ตอนที่ 36 <ปลูกรักในรั้วใจ อวสาน_1> ครึ่งแรก


ตอนที่ 36 ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_1)

ชลธีกลับเข้าบ้านอีกครั้งตอนหัวค่ำพอเคลียร์เรื่องเมื่อเช้าเสร็จเขาก็กลับไปทำงานต่อแต่ด้วยความเหนื่อยและพักผ่อนน้อยมาหลายวันติดกันทำให้น็อตหลุดจนเผลอหลับเป็นตายอยู่ที่ออฟฟิศนั่นเองตื่นขึ้นมาอีกทีก็สี่โมงเย็นแล้ว ดังนั้นสภาพของเขาตอนนี้อาจจะเรียกว่าดูไม่จืดก็ไม่ผิดนักอาการเดินลากเท้าอย่างซังกะตายไม่ต่างจากผีซอมบี้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าราคาแพงก็ยับยู่ยี่และมีรอยกระดำกระด่าง

“ไอ้ชล ! มานี่ก่อนซิวะ”

เสียงตะโกนห้วนๆ มาจากคนที่กำลังคุยกับน้องสาวดังลั่นจนต้องหันกลับไปมอง พอเห็นหน้าก็รีบโบกมือห้ามแต่คนเรียกเดินแทบจะเป็นวิ่งเข้ามาหาในสภาพที่สุนัขไม่มองแล้วยังเมินพอ ๆ กัน

“ฉันไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับแกหรอกขอสักวันเถอะนะ” บอกเสียงเหนื่อย ๆ

“เป็นอะไรวะ วันนี้ฉันมาคุยกะแกนะไม่ได้มาหาเรื่อง”

“ถ้าแกอยากกระทืบฉันจริง ๆก็ขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม วันนี้หมดแรงจริง ๆ ว่ะ”

“พูดอะไรเนี่ยฉันรู้ความจริงเรื่องปรางกับแกหมดแล้วนะ ทีนี้จะคุยได้หรือยังวะ” เทียมภพขึ้นเสียง

“ว่าไงนะ ! แกไปรู้เรื่องมาจากไหน” ชลธีขยำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่น หูตาที่เบลอๆ อยู่เมื่อครู่สว่างจ้าขึ้นมาทัน ที รมย์นลินที่ยืนสังเกตการณ์เงียบ ๆ เอ่ยปากจะห้ามพี่ชายเพราะคิดว่าจะวางมวยกันแต่ชลธีรีบยกมือแล้วสั่งเสียงดัง

“เตรียมเหล้ากับกับแกล้มให้พี่ที”

“โซดาโค้กด้วยนะครับ”คนเรื่องมากตะโกนไล่หลังขอเพิ่มเครื่องปรุง ไม่สนใจตาดุ ๆ ของเจ้าบ้านที่กำลงลุกเป็นไฟ

“ปรางเล่าให้แกฟังเหรอ”เทียมภพจ้องหน้าอยู่อึดใจก่อนจะซัดหมัดแรกใส่หน้า ตามด้วยหมัดที่สองและสามอย่างต่อเนื่องถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง สะเปะสะปะเหมือนไม่ได้เจตนาจะให้ได้รับความเจ็บปวด

“ไอ้ชล ! ไอ้เลว ! ทำไมไม่เคยบอกฉัน ทำไมต้องปิดบังกันด้วย แกเห็นฉันเป็นอะไรฉันไม่ใช่เพื่อนตายของแกใช่ไหม”

คนอาละวาดตีอกชกหัวจนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนเด็กๆ ชลธีนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ กัน แล้วบีบไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนแน่น

“ที่ไม่บอก...ก็เพราะฉันรักแกและรักปรางด้วย”

เพียงแค่คำพูดสั้นๆ หากแต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้ถ่องแท้ นอกเสียจากคนสองคนที่เคยใช้วันวานแห่งความสุขเศร้า ร่วมกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ ดังนั้นแล้วรมย์นลินที่กำลังยกจานกับแกล้มตามด้วยแม่บ้านที่เข็นรถบรรทุกขวดน้ำเมาสารพัดยี่ห้อต้องหยุดอยู่แค่ประตูกระจกเพื่อจ้องดูภาพชายสองคนที่เคยเป็นขมิ้นกับปูน เคยท้าทายกันว่าใครตายจะไม่ยอมไปเผาผีกำลังนั่งกอดกันกลมน่ากลัวฟ้าจะผ่า แถมต่างฝ่ายต่างร้องไห้กระซิกเหมือนเด็ก ๆใครไม่รู้อาจจะคิดว่าเป็นฉากรัก แต่รมย์นลินรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ทั้งคู่ต่างรอคอยมานานรอเวลาที่จะได้กลับมาเข้าใจกันเหมือนเดิม

หญิงสาวบอกให้แม่บ้านหลบฉากออกไป ทิ้งไว้แต่ขวดบรรจุยอดข้าวหมักกับเครื่องเคียงสองสามอย่างไม่อยากรบกวนเวลาอันน่าประทับใจของสุภาพบุรุษทั้งสองคน รู้สึกปะแล่ม ๆ ในใจตั้งแต่ตอนบ่ายที่เทียมภพแบกหน้าตาเศร้าหมองไปหาที่โรงเรียนจึงได้รับรู้โศกนาฏกกรรมรักสามเศร้าของเพื่อนรักสามคน

ทั้งสองหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถม จนอยู่มัธยมก็ยังเรียนโรงเรียนเดียวกันในกลุ่มจะยกให้เทียมภพเป็นฝ่ายบู๊ ส่วนชลธีเป็นฝ่ายบุ๋น ทั้งคู่เกเรเฮฮามาด้วยกันตลอดเรียกได้ว่าเป็นคู่หูแต่เทียมภพอาจจะมีภาษีดีหน่อยตรงที่มาจากครอบครัวอบอุ่นและมีฐานะดีกว่า ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร ก็จะโดดเด่นกว่าเพื่อนซี้ ตรงกันข้าม...ชลธีมีครอบครัวที่ไม่อบอุ่นและไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากนัก แต่ปัจจัยเหล่านั้นมิได้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาหรือน้อยเนื้อต่ำใจกลับเป็นคนที่สนุกสนานกว่าใครด้วยซ้ำ จนกระทั่งขึ้นชั้นมัธยมปลาย ตอนนี้เอง...ทั้งสองคนก็ได้รู้จักเปรมยุตาสาวแรกรุ่นหน้าตาสะสวยหมดจดที่เพิ่งย้ายมาเรียนด้วย ทั้งสามคบหาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เทียมภพรู้อยู่เต็มอกว่าเปรมยุตากับเพื่อนรักมีความรู้สึกที่พิเศษให้กันและกันเขาทั้งยินดีและเจ็บในคราวเดียวกันเพราะตัวเองก็หลงรักเปรมยุตาจนหมดใจ ทั้งคู่มีรักแรกกับผู้หญิงคนเดียวกัน

พอตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเทียมภพซึ่งถนัดด้านบริหารสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลที่มีชื่อเสียงอัน ดับต้นๆ ของประเทศ เปรมยุตาก็ได้เรียนที่เดียวกันด้วย ส่วนชลธีเลือกเรียนคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในมหาวิทยาลัยเอกชนหนึ่ง เทียมภพออกจะแปลกใจกับการเลือกเรียนสายวิชาชีพของเพื่อนรักซึ่งออกจะ‘เหนือความคาดหมาย’ เพื่อน ๆ เพราะเกือบทุกคนเชื่อว่าเขาน่าจะเรียนแพทย์หรือไม่ก็วิศวกรรมแต่เจ้าตัวก็ให้เหตุผลง่าย ๆ ว่า เกิดนึกชอบทางนี้ขึ้นมากะทันหัน ทว่าเพื่อนทุกคน...รวมทั้งเพื่อนสนิทอย่างเทียมภพกับเปรมยุตาไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าขณะนั้น...เพื่อนรักและคนรักได้ก้าวขึ้นมาเป็นทายาทผู้ดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังในเวลาต่อมา

