นทุกทีหญิงสาวยกกระเป๋าบังศีรษะแล้วพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดแต่รองเท้าส้นสูงทำให้วิ่งไม่ถนัดสุดท้ายส้นแหลมของมันก็จิ้มลงไปในระหว่างช่องบล็อคปูพื้นทางเท้าทำให้สะดุดแต่ไม่ถึงกับล้มคะมำ หนำซ้ำรองเท้าเจ้ากรรมยังติดแหง็กอยู่อย่างนั้นพยายามดึงอยู่นานจนหลุดออกมาแต่ปรากฏว่าส้นแหลมหักคาบล็อคอยู่ตรงนั้นเอง

“ทำไมซวยยังงี้นะ”

หญิงสาวบ่นเซ็งๆ พร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาหนักหน่วง สถานีรถไฟฟ้าอยู่ห่างไปไม่ถึงสิบเมตรแต่ว่าไม่มีที่ให้หลบฝนได้เลยแทนดาวตัดสินถอดรองเท้าอีกข้างออกตั้งใจจะวิ่งฝ่าไป มือหนึ่งกอดกระเป๋ากระชับมือหนึ่งถือรองเท้าแล้วเริ่มต้นออกวิ่งลุยสายฝนพร่ามัวรีบไปให้ถึงสถานีแต่ไปได้นิดเดียวก็ได้ยินเสียงแตรรถดังยาวไล่หลังพร้อมกับไฟสูงที่กระพริบวาบสามครั้งเรียกให้หยุดทีแรกก็มองไม่ออกหรอกว่าเป็นรถใครเพราะม่านฝนบดบังวิสัยทัศน์จนเมื่อคนขับลดกระจกลงครึ่งหนึ่งให้เห็นหน้า หัวใจเหี่ยวแห้งของคนสิ้นหวังก็ชื้นขึ้นเหมือนน้ำฝนที่กำลังชโลมร่างอยู่ตอนนี้

“ขึ้นมาเร็ว...น้องพลู“

โดยไม่รอช้าหญิงสาวรีบเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วเนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลกทั้งยังพาเอาเม็ดฝนสาดเข้ามาในตัวรถด้วย สายตาของชลธีคอยเหลือบมองสตรีตัวเปียกโชกที่เพิ่งก้าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ทั้งห่วง ทั้งคิดถึง ทั้งขบขัน ปนเปกันไปหมด

“ทำไมไม่รอพี่ก่อน”

“คุณแหม่มบอกว่าพี่ชลไม่อยู่ก็เลยตัดสินใจกลับบ้านค่ะ” หญิงสาวตอบขณะสาละวนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำฝนที่เกาะพราวตามใบหน้าได้ยินเสียงคล้ายไม่พอใจจากคนขับด้วยคิดว่าหล่อนต้องรอเหมือนทุกครั้งก็เลยไม่ทันได้โทรบอกพอกลับมาผู้ช่วยส่วนตัวก็แจ้งแค่ว่าแทนดาวเพิ่งสวนออกไป ชลธีขับต่อไปอีกสักระยะแล้วก็เลี้ยวรถเข้าจอดในปั๊มน้ำมันเพื่อพูดคุยกัน

“พี่ลงไปข้างล่างแค่เดี๋ยวเดียวเองเรานัดกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ คิดว่าพี่จะผิดนัดเราหรือไง” เขาเอ็ด

“ก็ไม่ทราบนี่คะ...ว่าพี่ชลยังอยากจะเจอน้องพลูอีกหรือเปล่า”น้ำเสียงนั้นคล้ายตัดพ้อ

“ถ้าพี่ไม่อยากเจอน้องพลู คงไม่รีบออกมาตามแบบนี้หรอก”

เขาตอบเสียงแข็งตรงข้ามกับแววตาอ่อนโยนแล้วล้วงผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับหน้าตาแทนดาวจำได้ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ตนเป็นคนซื้อให้ เกิดประกายดีใจลึก ๆที่เขายังใช้มัน นัยน์ตากร้าวกวาดไปทั่วร่างบางจนมาสะดุดกับรองเท้าข้างหนึ่งที่วางรวมกับข้าวของอื่นๆ บนตัก

“ตอนวิ่งมารองเท้าหักเลยค่ะน่าเสียดายจัง...พี่ผึ้งเพิ่งจะซื้อให้อาทิตย์ที่แล้วเอง”

แทนดาวหยิบรองเท้าคัตชูสีครีมติดดอกไม้น่ารักตรงหัวอย่างอาลัยที่สวมได้แค่สองครั้งก็หักแต่ตั้งใจว่าจะเอาไปซ่อมเพราะเสียดายมาก ๆ ทั้งสนนราคาก็เกือบหมื่น ชลธีพยักหนาเข้าใจแล้วก็นิ่งอย่างรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องวิ่งฝ่าพายุฝนจนเกือบเกิดอันตราย

