ก้าวที่ไม่ท้อ เดิมพันด้วยชีวิต

เรื่อง วิญญาณ กะความเชื่อ

ประสบการณ์เรื่องวิญญาณ

คงต้องพูดถึงก่อนบวช 2553 เรายังทำงานที่กระทรวงคมนาคม และได้นึกในใจว่าวิญญาณใดอยากไปร่วมบุญในงานบวช ของเราก็ให้ไปโมทนาบุญเอานะในวันที่นี้ สถานที่นี้ แล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร จนแฟนมาบอกว่าฝันเห็น...มาบอกว่าจะไปงานบวชเรา แฟนก็บอกว่าที่ฝันเห็นสถานที่คุยกะเด็กคนนี้เป็นหัวมุมถนนมีกำแพงสูงๆ มีต้นไม้เรียงแถว เค้ารถชนตายตรงนี้ แต่ที่มาให้เห็นก็ร่างคนปกติ ไม่ได้น่ากลัว พอแฟนเล่าเราก็บอกว่าเรานึกคิดแบบนี้
อีกครั้งหนึ่งที่แฟน จะทำบุญกันเอง ซื้อของเตรียมจะไปไหว้ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ก่อนวันงานคืนนั้น ดวงวิญญาณที่นั่นเค้าก็มาหา ข้อสำคัญคือแฟนเป็นคนจำรายละเอียดได้ดีมากๆ จำอะไรแม่น สถานที่ หน้าตา คำพูดต่างๆ จนเราเองก็แปลกใจนะ ว่าจำได้ไงขนาดนี้ ต่างจากเราซะอีกที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องความฝันเอาเสียเลย เพราะเนื่องจากตอนบวช พระท่านสอนว่า......อย่าเอามาคิดต่ออย่าเอามากังวล อย่าไปติดใจ ถ้าฝันแล้วคิดต่อแปลว่าใจเราปรุงฟุ้ง จากนั้นก็เลยไม่ค่อยจำไม่ค่อยติดใจอะไรกับความฝัน
แฟนเราเค้าฝันเห็นคนๆเดิมอีก แต่คราวนี้ อยู่ๆมาหาแล้วบอกว่ามาวุ่นวายอยากเห็นอะไรเค้านักหนา เค้าก็มาให้เห็นและเข้ามาใกล้ๆและให้เห็นหน้าเค้าแบบชัดๆ แฟนก็ไม่ได้ติดใจเพราะคิดว่าฝันมั่วๆไป จนคนในที่ทำงานที่คิดว่าติดต่อกะวิญญาณได้ เค้าบอกให้คนใกล้ชิดแฟนฟังว่าวิญญาณดวงนี้เค้าเป็นคน....แต่งตัวแบบนี้ๆ ก็เลยตกใจว่าตรงหมดแฮะ
อีกครั้งที่เรานึกในใจ ตอนไป คำชะโนด ฝนตกหนักมาก ตลอดเส้นทางการไป เจอ งูก่อนไป 2 ตัว ตัวแรกเล็กๆ ไม่ใหญ่ ก็ขับเร็วนะ หลบแว็ป เกือบเหยียบซะงั้น แล้วก็มานึกถึงอีกว่า เอหรือว่าเพราะเราจะไปก็นึกในใจอีกว่า ให้เห็นอีกซักตัว คราวนี้ก็ขับเร็วเหมือนเดิม แต่ตัวนี้ไม่ใหญ่แต่ยาวมากเลื้อยเร็วมาพุ่งมาจากข้างทางเร็วมาก หักหลบตกใจกันทั้งรถ ก็ยังไม่ติดใจมากเพราะทางที่ไปเป็นป่า ป่าจริงๆ งูคงเยอะ (ความเป็นไปได้ที่งูเยอะ ธรรมดานะ) แล้วพอไปถึงวัดก็ตกหนักเดินเข้าไปไม่ได้ยืนหลบฝนที่ร้านขายดอกไม้ธูปเทียน ก็เห็น ผู้ชายช่วยกันเข็ญรถ toyota vios ก็งง รถใหม่มากแต่ไหงสตาร์ทไม่ติด ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าฝนตกหนัก หรือว่าอะไร
จนทุกคนมายืนหลบฝนรอฝนเบาก่อน คราวนี้แฟนได้ยินคนคุยกันบอกว่าเจ้าของเราเค้าเข้าไปแล้วพูดไม่ดีเสียงดังโวยวาย ประมาณนั้นมั้ง ออกมาก็เลยสตาร์ทรถไม่ติด (อันนี้ก็แบทรถอาจจะหมด) ซักพักฝนหยุดก็สตาร์ทติดนะ
คนขายดอกไม้ก็ว่าอีก ว่ามีชาวพม่าหรือว่าต่างด้าวมากันแล้วดูถูกเลยนะ ว่าไม่ดี ตรงใกล้ๆบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตรงนั้นมีรังผึ้งใหญ่พอสมควรอยู่คนพวกนั้นโดนรุมต่อย แล้วตายป่าวไม่รู้นะ แต่ที่รู้คือโดนอะ เค้าพึ่งว่าเกิดไม่นานมากเท่าไร
ตอนเดินเข้าไปก็อลังการมากเห็นต้นไม้แปลกตามากๆ
เราก็เปิดเสียงในมือถือ ชุมนุมเทวดา ของหลวงปู่พุทธะอิสระ และของหลวงพ่อที่วัดท่ามะโอ แล้วก็บทวิรูปัก แล้วก็แผ่เมตตาของหลวงปู่ แล้วตอนที่ไปไหว้ พญาศรีสุทโธ เราก็บอกว่าหากเทพท่านใดต้องการร่วมบูญก็ให้ตามเรามาหรือว่ามาดูแลเราประมาณนี้มั้ง คืนนั้นกลับมานอนที่พักก็มีเหตุการณ์หมาเห่านานพอสมควรแล้วมันก็มาเห่าที่ข้างๆห้องตรงที่เรานอน แล้วก็ได้ไปถามท่านที่เป็นเหมือนร่างทรง เค้าก็ว่าตามมา อยากมาดูว่าอยู่ที่ไหน อะไรทำนองนี้
อีกเรื่องคือ เรามีลูกตุ้มปรอทดำ เป็นลักษณะปั้นเป็นกลมๆ เค้าก็ว่าทำมาจากถ้ำที่พญานาคอยู่ (มีตัวตน) เอาไปให้ผู้รู้ดูก็ว่าเป็นของดี หายาก ตอนที่เราได้มาคือก่อนบวช ซึ่งก็ได้ทราบประวัติมาแต่แรกแต่ตะขิดตะขวงใจว่างั้น (คือหาข้อมูลในเนทไม่เจอ หาประวัติก็แปลก)เหมาเอาว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ก็ได้ไปเห็นลูกตุ้มปรอทดำที่บ้านพี่ที่รู้จักซึ่งเค้าเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกเลย เห็นแล้วก้ตกใจว่าพี่เค้ามีมาก มากจริงๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเค้าทำกันยังไง แล้วดียังไง ขอก็ไม่ให้ต้องไปรับเอาที่วัดเอง (ซึ่งไกลมาก และจำทางไปไม่ได้) ก็ขับรถแล้วให้พี่เค้าไปด้วย พอได้มาก็มีอะไรเกิดขึ้นแปลกๆ หลักๆสำหรับตัวเราคือ มือถือโทรออกเอง (แปลกนะอันนี้ แล้วมือถือคนอื่นก็โทรมาหาเครื่องเราเองด้วย)ทั้งๆที่ lock มือถือกันการโทรออก บางท่านที่มีลูกตุ้มก็เห็นเป็นเด็กเล็ก มีแต่ตาดำ(ตาขาวไม่มี เหมือนใส่คอนแทกเลนส์ว่าง้นแหล่ะ ไม่เห็นตาขาว) แล้วตอนไปที่วัดไม่เจอเจ้าอาวาส เราก็จะรีบกลับกันพระรูปอื่นท่านก็ไม่กล้าให้ เราก็แปลกใจว่าทำไม (ถึงวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจอะนะ) แล้วก็เห็นเค้าทำกันด้วย ปั้นลูกใหญ่ ขนาดบาตรพระเลยใหญ่มากวางอยู่พึ่งทำกันเสร็จ ซึ่งเป็นสีดำ รุ่นเก่าๆที่เห็นบ้านพี่เค้าเป็นแบบสีซีเมน ไม่ดำอันนี้ก็มีวิธีทำหลายแบบป่าวก็ไม่รู้นะ แต่ตอนเจ้าอาวาสมาท่านหยิยลูกที่ท่านพกติดตัวจะมีลักษณะต่างจากที่ท่านแจกเรา ท่านว่าของเก่าไม่กลมนะสวยเลยแปลกตาแม้แต่พี่ที่พาเราไปเค้าก็ว่า อยากได้
เรามารู้ว่าสิ่งนี้ดีจริง ก็ตอนที่ พระเทพเสด็จไปดูที่วัด และรับจากทางวัด เราก็ งง ว่าดียังไง ทำไมต้อง..พกติดตัว รวมถึง ฟ้าหญิง ก็เสด็จไปด้วย(ถ้าจำไม่ผิดเป็นการทอดกฐิน) ซึ่งระยะเวลาที่ท่านเสด็จไปห่างกันไม่กี่เดือน ทางวัดก็บอกว่าเกือบหมดแล้วให้เรารีบไปถ้ายังอยากได้อยู่ สำคัญที่ว่าเราไปไม่เป็นนี่แหล่ะ จำทางไม่ได้
ถามคนที่ติดต่อทางวิญญาณได้ก็ว่าเป็นของเก่าโบราณ ของดีว่างั้น
ทางวัดบอกว่าเอาไว้กับตัวรักษาสุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งก็ เพียงรู้ว่าดี ครับ ใครอยากรู้ก็ search ลูกตุ้มปรอทดำดูนะครับ แต่ไม่ค่อยมีข้อมูล คนที่รู้จักสมัย 20-30 ปีที่แล้วจะรู้จักเป็นวงกว้างพอสมควร เพราะทำแจกมากมาย และมีคนต่างชาติพยายามมาเอาวัตถุมวลสารนี้ไปด้วยเหมือนกัน เอาว่าสิ่งใหนใครเค้าว่าดี ผมก็อยากได้หมดแหล่ะ
รวมถึงหินเขาสามร้อยยอด ซึ่งเราก็ไปได้มาจากจตุจักร คราวนี้เป็นแบบสีขาวล้วน เค้าทำเป็นสร้อยข้อมือเส้นเล็กเหมาะสำหรับ ผู้หญิงอะเรามันข้อมือใหญ่เลยต้องหาแบบเดิมมาแทรกให้ขยายมากขึ้นจึงจะใส่ได้ อันนี้เค้าก็ว่าช่วยในเรื่องการทำสมาธิ
เราก็พอที่จะเคยได้ยินเรื่อง ผีไม่กลัวพระ แล้วเราก็เชื่อตรงที่ว่า เราก็มีของมงคลตั้งเยอะในห้องแล้วไหงวิญญาณมาเข้าฝันคนได้อีก ในฝันแฟนบอกว่าเค้ามาหาแล้วแฟนสวดมนต์ไหว้พระ เค้าก็ถามว่าสวดทำไม แล้วเดินเข้ามาใกล้ชิดๆต่อหน้า แฟนก็เลยนึก........เค้าเลยกลัว ขอร้องว่าอย่าพูดนะ เอ...ไหงกลับกลัวอย่างนี้ ทำให้รู้ว่าเค้ากลัวกันจริงๆ.....แต่การทำแบบนี้มันก็ไม่ดีต่อทั้งเราและวิญญาณแหล่ะ ผูกเวรกันไม่ดีเลย
ตอนที่เราบวช 2553 เราก็ได้ถามหลวงพี่ที่บวชมานาน และก็มีประสบการณืทางเรื่องพวกนี้ ท่านก็แนะนำเคล็ดไว้ให้ แปลกดีมากๆ
ท่านก็เชื่อเรื่องวิญญาณ และเห็นประมาณ ดวงเขียวๆ ลอยไปมาในทุ่งทางแถบป่า อีสาน (ประมาณกระสือ พวกนี้มากิน น้ำเหลือง เสลด ของสกปรก)กรุณาอ่านและใช้วิจารณญาณ นิดนึงนะครับ รวมถึงท่านบอกวิธีการไล่ผี เวลาที่เข้าคน และวิธีนอนไม่ให้ผีมากวน ซึ่งท่านว่าชะงัดนักวิธีนี้ บอกตามตรงว่าก็พึ่งเคยได้ยินได้ฟังก็ตอนนั้นๆแหล่ะ เพราะจากการที่อ่านหนังสือเรื่องพวกนี้มาเยอะ เคยเจอแต่ การไล่ผีแบบสวดมนต์ ข้าวสารเสก ใช้อาคม อะไรทำนองนั้น แต่ท่านว่า ผีสวดเก่งกว่าพระก็เห็นมาแล้ว คาถาไหนๆว่าแน่ผีสวดได้ชัดได้เพราะกว่าคนไล่ก็ถมไป (ซึ่งเราก็อ่านเจอมาแล้วเหมือนกัน) ก็ยังไม่เคยได้ยินวิธีการของหลวงพี่ แต่ท่านบอกท่านได้ลองวิธีนี้แล้ว สังเกต เห็นได้ชัดว่า ผีไม่มากวน ส่วนที่ผีเข้าก็ออก(คนที่โดนผีเข้าก็รู้สึกตัวขึ้นมา) ที่รู้วิธีนี่รู้แค่ไล่นะครับ ส่วนไล่ไปไม่ให้กลับมากวนนี่ ไม่รู้ครับ ซึ่งถ้าใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะครับ

