รวบรวมเนื้อหาธรรมะดีๆ รูปภาพสวยๆ

ขอเชิญตักบาตรพระ 2,000 รูป จ.ระยอง 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 6.00 น. ณ สวนศรีเมือง จ.ระยอง

ขอเชิญตักบาตรพระ 2,000 รูป จ.ระยอง น้อมถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันมาฆบูชา ช่วยเหลือคณะสงฆ์ภาคใต้ วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 6.00 น. ณ สวนศรีเมือง จ.ระยอง








//www.dmc.tv




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2554   
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2554 22:30:15 น.   
Counter : 651 Pageviews.  

เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ 7 ก้าวจริงหรือ? - หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

Q1: เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือคะ?
Q2: การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไรคะ?

คำ ถาม:กราบ นมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ปัจจุบันนี้หลายคนสงสัยว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือคะ?เราจะอธิบายให้เขาเชื่อได้อย่างไรคะ?

คำตอบ: เรื่อง พอประสูติแล้วเจ้าชายสิทธัตถะเดินได้ ๗ ก้าวนี่ อย่าว่าแต่คุณโยมเลย หรือเด็กในยุคนี้ เมื่ออาตมาเป็นเด็ก อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน แล้วก็สงสัยอยู่นานด้วย สงสัยจนกระทั่งอยู่มหาวิทยาลัยปีท้ายๆ แล้ว ความสงสัยในเรื่องนี้จึงได้คลายไป
ทำไมจึงสงสัยกัน เพราะที่เราสงสัยคือ เรื่องที่พระองค์ทรงประสูติแล้ว ทรง ดำเนินไปได้ ถ้าเปรียบกับทางโลก ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เกินปัญญาของ เราจะตรองตามทัน ไม่ได้หมายความว่าตรองไม่ได้ ตรองได้ แต่ว่าเราจะต้องมีพื้นฐานทางด้านความรู้ ทางด้านจิตใจของเราสูงพอ แล้วเราก็จะตรองตามทันได้

เหมือนคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ชั้นสูง ถ้าเอาวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระดับสูงๆ แล้วส่งให้เด็กชั้นประถม เด็กชั้นมัธยมไปคิดเขา ก็จะคิดไม่ได้ เพราะว่าพื้นฐานของเขาไม่พอ เรื่องที่ถามนี้มันอยู่ในลักษณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียก ว่า อจินไตย ซึ่งแปลว่า เป็นวิสัย เหนือวิสัยที่พวกเราทั่วๆ ไปจะตรองตามทันได้ เรื่องที่จัดว่าเป็นอจินไตยหรือว่าคนทั่วไปยากแก่การตรองตามนั้น มีอยู่ ๔ เรื่อง
๑. พุทธวิสัย หมายถึง เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้
๒. ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้ที่ได้สมาธิ(Meditation)ชั้น สูง จิตใจเขาผ่องใส แน่วแน่ มั่นคงกว่าคนทั่วไป ผ่องใสแน่วแน่มั่นคง จนกระทั่งเกิดอานุภาพ พิเศษๆ ขึ้นมา เช่น สามารถระลึกชาติได้อย่างนี้ มันเกินกว่าที่เราจะตรองตามทัน
๓. เรื่องวิบาก หรือว่าผลแห่งกรรม พอทราบว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เนื่องจากเรื่องของกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง มีความสลับซับซ้อนมาก เราได้แต่หลักใหญ่ๆ แต่เจาะลึกในเรื่องผลแห่งกรรม ที่มันเกิดต่อตัวเรา โดยรายละเอียดเราทำไม่ได้ เว้นแต่เราจะฝึกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนามามากพอ แบบนั้นได้
ปัญญา ของเรา ไม่สามารถแยกแยะออกให้ได้ชัดเจนมากนัก มันถูกจำกัด เพราะฉะนั้น พระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงให้หลักการคร่าวๆ เอาไว้ก่อนว่า วิบากกรรมหรือผลแห่งการทำกรรมเอาไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว มันมีผล แต่เจาะลงไปในรายละเอียดยังไม่ได้ สำหรับพวกเรา
๔. ความคิดเรื่องโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร ใคร เป็นคนสร้าง หรือ เกิดขึ้นมาเอง เกิดด้วยอาการอย่างไร อย่าเสียเวลาคิด ภูมิปัญญายังไม่พอ คิดได้สำหรับผู้ที่สามารถระลึก ชาติได้ ถอยหลังไปดูกันว่ามันเกิดมา อย่างนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าเรายังทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่าเพิ่งไปคิด

พอรู้หลักอจินไตย ว่าเป็นเรื่องเหมือนอย่างคำนวณในระดับสูงอย่างนั้แล้ว สำหรับพวกเรา ที่มีความรู้ในเรื่องธรรมะ เหมือแค่เด็กอนุบาล อย่าเพิ่งไปคิด

เพราะฉะนั้น รับฟังคร่าวๆ ไปก่อน ในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งยังเพิ่งประสูติใหม่ๆ ก็ทรงดำเนินไปได้ถึง ๗ ก้าวนั้น เอาหลักคร่าวๆ ก่อนว่า

๑. ก่อนที่พระองค์จะทรงมาบังเกิดในชาตินี้ ทรงสร้างกรรมดีอย่างยิ่งยวดมาก่อน ที่ภาษาพระใช้คำว่าสร้างบารมีมา บารมีคือ อะไร บารมี จริงๆ ก็คือบุญนั่น แหละ เมื่อคนเราทำความดีมากๆ ก็เกิดบุญ แต่ว่าบุญที่เกิดจากการเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้น เป็น บุญที่มีคุณภาพมากๆ ท่านเลยไม่เรียกว่าบุญ ท่านเรียกว่าบารมี

จากการที่พระองค์อบรมตัวพระองค์เองมาอย่างดี ด้วยบารมีอย่างที่ว่านั้นทำ ให้ได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ คือ อวัยวะทุกส่วนของพระองค์ได้สัดส่วนกันดีเหลือเกิน คือได้สมดุลย์ทุกอย่างเหตุนี้ตั้งแต่อยู่ในพระครรภ์พุทธมารดาจึงไม่เหมือน ใคร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะว่าเมื่อ พระองค์อยู่ในพระครรภ์ของพุทธมารดา ปรากฎว่าทรงนั่งสมาธิอยู่ในครรภ์ ไม่ได้ คดคู้อย่างพวกเรา นั่นคือลักษณะพิเศษอีกอย่าง ก็เป็นผลแห่งกรรมดี ที่ทำมาอย่างยิ่งยวด

๒. ทรงอยู่ในพระครรภ์ถึง ๑๐ เดือนเต็มไม่ขาดไม่เกินทรงหล่อหลอมร่างกายของพระองค์มาอย่างดี

๓. ลักษณะของพระองค์ทุกสัดส่วน พอเหมาะพอดีสมดุลย์อย่างที่ว่า

๔. พุทธมารดาท่านมีสุขภาพดีมาก ยิ่ง ไปกว่านั้นในขณะที่ทรงอุ้มครรภ์อยู่ พุทธมารดาท่านรักษาศีลบริสุทธิ์และนั่งสมาธิด้วย ใจก็เป็นบุญกุศล ทำบุญตลอดเลยพูดง่ายๆพระองค์ทรงอยู่ในครรภ์ของพุทธมารดา เหมือนพระอรหันต์นั่งเข้านิโรธสมาบัติ อะไรอย่างนั้น อยู่สบายมากไม่ต้องคุดคู้เหมือนคนทั้งหลาย

เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะต้องทรงคลอด ความที่ตอนอยู่ในครรภ์ก็นั่ง สมาธิ มีสติสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาทรงคลอด ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปจะเอาศีรษะออก แต่พระองค์ทรงมีพระบาททั้ง ๒ ข้างออกก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทรงตัวได้ง่ายตั้งแต่คลอด พอทรงประสูติปุ๊บ เท้าแตะพื้น ยืนปั๊บ อาศัยกำลังบุญบารมี ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาดี ยืน ทรงสติสัมปชัญญะ ได้รัดกุมครบถ้วนแล้วก็ก้าวย่างพระบาทไปได้

ตรงนี้ต้องบอกว่าแรงกรรมดี หรือแรงบารมีของพระองค์ที่ทรงสั่งสมมา ตรองตรงนี้บางทีอาจจะยาก เพราะนี่เป็นเรื่องของแรงกรรม เราคุ้นแต่แรงกรรมฝ่ายลบ เราไม่คุ้นต่อแรง กรรมฝ่ายบวก จะชี้ให้ดูแรงกรรมฝ่ายลบ เป็นอย่างไร ปลา พอเกิดขึ้นมา มันก็ว่ายน้ำได้ คน นั้นว่ายไม่ได้ มันเป็นแรงกรรมของปลา แต่พวกสัตว์ เช่น ปลา นก พวกนี้เป็นแรงกรรมฝ่ายลบ ที่ทำกันมาอย่างหนัก ก็เป็นอย่างนั้น

ส่วนพระองค์ มีแรงกรรมฝ่ายบวกที่เรียกว่าบารมี ทรงสั่งสมมาดี เมื่อถึงเวลาแรงกรรมฝ่ายบวกส่งเสริมเข้า ก็เลยทำให้พระองค์ พอทรงประสูติปุ๊บ ก็ย่างก้าวพระ บาทได้ปั๊บ

ตรงนี้ฝากไว้นิดเดียว เป็นเรื่องคร่าวๆ ที่จะเตือนใจให้เราว่าเวลา จะคิดเรื่องอะไร มนุษย์ทั่วไปเขาจะเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง และอะไรที่ต่างจากที่เขาคิดว่าเป็น ไปไม่ได้นั้นเพราะเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง แต่อย่าลืมว่าพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง หลาย ท่านสร้างกรรมมาไม่เหมือนกับเรา เพราะฉะนั้นมันเป็นวิสัยของท่านที่เรียกว่าพุทธวิสัย อย่างที่ว่า มาแล้ว ตั้งแต่ต้น ขอให้รับฟังเอาไว้ อย่าเชื่อและอย่าปฏิเสธ แต่ลงมือฝึกสมาธิ เยอะๆ เมื่อไหร่ใจใส ใจนิ่ง ใจสว่างพอ เรื่องที่หลวงพ่อตอบมาทั้งหมด ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจเดี๋ยวจะอธิบายให้ชาวโลกฟังได้ดีกว่าหลวงพ่ออีก ตั้งใจฝึกสมาธิกันไป อีกหน่อยก็เข้าใจได้เองไม่ยากสำหรับเรื่องนี้

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ มีคนสงสัยว่า การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไรคะ ?

