Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องเล่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรื่องที่ ๒

นับจากครั้งแรกที่เจอ “เงาดำ” ในห้องตอนปี ๓ ต้นเทอม ๑ เวลาก็ผ่านเลยมาถึงปลายเทอม ๒ อย่างราบรื่น ไม่เจออะไรแปลกๆ ในห้องนั้นอีกเลย (หรือถ้าเจอ ก็ไม่ใช่เงาดำ และเล็กน้อยมากจนลืมไปแล้ว)

ปิดเทอมปี ๓ เป็นปีที่นักศึกษานิยมฝึกงานกัน ข้าพเจ้าเองก็อยากจะลองฝึกงานดูบ้างเหมือนกัน จึงสมัครฝึกงานที่บริษัททัวร์แห่งหนึ่งใน กทม. เพราะพี่สาวคนที่สี่ทำงานอยู่ กทม. จึงไปขอพักอยู่กับพี่สาวได้

ปลายเดือน ก.พ. หรือต้นเดือน มี.ค. ก็ไม่แน่ใจ พวกเพื่อนส่วนใหญ่สอบเสร็จกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ส่วนข้าพเจ้านั้น เนื่องจากวางแผนจะไปเรียนต่อที่ปักกิ่ง จึงยังอยู่ปรึกษาเรื่องเรียนต่อกับอาจารย์ที่เคยไปเรียนที่ปักกิ่งมาแล้ว

ปู อดีตเพื่อนร่วมห้องตอนปี ๒ ของข้าพเจ้าเองก็ยังไม่กลับบ้าน เพราะยังสอบไม่เสร็จ ตอนปลายปี ๒ ปูจับฉลากได้อยู่หอใน โดยได้อยู่หอพักหญิง ๗ พวกเราจึงได้แยกย้ายกันอยู่คนละที่ ข้าพเจ้าทราบว่าปูยังสอบไม่เสร็จ เย็นวันหนึ่ง จึงได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปชวนปูออกไปกินข้าวกันที่โต้รุ่ง

เหตุเกิดตอนขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปหาปูนี่เอง...

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย ๔ โมงครึ่ง ดวงอาทิตย์หน้าร้อนยังคงสว่างจ้า ข้าพเจ้าขี่รถเข้ามาในมหาวิทยาลัย แล้วเลี้ยวซ้าย ขี่ไปตามถนนคอนกรีตสองเลนที่ทอดตัวเลียบคลองเพื่อมุ่งหน้าสู่หอพักหญิง ระหว่างถนนกับคลองมีตลิ่งเล็กๆ ขวางอยู่ บนตลิ่งจะมีเสาไฟฟ้าปักเป็นระยะๆ

ถนนคอนกรีตทางสายนี้ เริ่มต้นจากปลายสนามหญ้าของหอพักชาย ๑ , ๒ ผ่านสามแยกเลี้ยวไปโรงอาหาร สามแยกเลี้ยวไปหอพักหญิง ๕ , ๘ ไปสุดที่หอพักหญิง ๖ , ๗ อาณาเขตของหอพักชาย จะมีแนวรั้วต้นสนเตี้ยๆ ล้อมรอบไว้โดยตลอด (ดูภาพประกอบ)





ขณะที่ขี่รถไปตามถนนคอนกรีต ก่อนจะถึงสามแยกเลี้ยวไปโรงอาหาร (มีชื่อเล่นว่า “สามแยกหัวขาด” เพราะเล่ากันว่าเคยมีป้อมยามอยู่ตรงนั้น แล้วยามถูกโจรฆ่าตัดคอ หลังจากนั้นวันดีคืนดีก็จะมี นศ.หอชายมองลงมาเห็นยามเดินถือหัวเตร็ดเตร่อยู่ตรงสามแยกนี้) ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าข้างหน้า ช่วงเกือบจะถึงสามแยก มีเส้นเอ็นสีเขียวที่เขาใช้เล่นว่าวขาดห้อยลงมาจากสายไฟ ปลายของเชือกเอ็นห้อยระประมาณกลางถนน

ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าอย่างไรตัวข้าพเจ้าก็ต้องโดนเชือกเส้นนั้นแน่ แต่แล้วจะทำไมล่ะ มันก็แค่เชือกเส้นหนึ่งเท่านั้น

ตอนขี่ผ่านเชือก มันทอดระผ่านหมวกกันน็อคของข้าพเจ้าไปอย่างช้าๆ





แล้วเมื่อข้าพเจ้าขี่ผ่านเชือกไปได้ราวๆ ๕ เมตร ขี่ผ่านสามแยกหัวขาดไปได้ประมาณ ๒ - ๓ เมตร อยู่ดีๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกราวกับรถไปชนเข้ากับเส้นลวดที่ขึงขวางถนนไว้อย่างกะทันหัน

มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ชนกับกำแพงหรืออะไร แต่รู้สึกว่าไปชนกับเส้นลวดที่ขึงดักไว้ตรงตะกร้ารถ ในตอนนั้นอุปาทานเหมือนได้ยินเสียงตะกร้าหน้ารถชนกับลวดด้วยซ้ำ!

แล้วรถข้าพเจ้าก็เสียหลัก ล้มลงโดยแรงทันที!

ตอนที่รถล้มนี่ ข้าพเจ้านิ่งมาก ไม่ตกใจเลย ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกำลังอยู่ในภาวะสโลโมชั่น จับความรู้สึกได้ทุกระยะ ทุกความเคลื่อนไหว

ขณะที่ล้ม ด้านข้างหมวกกันน็อคของข้าพเจ้าครูดไปกับพื้นถนนคอนกรีตโดยแรงจนข้าพเจ้านึกดีใจที่ตัวเองเป็นโรคบ้าหมวกกันน็อคดีๆ จึงซื้อหมวกกันน็อคแบบหนากว่าที่คนทั่วไปเขานิยมสวมมาใช้ และมันก็ได้แสดงคุณประโยชน์ออกมาในตอนนี้เอง

ข้าพเจ้านึกในใจว่ารถกำลังไถลแบบนี้ แรงเรารั้งไม่อยู่แน่ จึงรอให้มันหยุดไถลระหว่างที่เสียงหูหมวกกันน็อคเสียดสีกับพื้นคอนกรีต หูข้างซ้ายของข้าพเจ้าหนวกมาแต่กำเนิด แต่รถล้มนี้ล้มด้านขวา ดังนั้นจึงได้ยินเสียงเสียดสีนี้อย่างถนัดชัดเจน ขณะที่ฟังเสียงหมวกกันน็อคครูดพื้นคอนกรีต ข้าพเจ้าก็คิดในใจอีกว่า

...รู้แล้วว่าพวกซิ่งมอเตอร์ไซค์ที่โดนลวดที่ชาวบ้านขึงดักรู้สึกยังไง...





เมื่อรถหยุดไถล ข้าพเจ้าก็เลื่อนตัวออกมาจากรถ แล้วพยุงรถขึ้นมา ตั้งแสตนด์ ถอดหมวกกันน็อคออก จากนั้นหันไปมองเชือกเอ็นเส้นนั้น เพราะข้าพเจ้าคิดว่ามันอาจจะพันล้อ ทำให้รถล้ม

แต่มันก็ยังห้อยระถนนอยู่ที่เดิม และแกว่งไกวน้อยๆ ตามแรงลมพัด ข้าพเจ้าจึงหันมาสนใจรถเป็นลำดับต่อไป

รถข้าพเจ้าล้มและลื่นไถลมาอยู่ถนนเลนขวา ระยะทางที่ไถลนี้ยาวประมาณ ๕ เมตร เหล็กตรงไหนสักแห่งของรถครูดกับถนนคอนกรีตจนเห็นเป็นเส้นลึกชัดเจน