“เอาล่ะ...ไหนๆ ก็มาเส้นนี้แล้ว แวะเข้าบ้านพี่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวค่ำ ๆ จะไปส่ง”

แทนดาวอยากอิดออดว่ายังไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครองแต่ก็ไม่อยากขัด เพราะคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พุดคุยกับเขาให้รู้เรื่องในจังหวะที่หญิงสาวปัดผมเปียก ๆ ที่ปรกยาวลงมาไปข้างหลังก็แทบทำให้คนมองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ไอ้ชุด

เดรสสั้นเสมอเข่าสีฟ้าสลับชมพูพาสเทลนั้นยามโดนน้ำฝนจนเปียกชุ่มก็ทำเนื้อผ้าแนบไปกับเนื้อนางขับสัดส่วนวัยสาวถนัดเจน อาการนี้ผู้กระทำไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำให้คนข้างๆ ใจสั่นราวลั่นกลองรบ

“อย่าคิดเชียวนะ...ไอ้ชล”ชายหนุ่มย้ำกับตัวเองพลางกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก

“รอพี่เดี๋ยว”

ชลธีลงไปหยิบอะไรอยู่ด้านหลังแล้วกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขามักจะมีติดรถไว้เสมอเผื่อวันไหนต้องเล่นกีฬาแทนดาวรีบรับมาซับผมเปียกและเช็ดตามแขนขา สักเดี๋ยวเขาก็หยิบเสื้อนอกตรงเบาะหลังมาคลุมตัวให้

“ห่มไว้กันหนาว”

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ กับเจตนาดีของเขาแต่หารู้ไม่เลยว่า ลึก ๆลงไปแล้วชลธีมิได้คิดเป็นห่วงว่าจะหนาวอย่างที่พูด แต่เพียงต้องการซ่อนความงดงามยวนตาให้พ้นจากสายตาจนเขย่าจิตใต้สำนึกให้คิดออกนอกลู่นอกทางต่างหาก

พระพิรุณยังไม่มีทีท่าว่าจะชักรถกลับไปดังนั้นทั้งลมแรง ทั้งฝน ยังคงโหมกระหน่ำไปทั่วกรุงเทพมหานคร ต้นไม้ กิ่งไม้ โดนลมปะทะจนหักลงมากองอยู่ข้างทางชลธีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขับรถฝ่าความมืดทะมึนของเมฆฝน เสียงจามฟุดฟิดของคนข้างๆ ทำให้เขาต้องละสายตาจากถนนเบื้องหน้าหันมามองหลายครั้ง เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ๆดังก้องสะท้านสลับกับแสงขาวบาดตาสว่างวาบแทบจะตลอดเวลาทำให้ผู้โดยสารสะดุ้งกึก ๆจนต้องหลับตาปี๋เพราะความกลัว ชลธีเพิ่มความเร็วเมื่อหลุดจากถนนใหญ่มาได้เขามั่นใจในสมรรถนะของพาหนะแบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้อยู่ว่ามันจะไม่เสียหลักถ้าวิ่งด้วยความเร็วในขณะที่ฝนตกหนัก

รถยนต์อเนกประสงค์เทียบจอดตรงบันไดหน้ามุขหญิงสาวพาร่างเปียกปอนก้าวลงมาในอาการห่อตัวเต็มที่เพราะความหนาวเหน็บจากทั้งสายลมและสายฝนในบ้านมืดตื๋อเพราะหน้าต่างทุกบานปิดม่านหมด ชายหนุ่มลูบมือตรงข้างประตูแล้วโคมไฟตรงห้องโถงกลางก็สว่างขึ้นเสียงลมหวีดหวิวผสานกับเสียงครืนของฟ้าคะนองดังเล็ดลอดเข้ามา แทนดาวยืนนิ่งยกมือปิดหูกลัวเสียงฟ้าร้อง

“พอดีส้มลากลับบ้านเลยเงียบหน่อย น้องพลูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่จะหายาให้กินจามฟืดฟาดมาตลอดทางแบบนี้อาการดูไม่ค่อยจะดี...มาเถอะครับ” เขาแตะข้อศอกพาเดินขึ้นข้างบนแล้วบิดลูกบิดประตูห้องหนึ่งแต่ติดล็อก

“ลืมไป...ส้มไม่อยู่ก็เลยต้องล็อกห้องหมดงั้นไปห้องพี่ก็แล้วกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...น้องพลูอยู่ได้ เดี๋ยวจะโทรให้น้าตาลมารับที่นี่” แทนดาวรีบฝืนตัวแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาแต่ปรากฏว่าแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง

“ยืมสายชาร์ตหน่อยสิคะ”

“มิน่า...พี่โทรหาเราแต่ก็ติดต่อไม่ได้”

ชายหนุ่มฉุดข้อมือคนตัวเล็กให้มาด้วยกันจนได้เสียงไขกุญแจห้องดังแกร๊กเล่นเอาร่างบางกระตุก พาลให้นึกถึงเหตุการณ์วาบหวามที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานในห้องนี้และดูเหมือนว่าเจ้าห้องจะรู้ทันว่าสาวน้อยกำลังคิดอะไรก็ยิ่งอยากแกล้ง

“เปลี่ยนเสื้อผ้าซะเลือกดูในตู้ฝั่งขวาก็แล้วกันว่าพอจะใส่เสื้อตัวไหนได้เดี๋ยวพี่ลงไปเอาที่ชาร์ตแบตในรถ อ้อ...