คำ ตอบ: ต่างกันอย่างยิ่งเลย การสร้างบารมีต่างกันอย่างยิ่งกับการฆ่าตัวตาย ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจคำว่าสร้างบารมีก่อน คำว่าบารมีมีความหมายอยู่ ๒ อย่าง

อย่างที่ ๑. บารมีคือบุญ เวลาเราทำความดีต่างๆ ก็เกิดบุญ บุญนี้เมื่อเกิดแล้วก็เก็บอยู่ในใจ เหมือนไฟฟ้า เมื่อเกิดแล้วเราก็เก็บ ชาร์จเอาไว้ในแบตเตอรี่ได้ นอกจากเก็บ เอาไว้ในใจแล้ว บุญยังสามารถกลั่นใจให้ใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชรได้อีกด้วย

บุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็มีคุณภาพต่างๆ กัน ถ้าตั้งใจทำบุญแบบธรรมดาๆ ก็ได้ บุญคุณภาพอย่างหนึ่ง แต่ถ้าตั้งใจทำบุญประเภทเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำบุญ ก็ได้บุญที่มีคุณภาพ พิเศษขึ้นมาอีก บุญที่มีคุณภาพพิเศษๆ อันเกิดจากเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการ ทำอันนี้ ท่านเรียกว่าสร้างบารมี เรียกว่าบารมีก็ได้
อย่างที่ ๒. หมายถึงนิสัยดีๆ ของเรา เช่น เมื่อ เราทำความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นประจำครั้งแล้วครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ในที่สุดก็เกิดเป็นนิสัยดีๆของเราขึ้นมา คือนิสัยชอบเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญสร้างความดี สรุปสั้นๆ การสร้างบารมีนั้นมี ๒ อย่างคือ
๑. สร้างบุญที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมให้เกิดขึ้นในใจ
๒. เป็นการสร้างนิสัยดีๆ ขึ้นมา

ถ้าคนไหนสร้างบารมีอย่างที่ว่ามานี้ ใจของเขาที่ผ่องใสเป็นปกติแล้ว ฉลาดอย่างที่ว่านี้ ยังมีสติสัมปชัญญะควบคุมเอาไว้อย่างดีอีกด้วย จึงไม่ เผลอไปคิด พูด ทำ ในสิ่งไม่ดี นี้เป็นหลักของการสร้างบารมี

ถ้าเจาะลึกลงไปอีก ถามว่าทำไมคนเราจึงต้องมาสร้างบารมีอีก พระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้อง ทรงสร้างบารมีทั้งนั้นเลย สร้างไปทำไม? บารมีนี่ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน สร้าง บุญสร้างความดีกันนี่ สร้างทำไม ย่อๆ สั้นๆ ในใจของคนเรานั้น ตั้งแต่วันที่เกิดมาแล้ว มันมีสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ ทำนองเดียวกับเชื้อโรคที่อยู่ในกายของเรา ทันทีที่เราคลอดจากมารดาร่างกายเราก็มีเชื้อมีโรคบางอย่างติดมาแล้วที่ร่าง กายนั้น จึงต้องมาฉีด วัคซีนต่างๆ ป้องกันเอาไว้

แต่สิ่งที่เราไม่เห็นก็คือ ในใจก็มีเชื้อร้ายอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง เรียกเชื้อร้ายที่เพาะมาปลูกฝังอยู่ในใจนั้นว่า กิเลส มันคอยกัดกร่อนบ่อน ทำลายให้ใจของเรา นอกจากอ่อนล้าลงไปแล้วยังไม่พอ มันยังบีบคั้นให้ใจของเราคิดร้ายๆ อีก ด้วย คิดโลภ โกรธ หลง อิจฉาตาร้อนสารพัดแล้วจะทำอย่างไร? จะยอมมันหรือ? ถ้ายอมมัน ก็เกิดเป็นกรรมร้ายๆ ที่เราต้องไปทำต่อไปแล้วเราก็ต้องเดือดร้อนเพราะกรรมร้ายที่เราทำ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฉลาดมีปัญญาเขามองว่า ต้องสร้างภูมิคุ้มกันต่อการบีบคั้นของกิเลสขึ้นมาให้ได้ เหมือนเวลาเราฉีดวัคซีนลงไป วัคซีนนั้นฆ่าเชื้อโรคได้ฉันใด ถ้าเราสร้างภูมิคุ้มกันให้กับใจเราด้วยการสร้างบารมีลงไป เมื่อบารมีแก่กล้าเข้า ก็ฆ่ากิเลสที่อยู่ในใจได้ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น การสร้างบารมี จึงเป็นเรื่องของคนที่มีใจผ่องใสเป็นปกติ มีความฉลาดเฉลียวเป็นปกติ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์เป็นปกติไม่ใช่เรื่องของความ เผลอไผล เมื่อเป็นอย่างนี้จึงต่างกับการฆ่าตัวตายของมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ที่ฆ่าตัว ตายนั้น มันเกิดด้วยความขาดสติมากกว่า พอขาดสติ มนุษย์จึงได้ฆ่าตัวตาย ตอนขาดสตินั้นใจมืด ตื้อยิ่งกว่าเข้าถ้ำ ยิ่งกว่าเอาใจไปจุ่มใน Indian ink เสียอีก ใจมันขุ่นคลั่กยิ่งกว่าโคลน เพราะฉะนั้น มันเต็มไปด้วยความโง่ จึงไม่เห็นคุณค่าของร่างกาย ที่ประกอบด้วย เลือด เนื้อของมนุษย์ว่าร่างกาย นี้กว่าจะได้มานั้นยากมาก สร้างบุญมาไม่รู้กี่โกฏิกี่กัป กว่าจะได้ร่างกายมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเหมาะที่สุดในการทำความดีทุกรูปแบบ

แต่เมื่อได้มาแล้ว แทนที่จะเอาไปทำความดี กลับอาศัยความน้อยอกน้อยใจ ความอึดอัดขัดข้องบ้าง ซึ่งเรื่องเหล่านั้นมันแก้ได้ มีทางแก้ไขทั้งนั้น แต่ว่าเอาแต่ใจตัว ขาดสติอย่างยิ่ง ก็เลยฆ่าตัวตายด้วยอำนาจแห่งความขุ่นมัว หรือความมืดบอดของใจ อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นก็ฝากกับทุกๆคนไว้ มองภาพให้ชัดว่า การฆ่าตัวตายนั้น เป็นเรื่อง ของคนที่ขาดสติสัมปชัญญะ เข้าข่ายบ้าด้วยซ้ำ ไม่เห็นคุณค่าของร่างกายมนุษย์ ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต แต่นักสร้างบารมียอมตายกันทีเดียว ถ้าจะสร้างความดีกันอย่างยิ่งยวด ยอมตายเลย ถ้าตายตอนนั้น ตายก็ใจใส มันต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้ตั้งใจสร้างบารมีกันทุกคนเลย ยิ่งสร้างบารมีได้มากเท่าไหร่ ใจก็ผ่องใส เป็นเรื่องของ ฝ่ายขาวมากขึ้นเท่านั้น การฆ่าตัวตายก็เป็นเรื่องของฝ่ายดำเขา

อยากจะให้ทุกคนได้ศึกษา บารมีทั้ง ๑๐ ทัศ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงสร้างไว้ด้วย ตั้งแต่

๑. ทานบารมี ตั้งใจให้ทานกันแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อป้องกันแก้ไข ไม่ให้ใจของเรา ย้อนกลับไปโลภ ไปอยากได้ของใคร มีแต่จะให้ ไม่มีกอบโกยเข้ามา

๒. รักษาศีลบารมีของเราให้ดี สร้างศีลบารมีของเราให้ดี เพื่อกำจัดความ โกรธที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา

๓. สร้างเนกขัมมบารมี คือสละเรื่องเพศเรื่องกาม ตัดออกจากใจเสียให้ได้ แล้วจะได้ไม่ต้องไป เลี้ยงลูก เลี้ยงสามี เลี้ยงภรรยากับใครเขาอีก เหมือนหลวงพ่ออย่างนี้ เนกขัมมบารมีมาบวช สบายจริงๆ

๔. สร้างปัญญาบารมีของเราเยอะๆ ศึกษาธรรมะเยอะๆ แล้วมันก็เป็นความ ฉลาดติดตัวข้ามชาติไป

๕. วิริยะบารมี คือถอยไม่เป็น สิ่งใดที่เป็นความดี รู้แล้วเดินหน้าสร้างความดี นั้นเรื่อยไป นี่ยกเป็นตัวอย่าง

ส่วนขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี บารมีทั้ง ๑๐ เหล่านี้ไปศึกษาในเรื่องทศชาติให้ดี มีตำราให้ศึกษาอยู่แล้ว ศึกษาค้นคว้า ให้ดี แล้วชาตินี้อย่าโง่ฆ่าตัวตายกับเขานะ มันโง่ข้ามชาติเลย น่าเสียดาย ฝากไว้ด้วย




 

Create Date : 07 มกราคม 2554   
Last Update : 7 มกราคม 2554 21:48:06 น.   
Counter : 552 Pageviews.  