ข้าพเจ้าสำรวจรถ ตัวรถยังคงปกติดี เมื่อลองสตาร์ทดู ก็ยังสตาร์ทติด (สตาร์ทมือ) แต่กระจกซ้ายหักอย่างงดงาม คือเหลือแต่ลูกกลิ้งติดอยู่ ส่วนกระจกทั้งบานหายไปเลย กระเด็นหายไปไหนก็ไม่ทราบ มองไม่เห็นเลยในบริเวณพื้นที่กว้างโล่งนั่น สงสัยตกคลองไปแล้ว ส่วนกระจกขวาก็เบี้ยวผิดรูปไปเลย ต้องเปลี่ยนกระจกรถใหม่ทั้งสองอัน T T

ต่อไป หันดูหมวกกันน็อคใบเก่ง ตรงหูครอบตัวเลื่อนของกระบังตาและกระบังหน้าที่เดิมเห็นแค่สองวง คือกระบังครอบชั้นนอกสุด และแกนยึดพลาสติกที่ทำหน้าที่เป็นน็อตยึดตรงกลาง วงที่ครอบอยู่นอกสุดถลอกหายไป วงเลื่อนที่ยึดติดกับกระบังตาพลาสติกใส และยึดกระบังหน้า โผล่ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แถมหลุดออกมาห้อยรุ่งริ่ง กระบังบังตาเลยใช้การไม่ได้อีก เพราะปลายข้างหนึ่งเลื่อนลงมาอยู่ใต้ตา - -" สรุป...ต้องซื้อหมวกกันน็อคใหม่ T T (ดูภาพประกอบ)

มันน่าสยองมากๆ หากคิดถึงภาพในกรณีที่ตัวเราไม่สวมหมวกกันน็อค หูคงหาย และเนื้อส่วนนั้นคงถลอกจนเห็นกระดูกเป็นแถบกว้างไปเลย - -"





ทีนี้มาสำรวจตัวเอง โชคดีที่ข้าพเจ้าสวมกางเกงยีนส์ และใส่เสื้อแขนยาว หัวเข่าจึงเพียงแต่เสียดสีกับกางเกงจนถลอก ข้อศอกขวาก็เช่นกัน แค่เสียดสีกับเสื้อจนถลอกบวมแดง แต่เลือดไม่ออก เลือดไปออกนิดหน่อยตรงปลายหัวแม่เท้าขวา เพราะข้าพเจ้าสวมรองเท้าแตะ - -"

ตอนนั้นมีนศ.ชายผู้หนึ่งขี่จักรยานสวนมาพอดี ก็แวะถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า? มีอะไรให้ช่วยไหม?

ข้าพเจ้าส่ายหน้า และบอกขอบใจไป จากนั้นก็ขึ้นรถ สตาร์ท ขี่ต่อไปยังหอพัก ๗

เมื่อไปถึงหอ ๙ ข้าพเจ้าแวะล้างเลือดที่ออกแค่ไม่กี่หยดที่ห้องน้ำ แล้วค่อยขึ้นไปหาเพื่อน เล่าแค่ว่าจะมาชวนไปกินข้าวนอกมหาวิทยาลัยกัน แล้วพอดีรถล้ม เลยคงต้องแวะร้านขายยาทำแผลก่อน เพื่อนก็เลยเป็นคนขี่รถแทน แวะร้านขายยาซื้อแอลกอฮอล์ ผ้ากอส กับสำลี ทำแผนที่แขนใกล้ๆ ศอก ซึ่งแม้เลือดจะไม่ออก แต่มันก็ตกสะเก็ด กับหัวเข่าทั้งสองข้าง และหัวแม่เท้าขวา หลังจากนั้นพวกเราก็ไปกินข้าวกัน

ระหว่างกินข้าว ข้าพเจ้าเล่าให้เพื่อนฟังอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนจึงขอให้ข้าพเจ้าพาไปดูจุดที่รถล้ม เมื่อกินข้าวเสร็จ เพื่อนจึงขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังจุดที่ข้าพเจ้าบอก

ผลปรากฏว่า...รอยรถล้มยังอยู่ แต่เชือกเอ็นเส้นนั้นมันหายไปแล้ว - -"

ข้าพเจ้าตกใจมาก ถึงกับลงไปยืนดูตรงสายไฟบริเวณนั้น เดินหาอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่เห็นแม้แต่รอยปมเชือก ไม่มีร่องรอยใดที่แสดงให้เห็นเลยว่า ณ ที่นั้นเคยมีเชือกเอ็นเส้นหนึ่งอยู่...