อยากจะอาบน้ำก็ได้นะ”

“น้องพลูว่า...ลงไปข้างล่างดีกว่าค่ะไม่ต้องเปลี่ยนชุดก็ได้ นี่ก็เริ่มหมาด ๆ แล้ว”

“ทำไมล่ะ ? กลัวพี่เหรอครับ”

น้ำเสียงนุ่มสร้างความหวั่นใจให้คนถูกถามได้ทุกครั้งรวมถึงครั้งนี้แน่นอนว่าต้องกลัวก็ดูตาของเขาสิ...ราวกับราชสีห์จับจ้องรอจังหวะตะครุบเหยื่ออยู่จวนแล้วจวนรอด

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะเพียงแต่คิดว่ามันอาจจะ...ไม่เหมาะ”

“ไม่เหมาะ ?คราวที่แล้วน้องพลูยังเดินเข้าห้องพี่เองเลยนะแล้วทำไมคราวนี้ถึงจะบอกว่าไม่เหมาะล่ะครับ” เจอคำย้อนแบบนี้เข้าไปคนฟังก็แทบเต้นเร่า

“มันคนละสถานการณ์กันนะคะคราวที่แล้วน้องพลูไม่รู้ต่างหากว่าเข้าผิดห้อง”คำแก้ตัวของหญิงสาวทำให้เขาต้องกลั้นหัวเราะแต่ก็ยังบังคับหน้าให้นิ่งอยู่ได้

“เอาเถอะ...จะสถานการณ์ไหนก็แล้วแต่แต่ว่าตอนนี้น้องพลูต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า หนึ่ง...ปล่อยให้ตัวเปียกนาน ๆ หวัดจะถามหาเอาสอง...รู้ไหมว่าพี่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์...บางอย่าง...ถ้าต้องเห็นน้องพลูใส่เสื้อผ้าเปียกรัดรูปแบบนี้รีบไปเปลี่ยนชุด...ไม่งั้นพี่จะจับถอดให้หมด ไม่ให้ใส่อะไรเลยสักชิ้นเดียว”

หญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่ในห้องคนเดียวทั้งกลัวเสียงฟ้าและ ‘กลัวใจ’ เจ้าของห้องอยู่ครามครัน แต่คำประกาศิตเมื่อครู่ทำให้ต้องรีบก้าวเท้าเร็วๆ ไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเลือกหยิบชุดมาผลัดเปลี่ยนตามที่เขาบอก แต่พอผลัดผ้าเสร็จไฟฟ้าในห้องก็ดับพรึ่บ ทุกอย่างมืดสนิท เห็นแต่แสงฟ้าแลบแปลบ ๆ ผ่านม่านเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มหญิงสาวรีบกระโดดไปนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงเมื่อฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอีกหน

“แย่ล่ะ...แล้วจะลงไปได้ยังไง”

แทนดาวกลัวมากคงไม่สามารถเดินฝ่าความมืดลงไปคนเดียวได้แน่ จากเมื่อกี้ที่อยากให้เขาอยู่ห่าง ๆ กลับกลายเป็นเสียงเรียกร้องในหัวใจที่อยากให้เขากลับเข้ามาเร็วๆ

“น้องพลู...เป็นอะไรหรือเปล่า”เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาให้คนบนเตียงรู้สึกโล่งใจในมือของเขาถือไฟฉายอันเล็กติดมาด้วย

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะมันมืดมากก็เลยไม่กล้าลงไปข้างล่างคนเดียว”

“งั้นรอพี่แป๊บนึงขอเปลี่ยนเสื้อมั่ง น้องพลูอยู่ตรงนี้แหละ เอ้านี่...ใช้โทรศัพท์ของพี่ก็ได้ไม่รู้ว่าไฟจะมาเมื่อไหร่ ” เขายื่นโทรศัพท์ให้ แทนดาวจะเปิดหน้าจอแต่มันถูกเข้ารหัสไว้

“รหัสผ่านคือวันที่กับเดือนเกิดของน้องพลู” เขาบอกเสียงเรียบแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้ากุกกักแทนดาวถือโทรศัพท์ค้างอยู่ในมือ ความรู้สึกประหลาดแล่นวูบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่กล้าคิดต่อว่าเขาให้ความสำคัญกับตนมากถึงขนาดเอาข้อมูลส่วนตัวมาตั้งเป็นรหัสลับ