คาถาหัวใจเศรษฐี-หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

Q1: คนที่ท่องหัวใจเศรษฐีคือ“อุอากะสะ”เพราะเชื่อว่าจะทำให้รวยได้ คาถานี้จะช่วยคนเราเป็นเศรษฐีได้จริงหรือไม่?
Q2: ถ้าเราอยากเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติ จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดบ้าง?
Q3: มีหลักธรรมข้อใดบ้าง ที่จะทำให้ครอบครัวและวงศ์ตระกูลตั้งอยู่ได้นานอย่างมั่นคง?

คำถาม: หลวง พ่อเจ้าคะ เคยเห็นคนท่องหัวใจเศรษฐีคือ “อุ อา กะ สะ” เพราะเชื่อว่าจะทำให้รวยได้ อยากกราบเรียนถามว่า คาถานี้จะช่วยคนเราเป็นเศรษฐีได้จริงหรือไม่เจ้าคะ

คำตอบ: คาถา นี้หรือคาถาไหนก็ตาม หากไม่ทำตามอย่างจริงจัง คือไม่ทำความเข้าใจ และทำตามอย่างจริงจังแล้ว คาถานี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน แม้ทำตามคาถาอย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ยังมีข้อแม้อีกคือ

๑. หากมีความขยันทุ่มเทไปเท่าไหร่ก็ตาม นั่นเป็นเพียงความเพียร พยายามในปัจจุบันเท่านั้น แต่มีอีกองค์ประกอบหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ไม่รู้คือ บุญเก่า ที่มีติดตัวข้ามชาติมา ถ้าความเพียรในปัจจุบันมีมากพอ แต่ว่าบุญเก่าไม่พอ คือทุนเก่ามันน้อยไป บางทีติดลบข้ามชาติมาเสียอีก ในกรณีนี้ให้ทำความเพียรทุ่มเททำตามคาถาเข้าไป ผลที่ได้จะไม่ได้เท่าที่หวัง

ในทางตรงกันข้าม พวกหนึ่งทุ่มเทความเพียรลงไป แล้วก็มีบุญเก่าด้วย พวกนี้อย่างไรก็ประสบความสำเร็จ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความสำเร็จตามคาถานั้น

แต่มีพวกหนึ่ง ไม่ค่อยจะมีความเพียร แต่ว่าบุญเก่าของเขามันดี ทำอะไรไม่ค่อยมากแต่ก็สำเร็จเพราะบุญเก่ามาส่ง พูดง่ายๆ คือไม่เก่งแต่ว่า “เฮง”

แต่ที่เราอยากได้จริงๆ เลย คือทั้งเก่งทั้งเฮง คือความเพียรก็มาก บุญเก่าก็เยอะ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำอะไรนอกจากสำเร็จหมดแล้ว ยังเอาความสำเร็จไปต่อให้เกิดความสำเร็จใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้อีกมากเลย ตรงนี้เป็นหลัก

คาถา “อุ อา กะ สะ” นั้นย่อมาจากภาษาบาลี ๔ คำด้วยกัน ถ้าแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ หัวใจเศรษฐี ๔ ข้อก็คือ
๑. หาเป็น ถ้าหาไม่เป็น สมบัติมันจะไม่มาให้เป็นเศรษฐีได้
๒. เก็บรักษาเป็น
๓. เลือกคบแต่คนดี เอามาเป็นที่ปรึกษา มาเป็นรั้วบ้านได้
๔. ใช้เป็น

คำว่าหาเป็น ในที่นี้หมายถึง ประกอบอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะ คืออาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรม แล้วก็ขยันด้วย ฉลาดด้วย อย่างนี้คือหาเป็น

ประการที่ ๒. เมื่อได้มาแล้ว เก็บรักษาเป็นด้วย ถ้าได้แล้วไม่เก็บให้ดี ก็ไม่ต่างกับเอาชะลอมตักน้ำแล้วก็ไม่ได้อะไร

ประการที่ ๓. เลือกคบแต่คนดี ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องหัวใจเศรษฐี แต่จริงๆ แล้วเกี่ยวกันมากเลย เลือกคบคนดีเข้าไว้ เราจะได้คนดี เพื่อนดี มาเป็นที่ปรึกษา มาเป็นรั้วบ้านให้ รั้วอะไรไม่สู้เท่ากับรั้วคน แต่รั้วเดินได้แบบนี้วิเศษนัก ถ้าเป็นรั้วของคนดี

ยิ่งกว่านั้น วันหนึ่งนอกจากเป็นที่ปรึกษา มาเป็นรั้วบ้านให้แล้ว ยังอาจมาเป็นผู้ร่วมงาน กลายเป็นเครือข่ายคนดีเกิดขึ้นในสังคมอีกด้วย มันทำให้ในระหว่างที่ทำมาหากินอยู่นั้น มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย มีเพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นด้วย แล้วเราก็สามารถจะซึมซับเอาความดีจากคนเหล่านั้นมาไว้ในตัวได้อีกด้วย ก็เลยกลายเป็นว่า เรามีทั้งอริยทรัพย์กับโลกียทรัพย์ คือทรัพย์ทางธรรมกับทรัพย์ทางโลก เกิดขึ้นพร้อมๆ กันด้วย ตรงนี้สำคัญ

จากนั้นจึงใช้เป็น คือไม่ใช้ในทางผิดศีลธรรมนั่นเอง เมื่อหาเป็นก็เก็บเป็น สร้างเครือข่ายคนดีก็เป็น แล้วยังใช้เป็นอีกด้วย แน่นอนมันน่ารวย เพราะความรวยของมนุษย์มีองค์ประกอบ ๒ อย่างคือ
๑. ความเพียร
๒. บุญเก่าหนุน

สี่ข้อในหัวใจเศรษฐีที่ว่านั้น เป็นเรื่องของความเพียรในปัจจุบัน ยังไม่ได้พูดถึงบุญเก่า เพราะฉะนั้นเมื่อเพียรไปถึง ๔ ประการที่ว่านี้ ทำครบเครื่องดีแล้ว แน่นอนถ้ามีบุญเก่าอยู่ด้วย ต้องรวยแน่ๆ แต่ว่าถ้าบุญเก่ามันน้อยไปหน่อย มันไม่รวยหรอก แต่ถึงไม่รวยก็ตั้งตัวได้ มีกินมีใช้ ไม่ต้องไปแบมือขอใครให้เป็นภัยเป็นปัญหาของสังคม แม้เท่านี้ก็ถือว่า คาถา ๔ คำนี้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ แล้วถ้าเราอยากจะเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติ จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดเจ้าคะ

คำตอบ: เราต้องทำความเข้าใจในประเด็นนี้ก่อน คือ

ประเด็นที่ ๑ บางคนรวยแล้วตั้งแต่ชาตินี้ แล้วเขาก็หวังว่าเขาจะรวยอีกในชาติต่อไปอีกด้วย นี่กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง ชาตินี้จนเหลือเกิน ก็ให้มันจนแค่ชาตินี้ อย่าจนข้ามชาติเลย ขอไปรวยชาติหน้า มี ๒ ประเด็นด้วยกัน
๑. รวยอยู่แล้ว ทำอย่างไรจะรวยต่อ
๒. ยังไม่รวย แต่ขอไปรวยเอาข้างหน้า

สรุปคือ ต้องการจะไปรวยด้วยกันทั้งนั้น ข้างหน้าก็มีหลักง่ายๆ ว่าถ้าจะเป็นเศรษฐีไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน
๑. ต้องมีความเพียร มีความทุ่มเท ที่จะทำงานนั้นอย่างจริงจัง
๒. ต้องมีบุญเก่าติดตัวไปด้วย มีเสบียงติดตัวไปด้วย

จะทำอย่างไร ในเมื่อชาตินี้เรารวยแล้ว และจะไปรวยชาติหน้าต่อ ก็แสดงว่าเรามี ๒ อย่างแล้วก็คือ
๑. มีนิสัยขยัน จึงมาทุ่มเททำงาน
๒. มีบุญเก่าเมื่อชาติที่แล้วก่อนเกิดติดตัวมาถึงชาตินี้ แต่เราไม่รู้ว่าบุญเก่าหมดหรือยัง

พวกที่ตอนนี้ก็จนอยู่ รู้แล้วชาติที่แล้วบุญไม่ค่อยสร้าง บุญเก่าจึงไม่มีติดตัว พอรู้อย่างนี้ก็ใช้หลักการเดียวกัน ไม่ว่าชาตินี้จะรวยหรือไม่รวย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มสร้างบุญใหม่ก็แล้วกัน เพื่อว่าบุญใหม่ชาตินี้จะได้เป็นบุญเก่าของเราชาติหน้า วิธีสร้างบุญตั้งแต่ชาตินี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักไว้ ๔ ข้อด้วยกัน คือ

ข้อแรก ตั้งใจศึกษาทำความเข้าใจให้ดี ในเรื่องกฎแห่งกรรม ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเรื่องความดี ความชั่ว เรื่องบุญบาป เรื่องผิด ถูก เรื่องควรไม่ควรได้ชัดเจนตั้งแต่ชาตินี้ จะส่งผลให้เรารู้ว่า พอเกิดชาติหน้าเมื่อรู้ความจะมีใจที่ฉลาดในเรื่องบุญบาปติดไปเลย พอเกิดมาก็เข้าใจแล้วเรื่องบุญบาป เรื่องกรรม จึงมีศรัทธาใน เรื่องกฎแห่งกรรม มีความศรัทธาที่จะละชั่ว ทำดี มีใจศรัทธาที่จะเลิกทำบาป มุ่งแต่จะทำบุญ ทุ่มเททำความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม จะทำให้เราได้บุญใหม่ ตั้งแต่ชาตินี้เป็นประการที่ ๑.