ข้าพเจ้ายืนยันกับปูว่าเชือกมันอยู่ตรงนั้นจริงๆ ตอนที่ข้าพเจ้าผ่านมา

ปูเพียงแต่มองหน้าข้าพเจ้าแปลกๆ แล้วพูดว่า

“หลี เราว่าแกอย่าผ่านทางนี้สักระยะก็แล้วกัน”

เวลาที่ข้าพเจ้าและปูมาถึงจุดที่รถล้ม คือเวลา ๖ โมงครึ่ง แสงแดดยังคงสว่างมากพอที่จะมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน...

ทั้งข้าพเจ้าและปูต่างทราบดีว่า ตอนนี้ถือว่าอยู่ในช่วงปิดเทอม ภารโรงของมหาวิทยาลัยเราซึ่งปกติก็ไม่ได้ขยันอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีทางผ่านมาตรวจตรา แล้วลงทุนหาบันไดมาวาง เพื่อจะปีนขึ้นไปแก้เชือกออกจากสายไฟแรงสูงแน่

หาก นศ.ชายที่เห็นข้าพเจ้าล้มรถไปแจ้งภารโรงละก็ สิ่งที่ภารโรงจะทำ อย่างมากก็คงแค่หากรรไกรมาตัดเชือกเอ็นออกสูงในระดับชู เพื่อไม่ให้มันเกะกะใครอีกเท่านั้น ยังไงก็ไม่มีทางปีนขึ้นไปแก้ปมมันออกจากสายไปอย่างแน่นอน...

และเมื่อมาคิดดู ข้าพเจ้าอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองช่างโชคดีที่ลื่นไถลมาทางขวา เพราะหากลื่นไถลไปทางซ้าย มีหวังลงคลองอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดรู้ เพราะแม้ข้าพเจ้าจะว่ายน้ำเป็น แต่ว่ายไม่แข็ง และหมวกกันน็อคของข้าพเจ้าก็สวมอย่างแน่นหนามากเสียด้วย

หลังจากวันนั้น ข้าพเจ้าไม่กล้าผ่านเส้นทางสายนี้ไปหลายเดือนเลยทีเดียว...



Create Date : 15 กรกฎาคม 2548
Last Update : 19 ธันวาคม 2548 19:47:47 น. 12 comments
Counter : 962 Pageviews.

 
สยองแทน...
โชคดีที่ปลอดภัยนะคะ...

=)


โดย: hunjang วันที่: 15 กรกฎาคม 2548 เวลา:12:20:20 น.  

 
โอ้...ผู้อ่านรายแรก ยินดีต้อนรับค่ะ

หลังจากเจอเงาดำในห้อง พี่ชายก็ไปเช่าหลวงพ่อทวดองค์ขนาดข้อสุดท้ายของนิ้วก้อยมาให้คล้องคอ แต่ก้ยังมาเจอเรื่องล้มรถจนได้

หลังจากล้มรถไม่กี่เดือน ดิฉันเลยได้หลวดพ่อทวดองค์ใหม่จากพี่ชายอีกคน ซึ่งองค์ใหม่นี้กว้างและสูงกว่าองค์เดิมเท่าตัวค่ะ ^^"

พระห้อยคอองค์ใหม่ใหญ่จนตอนเห็นทีแรกนี่...สีหน้าประมาณนี้เลย


โดย: ซีเรีย (ซีเรีย ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2548 เวลา:14:04:07 น.  

 
กึ๋ย หน้ากลัวแฮะ
มองในแง่ดี เอ็นเขียวเส้นนั้นอาจจะแค่พาดอยู่กับสายไฟ
เวลามีรถคันอื่นผ่านมา มันก็อาจจะติดไปกับรถนั้นแล้วก็ได้

แต่ที่รู้สึกว่ามีลวดดักรถนะสิ...............