หญิงสาวโทรไปที่บ้านก่อนอันดับแรกก็ทราบว่ามารดาใช้รถออกไปทำธุระยังไม่กลับก็เลยโทรหาเทียมภพแล้วได้รู้ว่าพี่ชายจะมาส่งรมย์นลินอยู่แล้วแต่ปัญหาคือ...คงจะดึกเพราะฉะนั้นแล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอยู่ตามลำพังกับเขาไปอีกหลายชั่วโมง เสียงเปิดน้ำซู่ซ่าดังลอดมาจากห้องน้ำหญิงสาวออกจะทึ่งในความสามารถของเขาที่สามารถอาบน้ำในความมืดได้ ในขณะที่รอฝ่ายนั้นอยู่ก็เกิดความคิดสนุก ๆขึ้นมาจึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดเล่นแล้วเพิ่งก็สังเกตเห็นว่า ภาพพื้นหลังเป็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งบนชิงช้าไม้ริมชายหาดแม้จะเห็นแต่ใบหน้าด้านข้างแต่ก็จำได้ทันทีว่าเป็นรูปตัวเองเมื่อครั้งไปเที่ยวตรังส่วนสถานที่ในรูปคือเกาะส่วนตัวของญาติคนหนึ่งของเขานั่นเอง

ปลายนิ้วเรียวแตะไอคอนอัลบั้มที่เป็นชื่อของตัวเองด้วยใจเต้นระทึกทุกภาพล้วนเป็นตนเองในอิริยาบถต่าง ๆ จากสถานที่หลายๆ แห่ง ไล่ตั้งแต่รูปในชุดราตรีแสนสวยที่เขาซื้อให้เมื่องานเลี้ยงวันเกิดคุณย่ารูปที่มหาวิทยาลัย ตอนไปเล่นเปียโนที่ธารา ตอนไประยอง ตอนเล่นน้ำ ที่สนามกอล์ฟ วันที่เขาขอเป็นแฟนซึ่งเดาเอาว่าคงใช้ให้พนักงานแอบถ่ายให้ส่วนภาพที่สะกดสายตาได้มากที่สุดก็คือ ภาพถ่ายเซลฟี่ตอนไปนั่งชิงช้ายักษ์ด้วยกันแล้วเขาแกล้งเอียงจมูกมาหอมแก้มพอดี

“แอบล้วงความลับอะไรอยู่หรือครับ...เพลินเชียว”

เสียงนั้นเรียกสติคนที่กำลังดูโทรศัพท์คนอื่นอย่างไร้มารยาทอารามรีบลนทำให้มือไม้ไม่ค่อยจะมั่นคงเลยทำมันตกตุ้บบนพื้นอย่างแรงโดยที่หน้าจอยังเปิดค้างภาพนั้นอยู่คนทำผิดหน้าเสียกลัวว่าจะทำของเขาพังเลยจะรีบไปหยิบ แต่ก็ไม่ทันที่เจ้าของก้มลงไปเก็บเสียก่อน

“ขอโทษค่ะ...มันคงไม่พังหรอกมั้งคะ”

“เครื่องพังไม่ว่าแต่ภาพอย่าหายก็แล้วกัน กว่าจะสะสมมาได้ขนาดนี้...ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ “

เขาพูดเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าโกรธอะไร แต่นั่นก็ทำให้คนฟังหน้าม้านที่ไปยุ่งกับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเขาหญิงสาวลอบมองเสี้ยวหน้าภายใต้ความสลัวลางเลือนแสงฟ้าแลบแปลบสะท้อนใบหน้านิ่งเรียบที่กำลังยีเช็ดศีรษะตัวเองด้วยผ้าขน หนูผืนเล็กเขาสวมเพียงกางเกงขาสั้น หยดน้ำยังเกาะพราวทั่วลำตัวช่วงบน หญิงสาวนั่งรอนิ่ง ๆไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรหล่นอีกจนกระทั่งเขาหาเสื้อมาสวมเรียบร้อย

“ไฟจะดับนานไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามหวาด ๆถ้าต้องอยู่ด้วยกันท่ามกลางความมืดต่อไปก็คงอึดอัดมิใช่น้อย

“ไม่รู้เหมือนกัน พอฝนซาแล้วเจ้าหน้าที่คงมาดูให้ สงสัยกิ่งไม้หักแล้วเกี่ยวสายไฟขาดแน่”

เสียงตอบเรียบเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจนัก อีกครู่หนึ่งทั้งคู่ก็พากันลงมาข้างล่างเสียงเม็ดฝนยังคงสาดกระทบบานหน้าต่างกระจกกราว ๆ คงอีกนานกว่าจะซา ชลธีเดินไปหาอะไรบางอย่างสักพักก็กลับมาพร้อมเทียนเล่มใหญ่บนเชิงโลหะสีเงินดัดลายสวยงาม แสงสว่างรำไรจากเทียนเล่มนั้นทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดขึ้น แทนดาวอดที่จะยิ้มแล้วถามออกไปไม่ได้

“เทียนอีกแล้วพี่ชลเป็นอะไรกับเทียนหรือเปล่าคะ”

“มันโรแมนติกดีเผื่อว่าอยู่ใต้แสงเทียนแล้วน้องพลูอยากจะมีอารมณ์โรแมนติกกับพี่บ้าง”

เขาตอบหน้าตาเฉยจนคนฟังไม่กล้าปริปากว่ากระไรอีกชายหนุ่มจูงมือเย็นเฉียบของคนตัวเล็กเข้าไปในครัวเขาวางเชิงเทียนบนโต๊ะกลางห้องแล้วเดินไปค้นของในตู้เย็นแทนดาวมองตามอย่างสนใจว่าพ่อครัวคนนี้จะทำอะไรให้กินหล่อนไม่เคยรู้หรอกว่าเขาทำกับข้าวเป็นหรือเปล่าแต่ไม่ว่าจะทำอะไรมาให้ก็เห็นจะต้องกินให้หมดเพราะหิวจนแสบท้องแล้ว

“ดูสิว่ามีอะไรพอกินได้มั่ง”

“น้องพลูช่วยนะคะ”

หญิงสาวรีบลุกจากเก้าอี้แต่มือก็ปัดเอาขวดซอสตกลงไปด้วยดีที่เป็นขวดพลาสติกก็เลยไม่แตกให้งานเข้ามากกว่านี้ ทั้งสองคนรีบก้มลงไปเก็บพร้อมๆ กัน จังหวะที่จะลุกขึ้นศีรษะก็ชนกันพอดีอีกหน้าผากนวลปะทะกับปลายคางสากก็เลยเจ็บจนสะดุ้งกันทั้งคู่

“โอ๊ย ! ” ต่างคนต่างร้องประสานเสียง

“พี่ขอบคุณที่น้องพลูอยากช่วยแต่ว่า...จะดีที่สุดถ้าน้องพลูจะนั่งดูเฉย ๆ “

เขาว่าพลางแกะพลาสติกหุ้มกล่องอาหารออกแล้วเทใส่กระทะ แทนดาวเอามือคลึงหน้าผากที่ชนกับคางแข็งป้อย ๆ นั่งหน้าง้ำทำตามคำสั่งไม่บิดพลิ้วไม่นานนักสปาเก็ตตี้หอมกรุ่นควันลอยฉุยก็ถูกยกมาตั้งตรงหน้า

“อยู่กับแฟงสองคนก็เลยไม่ได้ทำกับข้าว ต่างคนต่างกินมาจากข้างนอก เลยมีแต่อาหารสำเร็จรูป”

“ทำไมมีจานเดียวล่ะคะ? แล้วพี่ชลล่ะ”หญิงสาวถือช้อนค้างเพราะเห็นว่าเขาไม่ได้เตรียมไว้ให้ตัวเอง

“พี่ยังไม่หิวหรอก...น้องพลูกินซะแล้วที่บ้านจะมารับกี่โมง”

“น้าตาลไม่ว่างค่ะพี่หมากจะมารับเอง เห็นบอกว่าจะมาส่งพี่แฟงตอนสามทุ่ม”

ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้แทนดาวตักอาหารเข้าปากช้า ๆ ตามคำสอนของคุณย่าว่า ถึงจะหิวโหยอย่างไรก็ต้องรับประทานอย่างเรียบร้อยไม่มูมมามเหมือนยาจก...มันไม่น่าดูแต่กระนั้นก็ยังมีเศษซอสสีแดง ๆ ติดมุมปาก

“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง”

เขาพูดพลางใช้ผ้าขนหนูลูบซับเส้นผมยาวที่ยังเปียกอยู่อย่างเบามือแทนดาวรู้สึกอบอุ่น ถึงเนื้อเสียงและสายตาจะกระด้างเฉยเมยอย่างไรแต่การปฏิบัติของเขาช่างอ่อนโยนเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยน

“ไหนดูซิ...เมื่อกี้เจ็บหรือเปล่า” เขาเลื่อนเชิงเทียนเข้ามาใกล้ ๆ แล้วจับใบหน้างามละมุนมาพิศดู หน้าผากลาดนูนไม่ปรากฏรอยบวมก็เบาใจ

“พี่ชล...หายโกรธน้องพลูหรือยังคะ”