พระก็เล่าว่า เคยไปสวดไล่ แต่ยิ่งหนักกว่าเดิม เฮี้ยนกว่าเดิม (วัดที่เราบวช)ท่านว่าสวดไล่ไม่ไป ทำบุญให้ก็ไม่ไป พอดีมันมีเหตุการณ์ที่ว่ามีโยมเอากระดูกคนตายมาฝังไว้ที่วัด เท่านั้นแหล่ะ ท่านผู้อ่านคิดว่า ใครจะเจอผี เมื่ออยู่ในวัด.......... สรุปว่าพระเจอวิญญาณมากวน และก็ไม่ใช่แค่องค์เดียว ที่เจอ แต่ที่ทุกองค์บอกคือ สวดไม่ไป แผ่เมตตาก็ไม่หมด แต่ทางวัดนี้มีการทำการสวดวิธีแบบท่าน แล้วพรมน้ำมันทั่ววัด แล้วอยู่ๆ ก็เห็นเศษกระดูกผุดออกมาวางบนพื้น(แสดงว่าเค้าฝังไว้ใต้กุฏิของพระ) คือมาแบบตัวเป็นๆนะครับ ได้ยินเสียงเดินกันหลายองค์ และวันที่จับผีคือ หลวงพี่ถีบผีกระเด็นติดประตู เสียงดังลั่น (เนื่องจากผีมาตามเวลาที่เค้าปรากฏตัวทุกคืนๆ) จึงเป็นอันรู้เวลาที่ผีจะปรากฏตัว.......... เมื่อได้กระดูกคนตายก็นำไปทำพิธี แล้ววิญญาณนั้นก็ไม่มารบกวนอีกเลย
การที่ผีจะปรากฏให้ ใครเห็นได้นั้น ก็ต้องมีเหตุนะครับ เพราะต้องการขอความช่วยเหลือเป็นหลัก ผีกว่าจะรวบรวมพลังงานความร้อนเข้ามาเพื่อให้เกิดการสะท้อนแสง เห็นเป็นตัวๆ ด้วยตาเนื้อของคนนั้น ก็ยากนะครับ ดังนั้นการมาปรากฏนั้นก็ต้องมีเหตุผล (หรือว่าเคยสัมพันธ์กันมา หรือว่าไปโดนใจวิญญาณตนนั้นว่างั้นครับ)
คนเห็นก็เห็นบ่อยๆ ส่วนคนไม่เห็น ก็ไม่เชื่อ นานา จิต ตังครับ




