SOS--->Save yOur Soul...
 
การใช้งานและดูแลรักษาแบตเตอรี่ Lithium อย่างถูกต้อง

การใช้งานและดูแลรักษาแบตเตอรี่ Lithium อย่างถูกต้อง



ขอบคุณ //laptopcomputer.exteen.com/20081128/battery-lithium-notebook และ techxcite.com


การใช้งานและดูแลรักษาแบตเตอรี่ Lithium อย่างถูกต้อง


อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์สำหรับพกพา เช่น Notebook,
กล้องดิจิตอล และมือถือ ในปัจจุบันจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ lithium
แทบทั้งสิ้น ซึ่งแบตเตอรี่แบบ lithium นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย
น้ำหนักเบา และไม่ต้องดูแลรักษามากนัก
ซึ่งจะต่างจากแบตเตอรี่แบบชาร์ตไฟใหม่ได้ในสมัยก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
ทั้งในด้านวิธีใช้งาน และการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง





แบตเตอรี่แบบ lithium ที่พบเห็นบ่อยๆ ในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบบ คือ


1. lithium-ion หรือตัวย่อว่า Li-ion เป็นแบตเตอรี่ที่พบเห็นมากที่สุด ถือว่าเป็นแบตเตอรี่มาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในทุกวันนี้


2. lithium-ion polymer หรือตัวย่อว่า Li-Poly
เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Li-ion โดยจะมีความจุไฟฟ้ามากว่า Li-ion
ถึง 20% ในขนาดแบตเตอรี่ที่เท่ากัน
แบตเตอรี่แบบนี้มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีข้อจำกัดเรื่องรูปร่างของเบตเต
อรี่น้อยมาก จึงทำให้สามารถสร้างแบตเตอรี่แบบ Li-Poly
ให้มีขนาดเล็กและบางได้ รวมทั้งสามารถสร้างให้มีรูปทรงแปลกๆ
ที่ไม่ใช่ทรงกระบอกหรือทรงสี่เหลื่ยมเหมือนแบตเตอรี่แบบเดิมๆได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตของ Li-Poly ยังจัดว่ามีต้นทุนสูง
ดังนั้นความนิยมจึงยังมีไม่มากเท่าแบตเตอรี่แบบ Li-ion


ทีนี้ลองพลิกดูแบตเตอรี่ของคุณๆ ดูว่าใช่แบตเตอรี่แบบ
lithium กันรึเปล่า ถ้าใช่แล้ว เรามาไขข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแบตเตอรี่
lithium กันเลยดีกว่าครับ


1. ตารางเจ้าปัญหา ความจริงที่ถูกบิดเบือน




หลายๆคนอาจจะเคยเห็นตารางอย่างในรูปข้างบนมาแล้วใช่ไหมครับ
มีบทความหนึ่งนำตารางข้างบนนี้ไปอ้างอิง(บทความที่ชื่อ
"เทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กให้คุ้มค่า") แต่กลับบิดเบือนข้อเท็จจริง
โดยอ้างว่ากราฟที่เห็นเป็นกราฟ การชาร์ตไฟที่ % แบตเตอรี่ต่างๆกัน เช่น
ที่ 1C ก็อ้างไปว่าเป็นการชาร์ตไฟที่แบตเตอรี่เหลือไฟอยู่ 65-70%
ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือนและผิดชนิดที่ว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย


ต้นฉบับที่แท้จริงของตารางข้างบนมาจากเว็บ //www.batteryuniversity.com/parttwo-34.htm ครับ ซึ่งในเว็บ และบนหัวตารางก็ระบุไว้อย่างชัดเจนมันคือตาราง charge/discharge rateซึ่งคำว่า charge rate ไม่
ได้หมายความว่าใช้แบตไปหมดไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วค่อยชาร์ตไฟกลับคืนเป็น
100% แต่ charge rate
หมายถึงอัตราของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ชาร์ตแบตเตอรี่ในช่วงเวลา เช่น