แทนดาวถามเบาๆ แววแห่งความไม่แน่ใจฉายชัดในดวงตาคู่สวย ชลธีค่อย ๆ รั้งเอวเล็กในเสื้อเชิ้ตตัวยาวเข้ามาหาใบหน้าห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ แทนดาวรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับสายตาแปลก ๆที่ยิ่งยามต้องแสงเทียนสีส้มสลัวก็ยิ่งวิบวับประหลาดล้ำมันช่างย้อนแย้งกับน้ำเสียงเย็นชาและท่าทีห่างเหินที่เขาเป็นมาร่วมเดือนแทนดาวคิดว่า...นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้ชิดและพูดคุยกันมากคำที่สุดแล้วนับแต่เกิดเรื่องไม่เข้าใจกัน

“กินยังไง...เลอะเทอะไปหมด”

ชลธีไม่ตอบคำถามแต่เลี่ยงไปพูดอย่างอื่นมืออุ่นข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านหลัง แทนดาวคิดว่าเขาคงจะหยิบการดาษมาเช็ดให้แต่เปล่าเลย...มือนั้นกลับขยี้เปลวเทียนจนดับสนิท ในห้องครัวกว้างจึงมีเพียงแสงวูบวาบสั่นไหวจากสายฟ้าข้างนอก

แทนดาวรู้สึกว่าร่างตัวเองลอยขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วถูกวางซ้อนบนตักกว้างฝ่ามืออบอุ่นประคองใบหน้าหวั่นวิตกเข้ามาใกล้ นาทีต่อมาริมฝีปากอุ่นแตะลงตรงมุมปากที่มีคราบซอสมะเขือเทศติดอยู่ปลายลิ้นอุ่นลามเลียจนซอสหลุดหายไป หัวใจของแทนดาวแทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้เมื่อปลายลิ้นอุ่นค่อยๆ ลากไล้เปลี่ยนตำแหน่งมาที่กลีบปากนุ่มแล้วแทรกเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

“อื้อ...”

หญิงสาวดิ้นอึกอักแต่เสียงประท้วงดังอยู่เพียงในลำคอแขนแข็งแรงข้างรวบรัดเอวบางไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างดึงรั้งท้ายทอยให้อยู่นิ่งๆ ขณะที่ริมฝีปากหยักกับลิ้นอุ่นยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างช่ำชองเขากำลังจะดูดลมหายใจของหญิงสาวออกไปจนหมด ชลธียกร่างบางขึ้นพามาหยุดอยู่หน้าห้องๆ หนึ่ง เขาใช้เท้าเปิดและปิดระตูกระจกบานเลื่อนอย่างง่ายดาย ริมฝีปากยังคงประกบกันแนบแน่นขณะที่ค่อยๆ วางร่างอ่อนระทวยลงบนโซฟาบุหนังในห้องหนังสือเงียบสงบ ร่างกำยำสมบุรุษยันกายคร่อมอยู่บนร่างอรชรดังกินนรีให้หน้าคร้ามคมถอนริมฝีปากออกแล้วลุกออกไปจนได้ แทนดาวสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกโลงใจเมื่อคิดว่าเขาคงพอแค่นี้ แต่นาทีต่อมาก็รู้ว่าคิดผิด ชลธีเพียงแค่เดินไปรูดม่านหน้าต่างปิดหมดทุกบานกับล็อกประตูแทนดาวถูกกดไหล่ให้ลงไปนอนใหม่ตามด้วยร่างหนาที่ทาบลงมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจร้อนๆเริ่มระไล้ตามซอกคอเนียน กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกแกะอย่างรีบร้อนจนเปิดเปลือยความโค้งมนกลมกลึงราวรูปสลักปลายนิ้วอุ่นกระตุกเพียงเบา ๆ สายบราเซียสีเนื้อก็หลุดจากไหล่ ตามด้วยฝ่ามืออบอุ่นที่สอดเข้ามากอบกุมทรวงอกที่ชูช่อชันดังบัวงามต้องน้ำค้างข้างหนึ่งไว้แทนดาวรีบยุดมือที่กำลังสัมผัสแตะต้องของสงวน

“อย่าให้มันเกิดขึ้นเลยค่ะพี่ชล”

หญิงสาวขอร้องเสียงแผ่วหล่อนไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ชลธีเป็นผู้ชายคนหนึ่ง...แต่แทนดาวมั่นใจว่าเขาย่อมจะต้องหยุดยั้งตัวเองได้เสมอเช่นทุกครั้งการรักนวลสงวนตัวที่หนุ่มสาวสมัยใหม่มองว่าเป็นความคิดเก่าโบราณคร่ำครึและไม่ค่อยเห็นเป็นเรื่องสำคัญแต่แทนดาวเห็นตัวอย่างมานักต่อนักจากจากบรรดาอดีตสาว ๆ ของพี่ชาย จากเพื่อนบางคนที่จับคู่อยู่ด้วยกันหรือแม้กระทั่งชลธีเองก็ยังมีบาดแผลจากเรื่องพรรค์นี้ความสัมพันธ์ฉาบฉวยย่อมไม่มีวันยืนยาว การริลองทำอะไรตามอารมณ์โดยบรรยากาศพาไปอาจให้ความอภิรมย์ทางร่างกายเพียงไม่นาน

“น้องพลูเรียนจบแล้วนะครับพี่ก็พร้อมรับผิดชอบน้องพลูอยู่แล้ว...นะครับ น้องพลูสวยน่ารักไปหมดทั้งตัวแบบนี้พี่จะอดทนไหวอยู่ได้ยังไง...นะครับคนสวย...”