 

Create Date : 22 กันยายน 2553   
Last Update : 22 กันยายน 2553 13:27:51 น.   
Counter : 1023 Pageviews.  

กรณีนี้ ถือว่าเป็น ญาณที่เท่าไรครับ พอจะเทียบให้ได้ป่าวเอ่ย เด็กอยากรู้

ลำดับญาณ คือ
๑. นามรูปปริเฉทญาณ รู้รูปนาม ได้แก่ ถึงวิสุทธิ ข้อที่ ๓
๒. ปัจจัยปริคคหญาณ รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม ได้แก่ ถึงวิสุทธิ ข้อที่ ๔
๓. สัมมสนญาณ พิจารณารูปนามเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แก่การเข้าสู่เขตวิสุทธิที่ ๕ อ่อนๆ
๔. อุทยัพพยญาณ เห็นรูปนามเกิดดับ ได้แก่ ถึงวิสุทธิที่ ๕ อย่างแก่
๕. ภังคญาณ เห็นเฉพาะความดับไปของรูปนาม
๖. ภยญาณ เห็นรูปนามเป็นของน่ากลัว
๗. อาทีนวญาณ เห็นทุกข์ เห็นโทษของรูปนาม
๘. นิพพิทาญาณ เกิดความเบื่อหน่ายในรูปของนาม
๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ อยากออก อยากหนี อยากหลุด อยากพ้น จากรูปนาม
๑๐. ปฏิสังขาญาณ มีกำลังใจเข้มแข็งตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง ไม่ยอมถอยหลัง
๑๑. สังขารุเปกขาญาณ มีใจเฉยๆอยู่กับรูปนาม ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่กลัว ไม่เบื่อ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย

ที่ขึ้นลำดับญาณ มาทั้ง 1- 11 เพราะว่าผมก็ มีข้อสงสัยเล็กๆน้อยๆ ตามประสาเด็กน้อยในแดนธรรม ที่สงกะสัย ใคร่อยากรู้
คืออย่างนี้นะครับ ในช่วงที่บวช ผมได้ปฏิบัติธรรมครั้ง 2 คือ 11-12 วัน ช่วงนั้นก็ได้ปฏิบัติก็มีโยมเข้าปฏิบัติธรรมด้วยในช่วงแรกก็ 3 วัน แล้วหลังจากนั้นก็ปฏิบัติเดี่ยวจนวันออก กัมมัฏฐาน ผมได้เกิดสภาวะเครียดมากใจเต้นแรง เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อปฏิบัติ ได้ 4 วันก็พิจารณาอยู่นานว่าเพราะอะไร แต่ความเครียดรุนแรงมากจนปฏิบัติไม่ไหว นั่งพักก็ไม่สงบ พยายามฝืนเดิน นั่ง แต่ก็ยิ่งทวีความเครียดมาก เหตุการณ์เกิดขึ้นน่าจะประมาณ 9.50 น. จนถึงเวลา 10.45 น ก็กินข้าวแล้วทานยาไทลินอล 2 เม็ดแล้วนอนเลย ตื่นมาก็ดีขึ้นอาบน้ำ แต่ที่แปลกอีกคือ เมื่อเดินก็สบายๆ แต่พอเริ่มนั่ง สมาธิกับพื้น จิตมันรวม รู้สึกถึงความเฉยไปเลย นั่งไป 1 ชม. ก็ยังเฉยอยู่ ก็เลย ลุกเดิน พอช่วงเย็น ก็นั่งอีก ก็เฉยอีก ก็นั่งเพียง 30 นาทีแล้วก็เดินเป็นหลักครับ
และเมื่อปฏิบัติธรรมครั้งที่ 3 เป็นเวลา 1 เดือน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ในช่วง 16.00 น. แก้ไขด้วยการไปอาบน้ำครับครั้งนี้และปฏิบัติได้ 17 วัน ก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะเครียดๆ อีก เกิดในเวลา อืม น่าจะ 18.45 น. แต่ครั้งนี้ไม่เท่ากับที่ผ่านมาแต่เหมือนรู้สึกว่ากำหนดยากเหลือเกินเลยเครียดกังวลเดินจงกรมแทบไม่ได้เลย ก็ได้ไปส่งอารมณ์ กับพระอาจารย์ที่ตึกเก่าก็นั่งรออยู่นาน อาจารย์ก็ช่วยให้คำแนะนำและวิธีแก้ไขให้เป็นอย่างดี




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2552   
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 10:42:27 น.   
Counter : 579 Pageviews.  

วัดท่ามะโอ 1 พรรษา 2552

www.wattamaoh.com/

คงต้องบอกว่า เป็นการรอคอยที่นานพอสมควร แต่ตัดสินใจบวชนั้นไม่นานเลย เพราะรอเพียงผู้ใหญ่อนุญาติให้เท่านั้นเอง ได้บวชก็เมื่ออายุ 33 ปี บวช 1 กค ถึง 19 ตค 2552 ก็ขอพูดถึงประวัติวัดซะหน่อยแล้วกัน

ประวัติวัดท่ามะโอ
วัดท่ามะโอ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2437 อุบาสกชาวพม่าชื่อ “อูจันทณ์โอง” เป็นผู้สร้าง
ชื่อของวัดนี้ เรียกตามคำบาลีว่า “มาตุลุงคติตถาราม” เรียกตามภาษาไทยว่า “วัดท่ามะโอ” เพราะอาศัยท่ามะโอหรือท่าส้มโอ คำว่า “วัด” ตรงกับคำบาลีว่า “อาราม” คำว่า “ท่า” ตรงกับคำบาลีว่า “ติตถะ” คำว่า “มะโอ” ตรงกับคำบาลีว่า “มาตุลุงคะ” คำทั้ง ๓ คือ อารามะ, ติติถะ, มาตุลุงคะ เมื่อสับเปลี่ยนคำหน้าไปไว้หลัง สับเปลี่ยนคำหลังมาไว้หน้า ก็สำเร็จรูปเป็น “มาตุลุงคติตถาราม” แปลว่า วัดท่ามะโอ