ถึงจะเรียนอยู่คนละที่แต่เทียมภพต้องจำทนกล้ำกลืนรับรู้ว่า เพื่อนรักยังคบหาติดต่อกับเปรมยุตาอยู่ความผูกพันของทั้งคู่เหนียวแน่นจนไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ถึงแม้ว่าจะได้รับสมญานามว่าเป็นคาสโนว่าตัวพ่อแต่หัวใจรักดวงนี้ได้มอบให้ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘แฟน’ ของเพื่อน เขาคอยตอกย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจะไม่มีวันหักหลังเพื่อนรักเด็ดขาด ถึงมันจะยากเหลือเกินที่จะหักห้ามใจ ยิ่งชลธีฝากฝังให้ช่วยดูแลแฟนสาวแทนก็ยิ่งทำให้เขาวางตัวลำบากมากขึ้นบวกกับเกิดตะกอนความกังขาอยู่ในใจว่าตนเองมีทุกอย่างพร้อมกว่าชลธีในทุกด้าน แต่ทำไมผู้หญิงกลับไม่สนใจ

จนกระทั่งปีสุดท้ายชลธีเริ่มแยกตัวออกไป เขามักจะหาข้ออ้างปฏิเสธการพบปะสังสรรค์หรือไปเที่ยวกันอย่างเคยเปรมยุตาเองก็ออกอาการเหงาหงอยเซื่องซึม แต่ก็ไม่มีใครเอะใจเพราะคิดว่าเป็นการงอนกันธรรมดาตามประสาคู่รักหลังสอบไล่ปลายภาคเรียนสุดท้ายเสร็จไม่กี่วัน เทียมภพกับเพื่อน ๆ ไปฉลองเรียนจบ แต่พอเอ่ยถึงเปรมยุตา...ชลธีกลับเงียบสนิท

แต่แล้ววันหนึ่ง...เรื่องเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นเทียมภพได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเปรมยุตา เขายังจำภาพนั้นได้ติดตา หญิงสาวนอนตัวงอบิดไปบิดมาจมกองเลือดอยู่ฟูกเสียงร้องโอดครวญบวกกับลมหายใจรวยรินจากการเสียเลือด หัวใจของเขาตกลงมาอยู่แทบตาตุ่มแทบจะหมดสติ

เปรมยุตาตกเลือดจากการกินยาทำแท้งที่สั่งซื้อจากเวบไซต์ของผู้ขายที่เห็นแก่ได้ไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมผลจากการกินยาขับเลือดที่มีฤทธิ์รุนแรงส่งผลให้มดลูกได้รับความเสียหายจนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกถาวรเขาเป็นคนดูแลหล่อนจนแข็งแรงดี พร้อมๆกับสะสมความโกรธเกลียดเอาไว้จนซึมซาบเข้ากระแสเลือดชลธีไม่เคยโผล่หน้ามาดูดำดูดีสักครั้ง จนในที่สุดจุดแตกหักก็มาถึง เมื่อเปรมยุตายอมปริปากเล่าว่าชลธีไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบเทียมภพโมโหมากแล้วหุนหันพลันแล่นไปหาเพื่อนรักที่ระยองในวันเดียวกัน ขณะนั้นชลธีกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศพอทั้งสองเจอกัน...ชลธีก็เอาแต่แสดงท่าทีเฉยชาเฉยชาจนเทียมภพโมโหเดือดถามอะไรก็ไม่ตอบ ได้แต่นิ่งและพูดเพียงว่า

“แกเข้าใจอย่างนั้น...ก็ดีแล้ว”

และวันนั้นเองที่เขาได้เห็นหน้าเพื่อนรักเป็นครั้งสุดท้ายทั้งคู่มีปากเสียงกันรุนแรงมากถึงขันประกาศตัดความเป็นเพื่อนไม่เผาผีกัน ไม่พอยังวางมวยชกต่อยกันอย่างดุเดือดจนต่างฝ่ายต่างช้ำน่วมกันไปพอสมควรชลธีต้องเลื่อนการเดินทาง

ออกไปต่อมาไม่นานเทียมภพก็ไปต่างประเทศอีกคนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะหายไปจากชลธีพร้อมกับความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ขาดสะบั้นนับแต่นั้นมา...

เช้าตรู่วันต่อมารมย์นลินค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่น ความสงบเงียบยามเช้าจึงได้ยินเพียงแค่เสียงรองเท้าแตะเสียดสีกับพื้นขนาดว่าจิกปลายเท้าสุด ๆ แล้วยังเกิดเสียงดังสวบสาบ หล่อนไม่พึงให้การเข้ามา ‘สำรวจ’ เป็นการทำลายการนอนหลับหรือจะเรียกให้ถูกก็ต้องว่าสลบไสล ไม่ได้สติของบุรุษสองคน

ในห้องรับแขกโอ่โถงตกแต่งอย่างมีสไตล์และพิถีพิถัน บัดนี้เกลื่อนกลาดไปด้วยขวดเหล้ากับขวดเบียร์เปล่าๆ จานกับแกล้มเหลือเพียงเศษอาหารติดขอบจาน บ้างก็มีก้นบุหรี่อยู่ด้วยกลิ่นยาสูบยังคงคลุ้งเอียนอยู่ในห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศ หญิงสาวพยายามกระหย่องเท้าหลบสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่เป็นระเบียบ รมย์นลินส่ายหน้าพร้อมกับระบายลมหายใจยาวขณะแลดูร่างสองร่างที่กองอยู่ไม่ไกลกันคนแรกคือชลธีนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ใช้หมอนอิงรองศีรษะในลักษณะหมิ่นเหม่เต็มทีเสื้อเชิ้ตขะมุกขะมอมถอดพาดเอาไว้กับเท้าแขนเก้าอี้ ส่วนอีกคนนอนคุดคู้อยู่บนโซฟาบุนวมตัวยาวแขนข้างหนึ่งตกห้อยลงมา

“หมดสภาพทั้งคู่”

หญิงสาวพยายามเก็บรวบรวม‘ขยะมูลฝอย’ ที่ถูกทิ้งระเกะระกะมารวมไว้ที่เดียวเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บกวาด ขณะที่กำลังก้มๆ เงย ๆ ก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็ก ภาพนั้นกลางเก่ากลางใหม่บุคคลในภาพมีชลธีกับเทียมภพ ส่วนตรงกลางเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยอันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเปรมยุตาทั้งสามยิ้มร่าอยู่ในชุดนักศึกษา ด้านหลังภาพมีลายมือหวัด ๆ เขียนระบุวันที่ซึ่งคงราว ๆ ช่วงที่ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย

ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มเล็กน้อยตอนนั้นพี่ชายยังเป็นหนุ่มน้อยยิ้มเก่ง ไม่น่าจะเปลี่ยนเป็นคนสุขุมคัมภีรภาพดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หล่อนวางรูปใบนั้นลงที่เดิมแล้วจะไปตามแม่บ้านมาเก็บกวาดแต่พอเดินไปได้สองก้าวก็ต้องล้มวูบลงไปทับบนอะไรนิ่ม ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ระวังอย่างดีไม่ให้สะดุดล้มแล้วเชียวพอหันไปมองก็เห็นตัวต้นเหตุนอนยิ้มเผล่ตาปรือ

“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย...เดี๋ยวพี่ชลก็ตื่นหรอก” รมย์นลินดุคนขี้แกล้งด้วยอาการกระซิบกระซาบพลางปรายตาไปยังอีกร่างที่นอนอยู่ไม่ห่างอย่างหวาดๆ

“นิ่งซะขนาดนั้นไม่ตายก็คงน็อคเอาท์อย่างแรง” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ปล่อยนะ คุณน่ะ...ตัวเหม็นจะแย่มีแต่กลิ่นเหล้า”

“รังเกียจเหรอ...”

“เปล่า...”

