รำไทย : นาฏศิลป์ไทย ใช่จะไร้ในคุณค่า โดย ธรรมจักร พรหมพ้วย
Group Blog
 
All Blogs
 
พออยู่พอกิน : วิถีเศรษฐกิจไทยแบบพอเพียง


ธรรมจักร พรหมพ้วย

สังคมมนุษย์ในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับกระบวนการผลิต การซื้อขายแลกเปลี่ยน การเงิน การธนาคาร การคลัง ตลอดจนการกระจายทรัพย์สินและรายได้ในสังคม ซึ่งล้วนแต่เป็นวัฒนธรรมที่มนุษย์ในโลกทุนนิยมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนบางครั้งวัฒนธรรมที่โอนอ่อนผ่อนตามต่อสภาพเศรษฐกิจเหล่านี้ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตชาวไทยไปมาก จนภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่แสดงผลที่เกิดจากสภาพเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น มโนภาพเชิงปริมาณที่ทุกสิ่งต้องสามารถแสดงออกหรือวัดออกมาได้เป็นค่าตัวเลขที่แน่นอน เช่น ดัชนีชี้วัดการอยู่ดีกินดี ตัวเลขเกี่ยวกับปริมาณและมูลค่าของสินค้าที่ผลิต ตัวเลขสินค้าเข้า-ออก เป็นต้น วัฒนธรรมทางเศรษฐกิจจึงเป็นการคำนวณในเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณค่าของมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ตัดสินใจที่เผชิญความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนมากที่สุด ดังนั้นวัฒนธรรมที่ถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจจึงเป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านวัตถุของมนุษย์ในแง่การดิ้นรนทางวัตถุเพื่อดำรงอยู่ (Material Struggle for Existence)
จะเห็นได้ว่า ชีวิตที่แท้จริงแล้วหาได้ต้องดำเนินไปตามครรลองแห่งเศรษฐกิจไม่ ความคิดและความสนใจของคนเราบางครั้งก็มิได้มีเฉพาะเรื่องวัตถุหรือเศรษฐกิจเท่านั้น ค่านิยมที่มนุษย์ในโลกปัจจุบันต้องการที่จะได้เงินนั้น ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทุกคนต้องพยายามขวนขวายที่จะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน บางคนอาจพอใจที่จะมีชีวิตอย่างง่ายๆ มากกว่าที่จะยอมเหนื่อยทำงานหนักเพื่อความสำเร็จในชีวิต แนวคิดนี้ยังส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบท เห็นได้จากค่านิยมในปัจจุบันที่ประเมินความสามารถบุคคลจากระดับเงินเดือน หรือความมีฐานะมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เหล่านี้ทำให้สังคมมองข้ามคุณค่าและความสามารถที่แท้จริงของบุคคลนั้นๆ ผู้มีเงินทุนในมือจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทในสังคมและสามารถกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงสภาพวัฒนธรรมด้วย “น้ำเงิน” ได้
สังคมยุคใหม่มีการใช้เงินเพื่อเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนและตัวเงินนี้เองก็เป็น มาตรฐานแห่งค่าหรือมูลค่า ทำให้เกิดความสะดวกในการดำรงชีพในสังคม จนวัฒนธรรมไทยในปัจจุบันมุ่งเน้นที่ มาตรฐานของมูลค่า มากกว่า มาตรฐานของคุณค่า ไปเสียแล้ว เราอาจเคยเห็นชีวิตที่ผูกติดกับอัตราการขึ้นลงของหลักทรัพย์ หรือค่าเงินดอลล่าร์ โดยละเลยการค้นหาคุณค่าแห่งการดำรงอยู่อย่างสันติสุข ดังจะขออัญเชิญพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540 ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจของชนในชาติ ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าจะเหมาะกับวัฒนธรรมการดำรงอยู่ของชาวไทยได้ดีอีกทางหนึ่ง ดังนี้