ท่านพระอาจารย์ ภัททันตะ ธัมมานันทมหาเถระ เกิดที่หมู่บ้านตาสี่ อ. เยสะโจ่ มณฑลปขุกกู่ ในวันเสาร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑ ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ (ตรงกับวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓)

พระมหาสมลักษณ์ คนฺธสาโร (ศุภสถาพร) วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ.๘, เจติยังคณะ คณวาจกธรรมาจริยะ และสาสนธชธรรมาจริยะ (เทียบเท่า ป.ธ. ๙ ของประเทศไทย) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายการศึกษาวัดท่ามะโอ


ผมบวช ก็ได้ทั้งเรียนนักธรรมตรี และได้ปฏิบัติ ซึ่งการเรียนก็เรียนทุกอย่างตามหลักสูตร เรียนก็ 9.00 - 10.30 น. หยุดทุกวันพระ และก็ได้เรียนเพิ่มเติมกับพระมหามานิต ป.ธ. ๙ ท่านพึ่งกลับมาอยู่เมืองไทย ท่านไปอยู่พม่ามา 8 ปี ท่านก็สอนหลายเรื่องวันละ ประมาณ 40 นาทีถึง 1 ชม ถ้าผมมีปัญหาถามท่านเยอะ ซึ่งถามได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับธรรมะเพราะท่านสอนสนุก และสบายๆ

ผมได้เข้าปฏิบัติในอาคารปฏิบัติธรรมหลังเก่า 2 ครั้ง ครั้งแรกเข้า 7 วัน ครั้งที่สองเข้า 12 วัน ส่วนอาคารหลังใหม่เข้า 1 เดือนและออกมาปฏิบัติต่อที่อาคารไม้(อาคารทำวัตรเย็น)ต่ออีกหลายวันอยู่นะ

รูปแบบการปฏิบัติที่นี่ประยุกต์ และพัฒนามาตลอด ทั้งตามหลักธรรมและตามหลักสรีระร่างกายของเรา
การเดินก็เดินมีเอกลักษณ์ ซึ่งกว่าผมจะเดินได้ถูกต้องก็นานพอดูครับ
ส่วนเรื่องการยกมือ ก็เอาเรื่องเหมือนกันไม่ต่างกัน

คงต้องเริ่มพูดในประเด็นเลยแล้วกันนะครับ
ผมเคยปฏิบัติแนวพองยุบ มาตั้งแต่ปี 2540 -2547 ก็ปีละครั้ง 8 วัน 7 คืน
ก็ได้ มช. ที่นี่แหล่ะเป็นสถานที่ๆทำให้ผมได้เรียนรู้การปฏิบัติแนวทางนี้
ได้พบครูบาอาจารย์ ต่างๆ มากมาย และได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ครับ

สิ่งที่ผมได้จากการปฏิบัติที่ มช. มันก็เหมือนเป็นฐานที่สำคัญกับผมมากแต่ผมก็ยังสงสัยอะไรหลายๆอย่างมากมาย บอกตามตรงว่ายัง งง งง กับวิปัสสนาญาณต่างๆ เพราะสมัยนั้นหนังสือมี แต่ผมอ่านไม่รู้เรื่อง ข้อมูลที่ค้นหาทางเนท ก็ยังไม่มากแพร่หลายเท่าปัจุบันนี้ แล้วทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในใจผมตลอดมาแม้จะได้อ่านหนังสือ ได้ฟังเทศน์ลำดับญาณ(เจ้าคุณโชดก)
หรือว่าได้คุยกับผู้รู้ต่างๆมากมาย ผมก็สับสนในใจ แม้จะเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านแล้วก็ตาม

ในมุมมองของผม(ส่วนตัวผมนะ) ผมคิดว่าการปฏิบัติน่าจะลงมือทำจริงๆก่อน
หรือไม่ก็ตั้งใจไปเลยลองปฏิบัติในแนวทาง แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งที่คิดว่าไม่ใช่แนวทางของเรา (จริต) ก็ค่อยว่าหาแนวทางใหม่อีกที

ที่พูดถึงตรงนี้เพราะผมก็ได้ลองปฏิบัติแนวพองยุบ มา ก็เล็กๆน้อยๆตามวาสนาบารมี เข้าใจบ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็เก็บสะสม แล้วก็หาอ่านหนังสือจากหลายแนวทางการปฏิบัติ จนผมมาอยู่ กทม. 2550 ก็ได้ไปบ้านอารีย์ ได้ไปพบแนวทางการฝึกของพระอาจารย์ปราโมทย์ ผมก็พยายามศึกษาและปฏิบัตินานพอดู ก็จะเข้าใจ ก็อย่างที่ว่าแหละครับ ผมเป็นคนเข้าใจอะไรยากอันนี้ผมยอมรับเลย ก็พยายามฝึกเรื่อยๆมาเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ

ได้พบ ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ และลูกศิษย์ ของท่าน ผมก็พยายามติดกลุ่ม ติดสอยห้อยตามไปศึกษาแนวทางของอาจารย์ และก็ได้ไปวัดของหลวงพ่อกล้วย และก็ทำให้ได้อีกประสบการณ์ดีๆในชีวิตของผม

จากการได้ไปบวช ผมก็ได้พบประสบการณ์เหนือคำบรรยาย ที่พูดได้ว่าเกิดมาคุ้มแล้วที่ได้บวช เพราะทีแรกไม่คิดว่าจะได้ปฏิบัติเป็นเดือนเพราะคนมาปฏิบัติเยอะครับ เข้าๆออกๆ ก็เยอะมากส่วนคนที่ปฏิบัตินานๆเป็น 1-2 เดือนก็มีมาเรื่อยๆ และผมก็ได้รู้จักกับคนเก่งๆอีกจนได้ ท่านผู้นี้ปฏิบัติแนวทางนี้มานานครับและทำให้ผมได้ รู้ถึง สถานที่ปฏิบัติธรรมต่างๆในประเทศไทยหลายๆที่หลายๆพระอาจารย์ เพราะท่านผู้นี้ไปมาหมดแล้วครับ และปฏิบัติแต่ละครั้งก็ต้อง 1-2 เดือนเป็นอย่างน้อย และท่านก็ได้แนะนำแนวทางต่างๆให้กับผม

อย่างหนึ่งที่ผมสรุปได้นิดนึงแล้วกันนะครับว่า เป็นปัจจัยหลักพอสมควรคือเรื่อง ความสัปปายะ และกัลยาณมิตร

เดี๋ยวมาต่อกันอีกยาวนะครับ




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2552   
Last Update : 26 ตุลาคม 2552 16:18:29 น.   
Counter : 513 Pageviews.  