ถ้าเรามีแบตเตอรี่ขนาด 10 Ah(ampere-hour)
แต่เราชาร์ตไฟด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 2 แอมแปร์(ampare)
ก็จะต้องใช้เวลาชาร์ตไฟเข้าไปในแบตเตอรี่ที่ว่างเปล่าจนไฟเต็มด้วยเวลา 5
ชั่วโมง อัตราการชาร์ตระดับนี้เราเรียกว่าอัตรา C/5 หรือ 0.2C

ส่วนอัตรา 1C ก็คือ ถ้าชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah ก็ต้องใช้แท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 10 แอมแปร์ก็จะชาร์ดไฟได้เสร็จใน 1 ชั่วโมง

เช่นเดียวกับอัตรา 2C ก็คือ ชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah ด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 20 แอมแปร์ก็จะชาร์ตไฟได้เสร็จใน 30 นาที


และคำว่า discharge rate ก็จะคล้ายๆกับ charge rate ครับแต่เป็นในทางกลับกันคือเป็นอัตราการใช้ไฟ


ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตารางข้างต้นแสดงถึงว่าถ้า
เราชาร์ตไฟด้วยกระแสไฟสูงในเวลาสั้นหรือใช้ไฟจากแบตในปริมาณมากในระยะเวลา
อันสั้น จะทำให้แบตเตอรี่แบบ lithium เสื่อมเร็วขึ้น (จำนวน cycle ลดลง)


ส่วนกรณีที่ยกมาอ้างว่า การชาร์ตไฟบ่อยๆหรือการ
ใช้ไฟจากแบตเตอรี่เพียงเล็กน้อยแล้วรีบชาร์ตกลับให้เต็ม 100%
เป็นการช่วยเพิ่มจำนวน cycle นั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

เพราะการเพิ่มลดของจำนวน cycle
ไม่เกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานว่าใช้มากใช้น้อยแล้วค่อยชาร์ตไฟ แต่จำนวน
cycle เกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องชาร์ตว่าชาร์ตเร็วหรือช้า
ถ้ายิ่งชาร์ตเร็วแบตฯก็จะเสี่ยมเร็ว
ถ้าเครื่องชาร์ตค่อยๆชาร์ตแบตก็จะเสื่อมช้า


2. นับจำนวน Cycle อย่างไร


จำนวน Cycle
คือตัวเลขที่บ่งบอกอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ว่าแบตฯจะเริ่มเสื่อมเมื่อผ่าน
การชาร์ตไปนานแค่ไหน ถ้าแปลตรงๆตัวคำว่า cycle ก็คือรอบ
คำว่ารอบไม่ได้เท่ากับคำว่าครั้ง ดังนั้นการชาร์ต 1 ครั้งจึงไม่เท่ากับ 1
cycle ซะทีเดียว


จำนวน 1 Cycle จะวัดจากปริมาณการชาร์ตไฟที่รวมๆแล้ว
เท่ากับปริมาณการชาร์ตไฟจากแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ(0%)
จนแบตเตอรี่มีไฟเต็ม(100%) 1 ครั้ง


เช่น ถ้าเราชาร์ตครั้งแรกจากแบตเตอรี่ 50%=>100% การชาร์ตครั้งนี้ก็จะนับเท่ากับ 0.5 cycle

หรือถ้าชาร์ตครั้งต่อมาอีก 80%=>100% เมื่อรวมกับครั้งแรกก็จะได้เท่ากับ 0.5+0.2 = 0.7 cycle


ตารางแสดงจำนวน Cycle Life (จำนวน Cycle ก่อนแบตจะเสื่อม) จาก //www.batteryuniversity.com/partone-3.htm

3. ชาร์ตอย่างไรถึงจะดี






หลายคนคงเคยได้ยินว่าต้องชาร์ตแบตเตอรี่ครั้งแรกเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงแล้วจึงจะเริ่มใช้งานได้
หรือว่าต้องหมั่นชาร์ตบ่อยๆ หรือไม่ก็ใช้ให้ไฟหมดก่อนแล้วค่อยชาร์ต ซึ่งข้อความทั้งหมดนี้ก็มีข้อจริงและเท็จปนๆกัน
อันที่จริงแล้วสำหรับแบตเตอรี่แบบ
Lithium (ย้ำว่าแบบ lithium
เท่านั้น) จะชาร์ตอย่างไรก็ได้ไม่มีผลต่ออายุการใช้งานครับ