โดย: นู๋เองง่ะ วันที่: 15 กรกฎาคม 2548 เวลา:14:51:04 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณนู๋เองง่ะ ^__^

ก็อยากมองในแง่ดีหรอกค่ะ แต่ตอนนั้นมันปิดเทอมแล้ว หอพักงี้ ทั้งชั้นเหลืออยู่ 2 - 3 ห้อง ซึ่งก็ใช้จักรยานกันทั้งนั้น ขนาดตอนล้มรถ ก็มีจักรยานบังเอิญผ่านมาเจอคันเดียว -_-"

ส่วนลวดดักรถนั่น ซึ้งกับมันมาก....


โดย: ซีเรีย IP: 202.142.210.61 วันที่: 15 กรกฎาคม 2548 เวลา:16:58:37 น.  

 
น่ากลัวจริงๆ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 19 ธันวาคม 2548 เวลา:21:32:06 น.  

 
ขอบอกๆๆๆ มหาลัยนี้น่ากลัวมากกกกก เราเองก็เคยอยู่หอแปด ตอนปี '37 ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่นั่น 4 ปี
มีแต่เรื่องชวนขนหัวลุก หอพักในมหาลัยทั้ง 8 หอ คอนเฟิมว่ามีทุกหอ


โดย: อุ๋ม IP: 210.213.21.42 วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:15:46:42 น.  

 
อือม์...ปีที่พี่เข้าปี 1 นี่ หอ 8 เพิ่งสร้างเสร็จ แต่ก็มีคนเจอเหมือนกัน มีข่าวลือว่ามีคนงานก่อสร้างฆ่าตัวตาย หรือตกลงมาตายนี่แหละ ตอนที่ยังสร้างไม่เสร็จน่ะ แต่ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด

ส่วนหอ 6-7 ตอนที่พี่อยู่นี่ก็เฉยๆ นะ หอ 6 อาจแรงหน่อยเพราะเพื่อนพี่เพิ่งเสีย แต่หอ 7 นี่เงียบสงบไม่มีคนเจอเลยนะ ช่วง 4 ปีที่พี่เรียนน่ะ แต่หอ 5 นี่ยอมรับเลยว่าทั้งบรรยากาศและประวัติช่างน่าสยองเกศ


โดย: ซีเรีย (ซีเรีย ) วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:8:55:55 น.  

 
แล้วหลังมหาลัยที่ติดทะเลแต่เป็นดินโคลนหน่ะ หลังตึกวิทยาศาสตร์มั้งถ้าจำไม่ผิด มีคนบอกว่าใครไม่เคยเจอผี ถ้าไปที่นั่นรับรองได้ประสบการณ์สยองแน่ ตั้งแต่ปี1ยันเรียนจบก็ยังมิกล้าเดินไป


โดย: อุ๋ม IP: 210.213.21.42 วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:12:20:34 น.  

 
น่ากลัวมากเลยค่ะ


โดย: จิบิ IP: 58.9.24.193 วันที่: 19 มกราคม 2549 เวลา:16:40:28 น.  

 
เอ่อ...น้องอุ๋ม

ไอ้แถวเลโคลนตอนกลางคืนน่ะมัน....ที่จะเจอน่ะ ไม่ใช่ผีหรอก แต่เป็นคนนี่แหละ -_-'

ไม่ต้องไปน่ะดีแล้ว เดี๋ยวจะฝันร้าย


โดย: ซีเรีย IP: 202.142.214.59 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:22:00:47 น.  

 
มันและหน้ากลัวมากเลย


โดย: นัด IP: 203.172.186.52 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:41:15 น.  

 
ขนลุกเลยค่ะ


โดย: ผสมสารกันบูด IP: 116.68.155.242 วันที่: 2 มิถุนายน 2554 เวลา:11:36:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ซีเรีย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ซีเรีย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.