“งั้นก็มาหอมหน่อย”

“อะไรนะ ! ” ทำตาโต

“หอม...หน่อย...คร้าบ”ทีนี้คนพูดลากเสียงยาว ทำตาปรอย และโดยไม่รอการอนุญาตคนตัวโตก็โน้มแก้มนวลมาหอมเสียหลายฟอด คนถูกรังแกเริ่มมีรอยอาย

“รุ่มร่ามใหญ่แล้วนะคะตื่นแล้วก็ลุกมาอาบน้ำสิ แฟงจะไปเลือกเสื้อผ้าพี่ชลมาให้ เช้านี้มีข้าวต้มปลากับไชโป๊ผัดไข่อยู่กินด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะคะ”

รมย์นลินรีบยันตัวลุกขึ้นเพราะกลัวจะถูกคนเจ้าเล่ห์หากำไรเอาอีกเทียมภพลุกขึ้นนั่งประสานมือเหนือศีรษะแล้วบิด

เอวซ้ายขวาสองสามครั้งไล่ความเมื่อยขบเขาหันไปมองเพื่อนที่ยังนอนนิ่งในอิริยาบถเดิมแล้วยกมุมปากอย่างนึกหยันว่า ‘คออ่อน’ แล้วหยิบภาพถ่ายบนโต๊ะมาดูเขาเก็มีภาพเดียวกันอีกใบเก็บไว้เช่นกัน มันถูกเก็บอยู่ในลิ้นชักอย่างมิดชิดที่สุดนับแต่วันที่มิตรภาพความเป็นเพื่อนสิ้นสุดลงชายหนุ่มวางมันลงอย่างเดิมแล้วค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นจะไปล้างหน้าล้างตาแต่ยังไม่ทันจะยืนขึ้นสุดตัว เสียงคนที่คิดว่านอนหลับไม่รู้เรื่องราวก็พูดขึ้น

“ฉันเห็นนะแล้วก็ได้ยินด้วย ! “

แทนดาววางโทรศัพท์ในมือลงหลังจากตอบรับนัดรับประทานอาหารเย็นกับชลธีพอจะเดาออกว่าเขาต้องการพูดคุยเรื่องเมื่อวานในความรู้สึกส่วนตัวก็ไม่คิดติดใจกับเรื่องที่เปรมยุตามาร้องประกาศความเป็น ‘แม่ของลูก’ เรื่องจะจริงเท็จอย่างไรเดี๋ยวก็คงได้ฟังคำอธิบายจากเขา แต่ในขณะเดียวก็คิดหาคำตอบให้ตัวเองถ้าเกิดเปรมยุตากำลังจะมีลูกกับเขาจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไร...

หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนเวลานัดหมายครึ่งชั่วโมงพอลงมาก็พบว่าชลธีกำลังนั่งคุยกับบิดาในห้องหนังสือ หญิงสาวพาตัวเองไปนั่งรอให้ห้องรับแขกรู้ดีว่าถ้าบิดาหรือพี่ชายมีเรื่องพูดคุยธุระกันในห้องหนังสือก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญอันมิควรเข้าไปรบกวนอย่างยิ่งแต่นั่งรอไม่ถึงห้านาที สามหนุ่มสองวัยก็ออกมาพร้อมกัน แทนดาวอึ้งไปที่เห็นสองหนุ่มคู่อริแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากกว่าเดิม แต่จะด้วยเหตุผลอะไร...สิ่งนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี

“ไงคะลูกสาวแต่งตัวสวยเชียว” คุณเที่ยงธรรมจูบกระหม่อมบุตรสาวอย่างรักใคร่

“กินข้าวเย็นอย่างเดียวไม่น่าจะใช้เวลานานเพราะฉะนั้นหนึ่งทุ่ม...ยัยพลูต้องถึงบ้าน” เทียมภพยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วหันมาบอกเพื่อนเป็นเชิงออกคำสั่ง

“อะไรกันล่ะหมาก...จะไปจำกัดเวล่ำเวลาทำไมคุณชลคงไม่พาน้องกลับดึกดื่นอยู่แล้วล่ะ”

“ไม่ได้หรอกครับพ่อ ถึงผมจะเป็นน้องเขยมันแต่ที่นี่...มันเป็นว่าที่น้องเขยผม เพราะฉะนั้นต้องให้ความคารพยำเกรง

และต้องปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างเคร่งครัด” ถึงจะฟังดูเหมือนเพื่อนแซวกันธรรมดาแต่ในเนื้อเสียงมีความจริงจังแฝงอยู่เช่นเดิม

“สองทุ่มไม่ได้เหรอคะน้องพลูอยากเดินเที่ยวต่อ”

“ไม่ได้ค่ะเดินเที่ยวกลางค่ำกลางคืนมันอันตราย ถึงเราไม่ได้ไปคนเดียวพี่ก็เป็นห่วง ไอ้ชล...ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอกรับรอง...เจ็บ”

เทียมภพหันมาขู่เพื่อนเสียงเขียว แต่คนถูกสั่งไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูดนอกจากพยักหน้าอย่างรำคาญมีแต่แทนดาวที่ทำหน้าเอือม ๆ กับความเข้มงวดไม่เลิกของคนเป็นพี่

“คิสคิส ก่อนค่ะ”เทียมภพอ้าแขนรับตัวน้องสาวที่เขย่งปลายเท้าขึ้นจุ๊บใบหน้าห้าจุดแล้วทำกลับแบบเดียวกัน เป็น‘สัญลักษณ์’ สื่อความนัยกึ่งข่มขู่ให้บุคคลที่สามเห็นว่าตนรักน้องสาวขนาดไหน ถ้าเผลอทำอะไรผิดจารีตจะถูกฆาตกรรมได้

“เริ่มจับเวลา...”

ชลธีเลี้ยวรถเข้าโรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทนดาวจำได้เพราะเคยมามาร่วมงานแต่งของเพื่อนพี่ชายรอยแดงจาง ๆ ปรากฏบนพวงแก้มเนียนอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนึกย้อนกลับไปในวันที่เขาใช้สถานที่แห่งนี้ขอตนเป็นแฟนยังจำความรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในวันนั้นได้เป็นอย่างดีชลธีดูเหมือนจะจับอาการของหญิงสาวได้ก็เลยโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้ว

กระซิบข้างหู

“รำลึกความหลังกันหน่อยนะคะ”จมูกโด่งแตะแก้มปลั่งเบา ๆ คนตัวเล็กเอียงอาย

“ไม่บอกก่อนนี่คะว่าจะพามาที่นี่ จะได้แต่งตัวสวยกว่านี้”

คนพูดกลบเกลื่อนอาการอุธัจขัดเขินด้วยการเสก้มลงมองเสื้อผ้าที่สวมใส่มาอันที่จริงเดรสผ้าชีฟองพลิ้วตัวยาวสีขาวที่เลือกหยิบมาวันนี้ก็สวยงามราวเจ้าหญิงตัวเสื้อช่วงบนเป็นลายลูกไม้มีซับในเย็บติดในตัว แบบเสื้อเน้นสัดส่วนของวัยสาวแต่พองามผมยาวสไลด์ม้วนเป็นลอนใหญ่รวบมาพาดไว้บนบ่าข้างหนึ่ง สีสันบนใบหน้าแต่งแต้มในโทนสีชมพูอ่อนเครื่องประดับที่เจ้าตัวเลือกมามีเพียงกำไลรูปเถาลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่กับต่างหูมุกเม็ดเล็กขับดวงหน้าให้ดูกระจุ๋มกระจิ๋มยิ่งขึ้น ชลธีเชยคางมนขึ้นมาสบตากันชัดๆ ปากหยักค่อยแย้มรอยยิ้มละมุนชวนให้ใบหน้าคมสันดูมีเสน่ห์น่ามองมากขึ้นจนแทนดาวนึกในใจว่าถ้าไม่รู้จักกันก็คงคิดว่าเขาเป็นพระเอกหนังแขกแน่เชียว

“อย่าสวยไปกว่านี้เลยค่ะ...แค่นี้ใจพี่ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วคนอะไร...สวยเสียจนทำคนอื่นสมาธิกระเจิงหมด”

เจ้าของคำหวานก้มหน้าลงไปอย่างรวดเร็วแล้วจุ๊บกลีบปากเคลือบสีชมพูอ่อนคนถูกจู่โจมไม่ทันได้ปัดป้องก็ร้องโวยวาย ตีมือคนซุกซนเป็นพัลวัน พวงแก้มเปลี่ยนเป็นแดงจัดด้วยความขวยอาย

“พี่ชลนี่นะ!พี่หมากสั่งไว้ว่ายังไง...ลืมแล้วเหรอ”

“ไม่ลืมนะมันไม่ได้สั่งห้ามพี่จูบเราสักหน่อย บอกแต่ว่าต้องกลับบ้านไม่เกินทุ่ม”