ประการที่ ๒. ตั้งใจรักษาศีลให้ดี คือดีขนาดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อเรารักษาศีลแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน บุญที่จะส่งผลข้างหน้า ตั้งแต่ชาตินี้ บุคลิกของคนไม่ก่อเวร บุญนั้นมหาศาลนัก เกิดใหม่ก็ได้ร่างกายที่แข็งแรง บุคลิกดี ได้รูปสมบัติตั้งแต่วันเกิดเลย มันเป็นสมบัติขึ้นมา

๓. ตั้งใจทำทาน บริจาคทาน ของเราไปไม่ยั้งมือ ความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพมีเท่าไหร่ เราก็ทำของเราเต็มที่ เหลือกินเหลือใช้ หรือแม้ไม่เหลือ ก็เตรียมแบ่งเป็นงบเอาไว้ งบนี้จะทำทาน ทำมันไปเพื่อกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียวของเรา กำจัดความใจแคบของเรา แล้วไปทำให้เราใจกว้างเป็นทะเลเลย เมื่อใจกว้างเพราะอำนาจแห่งความตั้งใจทำทานอย่างนี้แล้ว เกิดชาตินี้ ชาติไหนก็ใจกว้าง เพราะเราทำของเราอย่างนี้ ชาติหน้าเกิดขึ้นมา ใจใหญ่ยิ่งกว่าทะเล เมื่อใจใหญ่กว่าทะเล ทรัพย์สมบัติทั้งแผ่นดินก็เตรียมจะไหลลงทะเลใจของเรา

ประการที่ ๔. หมั่นไปวัดบ่อยๆ ความรู้ในเทคโนโลยี ทางด้านวัตถุมีมากล้นอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มมันอีก ไปเพิ่มพูนเทคโนโลยีทางด้านจิตใจ จากศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไปฟังเทศน์ นั่งสมาธิ(Meditation) เป็นการเพิ่มพูนปัญญา เป็นการกลั่นกายใจให้ใสตั้งแต่ชาตินี้ เมื่อใจใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชร ตั้งแต่ชาตินี้ เกิดชาติต่อไปในเบื้องหน้า ใจก็สว่างขึ้นมาเลย ไม่มีอะไรมาบังปัญญาเราได้ เพราะฉะนั้น ๒ ข้างทางที่เดินผ่านไป มันเห็นช่องทางที่จะเปลี่ยน ไม่ว่าสิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เราพบ ๒ ข้างทาง สามารถเปลี่ยนมันเป็นสมบัติได้หมด เพราะฉะนั้นถ้าจะให้รวยเป็นเศรษฐีข้ามชาตินั้นมี ๔ ข้อนี้

๑. ศึกษากฎแห่งกรรมให้เชี่ยวชาญ
๒. ตั้งใจรักษาศีล
๓. ตั้งใจทำทาน
๔. นั่งภาวนาให้ใจใสๆ เป็นแก้ว เป็นเพชร

รวยด้วยอริยทรัพย์ตั้งแต่ชาตินี้ติดตัวไป ชาติต่อไปทั้งอริยทรัพย์ ทั้งโลกียทรัพย์เป็นของเราแน่นอน

คำถาม: หลวง พ่อเจ้าคะ อยากกราบเรียนถามว่าจะมีหลักธรรมข้อใดบ้าง ที่จะทำให้ครอบครัวและตระกูลตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ไปตราบชั่วลูกชั่วหลานเจ้าคะ


คำตอบ: คำถามนี้ก็เท่ากับจะถามว่า ทำอย่างไรแม้เป็นมหาเศรษฐีก็ยังล้มละลายเลย เพราะอย่างที่เราเห็นในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ช่วง IMF ทำอย่างไรเราจะไม่ไปเจอภาวะอย่างนั้นอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้เป็นหลักธรรมไว้ ๔ ประการด้วยกัน คือ

๑. ของหายให้รีบหา
๒. ของเสียให้รีบซ่อม
๓. ใช้จ่ายให้รู้จักประมาณ ไม่ให้เกินฐานะ
๔. ไม่ตั้งหัวหน้างาน ประเภทที่เรียกว่าเห็นแก่หน้า คือไม่คัดเอาคุณภาพ

ถ้าของหายไม่รีบหา นั่นคือไม่รับผิดชอบต่อทรัพย์สมบัติที่หามาได้ อย่างนี้เหนื่อยฟรี

ส่วนในการที่ของเสียแล้วไม่รีบซ่อม อันนี้ก็เป็นความไม่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินสิ่งของที่เรามีอยู่ บุคคลที่ของหายไม่รีบหา ของเสียไม่รีบซ่อม เป็นประเภทตาบอดตา ใส มีตาดีแต่แกล้งทำเป็นบอด ตาบอดตาใสประเภทนี้ สมบัติมีอยู่แล้วก็ไม่สนใจ หนักเข้าก็หาสมบัติไม่เจอ เพราะฉะนั้นระมัดระวังให้ดีด้วย

ส่วนในเรื่องของการใช้จ่าย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินฐานะ อะไรไม่ควรใช้ก็อย่าใช้มัน เพราะมันมีหมดได้ ช่วง IMF เราจะเห็นว่าหลายคน ปกติมีรายได้ต่อเดือนเป็นแสนเป็นล้าน พอ IMF เข้า รายได้หายวับไปกับตา ทั้งที่ความสามารถก็ยังมีเท่าเดิม แต่ว่าทางแห่งทรัพย์สินที่จะเข้ามามันหมดไป เพราะฉะนั้น ใครอย่าได้ดูเบาเลยในเรื่องเหล่านี้ อย่าใช้จ่ายทรัพย์สินให้เกินฐานะ แม้ลงทุนเกินฐานะก็ระวังด้วย

ส่วนในข้อที่ ๔. ไม่ตั้งหัวหน้างานเพราะเห็นแก่หน้า บางคนงานใหญ่โต กิจการกว้างขวาง ก็เอาแต่ญาติ เอาแต่คนสนิทซึ่งไม่มีคุณภาพไปเป็นหัวหน้างาน มันก็ทำให้งานล้ม เพราะฉะนั้นสมบัติในตระกูลก็มีแต่จะล้มละลายหายสูญไปด้วยเป็นธรรมดา แต่มีบางท่านก็จนใจจริงๆ คนอื่นก็ไว้ใจไม่ได้ จำเป็นจะต้องเอาลูกหลานที่คุณภาพไม่ถึง เอามาฝึกเสียก่อน ฝึกจนกระทั่งใช้งานได้ แล้วค่อยปล่อยเขามาเป็นหัวหน้า ถ้าไม่อย่างนั้น มันมีแต่จะล้มละลายจนหมด

ถ้าอยากให้ตระกูลของเรา เป็นมหาเศรษฐีไปตลอด ต้องยึดหลักดังนี้

ประการแรก เราต้องฝึกความรับผิดชอบตัวเราเองอย่างฉกาจฉกรรจ์ ให้ทุกคนในวงศ์ตระกูลดู รับผิดชอบอะไรบ้าง

๑. รับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์ของเรา คือมีศีลที่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าร่ำรวยอย่างไร ก็ไม่ทำผิดศีล ไม่ไปจมอบายมุข

๒. รับผิดชอบทุกคนในครอบครัวของเรา ฝึกทุกคน มีลูกหลานแล้วอย่าปล่อยเลยตามเลย อย่าตามใจมาก ยิ่งฐานะดีเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นช่องเป็นโอกาสให้คนในครอบครัวของเรา มักง่าย เอาแต่สบาย ตามใจตัว เพราะว่าทรัพย์สมบัติมีมาก

เพราะฉะนั้นทำให้เป็นตัวอย่างในการฝึกตัว แล้วก็ฝึกเขาไปด้วย เช่นจะนอนดึกหรือนอนหัวค่ำอย่างไร ก็ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาเตรียมตัวที่จะทำความดี เตรียมตัวหาทรัพย์เพิ่ม เพราะมันต้องกิน ต้องใช้ เตรียมตัวที่จะตรวจสอบความบกพร่องของตัวเอง เพื่อเพิ่มพูนความดีในตัวให้ยิ่งๆ ขึ้นไป รับผิดชอบตัวเองและครอบครัวอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แล้วตระกูลเราจะไม่มีล้มละลายเป็นอันขาด




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2553   
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 22:42:17 น.   
Counter : 404 Pageviews.  

การดื่มเหล้าเพื่อเข้าสังคมหรือการดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ ไม่น่าที่จะผิดศีลข้อ ๕ -หลวงพ่อตอบปัญหา

หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC


Q1 : การดื่มเหล้าเพื่อเข้าสังคม หรือการดื่มไวน์เพื่อสุขภาพจะผิดศีลข้อ 5 หรื่อไม่ ?
Q2 : ผู้ชายโสดที่เที่ยวผู้หญิงขายบริการ ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ ๓ เพราะพวกเขาไม่ได้นอกใจใคร แล้วหญิงเหล่านั้นก็สมัครใจด้วย ความเชื่อนี้ถูกหรือผิดอย่างไรบ้าง ?