ข้อมูลตรงนี้เป็นที่ยืนยันจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (ทั้งที่อ้างอิงไว้ข้างล่าง
และที่อื่นๆ) มีใจความตรงกันว่า การชาร์ตมากชาร์ตน้อย ชาร์ตนาน ชาร์ตถี่ ชาร์ตบ่อย
มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่น้อยมาก ส่วนข้อความข้างต้นที่ยกมานั้นเป็นคำแนะนำสำหรับแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆที่ไม่ใช่
lithium ครับ การที่แบตเตอรี่แบบ lithium จะเสื่อมจากการใช้งานนั้นมีอยู่ด้วยกัน
4 เงื่อนไข คือ


- เมื่อใช้งานจนถึงจำนวน Cycle ที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมเองตามปกติ


- เมื่อถึงเวลาที่แบตเตอรี่จะเสื่อมมันก็จะเรี่มเสื่อมเอง
โดยเวลาที่ว่าเป็นเวลาที่นับตั้งแต่การผลิต ไม่ใช่เวลาในการใช้งาน


- การชาร์ตไฟของตัวชาร์ต
(ดังที่กล่าวไปแล้วในข้อ
1)


- อุณหภูมิของแบตเตอรี่ ถ้าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงก็จะส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติได้


4. ได้ยินว่าชาร์ตไฟ 40% แบตจะอยู่ได้นานกว่าจรึงรึเปล่า

สำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium ถ้าชาร์ตไฟที่ 40%
แล้วเก็บเอาไว้โดยไม่ใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป
ตัวแบตจะเสื่อมน้อยกว่าการชาร์ตไฟที่
100% แล้วเก็บไว้นาน 1
ปีขึ้นไป แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ไม่ได้เก็บไว้นานเกิน 1 ปี หรือแบตเตอรี่ที่ใช้งานตามปกติ(ไม่ได้เก็บเข้ากรุ) อัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ไม่ว่าจะมีไฟที่
40% หรือ 100% นั้นแทบจะไม่ต่างกัน สรุปว่าข้อความข้างต้นเป็นจริงเฉพาะแบตเตอรี่
lithium ที่เก็บไว้นานๆโดยไม่ใช้งานครับ



5. แล้วเวลาใช้งาน Notebook เมื่อเสียบปลั๊กแล้วควรจะถอดแบตหรือไม่


คำตอบนี้ตอบได้ทั้งควร และไม่ควรครับ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานจะเลือกแบบไหน







1. เสียบปลั๊กแล้วแต่ไม่ถอดแบตเตอรี่

ข้อดี


o หากระบบไฟฟ้ามีปัญหา
ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงาน และงานที่ทำในเครื่อง
Notebookเปรียบเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้
USP อยู่




o ขั้วแบตเตอรี่จะไม่เกิดปัญหา
ฝุ่นผงหรือความชื้นไปเกาะ




o มีความสะดวก
สบายในการใช้งาน ไม่ต้องถอดๆใส่ๆ


ข้อเสีย


o แบตเตอรี่จะได้รับความร้อนจากตัวเครื่อง
ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติเล็กน้อย


2. เสียบปลั๊กแล้วถอดแบตเตอรี่


ข้อด


o แบตเตอรี่จะปลอดภัยต่อความร้อนที่มาจากตัวเครื่อง notebook


ข้อเสีย


o ขั้วแบตเตอรี่อาจเกิดฝุ่นผงหรือมีความขึ้นไปเกาะทำให้เกิดคราบออกไซด์
อาจส่งผลให้เกิดอาการเสียบแบตเตอรี่แล้วไฟไม่เข้าเครื่องได้




o หากระบบไฟมีปัญหา
เครื่อง
notebook จะดับ ทำให้งานในเครื่องเสียหาย และอาจทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครื่องเสียหายได้