คนพูดใช้วิธีเลี่ยงบาลีเอาตัวรอดอีกจนได้แทนดาวรีบเบือนหน้าหลบสายตาคมคายประกายระยับแล้วรีบก้าวลงจากรถ วงแขนกำยำภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับครึ่งศอกสอดรอบเอวเล็กโอบประคองอย่างแสดงความเป็นเจ้าของพอกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม พนักงานก็นำทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่จัดไว้ด้านนอกซึ่งเป็นมุมเดิมที่มาเมื่อคราวก่อนตรงกลางโต๊ะมีแจแก้วใสทรงสูงปักดอกลิลลี่สีขาว ข้าง ๆ กันมีถ้วยกระเบื้องรูปหัวใจใบเล็กลอยหน้าด้วยเทียนหอมรูปดอกไม้สีขาวสามอันแทนดาวสังเกตไปรอบ ๆ ก็พบว่าโต๊ะนี้พิเศษกว่าตัวอื่น ๆ อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าเจ้ามือจะจัดอะไรให้อีกชลธีเลื่อนเก้าให้หญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกันแล้วเปิดเมนูสั่งอาหารให้ตัวเองและแขกพิเศษอย่างรู้ใจ

“พี่เห็นว่าน้องพลูชอบบรรยากาศที่นี่ เลยโทรมาจองเอาไว้ก่อน”

“น้องพลูอาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้” คนปากไม่ตรงกับใจยื่นนิ้วไปสัมผัสกลีบดอกไม้แผ่วเบา

“แต่วันนี้น้องพลูต้องชอบ”

คำว่า‘ต้องชอบ’ ที่เขาบอกไม่ใคร่กระจ่างนักว่าทำไมต้องชอบบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครคิดหรือพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเบาดังเป็นระยะสลับกับการรับประทานบางครั้งชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปจับลอนผมสวยของสาวน้อยฝั่งตรงข้ามบางครั้งก็ไล้พวงแก้มปลั่งสีกุหลาบ สำหรับคำพูดเป็นปริศนายังไม่ได้การเฉลยจนอาหารจานหลักถูกยกเก็บไปตามด้วยของหวานเป็นฟองดูว์ผลไม้สดซึ่งยกมาเพียงที่เดียวส่วนชลธีขอแค่ไวน์เพิ่มระหว่างรอให้หญิงสาวละเลียดกินของหวานจนหมด

เมื่อจานของหวานถูกเก็บไปบนโต๊ะจึงเหลือเพียงน้ำส้มคั้นเย็นเจี๊ยบกับไวน์และแจกันดอกลิลลี่เทียนหอมที่ลอยในอ่างเล็กหลอมละลายจนเป็นน้ำตาเทียนเหลวอยู่ในพิมพ์รูปดอกไม้ของมันแทนดาวหยิบผ้าเช็ดปากแตะมุมปากเบา ๆ แล้วมองหน้าคนเลี้ยงข้าวด้วยรอยยิ้มหวานจับจิตจนคนถูกมองต้องยิ้มตอบชายหนุ่มเอนตัวเข้ามาข้างหน้าจนแสงเทียนจับต้องวงหน้าคมสันสมบุรุษ ผิวสีทองแดงยิ่งดูเนียนละเอียดแสงสีส้มส่องกระทบฝ่ามือหนากุมมือบางแล้วเริ่มถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจ

“ก่อนอื่นเลยพี่ก็ต้องบอกว่า...ขอโทษ...ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแย่ ๆ กับน้องพลูซ้ำแล้วซ้ำอีกพี่พยายามที่จะปกป้องน้อง

พลูอย่างดีที่สุด แต่ก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนได้...พี่เสียใจมากครับ”

“มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชลทั้งหมดหรอกค่ะ น้องพลูเชื่อว่า...พี่ชลจะต้องจัดการกับมันได้”น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปจนคนฟังเริ่มไม่สบายใจ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็ยังรู้สึกกับน้องพลูไม่เปลี่ยนแปลงในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไปน้องพลูจะยอมรับได้ไหม...ถ้าจะต้องแต่งงานกับพ่อลูกติดอย่างพี่” เสียงนั้นช่างฟังดูกล้ำกลืนฝืนทน แทนดาวจ้องลึกลงไปดวงตาประกายเหล็กกล้าอย่างค้นคว้าในขณะเดียวกันก็หวนคิดถึงที่คำพูดของบิดา

“ผู้ชาย...มันก็ต้องผ่านเรื่องรักใคร่ฉาบฉวยมาบ้างตามประสาประสาคนโสดแต่เขารู้...ว่าน้องพลูไม่ใช่ของเล่น ๆ ที่จะทำแบบนั้นได้ พ่อเชื่อในเกียรติของเขาเพราะว่าเขาได้ให้เกียรตินั้นกับน้องพลูด้วย...หนูคงรู้ถึงข้อนี้ดีใช่ไหมลูก”

“ถ้า...ผลการตรวจยืนยันแล้วว่าเด็กเป็นลูกพี่จริงพี่จะรับรองบุตรที่เกิดกับปรางให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงส่งเสียค่าเลี้ยงดูตามความเหมาะสมและถ้าเขายอม...หรือศาลตัดสินให้ลูกอยู่กับพี่ น้องพลูจะรังเกียจหรือเปล่าพี่ไม่ได้รักปราง...พี่รักน้องพลู อยากแต่งงานกับน้องพลูคนเดียว”

หญิงสาวแลเห็นแววแห่งความหวังอยู่ในนั้นไม่เกี่ยงหรือรังเกียจรังงอนอะไรหรอกที่จะต้องเป็นแม่เลี้ยงเข้าใจดีว่าคนเป็นพ่อก็ย่อมต้องรักลูกเป็นธรรมดาเหมือนที่ตนได้รับความรักจากบิดาหรือพี่ชายก็ดีเปรมยุตาเสียอีกต่างหาก...อยากจะมีลูกจริง ๆ หรือเพียง ‘ตั้งใจ’ หาเรื่องผูกมัดเท่านั้น นาทีนี้พูดได้เต็มปากว่าเทใจชลธีเกินร้อยในทำนองเดียวกันก็อดสงสารไม่ได้ บุรุษหนุ่มผู้มากความสามารถเปรื่องปราดในชั้นเชิงธุรกิจกลับต้องมาพ่ายแพ้ชั้นเชิงสตรีน้ำนิ่งไหลลึกอย่างเปรมยุตา

“น้องพลู...” อยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หัวสมองอื้ออึงปิดกั้นเสียงทุกสิ่งทุกอย่างอยากหายตัวกลับบ้านแล้วซบหน้าร้องไห้กับหมอนระบายความอัดอั้นตันใจ

“ไม่เอาสิครับ...อย่าร้องไห้ถ้าไม่ใช่เพราะรักพี่แล้ว...ก็อย่าร้องไห้ให้กับคนที่น้องพลูเกลียดเลย”

“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิคะถึงต้องร้องไห้เพราะ...รักพี่ชล”

ชลธีนิ่งฟังแล้วค่อย ๆยิ้มออกมาด้วยความตื้นตัน ดวงตาเรียวยาวสีเหล็กรื้นน้ำตา ใบหน้าคมสันโน้มหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้าหวานเจือรอยเศร้าปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้าออกไปให้พ้นทางแล้วแตะริมฝีปากข้างแก้มปลั่งแทนดาวหลับตารับจุมพิตอ่อนหวานราวกับผีเสื้อโบยบิน

“แต่งงานกับพี่ไหม”

น้ำเสียงนั้นนุ่มกว่าที่เคยได้ยินและแม้ว่าแสนจะแผ่วเบาแต่มันก็แจ่มชัดในหัวใจแทนดาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าเขาอยู่ห่างนิดเดียวแค่ปลายจมูกเฉี่ยวกันใกล้เสียจนได้กลิ่นน้ำยาโกนหนวดผสมยาสูบยี่ห้อโปรดที่เขาใช้ประจำ นัยน์คู่สวยดุจท้องฟ้ายามราตรีเหลียวมองไปรอบๆ ตัว ไม่มีใครอื่นเลยนอกจากเขาและหล่อน ณ ที่นั้น

ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ชานระเบียงร้านแบบเปิดโล่งยังไม่ได้เปิดไฟสักดวงทว่าเมื่อสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นว่าแสงสว่างที่วูบวาบอยู่ขณะนี้มาจากเปลวเทียนหอมนับสิบๆ อันที่ประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณ ทั้งบนโต๊ะอาหาร ทางเดิน หลากรูปแบบหลายสีสันและต่างขนาด ไม่รู้ว่ามันสว่างขึ้นพร้อมกันเมื่อใดหรือว่าใครไปแอบจุดตอนไหนแต่มันกำลังลนหัวใจดวงเล็กจนหลอมละลายเป็นน้ำตาเทียน

“น้องพลูขอโทษ...”