คำถาม : กราบ นมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ อยากเรียนถามว่าบางคนคิดว่าการดื่มเหล้าเพื่อเข้า สังคมนิดๆ หน่อยๆ หรือการดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ ไม่ได้ดื่มจนมึนเมา ก็ไม่น่าที่จะผิดศีล ข้อ ๕ ใช่หรือไม่เจ้าคะ

คำตอบ : การ ดื่มเหล้า ดื่มไวน์ จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม บาปทั้งนั้น มันเสียหายกับตัวเองทั้งนั้น โบราณท่านเคยเตือนเอาไว้ ไฟแม้เล็กน้อย แค่ก้นบุหรี่ก้นเดียวก็เผาเมืองได้ ยาพิษแม้เล็กน้อยอาจตายได้ อุจจาระไม่ว่าน้อยใหญ่เหม็นทั้งนั้นเหล้าก็เหมือนกัน ไม่ว่ามากหรือน้อย มันได้เพาะเชื้อวิบัติเข้าไปไว้ในตัว เหมือนอย่างกับเชื้อโรค ไม่ ว่ามาก ไม่ว่าน้อย มันก็พร้อมจะบ่อนทำลายสุขภาพ พร้อมที่จะทำลายชีวิตเรา ถ้ากำลังมันยังหย่อนอยู่ ก็กลายเป็นเพาะเชื้อร้ายเอาไว้ในตัวถ้าเป็นยาพิษ จะมากจะน้อยเพาะเอาไว้ ฝังเอาไว้ในตัวเราเตรียมที่จะขยายพิษกันต่อไปในภายภาคหน้า


ฉะนั้นอย่าไปดูถูกมัน เหล้าไวน์แม้ดื่มเพียงเล็กน้อย เชื้อวิบัติก็เข้าไปใน ตัวแล้ว มันวิบัติอย่างไร มาดูกันในเรื่องของความสมบูรณ์แห่งความเป็นคนน่ะ มันอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรง ๒ เหตุใหญ่ ๆ

เหตุที่ ๑. คือ ความมีสติ อะไรก็ตาม ตัดรอนสติเราแม้แต่นิดเดียวใช้ไม่ได้ เพราะความสมบูรณ์แห่งความเป็นคน อยู่ที่สติ คือความรู้ตัวของเรา ความระลึกได้ อยู่ตรงนี้ ขนาดไม่ได้กินเหล้าหรือไวน์ โอกาสที่เราจะเผลอตัวยังมี แล้วทำอะไรผิดพลาดก็มี ถ้าไปเติมเหล้า เติมไวน์จะมากหรือน้อย ก็บ่อนทำลายสติลงไป ตามส่วนที่เรากินนั่นแหละ เพราะฉะนั้นกำลังหาวิบัติเข้าตัว นี่เป็นประการที่ ๑.

ประการที่ ๒. ความสมบูรณ์ ความดีของมนุษย์ อยู่ที่การรู้จักวินิจฉัย หรือว่าเจาะลึกลงไปว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันผิดมันถูก ดีชั่วอย่างไรยิ่งถ้าสามารถวินิจฉัยลึกลงไปถึงว่า แม้ในโทษในของที่เล็กน้อย แต่ก็สามารถมองมันไปได้ลึก นี่มันเป็นโทษจริงๆ นะ แล้วก็หยุดมันได้


อย่างนี้คือคุณค่าของคน นี่คือความสมบูรณ์ของคน อยู่ที่สติในการควบคุม อยู่ที่วินิจฉัยหรือปัญญาในการเจาะลึก เข้าไปดูในเรื่องต่างๆ ได้ ใครมีสติและมีปัญญาอย่างนี้ ก็คือคนที่สมบูรณ์ แล้วก็พร้อมที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้าการ ดื่มเหล้าเพื่อเข้าสังคม คุณต้องรู้ว่ายิ่งเข้าสังคมมาก เท่าไหร่ สิ่งที่ต้องระวังมาก ก็คืออย่าให้ขาดสติ อยู่คนเดียวท่านบอกให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวัง วาจา ก้าวเข้าสู่สังคมยิ่งต้องระวังวาจามากเลย คำพูดที่ผิดพลาดแม้นิด เดียว อาจนำภัยมาให้ไม่เฉพาะตัว อาจนำมาให้กับทั้งครอบครัว บางทีทั้งบริษัท บางทีอาจทั้งประเทศชาติบ้านเมืองก็ได้

เพราะฉะนั้นการดื่มเหล้าเวลาเข้าสังคมแม้เล็กน้อย ถือว่าประมาทแล้ว เมื่อทำไปจนกระทั่งเคยชิน วันหนึ่งเกิดไปกระทบเรื่องอะไรเข้า สติแตกเลยดื่มหนักกว่าที่เคยดื่ม แล้วก็พลาดพลั้งทำอะไรที่ไม่ดีไม่ควรได้โดยง่ายเพราะ ฉะนั้นเชื้อวิบัติแม้เล็กน้อย อย่าให้เข้ามาในใจหรือกายของเราได้ เหล้าที่คิดว่าจะเป็นตัวเชื่อมสัมพันธไมตรีในสังคม มองให้ดีว่ามันวิบัติอย่างนี้ แล้วก็กำหนดสติให้ดี อย่าใจอ่อนยอมให้ใครเขาชวนให้ดื่มได้ กำหนดสติ แล้วก็วินิจฉัยให้ดีอย่างนี้แล้วจะรอดตัว


ส่วนในกรณีดื่มไวน์ ได้ ยินมาเยอะแล้ว ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ มันอาจจะมีส่วนบ้าง หลวงพ่อก็ไม่รู้ หรอก หลวงพ่อไม่ใช่แพทย์ มันอาจจะมีส่วนดีอะไรบ้างในเชิงการแพทย์ แต่ว่าดี ในเชิงการแพทย์ก็ดี แต่ให้มาเทียบกับเสียทางด้านจิตใจ ถ้ามันมีส่วนเสีย ก็ อย่างที่เล่ามา อยู่ในเรื่องเหล้าทำนองเดียวกัน วันนี้จิบไวน์นิด หน่อย เลือดลมมันดีแต่ว่าไม่รู้หรอกว่าเพาะนิสัยแล้ว เพาะนิสัยประมาท ขาดการวินิจฉัย ว่า สิ่งที่เรากำลังทำนี้ มีทั้งได้มีทั้งเสียตีคู่กันเข้ามาแล้ว ที แรกอาจจะเสียแต่คุ้มได้ แต่พอคุ้มไปเรื่อยๆ มันจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว และ อันตรายมันจะมา ถ้ามองกันลึกๆ ทั้งเหล้าทั้งไวน์นั้น มันเป็นของที่โบราณท่านใช้ว่ามันเป็นเหยื่อของพญา มาร ทำให้คนที่เสพเข้าไป ติดรส เมื่อติดรสแล้ว มันติดทีละน้อยในที่สุดก็ติดมาก


เพราะฉะนั้นหยุดซะ ใครที่ดื่มไวน์คิดว่าเพื่อสุขภาพ ในที่สุดสุขภาพกาย สุขภาพจิตจะวายวอดตามไวน์ที่กิน มีโทษภัยแอบอยู่ข้างหลังมาก บางคนมีไวน์ขวด เป็นหมื่นเป็นแสน อย่างนั้นตัววายวอดเลย จริงอยู่แม้ตัวเองจะมีฐานะดีเป็น มหาเศรษฐีก็ตาม สามารถที่จะกินเจ้าวายวอดนี้ได้ วันละเป็นหมื่นเป็นแสนอย่าง ไรก็ตามแม้เศรษฐกิจก็ไม่ได้กระทบอะไร แต่ว่ามันเพาะความประมาทไว้แล้ว ยังไม่พอยังเป็นตัวอย่างไม่ดีให้เด็กหรือคนรุ่นหลังดู แล้วก็จะมีคนทำ ตาม ถึงตอนนั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้ ความชั่วใดๆ แม้เล็กน้อยอย่าไปทำเลย เพราะมันจะกัดกร่อนความดีของเราไปทีละน้อย เหมือน สนิมที่กัดกินเหล็กทีละน้อย วันหนึ่งสนิมเหล็กนั่นก็กินจนกระทั่งเหล็กขาดได้ เหล็กท่อนโตๆ ถูกสนิมกัด กินจนกระทั่งขาดได้ฉันใด เหล้าไวน์ทีละน้อยนั้น ในที่สุดมันจะกัดกร่อนเอาสติปัญญาของเราไปด้วย แล้วความชั่วอีกหลายอย่างจะ ตามมา


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนเอาไว้ เตือนกลาง ๆ กับคนที่จะรวยหรือไม่ หรือจนหรือไม่อย่างไรก็ตาม ว่า โทษของการดื่มสุรา มีอยู่ ๕ ประการด้วยกัน

๑. เสียทรัพย์
๒.อาจมีผลทำให้ก่อการทะเลาะวิวาทได้ ถ้าวันใดวันหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดี หรือไปกระทบเรื่องอะไรเข้า ก็เลยกลายเป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทได้
๓. เกิดโรคได้
๔. แน่นอน อาจถูกติเตียนได้จากผู้รู้
๕. ถ้าประมาทพลาดพลั้งไป มันจะหมดอายเอาง่าย ๆ

วินิจฉัยแล้ว ของไม่ดีของมีพิษ กลับมองว่าเป็นยา กลับมองว่าเป็นสิ่งเชื่อมสัมพันธไมตรีในสังคม ถ้าวินิจฉัยตรงนี้พลาดไปแล้ว อย่างอื่นมันจะพลาดตามไปหมด อย่าดื่มกันเลย



คำถาม : กราบ เรียนถามหลวงพ่อเจ้าค่ะ ปัจจุบันนี้ผู้ชายโสดส่วนมากมีความเข้าใจว่าการเที่ยวผู้หญิงที่ขาย บริการ ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ ๓ เพราะพวกเขาไม่ได้นอกใจใคร แล้วหญิงเหล่านั้นก็สมัครใจด้วย ความเชื่อนี้จะถูกหรือผิดอย่างไรบ้างเจ้าคะ

คำตอบ : ต้องมองว่ามันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นเรื่องของการผิดศีล อย่างหนึ่งเป็นเรื่องของเปิดทางนรก หรือเปิดทางพินาศให้กับตัวเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกสิ่งนี้ว่า อบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อม การที่ชายโสดชอบไปเที่ยวกลางคืน เที่ยวกับผู้หญิงขายบริการ มองให้ชัดๆว่าคนที่ไปเที่ยวอย่างนี้เป็นคนเช่นไร ?