“น้องพลูเข้าใจว่าพี่ชล...รู้สึกยังไงแต่...น้องพลูอยากให้คืนแต่งงานมีความหมาย...นะคะ”

ชลธีหยุดการกระทำทั้งหมดปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่มกับหน้าผากลาดแล้วยันตัวขึ้นนั่งผินหลังให้ระหว่างรอให้หญิงสาวจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แทนดาวขยับเข้ามาใกล้ มือนุ่มบีบมือชื้นเหงื่ออย่างเข้าอกเข้าใจชลธีลูบศีรษะเล็กด้วยความรักใคร่มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณแทนดาวมีในสิ่งที่สตรีคนอื่นไม่มี สิ่งที่เขาไม่เคยค้นพบจากใครเลยมาตลอดชีวิต ความงดงามบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจยิ่งทำให้รู้สึกหวงแหนและอยากครอบครองเอาไว้เพียงผู้เดียว

“ห้ามพี่ได้ทุกทีสิน่า”เขาหยิกจมูกเล็กอย่างเอ็นดูแล้วโอบร่างให้เอนซบกับอกอุ่น

“ว่าแต่...ที่น้องพลูถามว่า...หายโกรธหรือยังพี่ชลว่าไงคะ”

ชลธีใจกระตุกขณะครุ่นคิดว่า...ควรจะพอได้หรือยังเวลานับเดือนที่ร่วมมือกับพี่ชายของหล่อนดัดนิสัยคนเอาแต่ใจมันมากพอแล้วที่จะให้บทเรียนผู้หญิงคนหนึ่งการปล่อยให้หล่อนรับมือกับเรื่องอีรุงตุงนังเองโดยที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือทำให้สาวน้อยตรงหน้าเลิกงอแงกระบิดกระบวนแถมยังมีความคิดรอบคอบมากขึ้นจนเทียมภพเองยังทึ่งกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของน้องสาว

แทนดาวไม่มีวันรู้หรอกว่าภายใต้ความเย็นชามึนตึงของชลธีกลับแฝงไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์ ความคิดถึงและรักเปี่ยมล้นถึงจะคอยตามดูอยู่ห่าง ๆ แต่ก็รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของหล่อนชนิดก้าวต่อก้าวก็ว่าได้เพราะเทียมภพนั่นเองที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวอยู่เนือง ๆยิ่งถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จะรีบโทรหา อย่างล่าสุดที่แทนดาวขาดการติดต่อไปสามวัน

จนเกือบจะไปหาที่บ้านอยู่แล้ว ก็พอดีที่เพื่อนรักโทรมาบอกข่าว

“ไอ้ชล...มึงทำอะไรอยู่รู้ไหมว่าวันนี้ยัยพลูขอไปดูหนังกับหมออชิ”

“เขาจะไปกันที่ไหน”

แล้ววันนั้นแทนดาวก็คงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเขาไปยืนเกร่หน้าโรงหนังชลธีทำท่าประหลาดใจเหลือล้นที่เจอกัน ‘โดยบังเอิญ’ และก็ต้องแปลกใจอีกที่เขาก็มาดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกันแถมยังซื้อตั๋วที่นั่งแถวเดียวกันอีกต่างหากคงจะมีแต่อชิตะเท่านั้นที่ล่วงรู้เท่าทันเกม

“คุณสองคนนี่...ไม่พลาดสักงานนะครับ”

“เรื่องบางเรื่องไม่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจครับ”

ช่วงเวลาที่ถูก‘ลงทษ’ เขารู้ว่าแทนดาวพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะปรับความเข้าใจบ่อยครั้งที่สาวน้อยแวะเวียนมา

หาที่ธาราเพื่อชวนรับประทานอาหารบ้างเอาขนมมาฝากบ้าง แต่ท่าทีเฉยเมยไม่แยแสกับของฝากทำให้เจ้าหล่อนหน้าจ๋อยกลับไปหลายหนหากพอคล้อยหลัง...คนสนิท ๆ ก็จะได้เห็นชลธีนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ละเลียดกินขนมพวกนั้นอย่างเอร็ดอร่อยแถมยังหวงไม่ยอมให้ใครชิม และทุกครั้งที่พบกัน...แทนดาวก็อาจจะน้อยใจบ้างว่าเขาไม่ให้ความสนใจคุยได้แป๊บ ๆ ก็อ้างว่ามีงานด่วน แต่หารู้ไม่ว่า...คนที่คิดว่าไม่สนใจกลับแอบตามมาส่งด้วยความเป็นห่วงรอจนขึ้นรถเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะค่อยกลับขึ้นไปทำงานต่อ