แสงสลัวจากเทียนหอมในอ่างใบเล็กส่องกระทบใบหน้าคมสันจนเห็นรูปหน้าคมคายชัดเจนสีหน้ายังคงนิ่งสงบ

ภายใต้แรงเทียนวิบไหวคงมีเพียงแทนดาวเท่านั้นที่เห็นหยดน้ำตาเล็ก ๆ ถูกคั้นออกมามาจากนัยน์ตาสีเหล็กสะท้อนแสงแวววาวล้อเล่นกับแสงเทียน

ชลธีรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบมันจะต้องเป็นแบบนี้การปฏิเสธของแทนดาวบอกชัดแล้วว่าความสัมพันธ์ที่พยายามสร้างมาเกือบปีดำเนินมาสุดทางแล้วเขาไม่คิดแค้นหรือชิงชังใครนอกจากตัวเองที่ทำตัวน่าขยะแขยงจนผู้หญิงหักอกเอา นับแต่นี้จะไม่มีวันย่างก้าวเข้าไปทำให้ชีวิตของหล่อนต้องแปดเปื้อนความสกปรกใดๆ อีก

ตอนที่ขับรถไปส่งเหมือนกับว่ากำลังพาตัวเองไปตกนรกอย่างไรอย่างนั้น เพราะทันทีที่แทนดาวก้าวลงจากรถไปทั้งน้ำตาอาบแก้มหัวใจของเขาก็เหมือนกับถูกกรีดแล้วโยนลงไปในอ่างน้ำกรด มันเจ็บลึกปวดร้าวและแสบร้อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบังคับตัวเองให้ขับรถกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรโดยไม่เกิดอุบัติเหตุ ไม่นึกว่าการพบกันครั้งนี้มันจะเป็นการพบกันเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะ‘คนรัก’

ในขณะที่อีกคนหนึ่งเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินรดหมอนจนเปียกเป็นดวงกว้างการปฏิเสธคำขอของเขามิได้ทำให้โล่งใจหรือรู้สึกหลุดพ้นต่อห่วงหนักอึ้งที่คล้องคออยู่ที่ตอบไปอย่างนั้นไม่ใช่เพราะอายที่ผู้หญิงคนนั้นมาตะโกนร้องว่าท้องกับเขา แต่ความคิดในตอนนั้นคือ...ชลธีมีเรื่องราวยุ่งเหยิงในชีวิตมากมายต้องจัดการถ้าหากยังมีหล่อนอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ก็ไม่วายต้องห่วงพะว้าพะวงอีก สู้ปล่อยให้เขาไปจัดการ‘ธุระ’ ของตัวเองให้เรียบร้อยและทำหน้าที่ ‘พ่อ’ ให้เสร็จสมบูรณ์จะดีกว่า เพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้เองว่า ต้องจบ...ทั้งที่รักมันทรมานปานใด หัวใจรวดร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

ความกดดันและอึดอัดทำให้ไม่อาจทนอยู่กับความทะมึนในจิตใจแบบนี้ได้อีกต่อไปหญิงสาวพาร่างตัวเองเดินโซเซไปเคาะห้องพี่ชายในเวลาเที่ยงคืนพอดี เทียมภพงัวเงียเปิดประตูแล้วก็ขยี้ตาหลายครั้งเมื่อเห็นน้องสาวยืนตาบวมอยู่หน้าห้องโดยที่ไม่ทันได้ซักถามอะไร คนเกิดทีหลังก็โถมตัวเข้ากอดแน่นซบหน้าร่ำไห้เป็นวรรคเวรกับอกอุ่น

“น้องพลูไม่ไหวแล้ว”เสียงสั่นสะอื้นบอกพี่ชาย

“น้องพลูเป็นอะไรไอ้ชลมันทำอะไรเรา”

“เขาไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะแต่น้องพลูไปทำเขา”

“หืม...”

คำตอบของน้องสาวสร้างความพิศวงให้อย่างหนักจนได้ฟังคำบอกเล่าเก้าสิบก็เข้าใจ แทนดาวรักชลธีมากจนยอมหยุดตัวเองไว้เพื่อให้คนรักได้กลับไปแก้ไขสิ่งผิด

“พี่หมากขา...น้องพลูคิดอะไรไม่ออกจริง ๆพี่หมากว่าน้องพลูควรทำยังไงดี”

เทียมภพดันตัวน้องออกเพื่อที่จะมองหน้าสาวน้อยที่ฟูมฟักมาแต่เล็กแต่น้อยให้ชัดๆ เห็นน้ำใส ๆ คลอหน่วยอยู่ในลูกตาดำขลับ เขาไล้มือที่แก้มบางสีชมพูระเรื่อนั้นเบาๆ แล้วน้ำตาก็หยดลงบนข้อนิ้วนั้น คนเกิดก่อนมีอาการแน่นเหมือนถูกแผ่นศิลาทับอก

“ถามหัวใจตัวเองดูซีคะ”

แทนดาวซบหน้ากอดพี่ชายแน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กเทียมภพลูบหลังไหล่อย่างปลอบประโลม หากเลือกได้...ก็ไม่อยากให้ใครมาพรากแทนดาวไปจากอ้อมอกแต่เทียมภพดีว่า...มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเลือกทางเดินของตัวเองในวันหนึ่งเขาไม่สามารถดูแลแทนดาวไปได้ตลอดชีวิต หล่อนจะต้องมีคนคอยปกป้องคุ้มครองให้ความรักและดูแลเอาใจใส่เหมือนกับที่เขามอบให้มาตลอดชีวิต

“ใบพลู...พี่รู้ว่าหนูกำลังสับสนและลำบากที่จะตัดสินใจพี่เสียใจจริง ๆ ที่ครั้งนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลย พี่ทำได้แต่...ถ้าเราตอบตกลง พี่จะเป็นคนพาเราไปเอง...”

เสียงอบอุ่นเปี่ยมไปด้วยความอาธรด้วยความที่เป็นพี่และในฐานะผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผ่านประสบการณ์ความรักมาทุกรูปแบบก็อยากจะท้วงว่าสิ่งที่ตัดสินใจลงไปมันไม่ถูกต้องอย่างยิ่งผลดีจะไม่เกิดกับใครทั้งสิ้น ซ้ำร้ายจะได้รับความเจ็บช้ำบั่นทอนจิตใจให้ทุกข์ทรมานกันทั้งคู่เท่านั้นเทียมภพตัดสินใจดีแล้วว่า...จะให้น้องได้ขบคิดและแก้ไขปัญหาหัวใจของตัวเอง ถ้าหล่อนก้าวข้ามความยากลำบากเล็กๆ ตรงนี้ไปได้ ก็จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในการจัดการกับปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องพบเจอในภายภาคหน้า

“แต่ถ้าบอกว่าไม่...พี่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องน้องพลูอีกพี่ไม่มีวันทิ้งหนูอยู่แล้ว น้องพี่...พี่เลี้ยงได้อยู่สบาย และมั่นใจด้วยว่าไม่มีใครในโลกนี้จะรักหนูได้เท่าพี่หมากคนนี้อีกแล้ว”

“แต่เขาไปแล้วค่ะพี่หมากเขาไปแล้ว...”

“น้องพลู...ฟังนะครับคำว่า...ไป...คือการที่ไปแต่ตัวแต่หัวใจเขายังอยู่กับเรา ไป...เพราะอยากให้น้องพลูสบายใจและปลอดภัยจากเรื่องร้ายๆ ทั้งหลายแหล่ พี่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ง่าคนอย่างไอ้ชล...ถ้ามันรักใคร มันรักด้วยชีวิตพี่เชื่อว่า...ชีวิตของมันหลังจากนี้คงเหมือนตายทั้งเป็น เพราะน้องพลูเด็ดเอาหัวใจของมันไปด้วย”

“น้องพลูอยากให้เขากลับไปทำในสิ่งที่ถูกต้องค่ะ”

“อะไรคือ...ถูกต้อง...ในความคิดของหนูล่ะถ้าจะหมายถึงเรื่องลูกอะไรนั่น พี่บอกเลยว่าให้ลืมมันซะ ปรางเขาไม่ได้ท้องหรอกนะเขาท้องไม่ได้อีกแล้ว”

“หมายความว่ายังไงคะ”คำบอกเล่าจากพี่ชายทำให้แทนดาวเบิกตาโต ความเสียอกเสียใจถูกบดบังด้วยความกระหายใคร่รู้