ก็ คือเป็นคนที่หักห้ามใจไม่เป็น สัตว์เดรัจฉานต่างกับคนตรงนี้แหละ อาศัยอยู่ในโลกเดียวกัน มีชีวิตด้วยกัน มีสิ่งบีบคั้นใจเหมือนกันคือ ความรู้สึกหรือความต้องการทาง เพศ มนุษย์ก็มีความต้องการทางเพศ สัตว์เดรัจฉานก็มีความต้องการทางเพศ เมื่อ ความต้องการทางเพศมันเกิดขึ้น สัตว์เดรัจฉานมันไม่คิดมากหรอก มันคิดไม่เป็น มันก็สนองความต้องการของมันกับใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ นั่นคือ สัตว์เดรัจฉาน แต่ ว่ามนุษย์มีสติปัญญามากกว่านั้น รู้จักหักห้ามใจ ใครไม่เหมาะไม่ควรกับเรา เราเป็นคนโสด แล้วเขาก็ยินดีขายบริการ แต่ว่าสิ่งที่ตามมามันยิ่งกว่านั้น

มันอยู่ที่เราเริ่มเพาะนิสัยเอาแต่ใจตัวเข้าไปแล้ว พอความรู้สึกทางเพศเกิด ขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะใช้บริการเมื่อนั้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ นิสัยเอาแต่ใจอย่างนี้ ไม่รู้จักข่มเอาไว้ วันหลังมันกำเริบมากเข้า อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ที่เป็นข่าวใน หน้าหนังสือพิมพ์แต่ละวันนั้น ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในวงการ เป็นที่รู้จักมีหน้ามีตากันในสังคมไทย อายุก็ ๖๐ แล้ว ไปเที่ยวโสเภณีเด็ก เด็กเล็กๆ อายุรุ่นลูกรุ่นหลานขายบริการ ก็เลยไปเที่ยว เรื่องแดงขึ้นมา กลายเป็นว่าศาลชั้นต้นตัดสินไปแล้ว ๑๖ ปี จำคุก ศาลอุทธรณ์ตัดสินซ้ำเข้าไปอีก ๓๖ ปี ยังไม่รู้ว่าศาลฎีกาจะว่าอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ ในปัจจุบันนี้


การเอาแต่ใจตัว บอกว่าไม่ผิดศีล แต่ว่ามันไม่ได้แค่ผิดศีลเท่านั้น มันฟ้องถึงไม่มีธรรมะประจำ ใจ คือไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะหักห้ามใจว่า ตัวเองก็แก่แล้ว ไปยุ่งอะไรกับเด็กรุ่นหลานรุ่นเหลน อายุมากแล้วควรจะได้เตรียมตัวตายมากกว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ชีวิตหลังความตายยังมี ในชีวิตหลังความตายนั้น ทำมาหากินไม่ได้ แต่อยู่ได้ด้วยบุญที่ เคยทำไว้ขณะมีชีวิต ถ้าขณะมีชีวิตเอาแต่มั่วกามอยู่อย่างนี้ ก็เลยไม่ต้องคิดทำบุญกัน ตายไปแล้วไม่มีบุญสำหรับหล่อเลี้ยงใจ จะเดือดร้อนหลังตาย นั่นก็อย่างหนึ่ง แต่นี่ยังไม่ทันตายเลย มาโดนกฎหมายเล่นงาน หนักเข้าไปอีก เสียหน้า เสียชื่อ เสียทรัพย์สินเงินทอง ลูกหลานตัวเองมองหน้าใครไม่ได้เลย ที่มีพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดเป็นอย่างนี้

เราเคยได้ยินว่า ผู้ใหญ่ไปข่มขืนเด็กเล็กก็มี บางทีก็ไปข่มขืนลูกสาวตัวเองก็มี บางทีตาข่ม ขืนหลาน ครูข่มขืนเด็กนักเรียน สิ่งเหล่านี้มันถูกเพาะมาจากอะไร? มันก็ถูกเพาะมาจากการไม่รู้จักหักห้ามใจอย่างที่ว่า ทีแรกเที่ยวหญิงบริการ หนักเข้า ความรู้สึกประเภทนี้ถ้าปล่อยตามใจแล้วมันก็กำเริบถี่ขึ้น มันจึงได้ก่อ เรื่องอย่างที่ว่ามานี่


เพราะฉะนั้น อยากจะเตือนเอาไว้ นักเที่ยวหญิงบริการทั้งหลาย โอกาสจะติดโรค โดยเฉพาะโรคเอดส์รักษาไม่หายนะ ยังไม่พอ ถ้าไปมีเรื่องในสถานที่บริการพวกนั้น เสียชื่อเสียงกันไม่รู้เท่าไหร่ ติด คุกติดตารางอย่างที่ว่ามาก็มี แต่ที่ต้องระวังให้หนักก็คือติดนิสัย จะ ติดนิสัยดูถูกคน ดูถูกเพศแม่ แล้วผู้หญิงบริการเหล่านั้น เขาก็เคยชินกับนิสัยหยาบคายเหล่านี้ เราก็จะไปติดนิสัยเขามา ถึงเวลาตัวเองไปมีภรรยา ก็จะเอานิสัยเลวๆ นี้ไปใช้กับภรรยาตัวเอง คุณเอานิสัยเลวๆ ไปเพาะให้กับภรรยาคุณซึ่งเป็นคนดี แสดงว่าคุณนี่เลวมากๆ เลยนะ คุณก็ต้องระวังตัว


ยัง ไม่พอ การเที่ยวหญิงบริการเหล่านี้ จะเพาะนิสัยไม่จริงใจกับใคร เพราะคนพวกนั้นเขาก็ไม่จริงใจกับคุณ คุณก็ไม่ จริงใจกับเขา นิสัยไม่จริงใจจะถูกนำไปใช้เมื่อถึงคราวคุณมีลูกมีเมีย เลยไปจนกระทั่งถึงคราวที่คุณจะเป็นครูบาอาจารย์คน เป็นพ่อ แม่คน คุณก็จะติดนิสัยไม่จริงใจอย่างนี้ต่อไปอีก แล้วคุณก็จะเสียคน เพราะว่าคุณค่าของคนก็คือความจริงใจต่อกัน ไม่อย่างนั้นสังคมนี้มันอยู่ไม่ ได้ คุณขาดความจริงใจ คุณก็ขาดความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและสังคมไปโดยปริยาย

แต่ร้ายกว่านั้นที่อยากจะเตือนคุณในฐานะที่เป็นพระก็คือ การติดรสในเพศ รสในกามนี้ มันจะติดเป็นสันดานข้ามชาติของคุณไป เมื่อเวลาใกล้ตาย ความดีเคยทำไว้เท่าไหร่ นึกไม่ออก นึกออกแต่ภาพเสพกามเท่านั้น เมื่อละโลกไปด้วยอารมณ์อย่างนั้น ใจจะขุ่น มัว ไม่ได้ไปดีหรอก นอกจากตกนรก เพราะความที่นึกออกแต่เรื่องพวกนี้ แม้ไม่ไปนรกแต่ความที่ใจติดรสนั้น มีแต่ภาพหญิงบริการอยู่ในใจ คุณจะได้ไปเกิดเป็นหญิงบริการในภพหน้า


หญิง ที่คุณไปใช้บริการเขานั่น แต่เดิมก็เป็นผู้ชายนักเที่ยวเหมือนกับคุณนี่แหละ แล้วเขาก็ติดรสกามเหมือนกับคุณ เขาจึงได้มาเป็นหญิงบริการ เป็นที่รองรับสาธารณะให้กับผู้ชายที่หักห้ามใจไม่เป็น มีแต่โรคเอาแต่ใจตัวในเรื่องเพศเรื่องกาม จึงต้องมาเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณอยากจะไปเป็นหญิงบริการเองภพต่อไป หรือว่าอาจจะต้องตกนรกก่อนแล้วค่อยไปเป็นอย่างนั้น ก็ตามใจคุณนะ ไปคิดเอา เอง




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2553 5:03:16 น.   
Counter : 575 Pageviews.  

คำว่า ศีล มีความหมายอย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา

หลวงพ่อตอบปัญหา



โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

Q1: คำว่า ศีล มีความหมายอย่างไร?
Q2: เรามีวิธีการรักษาศีลห้าให้ถูกต้องอย่างไร และมีกุศโลบายและยุทธวิธีอย่างไรหรือไม่ ในการที่จะทำให้เรารักษาศีลห้าได้มั่นคงตลอดไป?
Q3: ถ้าตั้งใจรักษาศีลห้าอย่างดี แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จะมีอานิสงส์อย่างไร?

คำถาม:กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ วันนี้กระผมมีปัญหาบางประการ เกี่ยวกับความหมายของคำในพระพุทธศาสนาครับ คือ คำว่า ศีล ซึ่งมีมากมาย ทั้งศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด กระผมจึงอยากทราบว่าจริงๆแล้วคำว่า ศีล มีความหมายอย่างไรครับ

คำตอบ:คุณ โยม ในฐานะที่คุณโยมเป็นนักกฎหมาย ในทางโลกประเทศชาติจะอยู่กันได้ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะกฎหมายจะเป็นตัวบอกให้เรารู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ที่ต้องมีกฎหมายก็เพราะว่า เพื่อป้องกันไม่ให้แต่ละคนน่ะล้ำเส้นกัน ถ้าล้ำเส้นกันด้วยเรื่องอะไรก็ตามทีเถอะ เดี๋ยวได้กระทบกระทั่งกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันในทางโลก ก็เลยต้องมีกฎหมายเอามาควบคุม จะเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา หรืออะไรก็ตามทีล่ะนะ

แต่ว่าในศาสนาพุทธของเรานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดศีลเอาไว้ ก็คล้ายๆกัน พอจะเทียบกันได้ว่า ศีล เป็นเครื่องควบคุมทางกายทางวาจาของเรา ให้ประพฤติอยู่ในกรอบ เพื่อว่าบาปจะได้ไม่รั่วรดเข้าไปในใจเราได้ แล้วก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย

เรามาดูถึงคำแปลของคำว่าศีลก่อน ศีลไม่ใช่ภาษาไทยของเราเป็นภาษาอินเดีย ภาษาแขก ศีล แปลว่า ปกติ คำว่าปกตินี่เราพูดกันจนกระทั่ง ต้องมาถามอีก...ปกติ แปลว่าอะไร

สิ่งที่มันเป็นอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน เราเรียกว่า ปกติ เช่น ร่างกายของเรานั้น ปกติมีความอบอุ่นหรือมีอุณหภูมิอยู่ในตัวประมาณ 37องศาเซลเซียส ถ้าสูงกว่านั้นหรือต่ำกว่านั้นล่ะก็ แสดงว่าป่วยแล้ว มันผิดปกติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงให้มาตรฐานแห่งความประพฤติปกติทางกายกับวาจาของคนเราเอาไว้ว่ามีอยู่ 5ข้อ ถ้าปกติล่ะก็ เป็นอย่างไร...