“พี่ไม่เคยโกรธน้องพลูนะครับ...จริงๆ นะ รักมากขนาดนี้ รักจนไม่รู้จักคำว่า...โกรธ...เลย”

เขาตอบเสียงนุ่มอย่างชลธีคนเดิมแทนดาวยิ้มกับอกกว้างเมื่อในที่สุดความพยายามของตนก็สำฤทธิ์ผล แก้มทั้งสองแดงปลั่งเมื่อเขาก้มลงมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา

“น้องพลูคิดอะไรได้หลายอย่างเลยล่ะค่ะรู้ซึ้งแล้วล่ะว่า เวลาที่ตัวเองทำตัวงี่เง่า...คนรอบข้างจะรู้สึกยังไง”

“น้องพลูโตขึ้นมากเลยนะ...รู้ตัวหรือเปล่าทำอะไร ๆ ได้เองตั้งหลายอย่าง...เก่งขึ้นเยอะเลยนี่” เขาลูบผมยาวอย่างแสนรัก

“จริงๆ พี่เองก็กลัวว่าเราจะเบื่อที่ต้องตามง้อจนเปลี่ยนใจไปคบคนอื่น”

“จะเปลี่ยนใจไปคบใครได้ล่ะคะ”

“ฮึ...ตั้งแต่รับงานสอนที่โรงเรียนก็ได้ข่าวว่ามีหนุ่ม ๆ ทั้งน้อยใหญ่มาขายขนมจีบให้เราไม่ใช่เหรอ”

ชลธีอดเหน็บไม่ได้เขาได้รับรายงานอีกนั่นล่ะว่า มีผู้ปกครองบางคนที่ไม่เจียมใจว่ามีครอบครัวแล้ว มาทำตีสนิทจนเกินงามแต่คนอย่างเขาไม่ยอมปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ ๆ พวกนั้นมีอันต้องทยอยล่าถอยไปเมื่อโดนเล่นงานด้วยวิธีเชือดนิ่มๆ ตามแบบฉบับของเขา

“แล้วหนุ่มๆ ผู้น่าสงสารก็ไม่กล้าไปที่นั่นอีกเลย เพราะใครกันที่ไปปล่อยลมยางรถเขาบ้างล่ะไหนจะตามบรรดาภรรยามาเซอร์ไพรส์อีกล่ะ”

“เขาเรียกว่าฟ้ามีตาคอยสกัดไม่ให้คนกำลังจะทำบาปต้องตกนรกข้อหาผิดลูกผิดเมีย”

“พูดเพ้อเจ้อน้องพลูยังไม่ได้เป็น...ภรรยาของพี่ชลเลยนะ”

“อีกไม่นานก็ต้องเป็น”

แทนดาวค้อนคมให้คนหน้าตายแต่ก็แอบซ่อนรอยยิ้มหวานชลธีจูบหน้าผากเนียนแล้วกอดให้กระชับขึ้นเสียงฝนเริ่มซาแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังพอใจที่จะอิงไออุ่นซึ่งกันและกันช่วงเวลาที่ห่างกันไปต่างทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้คนหนึ่งรู้ที่จะใช้สติคิดทำสิ่งใดให้รอบคอบ ส่วนอีกคนรู้ที่จะรอคอยให้คนหนึ่ง ‘พร้อม’ กับการร่วมชีวิตคู่ด้วยกันในอนาคตอันใกล้

“ฝนหยุดแล้วอากาศชักเริ่มร้อนเดี๋ยวพี่ไปยกคัตเอ้าท์ขึ้นก่อนนะ...จะได้เปิดแอร์น้องพลูก็จะได้ชาร์ตแบตมือถือด้วย”ชลธียกแขนเรียวที่พาดเอวออกแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าแทนดาวลุกตามแล้วรีบยิงคำถาม

“ทำไมต้องยกคัตเอ้าท์คะก็ไฟดับอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“จ้ะ...ก็พี่ไปกดคัตเอ้าท์ลงไฟก็เลยดับน่ะสิ”

ชลธีตอบเรื่อยเฉื่อยแล้วก็เดินหายไปอย่างนั้นแทนดาวยืนอ้าปากหวออยู่ที่เดิม ไม่คิดว่าจะเจอแผนร้ายลึกของคนที่ได้ชื่อว่าร้ายกาจที่สุด...ร้ายยิ่งกว่าตัวโกงในละครทุกเรื่อง




Create Date : 17 พฤษภาคม 2559
Last Update : 19 พฤษภาคม 2559 23:16:25 น.
Counter : 482 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com