“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ไอ้ชลก็ไม่รู้ แม้แต่ปรางเองก็เพิ่งจะรู้จากปากพี่เอาเป็นว่า...รอให้เจ้าตัวเขามาเล่าเองดีกว่านะ”

แทนดาวคิดไม่ตกทั้งเรื่องลับที่ไม่มีใครรู้ ทั้งคำถามที่ยังเวียนวนอยู่ในหัว ถ้าจะกลับไปบอกเขาใหม่...ชลธียังจะอยู่รอฟังหรือเปล่าทุกอย่างจะต้องกลั่นกรองให้รอบคอบที่สุดเพราะการตัดสินใจครั้งนี้คือการเปลี่ยนชีวิตตนเองไปตลอดกาล

คุณลำเภาหยิบกระดาษแผ่นแรกสุดที่ปลายเดือนปริ้นท์มาจากคอมพิวเตอร์ขึ้นดูหญิงชราเพ่งสายตาดูภาพเพียงอย่างเดียวเพราะตัวหนังสือมีขนาดเล็กมากทั้งยังเป็นภาษาอังกฤษล้วนหูก็ฟังหลานสาวคนรองที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ อธิบายรายละเอียดประกอบเทียมภพก็นั่งหน้าเครียดอยู่ด้วยไม่ต้องเดาเลยว่าเขาไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการตัดสินใจของน้องสาวคนรอง

“คิดดีแล้วเหรอสีผึ้ง”

ปลายเดือนคลานเข่ามาหาพี่ชายวางมือบนเข่าข้างหนึ่งแล้วเงยหนามองอย่างขอความเห็นใจ เทียมภพจับศีรษะได้รูปเบาๆเหมือนพี่ชายปลอบน้องน้อยเขาเข้าใจถึงความตั้งใจดีของน้องสาวคนรอง

“ผึ้งคิดมาหลายวันแล้วค่ะ พี่หมากอย่าห้ามเลยนะคะ ที่ผึ้งตัดสินใจไปคราวนี้...ไม่ใช่ว่าจะหลบหน้าผู้คนเพราะอายในเรื่องที่ก่อไว้แต่เพราะว่าทุกคนให้โอกาส ผึ้งก็เลยอยากจะใช้โอกาสอันมีค่านี้พัฒนาตัวเองจะได้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น แล้วก็มาทำประโยชน์ให้ทวีกิจ...พี่หมากว่าไม่ดีเหรอคะ”

“อากับคุณแท้ก็เห็นด้วยเรา...อยากให้สีผึ้งไปเรียนต่อ” คุณระรินหนุน

“สองปี...พูดถึงมันก็ไม่นานหรอกเรียนโทอีกใบก็ดี มีความรู้หลาย ๆ แขนงไม่เสียหาย” คุณลำเภาสนับสนุนอีกแรง

“ถ้าเราตัดสินใจดีแล้วพี่ก็ไม่ทัดทานต่อหรอกแล้วจะเดินทางเมื่อไหร่”

“รอทางมหา’ลัยตอบรับค่ะ ผึ้งกรอกใบสมัครออนไลน์ไปแล้วแต่คิดว่าไม่น่าจะติดขัดอะไรเพราะเอกสารทุกอย่างก็มีครบหมด”

“เฮ้อ...มีน้องสาวสองคน นับวันจะก็จะหนีหายกันไปหมด”เทียมภพบ่นไม่จริงจังนักพลางคิดถึงน้องสาวคนเล็กที่ยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง

“พี่หมากก็คิดมากไปผึ้งไปเรียนแป๊บเดียวก็กลับมา ยังไงเสียก็ไม่มีวันทิ้งทวีกิจหรอกค่ะ”

“ดีแล้วรีบเรียน...รีบกลับ ตำแหน่ง ‘รองประธานกรรมการ’ รอเราอยู่อาแท้จะได้วางมืออย่างสบายใจที่มีลูกสาวคนเก่งมานั่งเก้าอี้แทน”

“จริงเหรอคะพี่หมาก”

ปลายเดือนลิงโลดกับข่าวใหม่ที่พี่ชายบอกทั้งมารดาและคุณลำเภาพยักหน้าพร้อมกันเป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นความจริงคุณเที่ยงแท้บิดาของหล่อนแจ้งความจำนงอยากเกษียณตัวเองมาสักพักใหญ่แล้วแต่เทียมภพค้านไว้เพราะยังไม่อยากให้ทวีกิจขาดเสาหลักอีกต้นหนึ่งไป

“ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับน้องสาวคนนี้อีกแล้ว”เทียมภพยิ้มกว้างให้น้องสาว

“แล้วน้องสาวคนนี้ล่ะคะเหมาะจะเป็นอะไรได้บ้าง”

การเข้ามาแทรกกลางวงสนทนาของแทนดาวเรียกความสนใจอยู่ไม่น้อยเพราะบุคคลที่สาวน้อยจูงมือเข้ามาด้วย

เรียกรอยยิ้มจากทุกคน ชายหนุ่มร่างสูงยาว หน้าตาผสมเชื้อสายไทย-จีนใบหน้าขาวสะอาดยิ่งบานแฉ่งขึ้นขณะส่งยิ้มให้ปลายเดือนที่เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ ตอบ เขายกมือไหว้กราดไปรอบวงแล้วเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม

“อาม่ากับม๊าทำขนมจีบไว้เยอะเลยแบ่งเอามาให้ที่นี่ครับ” บุรินทร์วางปิ่นโตเถาใหญ่บนโต๊ะเล็ก แถมด้วยกล่องพลาสติกอีกใบบรรจุก้อนแป้งลักษณะคล้ายหมั่นโถวในถุงพลาสติกมีผลไม้หน้าตาแปลก ๆ อีกหลายผล

“เหมาะจริง..ว่าจะเข้าไปหาอยู่วันสองวันนี้เจ้าหมากเขาจะพาแม่ไปดูทองหยองเป็นสินสอดงานแต่งแล้วก็จะเลยไปร้านเพชรของเจ้าบิ๊กด้วย พ่อคนนี้เขาว่าของเก่าที่ย่าจะยกให้มันเป็นของมรดกก็อยากเก็บไว้ให้น้องๆ เขาอยากซื้อหาของตัวเอง...ก็สุดแท้แต่ล่ะ”

“ยินดีด้วยนะหมากแซงหน้าเฮียไปอีกคนแล้ว”

“เอาน่า...ของแบบนี้ต้องใจเย็นๆ ช้า ๆ ได้เมียคนงาม ตอนนี้เนื้อคู่ของเฮียอาจจะกำลังโคจรมาเจอกันก็ได้” คนพูดทิ้งความนัยทำให้ทั้งปลายเดือนและบุรินทร์หันมาสบตากันโดยอัตโนมัติแล้วก็หลบวูบในแทบจะทันที

“ผมจะมาบอกข่าวด้วยจะมาชวนไปงานตรุษจีนน่ะครับ ไปกันให้หมดบ้านเลยนะครับ”

“น้องพลูไม่พลาดอยู่แล้วปีนี้จะทำขนมเทียนอีกไหมคะ น้องพลูอยากไปช่วยทำอีก”

“ทำสิจ๊ะเนี่ย...ว่าจะมาเกณฑ์กำลังพลอยู่นี่ไง น้องผึ้งล่ะ...ว่างไปช่วยอีกไหม”

ปลายเดือนพยักหน้ายิ้มๆ บุรินทร์สังเกตเห็นกระดาษใบหนึ่งในมือหญิงสาวแล้วเหลือบมองไปบนโต๊ะที่มีกระดาษแบบเดียวกันวางอยู่อีกหลายใบด้วยความสงสัยหญิงสาวเห็นสีหน้าฉงนของฝ่ายนั้นก็ไม่รอให้เขาตั้งคำถาม

“มหาวิทยาลัยที่ผึ้งจะไปเรียนจ้ะ”

คำตอบราบเรียบชวนให้สีหน้าของคนฟังเปลี่ยนไปเหมือนมีสายฟ้าฟาดตรงกลางหน้าอกของบุรินทร์แรง ๆ สักร้อยครั้งความรักที่ไม่สมหวังยังไม่เจ็บเท่ารู้ว่าคนที่เรารักกำลังจะห่างออกไปทุกทีทั้งใจหายและอาวรณ์ในคราวเดียวกัน นัยน์ตาเรียวเล็กเกิดประกายสลดจนจังเกตเห็นได้ชัดนั่นยิ่งทำให้ปลายเดือนรู้สึกไม่สบายใจ