ปกติทางกายน่ะ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในกามหรือว่าไม่เจ้าชู้ ใครไปล่วงเกินจากสามสิ่งนี้ไปล่ะก็ เจ้ามนุษย์คนนี้ความประพฤติทางกายมันผิดปกติ นี่ผิดปกติทางด้านศีลธรรมทางด้านจิตใจไปด้วยในตัว ทีนี้ เมื่อมันผิดปกติไปอย่างนั้น นั่นแหละมันกำลังหาบาปใส่ตัว...เพราะอะไร เพราะมันกำลังทำให้ใจของมันขุ่นไปด้วยในตัว

ในเวลาเดียวกัน คนเรานั้นมันก็พูดกันด้วยเรื่องจริงๆ ไม่ใช่พูดเรื่องเท็จ ไปพูดเท็จกันเมื่อไหร่ หลอกลวงโกหกกันเมื่อไหร่ มันก็ผิดปกติคน ทีนี้พอไปหลอกไปลวงกันเข้า ใจมันก็ขุ่น ใจมันก็มัว แล้วกรรมแห่งใจขุ่นใจมัวนี้ มันก็จะบีบคั้นใจของเราให้เสียหายไปต่างๆนานา อีกเยอะแยะ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงสอนเอาไว้ให้ ลูกเอ๊ย...รักษาความปกติของคนเราไว้ให้ดีนะ คือ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่เจ้าชู้ แล้วก็ไม่พูดเท็จ

แต่ทั้งสี่ประการนี้ มันจะคงอยู่ได้ ต่อเมื่อเรามีสติ ถ้าขาดสติเมื่อไหร่ล่ะก็ ความปกติสี่ประการนี้ไม่อยู่หรอก

ทีนี้ สติ...มันแพ้อยู่เรื่องหนึ่ง แพ้อะไร...แพ้เหล้า แพ้ยาเสพติด มาเจอเหล้าเจอยาเสพติดเข้า สติมันจะขาดไป แล้วความประพฤติสี่อย่างนั้นก็จะผิดปกติขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บวกข้อที่5 เข้าไป

ความสำคัญที่เราจะต้องรักษาศีลทั้ง 5ข้อ มันอยู่ตรงไหน

มันอยู่ที่ว่า ทำให้เราไม่ไปก่อบาปก่อกรรมกับใคร ไม่ไปก่อความเดือดร้อนเสียหายให้กับตัวเอง นี้เป็นขั้นต้น เพราะว่าใครที่จะคิดฆ่าคนอื่นหรือฆ่าสัตว์ ความจริงแค่คิดใจก็เดือดร้อนแล้ว ไปลงมือฆ่าเข้า เดี๋ยวเถอะเดือดร้อนหนัก เพราะว่าอะไร...เดี๋ยวเขาจะฆ่าเอาบ้างแน่ะ ไปขโมย ไปโกงเขา ไปลักเขา ระวังเดี๋ยวเขาก็จะโต้ตอบเอาเข้าให้ ไปยุ่งกับลูกเขา เมียเขา ผัวเขา เดี๋ยวเถอะๆของรักของเขา เขาหวงนะ เดี๋ยวก็เกิดเรื่อง หรือแม้ไม่เกิดเรื่อง บางทีก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น เอดส์ มันก็มาได้อีกเหมือนกัน

การที่เราควบคุมตัวเองด้วยศีลได้นั้น มันก็เท่ากับว่าเราควบคุมตัวเองไม่ให้วิกฤต ไม่ไปก่อความเดือดร้อนให้ตัวเองเป็นคนแรก

แล้วก็ทำให้ไม่ไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นเป็นประการที่สอง

ที่แน่ๆ จากการที่มีศีลทั้ง 5ข้อนี้อย่างบริบูรณ์ เป็นผลให้เราพร้อมจะทำความดีรูปแบบอื่นๆอีกเยอะแยะเลย

เมื่อศีลทั้ง 5ข้อบวกเข้ากับกฎหมายทางโลก สองอย่างนี้รวมเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นความมั่นคงของประเทศชาติไปด้วยในตัวเสร็จ

แต่ว่าศีลห้านั้น รักษาตัวเองไม่ให้ผิดไม่ให้พลาด ยังมีศีลที่ยิ่งขึ้นไป คือ ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ยิ่งขึ้นไปอีก ท่านเรียกว่า ศีลพรต เป็นอย่างไร...เป็นการรุกคืบกำจัดกิเลสให้มันวอดกันไป

ดังนั้น จึงแบ่งได้เป็นสองขั้นด้วยกัน

ศีลห้า รักษาความดีขั้นพื้นฐาน คือ ไม่ยอมให้ชั่ว ไม่ให้กิเลสกำเริบ

ศีลแปด ศีลสิบ ศีลที่ยิ่งกว่านั้นขึ้นไป เป็นการรุกคืบกำจัดกิเลสให้หมดไป หมดไปตามลำดับๆ ขึ้นอยู่กับความมานะพยายามของผู้นั้น

เพราะฉะนั้น คุณโยม พรรษานี้อย่าปล่อยให้พระเข้าพรรษาเพียง ลำพัง คุณโยมเข้าพรรษาด้วยนะ สำหรับพวกเราที่เข้าวัดเป็นประจำ ศีลห้าจะน้อยไป เอาศีลแปดบ้างเถอะนะ แล้วมีโอกาสมาบวชอยู่กับหลวงพ่อนี่ก็เข้าท่านะ เอาพรรษาหน้าก็แล้วกันนะคุณโยมนะ

คำถาม:นอก จากนี้ กระผมอยากจะกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า เรามีวิธีการรักษาศีลห้าให้ถูกต้องอย่างไรครับ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีกุศโลบายและยุทธวิธีอย่างไรหรือไม่ ในการที่จะทำให้เรารักษาศีลห้าได้มั่นคงตลอดไปครับ

คำตอบ:เจริญพร...จำหลักง่ายๆก็แล้วกันว่าในการรักษาศีลให้ถูกวิธีก็คือ ต้องตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจล่ะก็ ไม่ถือว่าเป็นการรักษาศีล

ถ้าตั้งใจว่าจะไม่ละเมิด แล้วเมื่อมีโอกาสที่จะละเมิดก็ไม่ละเมิดตามที่ตั้งใจเอาไว้ นั่นคือการรักษาศีลตัวจริง

ทำไมจึงต้องใช้คำว่า ต้องตั้งใจ

ตั้งใจว่าจะไม่ฆ่า หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ฆ่า

ตั้งใจว่าจะไม่ลัก หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ลักไม่ขโมย

ตั้งใจว่าจะไม่ประพฤติผิดในกาม หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่เจ้าชู้

ตั้งใจว่าจะไม่พูดเท็จ หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่โกหก ไม่พูดเท็จ

ตั้งใจว่าจะไม่ดื่มสุรา หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่กินเหล้า กินเบียร์ บรรดาแอลกอฮอล์ทั้งหลายแหล่ ยาเสพติดทั้งหลายแหล่ ที่ให้โทษ เลิก...ไม่ต้องมาพูดกัน

ใครจะเอามีดมาจ่อคอ เอาปืนมาจ่อหัวให้ละเมิดศีลทั้ง 5ข้อนี้ ตายก็ให้มันตายไปเถอะ เราไม่ทำหรอก

ที่ต้องพูดอย่างนี้ เพราะว่ามีหลายคนเข้าใจผิด เมื่อมีคนชวนเข้าวัด เขาว่าอย่างไร เขาว่า...ผมไม่ได้ไปทำความชั่วอะไร ทำไมจะต้องเข้าวัดด้วย นั่นแน่ะ ผมไม่ได้ทำชั่วก็ต้องถือว่าผมเป็นคนดีแล้ว โอ...อันตรายแล้วลูกเอ๊ย

ต้องมองใหม่ มองอย่างไร คนดีที่ได้มาตรฐาน คือ คนอย่างไร...คือ คนที่ตั้งใจทำความดี อย่างนี้เรียกว่าคนดี

ส่วนอีกพวกหนึ่ง ไม่ได้ทำความดีอะไรหรอก อยู่เฉยๆเลยไม่ได้ทำความชั่ว การไม่ได้ทำความชั่วแล้วจะถือว่าเป็นคนดีนั้น หาใช่ไม่

นักโทษที่ถูกขังอยู่ในคุกมืด มันร้ายกาจนัก เขาจึงเอาไปขังเดี่ยวอยู่ในห้องมืด เลยไม่มีโอกาสทั้งจะฆ่า จะลัก จะประพฤติผิดในกาม จะโกหก จะกินเหล้า ไม่มีเลย ถามว่า เจ้านักโทษคนนี้มีศีลห้าหรือไม่

คำตอบ คือ แล้วแต่

ทำไม…

ถ้าในใจเขาตั้งเอาไว้เลย ถึงมดสักตัว ยุงจะไต่ไรจะตอมอย่างไร ไม่บี้ไม่ตบกันล่ะนะ ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าเขามีศีล

แต่ว่าถ้าในใจเขานึกว่าใครแหลมเข้ามา ล่ะก็ พ่อบี้พ่อฆ่ากันหมด เมื่อเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้ตังใจที่จะรักษาศีล เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่คนมีศีล