สนใจทั้งทางธรรม และวัตถุมงคล หลายอย่างนะ เพื่อ สบายใจ

สวัสดี 2552 เมษา หน้าร้อน ที่ไม่ได้เล่นน้ำแต่ พักผ่อนยาวนานเพราะการเมืองทำให้ ราชการ หยุด 10 วันได้ไปไหว้พระที่ จ.อยุธยา 12 เมย 52 ไปเช้า กลับเที่ยง ไปไหวหลายวัดมากเลย บังเอิญได้เข้าร่วมพิธีที่วัดการ้องด้วย ก็ประทับใจมากเลย
ในความทรงจำที่นึกๆได้ นิดหน่อย เพราะไม่ได้บันทึกเก็บไว้ในสมุดบันทึก นานมากเลย คิดว่า น่าจะเดือน 8 ปี 51 เป็นต้นมาเราก็ไม่ค่อยได้เดินทางไปฟัง ธรรมะ ที่บ้านอารีย์ อาคารเอสเอ็ม ทาวเวอร์ เครืออัมรินทร์ หรือว่า ไปไหว้หลวงปู่สอที่บ้านเรือนไทย
ซึ่งก็ทำให้เรานึกถึง วันต่างๆที่ผ่านมาที่เราได้ไปตักบาตร นั่งเล่นอยู่บ้านเรือนไทย ได้นวดขาให้หลวงปู่ และก็ได้ร่วมไปงานเททองหล่อหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ และยาคูขี้หอม รวมถึงได้ฟังธรรมที่บ้านอารีย์ตอนเย็นๆแม้ช่วงนั้นฝนจะตกก็พยายามไป ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์มาบรรยาย ส่วนที่อาคารเอสเอ็ม นี่จะจัดค่ำหน่อยและเลิกดึก ก็ทำให้เราอยู่ฟังไม่ทันจบหรือถ้าจบก็ต้องรีบกลับไวหน่อยเพราะรถตู้จะหมดตอน 21.00 ก็ทำให้เราเกือบตกรถเลยทีเดียว แต่เราก็ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปฟัง ไปร่วมทำบุญ แม้จะเป็นหลังเลิกงาน แต่ก็ไม่เหนื่อยเลยที่จะได้ฟังบรรยายธรรมะสดๆ เพราะทุกครั้งเรามักฟังจาก CD บ่อยๆ เราได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอ้อน้อยก็เพราะน้องตั้ม ผู้ใจบุญให้เราได้ไป ได้เห็นการปฏิบัติของทางวัด
ในส่วนการทำงานที่เราได้ติดตามนายเราไปต่างจังหวัด และก็ได้ไปเที่ยววัด กราบพระ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากซึ่ง เราก็ได้ใช้ กล้องจากมือถือถ่ายรูปต่างๆเก็บไว้มากมาย วัดที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ทำให้เราประทับใจมาก กับสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยเป็นเวลา 100 กว่าปี คงความสวยงามไว้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงก่อนที่เราจะออกจากที่ทำงานเก่าเราก็ได้เดินทางไปกับนายตรวจงานทางภาคเหนือ ทำให้ได้ไปไหว้พระเจ้าทันใจ ไหว้พระธาตุต่างๆ วัดต่างๆที่ไม่เคยไปมาก่อน ซึ่งทำให้ประทับใจมากเลยครับ
มาถึงวันนี้ ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ทอดทิ้งการปฏิบัติเลย เพราะอย่างน้อยเราก็ยังฟังธรรมะของพระอาจารย์ปราโมทย์ และพระอาจารย์มานพ อยู่เสมอๆ ทบทวนแนวทางปฏิบัติ จับหลักการ ถึงแม้ไม่ได้นั่งสมาธิเลยก็ตามเราก็พยายามกำหนดลม อยู่บ่อยๆเวลาที่นั่งรถกลับจากการทำงาน แต่ก็เผลอหลับซะบ่อยไป
บางครั้งที่ว่างหลังจากกลับมาห้องนอน ก็ได้ โหลดไฟล์ธรรมะ ของกลุ่มกัลป์ญาณธรรม การบรรยายของหลวงปู่พุทธะอิสระ ดร.สนอง เราก็ฟังอยู่ตลอด ก็เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ ก็เพื่อเป็นการทบทวน เป็นกำลังใจ เป็นพลังใจ ให้ไม่ท้อแท้ หรือว่า คำว่า เบื่อ ที่จะเกิดขึ้น อย่างน้อยเราก็รู้สึก สนุกที่จะฟัง สนุกที่จะฝึก อะไรก็ได้ที่จะทำให้เรา พลาดน้อยที่สุดในการฝึก เราก็ ต้องเติมเต็มความรู้ให้มากที่สุด บางครั้งก็ได้ลองเปิดเข้าเวปของ youtube เพื่อฟังรายการธรรมะที่เราไม่ได้ดูทาง ทีวี เช่น การสนทนาของ คุณ ศุภวรรณ ในรายการต่างๆ การ บรรยาย แนวทางแก้กรรม ของ น้องริชชี่ หรือว่า การแสกน กรรมของ....จำชื่อไม่ได้ ทีแรกเห็นหนังสือก่อนแล้วก็ลองหาทาง youtube ก็เห็นรายการเลยได้ติดตามดู ก็ทำให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมนั้นทำให้มีอะไรเหนือ สิ่งที่คนทั่วไปจะรู้จะเห็นได้ ในส่วนนี้คงไม่มี การกล่าวคำหรือว่าความเห็นใดๆในทางลบ เพราะอย่างน้อยเราก็รู้สึกว่า นั่นเป็นความรู้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ลี้ลับ แต่มีคน กล้ามาเปิดเผย กล้าที่จะแสดงตัวกัน อะไรที่เป็นเกล็ดวิธี หรือว่าแนวทางที่จะทำให้ การปฏิบัติก้าวหน้า หรือว่าการแก้กรรมอะไรก็ตามที่จะทำให้ชีวิต ดีขึ้น เราก็นำวิธีการเหล่านั้นมาทดสอบ ทดลองทำกับตัวเราเอง แล้วดูว่าผลของการปฏิบัติจะเป็นจริง เกิดผลได้มากน้อยเพียงไร