“แหม...ไปแค่สองปีเองค่ะเฮียบุ้งถ้าคิดถึงก็ตามไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ผึ้งสิ” แทนดาวทำลายความเงียบอึดอัด

“ผึ้งอยากเรียนโทอีกใบเจอมหา’ลัยนี้เปิดคอร์สสำหรับผู้บริหารเพื่อนของผึ้งหลายคนก็จบจากที่นี่ คิดว่าเรียนจบแล้วจะมีประโยชน์กับงานมากทีเดียว”

“อ้อ”ชายหนุ่มพยักหน้าเหมือจะเข้าใจแต่สีหน้าฝาดเฝื่อนบ่งบอกว่าในหัวกำลังคิดอะไร

“ผมต้องกลับแล้วล่ะวันนี้ ป๊า ม๊า กับอาม่าเอาขนมจีบไปแจกบ้านญาติ มีแต่เด็ก ๆ เฝ้าร้าน ต้องรีบกลับไปดูหมากจะเข้าไปวันไหนก็ตามสะดวกเลยนะ ช่วงนี้เฮียอยู่โยงเฝ้าร้านตลอด ให้คนแก่สองคนพากันเที่ยวตามประสาหนุ่มสาวเหลือน้อยบ้าง”

บุรินทร์ล่ำลาผู้ใหญ่ก็รีบหลบฉากออกไปโดยยังไม่ทันจิบน้ำสักอึกแทนดาวรีบลุกตามไปส่ง ส่วนปลายเดือนแสร้งเปิดเถาปิ่นโตดูของฝากคล้ายจะกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

“ดู๊...เฮียบุ้งเอาขนมจีบมาให้แบบนี้...จะเรียกว่ามา‘จีบ’ ได้หรือเปล่านะ”

ในตอนเย็นวันเดียวกันบ้านทวีกิจไพศาลก็เปิดประตูต้อนรับ ‘แขกพิเศษ’ที่เทียมภพสู้อุตส่าห์ไปรับมาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็มีชลธีกับรมย์นลินที่ตามมาสมทบในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้บรรยากาศมื้อเย็นวันนี้ดูอุ่นหนาฝาคั่ง ทุกคนยิ้มเยื้อนพูดคุยกันสบาย ๆยกเว้นบางคนที่มีอาการผิดแผกไป คนแรกก็เปรมยุตา ใบหน้าของหล่อนยังเจือรอยเศร้าหมองแลดูโทรมลงไปถนัดตาส่วนอีกคนก็คือแทนดาวที่หน้าตาเหมือนคนกินของขมอยู่ตลอดเวลา

หลังมื้ออาหารทุกคนย้ายไปนั่งรวมกันในห้องโถงกลางเพราะห้องนั่งเล่นดูจะคับแคบเกินไปสำหรับจำนวนคนเปรมยุตานั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมต่อหน้าคุณเที่ยงธรรมและคุณดวงทิพย์สองมือยกขึ้นประนมแล้วน้อมไหว้อย่างคนที่มีกิริยางดงามอ่อนช้อยตามลักษณะนิสัยแท้

“หนูกราบขอโทษที่ก่อเรื่องไม่งาม แสดงกิริยาวาไม่สุภาพไหนจะทำข้าวของเสียหายอีก ทุกอย่างที่หนูเล่าไปเมื่อกี้...เป็นความจริงทุกประการหนูไม่หวังว่าจะได้รับการอภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก...ใบพลู ที่ทำให้เสื่อมเสียและเกือบต้องมีอันเป็นไป...”

ทั้งสองท่านไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็รับรู้ตรงกันว่าแม้จะไม่ได้โกรธแค้นอาฆาตกับความเลวร้ายที่เปรมยุตาได้วาง แผนกระทำต่อบุตรสาวคนเล็กแต่ความเป็นพ่อแม่...ย่อมไม่อาจทำใจให้อภัยกับคนที่ปองร้ายลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจได้ มีเพียง แต่เทียมภพที่ยื่นมือมาบีบบ่างองุ้มของคนผิดเป็นเชิงให้กำลังใจ

“คิดได้อย่างนี้ก็ดีหลังจากนี้ก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่นะ” คุณลำเภาเอ่ยอย่างมีเมตตา

เปรมยุตายิ้มเจื่อน ๆ แววตายังคงแห้งแล้งความรู้สึกผิดระคนละอายแก่บาปเกาะกินจิตใจจนไม่กล้าเงยหน้าสบตาใครโดยเฉพาะกับสตรีอ่อนวัยกว่าที่เคยกล่าวหาว่าแย่งสามีไป ความอยากช่วงชิงจะเอาแต่ชนะจนไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมามิได้ส่งผลเสียหายต่อตัวเองเท่านั้นแต่คนรอบข้างที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็พลอยกระทบกันไปหมด

บทเรียนครั้งนี้แม้จะไม่หนักหนาเท่าในอดีตที่ผ่านมาแต่ก็ทำให้เปรมยุตาต้องรับเคราะห์กรรมเป็นการชดใช้ ‘บาป’ จากการทำลายสายเลือดของตัวเอง และยังความผิดที่ได้กระทำต่อเพื่อนร่วมงาน จริงอยู่ว่าทุกคนในที่นี้จะไม่เอาเรื่องเอาราวอันเป็นไปตามจริยธรรมในใจแต่คดีความทางกฎหมายยังไม่สิ้นสุดง่าย ๆ ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ส่วนแทนดาวกลับไม่คิดเช่นนั้น ถึงในใจจะหมดเรื่องติดค้างกับเปรมยุตาแล้วก็มิได้ทำให้คลายความว้าวุ่นใจได้เลยเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ฟังจากปากสตรีที่เคยมุ่งร้ายตนกลับทำให้กังวลหนักที่เข้าใจชลธีผิดไปทั้งหมดไอ้ที่เคยดีอกดีใจว่าเข้าอกเข้าใจเขานั้น...ความจริงแล้วกลับไม่รู้อะไรเลยต่างหาก ดูเถิด...ตั้งแต่เหยียบย่างเข้าบ้านมาก็ไม่แม้แต่จะเหลียวหางตามองไม่แม้แต่จะทักทายให้สบายใจสักนิดว่ายังมีความเป็นพี่ เป็นเพื่อน เหลืออยู่ พอจะแลไปสบตาแข็งกระด้างคู่นั้นก็ใจฝ่อเพราะทุกครั้งที่ชำเลืองมองไป ฝ่ายนั้นก็เมินสายตาไปทางอื่นเสียทุกทีราวกับว่าไม่ปรารถนาจะเห็นตนอยู่ในสายตาอีกต่อไป

ที่ศาลาทรงแปดเหลี่ยมริมสระยามค่ำสามหนุ่มสาวยืนคุยกันเงียบ ๆ อยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ กัน เทียมภพกับชลธียืนพิงลูกกรงศาลาคนละฝั่งเปรมยุตานั่งบนตั่งไม้สัก ถ้าเป็นเมื่อเกือบสิบปีก่อนก็คงจะได้ยินเสียงหัวเราะหยอกล้อกันระหว่างเพื่อนรักสามคนนี้แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทั้งหมดล้วนแยกกันเดินบนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันความปรวนแปรของเหตุการณ์ต่างทั้งหลายนำพาความสนุกสนานรื่นรมย์เมื่อครั้งวัยรุ่นหายไปณ เวลาปัจจุบันบันทั้งสามจึงเสมือนเป็นความทรงจำของกันและกัน

“ผมช่วยคุณได้เท่านี้จริง ๆนะปราง...” เทียมภพเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ‘ผู้หญิงที่เคยรัก’ ให้หลุดพ้นจากบทลงโทษทางกฎหมาย

“หมากทำให้ปรางมามากพอแล้วค่ะ ถึงเวลาที่ปรางจะต้องแบกรับผลการกระทำทั้งหมดเองอีกสองวันก็ต้องไปตามหมายเรียก”

“ผมเสียใจเรื่องลูกนะแต่ก็เสียใจยิ่งกว่าที่รู้ว่าคุณจะมีลูกไม่ได้อีก ปราง...ถึงอย่างนั้น เรายังสามารถเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ชีวิตได้อีกหลายทางผมเชื่อว่าวันหนึ่งคุณจะต้องเจอคนที่คิดเหมือนกัน” ชลธีเดินเข้ามาใกล้แววตาเรียบเฉยว่างเปล่าขณะมองลึกลงไปในดวงตาแห้งแล้งสิ้นหวัง