โดยส่วนตัวผมจะแนะนำให้เสียบแบตฯทิ้งเอาไว้ครับ
เพราะข้อดีมีเยอะกว่าข้อเสีย และที่สำคัญคือ
ถึงแม้การเสียบแบตฯไว้อาจจะทำให้แบตฯเสื่อมจากความร้อนได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว Notebook
ทุกวันนี้ออกแบบมาให้ตรงส่วนที่เป็นแบตเตอรี่เป็นฉนวนความร้อนครับ
ดังนั้นความร้อนก็จะส่งไปถึงแบตเตอรี่ได้ไม่มากนัก
เรียกง่ายๆว่าถ้าเครื่องมันร้อนมาก คนใช้ Notebook
จะร้อนมือก่อนที่แบตจะร้อนเสียอีกด้วยซ้ำครับ




สรุปสุดท้ายด้วยคำแนะนำสั้นๆ สำหรับแบตเตอรี่ lithium ดังนี้ครับ


1. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดแล้วค่อยชาร์ตครับ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูง
(ใช้ไฟเยอะในเวลาอันสั้น) ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เช่น
กรณีที่ต้องการใช้งานเครื่องหนักๆ(กินแบตฯเยอะๆ)
ก็ควรใช้แค่ช่วงเวลาไม่นาน และไม่ควรใช้จนแบตหมดครับ
ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆให้หาโอกาสชาร์ตไฟเป็นระยะๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด
discharge rate ในอัตราที่สูงได้


และที่สำคัญที่สุดคือการชาร์ตบ่อยๆ จะช่วยป้องกันการลืมชาร์ตไฟ ซึ่งถ้าหากปล่อยให้แบต lithium ไฟหมดเป็นเวลานานแบตจะเสีย ไม่สามารถชาร์ตไฟได้อีก


2. ระลึกไว้เสมอว่าแบตฯแบบ  lithium ความร้อนมีผลต่อการเสื่อมมากกว่ารูปแบบการชาร์ตไฟครับ ดังนั้นพยายามดูแลอย่าให้แบตฯร้อน จะได้ผลดีกว่ามัวกังวลเรื่องชาร์ตบ่อย ชาร์ตมาก ชาร์ตน้อย


3. เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่เย็นๆ ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บ Notebook ไว้ในรถที่จอดตากแดด ก็ควรถอดแบตเตอรี่แยกติดตัวออกมาด้วยครับ จะช่วยให้แบตฯเสื่อมช้าลง


4. ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บแบตไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ได้ใช้งาน ให้ชาร์ตไฟไว้ที่ประมาณ 40% ของความจุ แล้วเก็บไว้ในที่เย็นๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้


5. ไม่ควรซื้อแบตเตอร์แบบ  lithium มาเก็บไว้เผื่อใช้งานครับ
เพราะแบตแบบ  lithium
มีอายุการเสื่อมสภาพนับจากวันผลิต(ไม่ใช่วันที่ใช้นะครับ)
ดังนั้นถ้าเก็บไว้นานโดยไม่ใช่มันก็จะเสื่อมไปเองได้ครับ
และเช่นเดียวกันกับการเลือกซื้อแบตแบบ  lithium
ไม่ควรซื้อแบตฯแบบเก่าเก็บครับ
เพราะซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานแบตฯมันจะเสื่อมตามอายุของมันเองครับ


อ้างอิง :


//www.batteryuniversity.com/parttwo-34.htm
//en.wikipedia.org/wiki/Lithium-ion_battery
//en.wikipedia.org/wiki/Lithium_ion_polymer_battery
//en.wikipedia.org/wiki/Trickle_charging
//www.daviddarling.info/encyclopedia/C/AE_charge_rate.html


ที่มา :
//technology.impaqmsn.com/article.asp?id=7945







Free TextEditor


Create Date : 14 มกราคม 2554
Last Update : 14 มกราคม 2554 19:31:47 น. 0 comments
Counter : 341 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

sos_num
 
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัดดีครับอยู่ในช่วงลองสร้าง ครับ
[Add sos_num's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com