ช่วงเว้นว่างจากการไปฟังธรรม เราก็ได้ศึกษา วัตถุมงคล วิธีการ หรือว่าอะไรหลายๆอย่างที่ บางทีวิทยาศาสตร์ ก็ตอบคำถามได้ยาก แต่ก็ได้มีการพิสูจน์อยู่ อาทิเช่น การถ่ายภาพ ออร่า ซึ่งในวัตถุมงคลหลายๆอย่าง ก็ขึ้นอยู่กับ การปลุกเสก หรือว่าสิ่งที่นำมาเป็นมวลสาร หรือว่าเป็นวัตถุที่เกิดเองตามธรรมชาติ ตรงนี้คงเป็นเพราะได้อ่านหนังสือของ ริชชี่ เล่ม 1 มั้งครับ แล้วก็ได้ทำให้เราได้ ศึกษาต่อ ค้นคว้าต่อในเรื่องของวัตถุมงคล ต่างๆ และก็ได้อ่านศึกษา ถาม และก็ลองไปเดินดูตามศูนย์พระ ตลาดพระที่ต่างๆ หรือว่าหาข้อมูลทางเวปไซน์ อย่างหนึ่งที่ทำให้รู้เลยคือ ได้รู้ว่ามีครูบาอาจารย์ที่ผู้คนศรัธา แต่ละจังหวัดเป็นท่านใดบ้าง และก็ทำให้เราได้รู้ว่าในอดีตก็ได้มีการทดสอบ การเคลื่อนวัตถุด้วยพลังจิต ของพระเกจิที่มาร่วมในงาน ตรงนี้ก็ทำให้รู้ ได้เห็นข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ยิ่งทำให้เราอยากรู้ อยากเห็นในเรื่องลึกลับเหล่านี้ และก็ได้สอบถาม คุณปราโมทย์ เจ้าของเวป rakpratat เพราะเคยได้คุยกัน และได้ชมวัตถุมงคลที่คุณปราโมทย์ พกติดตัว หรือว่ามีไว้ในบ้าน ซึ่งก็ทำให้เราทึ่งมากๆ เพราะแต่ละอย่างคงต้องบอกว่า ต้องใช้ความสนใจอย่างสูง และความอดทนมากในการเดินทางหรือว่าต้องมีปัจจัย ไม่น้อยที่จะสะสม หรือว่าได้มา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ได้เรียนรู้ได้รู้ข้อมูล อย่างเช่น ลูกอมสมเด็จ เริ่มแรกที่ได้ยินได้เห็น ก็สนใจไม่น้อย แต่อย่างที่บอกว่าต้องมีปัจจัยพอสมควร ก็ได้พยายาม และพยายามอย่างสูง สำหรับตัวเราที่จะได้ไว้บูชา ก็ต้องศึกษาและฟังข้อมูลจาก คุณปราโมทย์ เล่าที่มาที่ไปให้ทราบ มากมาย และเมื่อเราได้มา ทีแรกก็อยากจะนำไปถ่ายเพื่อทดสอบรังสีออร่า แต่เมื่อไปถึง ชมรม ที่รับถ่ายก็ต้องถอยหลังนิดนึง เพราะราคา ครับ แต่ก็ยังอยากรู้ อยากเห็นอยู่แต่ก็ทำให้เราได้เห็นว่า มีวัตถุใดบ้างที่ให้พลังแตกต่างกันจากทางชมรม หรือว่าหินจากธิเบต หรือว่าหินจากเขาสามร้อยยอด ก็ทำให้เราได้รู้ อะไรต่ออะไรมากยิ่งขึ้น ได้แสวงหาหินจากเขาสามร้อยยอดด้วย มาถึงเรื่องลูกอมสมเด็จเราก็ได้เจอกับร่างทรงที่สามารถตอบว่าลูกอมนี่คืออะไร ????
หลังจากนั้นก็ได้ศึกษาว่าวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบันนี่มีอะไรบ้างและมีไว้เพื่ออะไร เราก็ได้หาอ่านหนังสือ พระเครื่อง และก็ดูเวป และก็ถามจากเพื่อน พี่ แหละหลายๆคน หลังจากที่อ่านหนังสือของริชชี่ ก็ได้เห็นชื่อของครูบากฤษณะ ก็ทำให้เราได้สนใจ และอยากทราบประวัติของครูบา และวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้าง ก็มีหลายๆอย่างที่ทำให้เราสนใจและอยากศึกษา สะสม ก็ทำให้ได้ใช้เวลาช่วงที่เว้นว่างจากการไปฟังธรรม หรือไปปฏิบัติ มาศึกษาและหาวัตถุมงคลของครูบา เราได้รู้จักพี่ที่บ้านโตนด น้องที่ท่าพระจันทร์ ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อยู่ใกล้ครูบา และก็ยังไปวัดโตนดเป็นประจำ ทำให้เราได้รู้ข้อมูลต่างๆ และได้รู้ว่าใครที่บูชาไว้เยอะ เช่นคนที่อุตรดิต เป็นร้านค้าขายของเล่นหน้าโรงเรียน ซึ่งเป็นผู้หญิง ที่สนใจวัตถุมงคลของครูบา อีกคนหนึ่งเป็นคนทำงานเกี่ยวกับ CP หรือว่า... ประมาณนี้ก็เป็นคนที่สะสม ของแพงๆของครูบาไว้เยอะ
เราก็ได้เห็น และได้สะสมไว้บ้างตรงนี้ก็อยากจะเล่านิดนึง เกี่ยวกับประการณ์นะ เพราะปกติไม่ค่อยซื้อหวยอะไรกับใคร แต่ก็ได้ซื้อเพราะน้องเค้ามาขายให้วันสุดท้ายเพราะเลขมันเหลือ เราก็บอกเหมาเลย 7 ตัว 300 บาท (ปกติตัวละ 100)นะแต่เงินยังไม่มีให้เดี๋ยวให้วันที่เลขออก ปรากฏว่าถูกครับ แล้วก็ให้เค้าหักเงินค่าซื้อจากเงินที่ได้ก็ทอง 1 สลึงอะ คือตอนนั้นตั้งใจไว้ว่าถ้าถูกจะเอาเงินทำบุญครึ่งนึงของที่ได้มา
ครั้งที่สองที่ถูกก็ถูกรางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 เป็นเลข 3 ตัวได้ 1000 บาทซึ่งตอนนั้นที่รู้ก็อยู่ฮ่องกงแล้วเปิดดูผลสลาก ซึ่งถ้าถูกก็ได้ 50000 บาทนะ ประมาณนี้แล้ว ก็หวิดไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่ถูก ส่วนรางวัลที่ได้ก็ทำบุญครึ่งหนึ่งอีกเหมือนเคย แล้วเราก็เกือบถูกหลายครั้งมากหลังจากนั้น แล้วก็ไม่ซื้ออีกเลยเพราะย้ายที่ทำงาน ใหม่ แล้วก็นานๆจะซื้อล็อตเตอรี่
หลายอย่างกับเรื่องวัตถุมงคล ก็บอกไม่ได้หลายอย่าง ตั้งแต่เริ่มสอบ กพ ปโท ใหม่อีกครั้ง ก็สอบผ่านในทีเดียว และเป็นครั้งสุดท้ายที่จัดสอบ แล้วก็หยุดจัดมาจนถึง เมย 52 และเราก็ได้ทำเรื่องสอบใหม่กับทางกระทรวง ทำให้การย้ายงานหรือ โอนจาก กรม มากระทรวง ก็แบบว่าฉิวเฉียด อย่างบอกไม่ถูก
หรือว่าคนที่พกวัตถุมงคลของครูบา ก็แคล้วคลาดหลายคน อันนี้ยาว เพราะเรื่องคนอื่นไม่พูดดีกว่าเนอะ กลับมาในส่วนของเรื่องธรรมะกันต่อดีกว่าเราก็ได้ดูเวปต่างๆเหมือนเดิมแล้วก็
เมื่อวันที่ 21 เมย 52 เราก็ได้เข้า //larndham.net/index.php?showforum=17 ซึ่งก็ไม่ได้เข้ามานานแล้วและก็ได้ไปอ่านส่วนนึ้คือของคุณดังตฤณ ในหัวข้อ สำรวจความพร้อมบรรลุธรรม รู้จักความจริงในมุมมองของอริยะ :ซึ่งเป็นส่วนของ หนังสือ มหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเมื่อเราได้อ่านก็ทำให้เราได้รู้ความจริงหลายๆอย่าง ซึ่งเมื่อก่อนเราติดขัดกับปัญหาตรงนี้มาก ก็กระจ่างชัด อ่าน 3 4 5 รอบ เพื่อทำความเข้าใจแล้วก็คิดว่าน่าจะไม่พลาดนา ถ้าเดินทางปฏิบัติตามแนววิธีเหล่านี้ที่ได้ศึกษา ทดลอง แล้วก็เห็นผลอะไรต่างๆมากมาย