“…ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมแห่งนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญที่เราพออยู่พอกิน และมีการเศรษฐกิจเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง
อันนี้เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่ให้ตัวเองสำหรับครอบครัว อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก
อย่างนี้นักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัย เศรษฐกิจที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเป็น เศรษฐกิจการค้า ไม่ใช้เศรษฐกิจความพอเพียง รู้สึกไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่า การผลิตที่พอเพียงทำได้…
…ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนให้กลับเป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ต้องทั้งหมด แม้ว่าจะไม่ถึงครึ่ง อาจจะเศษหนึ่งส่วนสี่ก็สามารถที่จะอยู่ได้ การแก้ไขจะต้องใช้เวลา ไม่ใช่ง่าย โดยมากคนก็ใจร้อนเพราะเดือดร้อน แต่ว่าถ้าทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก็สามารถที่จะแก้ไขได้..”

สภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังคงแขวนกับสภาพเศรษฐกิจโลก โดยลืมระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองและพอเพียง ลองเหลียวดูผู้คนรอบข้างตัวเราว่าเปลี่ยนแปลงไปเพื่อเศรษฐกิจแบบทุนนิยมบ้างหรือไม่ อาจเห็นว่าบางคนที่อยู่ในระบบนี้ต่างตั้งตาตั้งตาเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งเงินหรือผลประโยชน์อันแสดงศักยภาพของชีวิต ทำให้บางคนหลงลืมแม้กระทั่งครอบครัวหรือรอยยิ้มบนใบหน้าตนเอง คุณคงเคยเห็นภาพผู้ที่ตัดสินใจอำลาโลกทุนนิยมเสรีด้วยปืนเพียงกระบอกเดียว นั่นคงเป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมอย่างก้าวกระโดด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะหยุดเดินสักนิด และมองสภาพการณ์ที่แท้จริงอย่างที่ควรจะเป็นและเหมาะสมกับวัฒนธรรมของชนชาติไท หยุดที่จะทุ่มเถียงกันเพื่อที่จะแสดงว่าการพัฒนาประเทศด้วยความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวจะสามารถยกระดับชาติไทยให้เจริญเท่านานาอารยประเทศได้ หากเมื่อใดก็ตามที่คนไทยยังไม่รู้จักความเป็นไทเสียแล้ว การพัฒนาอย่างไม่ลืมหูลืมตาดูตนเองก็คงไม่ส่งผลดีต่อสังคมและวัฒนธรรมไทย



Create Date : 23 เมษายน 2550
Last Update : 23 เมษายน 2550 0:04:45 น. 9 comments
Counter : 484 Pageviews.

 
ขอบคุณๆๆๆๆๆๆๆๆๆม๊ากมาก


โดย: First_mayomwan IP: 203.130.159.3 วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:20:36:28 น.  

 
ขอบคุณมากครับมีงานส่งครูและ ^^"


โดย: ชัด เด็กวัง IP: 203.113.89.30 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:23:22 น.  

 
ขอบคุณที่ให้รายละเอียด


โดย: นานา IP: 117.47.78.250 วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:26:16 น.  

 
happy new year


โดย: suthep IP: 119.31.111.82 วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:16:17:05 น.  

 
ช่วยด้วยให้ตายเถอครับเศรฐกิจไทย


โดย: เท่ IP: 125.26.234.246 วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:10:05:42 น.  

 
ขอบคุณ


โดย: มอส IP: 118.173.208.24 วันที่: 28 มิถุนายน 2552 เวลา:15:18:56 น.  

 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him


โดย: da IP: 124.120.5.122 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:6:13:57 น.  

 


ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งคะขอชอบพระคุณอีกครั้งคะ


โดย: หญิง IP: 58.10.13.85 วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:10:11:42 น.  

 


ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งคะขอขอบพระคุณอีกครั้งคะ


โดย: หญิง IP: 58.10.13.85 วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:10:12:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จินตะหราวาตี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




สำนักละครอนุรักษ์นัจยากร
Friends' blogs
[Add จินตะหราวาตี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.