“ผมกับไอ้ชลจะคอยเอาใจช่วยนะ”

ทั้งสามต่างจับกุมมือซึ่งกันและกันแม้วันวานที่เคยหวานจะไม่อาจหวนคืนกลับมา แต่วันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้และวันต่อ ๆ ไป ทั้งหมดต่างมั่นใจว่ามันจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ

เปรมยุตากลับไปนานแล้วแต่สองหนุ่มยังนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม ความไม่เข้าใจกันที่ต่างคนต่างปล่อยปละละเลยจนเนิ่นนานแรมปีจากคนที่คุยกันทั้งวันทั้งคืนก็ไม่เบื่อ กลับกลายเป็นคู่กัดที่คุยกันเกินสองประโยคไม่ได้มาวันนี้...เมื่อหีบแห่งความลับถูกไขกุญแจเปิดออก ใครที่อยู่แถว ๆ นั้นก็จะได้ยินเสียงพูดคุยด้วยภาษาเพื่อนสนิทดูราวกับจะช่วยกันเติมเต็มช่องว่างแห่งมิตรภาพที่ทิ้งร้างมานานนับสิบปี

“นี่...เอาไว้พรุ่งนี้แกเข้าไปทวีกิจแล้วค่อยคุยกันฉันไปหาแฟงเดี๋ยวนะ...ไอ้พี่เขย”

เทียมภพจิ้มมวนบุหรี่ที่เหลือเพียงก้นกรองลงในกระถางทรายแล้วเดินหายเข้าบ้านไปชลธียังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ที่เดิม สายตาของเขามิได้สอดส่ายหา ‘ใคร’ เป็นพิเศษเฉกเช่นที่ปฏิบัติมาเสมอยามเข้ามาเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้กลับกัน....อยากจะหลับตาลงเสียจะได้ไม่เห็นคนที่เด็ดกระชากหัวใจของเขาไปจากร่างผ่านเข้ามาในระยะสายตาให้ต้องทรมานใจแต่ความปรารถนานั้นกลับให้ผลในทางตรงข้ามเสียแล้ว เพราะคนที่ทำการฆาตกรรมเขาทางอ้อมเดินย่องเงียบเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน

“พี่ชลคะ...น้องพลูมีอะไรจะบอก”

คนพูดพยายามจะทำเสียงให้ดูร่าเริงแต่ก็ไม่อาจบดบังท่าทีหงอยเหงาที่เป็นอยู่ได้ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองสายตาดุดันยังคงจับจ้องที่ไล้ท์เตอร์ในมือราวกับว่ามันเป็นสิ่งอัศจรรย์กระนั้น ท่าทีเมินเฉยที่อีกฝ่ายแสดงอยู่ตอนนี้ยิ่งทำให้แทนดาวตัวหดลีบลงไปอีกหลายนิ้วเพราะเขาไม่เคย‘ผิดอาการ’ กับตนเช่นนี้แม้แต่ครั้งเดียว

“พี่จำเป็นต้องฟังไหม” คำถามย้อนกลับสั้นแต่เย็นชาจนคนฟังสะอึก

“พี่ชล...”

“ที่น้องพลูตอบพี่วันนั้นมันชัดเจนจนไม่ต้องการคำขยายความอะไรอีก...ขอตัวนะครับ”

“ฟังสักนิดไม่ได้เหรอคะเราจะไม่เข้าใจกันแบบนี้จนตายจากกันหรือไง” แทนดาวรีบเดินไปขวางหน้าคนมือเล็กเกาะแบนข้างหนึ่งไว้แน่นหนา

“แล้วน้องพลูไม่เข้าใจอะไรอีก พี่รับปากแล้วนี่ครับ...ว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับน้องพลูอีกจะไม่เข้ามาวุ่นวาย ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้พี่ต้องแวะเวียนมาที่นี่ก็เพราะยังมีภาระผูกพันกับทวีกิจอยู่ไม่ได้มาเพราะ..อยากเห็นหน้าใคร” ชลธีแกะนิ้วเล็กออกจากข้อมืออย่างนุ่มนวลที่สุดแล้วเดินดุ่มๆ จากไปชนิดไม่เหลียวหลัง

“ฟังกันก่อนสิคะ”

เสียงเล็กลอดไรฟันรำพันกับตัวเองมากกว่าจะบอกให้คนที่เดินลับหายไปได้ยินร่างบางบีบเค้นน้ำตาออกมาในที่สุด ทั้งใจหายและน้อยใจประดังประเดเกถมอยู่ในหัวอก จะต่อว่าที่เขาทำตัวเป็นคนใจร้ายก็ไม่ถูกนักตอนนี้ชักไม่มั่นใจแล้วว่า...ระหว่างตนกับเปรมยุตา ใครที่ร้ายกว่ากัน

ฝ่ายคนที่เดินลิ่ว ๆ จากมาก็ต้องกลั้นใจอย่างหนักไม่ให้หันหลังกลับไปมองไม่เช่นนั้นแล้วคงอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปกอดปลอบขวัญคนหน้าซีดอยากปาดน้ำตาแล้วจุมพิตให้หายความเศร้า ถึงจะยากสุดฝืนแต่ก็ต้องทำ…ทำตามที่เพื่อนรักขอไว้

“น้องพลูเล่าเรื่องระหว่างแกกับเธอให้ฟังแล้วนะเธอเสียใจมากจริง ๆ ที่พูดไปแบบนั้น แล้วก็อยากปรับความเข้าใจกับแกใหม่ที่มานั่งคุยกับแกเนี่ย...ไม่ได้อยากจะให้ไปงอนง้อหรือเอาใจอะไรหรอกแต่ว่าอยากจะขออะไรแกอย่าง...” เทียมภพไปพบชลธีที่ธาราในวันรุ่งขึ้นเป็นการส่วนตัวแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับน้องสาวในขณะนี้ให้อีกฝ่ายฟังในลักษณะ ‘ระบาย’ และปรับทุกข์ไปด้วย

“อย่างที่แกก็รู้ ๆฉันเลี้ยงน้องพลูมาแบบไม่เคยให้ตัดสินใจอะไรเอง ไม่เคยให้พบกับความผิดหวังอยากได้อะไร...ก็หามาประเคนให้ พอเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด...ก็เลยทำอะไรไม่ค่อยจะถูกจะพูดว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์ยังน้อยก็ไม่น่าเกี่ยวมันเป็นเพราะฉันต่างหาก...ที่คอยแต่ปกป้องพอทำอะไรไม่ได้ขึ้นมาก็ยึดแต่ฉันนี่แหละเป็นที่พึ่ง”

“อย่างนี้เอง....ถึงห้ามฉันไม่ให้คุยกับน้องพลู”

“แกพอจะเข้าใจที่ฉันกำลังจะบอกใช่ไหมล่ะในเมื่อฉันทำให้น้องเป็นแบบนี้ ฉันเองนี่แหละ..ต้องดัดนิสัยเธอให้ได้เริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลย ให้รู้ซะบ้างว่าความผิดหวังมันเป็นยังไง ต้องแก้ไขยังไงจะทำยังไงถ้าไม่มีใครมาง้อเอาอกเอาใจเหมือนเดิม”

“เฮ้ย...แรงไปไหม น้องพลูยิ่งขี้งอนอยู่เดี๋ยวจะไปกันใหญ่”

“เมื่อก่อนฉันก็คิดอย่างแกนี่แหละยัยพลูถึงได้เป็นอย่างนี้ กลัวนั่นกลัวนี่ เอาเป็นว่า....แกช่วยอยู่ห่าง ๆ จากยัยพลูสักระยะจะได้ไหมจะดูซิว่า...น้องจะแก้ปัญหายังไง”

“แล้วถ้าน้องพลูเปลี่ยนใจไปจากฉันจริงๆ ล่ะ แกจะรับผิดชอบยังไง”

“อะไรวะ...คบกันมาตั้งนานไม่รู้นิสัยน้องฉันอีกเหรอยัยพลูน่ะ...รักแกมากพอ ๆ กับที่รักฉันนั่นล่ะ ฉันเลี้ยงมา...ย่อมรู้ดีน้องพลูไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่งั้นน่ะเหรอ...ไอ้อชิมันฉกไปนานแล้ว”




Create Date : 17 พฤษภาคม 2559
Last Update : 17 พฤษภาคม 2559 18:09:59 น.
Counter : 391 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com