 

Create Date : 23 เมษายน 2552   
Last Update : 23 เมษายน 2552 15:24:32 น.   
Counter : 384 Pageviews.  

อดีต เก่าๆ จนถึง 2552 ที่ กทม ดินแดนแห่งความรู้และสถานที่ ที่สำคัญ

ในเรื่องการปฏิบัติแนว ยุบหนอ พองหนอ เป็นแนวการปฏิบัติ ที่ผมได้ศึกษา ปฏิบัติ มาตลอด
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้นะครับ ที่ทำให้ได้มาศึกษาแนวนี้ เพราะจริงๆแล้วพยายามฝึกในหลายๆแบบ แต่ก็ไม่เข้าใจ เป็นเพราะอ่านเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ ก็ทำให้ไม่สามารถ ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องมั้งครับ
ลองด้วยตัวเอง ก็คือการกำหนดลมหายใจ เข้า ออก ก็ไม่เข้าใจ ก็ลองนั่งเล่นๆ ดู ลมเข้า ดู ลมออก
นั่งไปอย่างนั้น จู่ๆก็เหมือนกับว่าตัวมันหลุด ลอยไปทางด้านบนของศรีษะ ลอยอยู่ข้างบนศรีษะอยู่อย่างนั้น
สบายๆ ไม่เจ็บ ไม่ปวดที่ตัว ก็ปล่อยไปเรื่อย นั่งได้นาน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับตรงนี้ เพราะความไม่รู้และไม่ได้ฝึกอย่างต่อเนื่อง ก็เลยปล่อยตามเลยไม่ได้ฝึกอะไรต่อ ส่วนเรื่องการกำหนดแบบ พุทธ โธ นี่ ไม่ต้องพูดถึงเพราะยิ่งไม่รู้เลยว่ากำหนด พุทธ ยังงัย แล้ว โธ ตอนไหน ก็ไม่รู้เรื่อง นี่คือสมัย น่าจะอยู่ ม.ต้น มาอยู่ มหาวิทยาลัย ก็เจอหนังสือ หลวงพ่อโต ได้อธิบายวิธีถอดกายทิพย์ อะไรประมาณนั้น ให้กำหนดที่ดวงตาที่สาม ที่บอกว่าระหว่างตา หรือว่าระหว่างคิ้ว ก็เอามาลองทำดู แต่พอทำไปแล้วเหมือนหัวจะระเบิด ปวดหัวมาก เลยเลิกไม่ทำต่อ
แต่เรื่องการอ่านหนังสือหรือว่าค้นคว้าก็ยังทำอยู่เสมอ คือหาอ่านหนังสือ ในห้องสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เกี่ยวกับหนังสือ ธรรมะ ก็หาอ่านเกือบหมด (เฉพาะที่สนใจนะครับ เพราะมีหลายเล่มที่ผมไม่ได้สนใจก็ไม่อ่าน อ่านก็ไม่รู้เรื่อง เช่นตอนนั้นยังอ่านของท่าน พุทธทาส ไม่รู้เรื่องเลย ) อ่านก็อ่านแนวๆ เรื่อง นรก สวรรค์ ผีสาง เทวดา ก็หาอ่านไปเรื่อย รวมถึงแนวทางการปฏิบัติ แต่ก็ไม่เข้าใจอะไรมากมาย
มาถึง 2538 -2539 ช่วงนั้นก็เริ่มไปศึกษา วิธีการนั่งสมาธิแนวยุบหนอ พองหนอ จากคำแนะนำ ของเพื่อนพี่ชาย พี่อดิชาติ ซึ่งพี่เค้าจะนั่งทุกเย็น แต่เราไม่สะดวกไปกับพี่เค้า ตอนนั้นจำได้ว่าไปเจอพี่เค้าที่หอ3 ชาย บ่อยๆพี่เค้าก็แนะว่า ไปที่วัดสวนดอก หลัง มช. นะ ไปติดต่อดู เราก็เลยได้ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ช่วง 13.00 น ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเรียนอยู่ 2 – 3 เดือนได้มั้ง
จากนั้นก็ ได้เห็นประกาศ การจัดฝึกนั่งสมาธิ หรือว่าการอบรมจิต อะไรทำนองนี้นะ ของ คุณหมอ ท่านเป็นหมอด้านจิตแพทย์ ท่านจัด 8 วัน 7 คืน จัดช่วงปิดเทอม ทุกครั้งที่จัดจะจัดที่ อาคารเรียนของคณะมนุษย์ศาสตร์ ช่วงปีแรกๆ ที่จัด ในตอนเย็นหลังการปฏิบัติ ก็จะมีครูบาอาจารย์มาพูดแนะนำ บรรยายให้ซึ่งเป็นช่วงก่อนการสอบอารมณ์ ช่วงนี้ผมชอบมากเพราะได้ฟังประสบการณ์ และเป็นการให้กำลังใจ ผู้ปฏิบัติ ด้วย
ทำให้เราได้ทราบความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ผมไปปฏิบัติในหลักสูตร โครงการของคุณหมอ อยู่หลายครั้งก็ได้รู้จักรุ่นน้องหลายๆคน ซึ่งเห็นเค้าตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนโตเป็นวัยรุ่น เพราะเราไปปฏิบัติกันอยู่หลายปี และน้องเค้าก็มาตลอด และรู้สึกว่าเอาจริง เอาจังกับการปฏิบัติด้วย

ส่วนการไปปฏิบัติที่วัด ก็เคยไปที่วัดร่ำเปิง หลัง มช วิ่งเรียบคลองชลประทานไปนะครับ ก็ไป 2 – 3 ครั้งนะครับ
ไปเอง แบบ 2 คืน 2 วัน บ้าง แล้วก็ แบบ 3 คืน 3 วัน ไปแต่ละครั้งก็ไปคนเดียว ปฏิบัติเอง เดินเอง นั่งเองไม่ได้สุงสิงอะไรกับใคร ก็มีอยู่ ครั้งหนึ่งที่ไปก็ได้เจอกับ น้องคนหนึ่ง เป็นเด็กวัยรุ่น ก็มาชวนคุย ซึ่งจำได้ว่าเป็นช่วงบ่ายๆ มีเด็ก 3-4 คนน่าจะเป็นเด็กประธมปลายๆ ซึ่งน้องเค้ามาปฏิบัติหลายครั้งแล้ว และปฏิบัติแบบเข้มด้วย เราฟังการปฏิบัติของน้องๆเค้าแล้วก็นึกดีใจ ว่าเด็กๆเค้าตั้งใจ และทำได้ดีทีเดียว ส่วนน้องผู้ชายอีกคนมาปฏิบัติ น่าจะ 5 หรือว่า 7 วันเพราะจะได้นอนในบ้านเดี่ยวแบบมีห้องน้ำในตัว ส่วนเรานั้นมาระยะสั้นก็จะนอนในห้องที่มีเพียงที่นอนและวางพัดลมได้เท่านั้น วันนั้นน้องเค้ามาเล่าให้ฟังว่า เค้ามาปฏิบัติหลายวันแล้ว มาเพราะแก้บน ให้ยาย หรือว่า ย่า ที่ป่วยแล้วถ้าหายจะมาปฏิบัติแก้บน น้องเค้ามาน่าจะ 3-4 วันแล้วและเค้าก็แอบออกจากวัดไปซื้อเบียร์มาดื่ม พอตกกลางคืนพอน้องเค้านอน ก็จะรู้สึกตัวตอนดึกว่ามีคนมาลากแล้วเค้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็รู้ว่า ตัวเองมาตื่นอีกที่หนึ่งซึ่งไม่ใช่จุดเดิมจากที่นอนครั้งแรก(ฟังตรงนี้ ทีแรกเราก็ว่าน้องคงเมาแล้ว กลิ้งมาเองมั้ง) เราก็เอ้าฟังต่อ ไม่อยากโต้เถียง น้องบอกว่าวันที่สองก็ซื้อเบียร์มาดื่มอีก พอตกกลางคืนก็เป็นอีกคราวนี้รู้สึกว่ามีมือมาลากจริงๆ (อันนี้เราก็คิดว่าวันนี้น้องคงดื่มไปเยอะ เลยรู้สึกเรื่อยเปื่อย) คราวนี้น้องเค้าเริ่มกลัวกับเหตุการณ์ เลยไม่กล้าดื่มแต่พอตกกลางคืน ก็โดนอีกคราวนี้โดนลากมาไกลมากน้องบอกว่าลากมาประมาณเกือบ 2 เมตรได้แล้วเค้ารู้สึกตัวด้วยว่าโดนลากเพราะตอนนั้นตื่นแล้ว และกลัวมากไม่กล้าลืมตา
น้องบอกว่าพี่ครับมานอนเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั๊ยครับ ผมกลัวมาก แล้วห้องนอนน้องเค้าก็อยู่ตรงข้ามกับที่เผาศพ แหมๆ ฟังทีแรกชวนไปนอน นี่ก็คิดแล้วนะ ดีนะที่น้องเค้ายังเด็ก แล้วตอนนั้นเรื่อง ตุ๊ดเรื่องเกย์ ยังไม่ได้ดังมาก แต่เราก็ กลัวๆอยู่นา ก็เอ้า เห็นว่ากลัวจริง แล้วเรามันก็นักปฏิบัติ ใจน่ะไม่ได้กลัวเรื่องพวกนี้เพราะในวัดร่ำเปิดนั้น ที่เรารู้มาก็มีแต่เทวดาทั้งนั้น ก็เอ้าไปนอนก็ไป ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
จำได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดก่อน 2543 แน่เลยเพราะเรายังไม่ได้เรียนปริญญาโท
พอจบปริญญาโท เราก็ได้มาสอนหนังสือ ก็ได้สอนเรื่องทางธรรมะ วิชาก็เป็นวิชาปฏิจาสมุปบาท ซึ่งบอกได้เลยว่าเรายังอ่าน จับทางไม่ค่อยได้ แต่เอาตามเนื้อหาก็สอนได้ แต่ถามภาพรวมก็ยัง ตอบไม่ได้เลย ตอนนั้นสอน นศ. ก็ให้ นศ.ขอแผ่น ธรรมะบรรยายทาง อินเตอร์เน็ท ไม่ได้โปรโมทช่วยเว็บไซน์ นะครับ แต่อยากให้ นศ. ได้รู้จักได้ฟัง แล้วให้สรุปเรื่องใน CD มา 1 เรื่อง
ช่วงนั้นก็ได้แผ่น CD จาก นศ. เยอะมากเพราะ แผ่นไหนที่น่าสนใจเราก็จะขอ copy มาฟัง เองเหมือนกัน
ก็เป็นอันว่ามีฟัง เยอะมาก และก็ฟังจริงๆเยอะมากทุกเย็น
แล้วเราก็ได้รู้จัก เว็บไซน์ //www.kanlayanatam.com/ ซึ่งแจกหนังสือ และ CD ดีมากๆ ตอนนั้นเราก็เริ่ม ได้รู้จัก หลวงปู่พุทธะอิสระ และเราก็อ่าน ฟัง ของท่านตลอด แล้วก็ พระธรรมธีรราชมหามุนี
(ท่านเจ้าคุณโชดก) ซึ่งเป็นอาจารย์ของ ดร สนอง ครับ ผมฟังทั้งหมด เลย( เค้าว่าความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดครับ คือฟังจน.... แต่ก็ไม่ก้าวหน้าอะไร มันก็เกิดคำถาม เพราะเราไม่เอาจริง หรือว่าเพราะอะไร ก็มีคำถามมาตลอดเวลา

แล้วก็ได้ขอหนังสือ ของ อจ.ศุภวรรณ กรีนย์ จำได้ว่าเรื่อง อวดอุตริฯ นี่แหล่ะครับ พอได้มาก็อ่าน ไม่กี่วันก็อ่านจนจบเพราะตื่นเต้นมากที่ได้อ่านครับ และได้รับรู้เรื่องราว แนวทางการปฏิบัติของท่าน และ พระครูเกษมธรรมทัต
ซึ่งท่านก็ได้สอน และมีหนังสือหลายเล่มที่เราได้อ่านครับ
ปี 2550 ก็ได้มารู้จัก //www.sati99.com/ ก็มีครูบาอาจารย์ด้านยุบหนอ พองหนอ เยอะมาก มีหนังสือแนวทางการปฏิบัติก็จะมี ธรรมบรรยาย อจ.มหาสีสยาดอ ,ธรรมบรรยาย หลวงพ่ออาสภะ ,ธรรมบรรยาย อู บัณฑิตาภิวังสะ และ ธรรมบรรยาย อจ.กุณฑลาภิวงศ์ ซึ่งเราก็ อ่านๆๆๆ แล้วก็จดจำแนวทางการปฏิบัติ
บอกได้เลยว่าก็สนใจอยู่แต่ แนวทางนี้
เราเคยได้ฟังของ พอ ปราโมทย์ ซึ่งทีแรกฟังเราไม่รู้เรื่องเลย ตอนนั้นก็น่าจะเป็นช่วงปี 2547 -2548 แล้วก็แนวการปฏิบัติของ พระป่า ทางอีสาน เราก็พยายามลองฟังดู ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร แต่ก็ฟัง เอาเพลินนะ แต่ไม่เข้าใจแนวทางเหล่านี้เลย พยายามฟังนะ อย่างน้อย ได้ฟังเสียงครูบาอาจารย์เราก็คิดว่า เป็นบุญเราแล้ว
ตอนนี้เรามาอยู่ กทม. เราก็ได้ไป บ้านอารีย์ ไปที่บ้านเรือนไทย แล้วก็ฟังบรรยาย ที่ใกล้ๆสถานีรถไฟฟ้าชิดลม ที่นี่ทำให้เราได้รู้จัก พระอาจาย์มานพ อุปสโม และ พระอาจารย์ อำนาจ โอภาโส (ได้ไปปฏิบัติที่วัดของท่าน เพราะได้เพื่อน ๆ กัลป์ยานมิตรที่ดีครับ รวมไปถึง ได้ไปงานของหลวงพ่อกล้วยด้วยครับ

ไว้มาเล่าต่อในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอีกทีครับ






 

Create Date : 02 มีนาคม 2552   
Last Update : 2 มีนาคม 2552 12:38:21 น.   
Counter : 669 Pageviews.  

1  2  3  4  

spacebrain
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เดินทางมาไกลแค่ไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ว่า
ตอนนี้ยังไม่ถึงเป้าหมายก็แล้วกัน

ตอนนี้ไม่มีคำว่าท้อ
มีแต่ เดินๆๆๆๆๆๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะถึง เนอะ
[Add spacebrain's blog to your web]