ต้องตีประเด็นไว้ก่อนว่า คนที่ยังไม่ละเมิดศีล ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนมีศีล เป็นแต่เพียงว่าเขายังไม่ได้ละเมิดต่างหาก

ส่วนคนมีศีล คือ คนที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะรักษาศีล จะไม่ล่วงละเมิดความประพฤติทางกายทางวาจา แล้วเมื่อถึงเวลาก็ไม่ล่วงละเมิดจริงๆ นั่นแหละ คือ คนมีศีล อย่างนี้คงชัดเจนนะ

ทีนี้ ก็มาถึงว่าเราจะมีกุศโลบาย จะมียุทธวิธีอย่างไร ที่จะรักษาศีลให้ได้ตลอดไป

ตรงนี้อยากฝากนิดหนึ่ง ถ้าจะเอาคนอื่นมาอ้าง มันก็คนอื่นนะ เอาว่าหลวงพ่อทำอย่างไรมาเองดีกว่าเมื่อเป็นฆราวาส

เมื่อสมัยยังเป็นฆราวาสอยู่ หลวงพ่อใช้วิธีง่ายๆ คือ ตั้งใจรักษาศีลไปทีละวัน ทำอย่างไร…

เช้าจะออกจากบ้าน ก็พระที่ห้อยคออยู่นั่นแหละ อาราธนาใส่มือเลย อาราธนาใส่มือตั้งนะโมสามจบ เสร็จเรียบร้อยก็สัญญากับหลวงพ่อในมือเลย

หลวงพ่อ วันนี้ปาณาติปาตา เวรมณี หัวเด็ดตีนขาดไม่ฆ่า ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ มดสักตัวยุงสักตัว เลิก ไม่บี้ไม่ตบจบกันแค่นี้ สัญญากับหลวงพ่อในมือเลย

อทินนาทานา เวรมณี วันนี้หัวเด็ดตีนขาดไม่ลัก ไม่ขโมย ทั้งนั้นแหละ ส่วนพรุ่งนี้ยังไม่ได้สัญญานะ เพราะเดี๋ยวสัญญาแล้วทำไม่ได้มันจะยุ่ง

กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี วันนี้หัวเด็ดตีนขาดไม่ยุ่งกับใครล่ะ ภรรยาใคร ลูกสาวใครไม่ยุ่ง ให้มันจบลงไปตรงนี้

มุสาวาทา เวรมณี วันนี้ถ้าพูดต้องพูดเรื่องจริง เรื่องไม่จริงไม่พูด พูดแล้วจะเสียหายคนโน้นคนนี้ สู้ไม่พูดดีกว่าพูดไม่จริง ให้มันเด็ดขาดกันลงไปอย่างนี้

สุราเมรยะ มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี วันนี้หัวเด็ดตีนขาด ไม่ว่าเหล้า ไม่ว่าเบียร์ ไม่ว่ากระแช่ ไม่ว่าสาโท อะไรไม่เอาทั้งนั้น

พรุ่งนี้ยังไม่รู้ สัญญากับตัวเองไปวันๆ ทำอย่างนี้ทุกวัน พอข้ามวันแล้วก็ชื่นใจ วันนี้ฝ่าอุปสรรคมาได้หนึ่งวัน เพราะว่าก็ต้องยอมรับกันนะ โลกทุกวันนี้ความวุ่นวายมันเยอะ สิ่งบีบคั้นที่จะทำให้เราละเมิดศีลมันมีพอแรงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเราตั้งใจว่าจะรักษาศีลให้ข้ามไปทีละวันอย่างนี้ มันไม่หนักแรง หากินไปวันหนึ่งก่อน ไม่หนักแรงไม่ต้องวางแผนเยอะ

ทำอย่างนี้ไปทุกวันก็ได้ชื่นใจไปทุก วันทุกวัน พอครบปีเข้า มันกลายไปเป็นนิสัยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว มีอะไรจะยั่วยุให้เราผิดศีลขึ้นมานี่ ใจมันไม่ยอมรับที่จะละเมิด เพราะว่ามันมีศีลเป็นนิสัยไปเสียแล้ว มันซึมซับเข้าไปในใจ

เพราะฉะนั้น ตรงนี้อยากจะฝากเอาไว้ว่า คำว่ามีศีลมันมีเป็นขั้นเป็นตอนนะ รักษาศีลทีแรกน่ะ พอยุงมากัดปั๊บ มือมันเงื้อปุ๊บเลยนะ พอจะตบลงไปเท่านั้นนึกได้ว่าวันนี้มีศีล ก็เลยไม่ไปตบมัน นี้คือศีลแบบจิ้ม จิ้มน้ำตาล เหมือนมะขามจิ้มน้ำตาล ทีแรกมันก็เป็นอย่างนี้มันง่อนแง่นอยู่ แต่รักษาศีลจนเคย หนักเข้า หนักเข้า ผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน มันเริ่มเป็นศีลเชื่อมแล้วนะ ยุงกัดเข้าก็...เอ๊ย...เอ็งรีบไปๆซะไป ไอ้เงื้อมือจะตบนี้ไม่มีแล้ว เจ็บแล้ว แล้วไป

เมื่อรักษาศีลมากเข้ามากเข้าเป็นปี เมื่อยุงกัด ก็ได้คิดว่าตราบใดเรายังเวียนว่ายในวัฏสงสาร ไม่แคล้วเบียดเบียนกันอย่างนี้แหละ หมดกิเลสเมื่อไหร่ล่ะก็ จะได้ไม่ต้องมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ ยุงกัดแต่คิดจะไปนิพพานโน่นแน่ะ อย่างนี้ล่ะศีลแช่อิ่มเลย

เพราะฉะนั้น การรักษาศีล ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องพอดีพอร้าย มันต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันนะลูกนะ


คำถาม:กระผม อยากจะทราบต่อไปว่า ถ้ากระผมตั้งใจรักษาศีลห้าอย่างดี แบบที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อว่าแบบมะขามแช่อิ่มแล้วนะครับ จะมีอานิสงส์อย่างไรบ้างครับ

คำตอบ:เจริญ พร คุณโยมเมื่อเรารักษาศีลกันเต็มที่จริงๆอย่างที่ว่า คือ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ใช่เหยาะๆแหยะๆ ไม่เอาศีลจิ้ม ศีลเชื่อม เอาศีลแช่อิ่ม

ถ้าศีลแช่อิ่มกันจริงๆล่ะก็คุณโยม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดว่า มีอานิสงส์มากมาย แต่ว่าโดยย่อก็แล้วกัน โดยย่อล่ะก็มีสามประการด้วยกัน ทุกครั้งเวลาเรารับศีลจากพระ พระจะสรุปอานิสงส์ของศีล แล้วเราก็กล่าวสาธุกัน มีอยู่สามข้อ ดังนี้

1.สีเลนะสุคติงยันติ ศีลทำให้ไปสู่สุคติ ขอยืมภาษาบาลีมาก่อน แล้วจะได้ไม่ตกไม่หล่น ศีลทำให้ไปสุคติ ถ้าแปลภาษาชาวบ้านก็แปลว่า ศีลนั้นเมื่อตั้งใจรักษากันเต็มที่ดีแล้ว เอาชีวิตเป็นเดิมพันกันจริงๆ ไปสุคติ คือ ไปดี หรืออนาคตดีนั่นเอง

เป็นอย่างไร รักษาศีลแล้วอนาคตดี…

ดีสิ ดีแน่นอน ลองว่ามีศีลแล้วล่ะก็ ไม่ต้องไปปรึกษาเรื่องกฎหมายกับคุณโยมล่ะ ไม่ไปคุกแน่เลยนะ เออ...ถึงอย่างไรก็ไม่ไปคุกแล้วชาตินี้ ชาติหน้ายังไม่ต้องพูดถึง ชาตินี้น่ะถึงอย่างไรไม่ต้องไปคุกไปตะราง ไม่ต้องไปเข้าห้องขัง เพราะฉะนั้น คำว่า สุคติ นี้ก็คือรักษาศีลแล้วอนาคตชาตินี้ มีแต่เจริญรุ่งเรืองไม่มีเวรไม่มีภัย

อนาคตชาติหน้า ตายไปก็ไม่ตกนรก กลับมาเกิดอีกทีเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีคู่แค้น เพราะไม่ได้ไปทำความแค้นไว้กับใคร ไปถึงไหนก็ยังมีคนรักต่ออีกนั่นแหละ นี้ชัดเจนลงไปเลย

2.สีเลนะโภคสัมปทา ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ หรือจะแปลว่าศีลทำให้ใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่มก็ได้

เป็นอย่างไร ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ คุณโยมไปดูเถอะเวลาเขาประกาศรับใครเข้าทำงาน ไม่มีประกาศไหนเลย ต้องการรับคนที่ชอบฆ่า ชอบลัก ชอบประพฤติผิดในกาม ชอบเที่ยวกลางค่ำกลางคืน ชอบโกหกอะไรอย่างนี้ ชอบเมาหัวตำดินนี่ ไม่มีใครรับไปทำงาน อยากจะได้แต่คนมีศีลมาทำงาน เพราะฉะนั้นใครมีศีล แล้วก็ประกอบกับคุณสมบัติ คุณงามความดีด้านอื่น ความสามารถด้านอื่น ถึงแม้ความสามารถด้านนั้นๆเท่ากับคนอื่น แต่ว่าความมีศีล ใครๆเขาก็รีบคว้ารีบเอาไปช่วยทำงานเลย เพราะฉะนั้น ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้ง่าย...ชัดเจนไหม

ยังไม่พอ นอกจากสมบัติจะเกิดได้ง่าย หรือเอาล่ะไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร ทำมาหากินเอง ถ้าทำมาหากินเอง เรามีศีลไม่ไปเมาหัวตำดินเสียแล้ว มันก็มีเวลามาทำงานได้เยอะ นี่ยกตัวอย่างนะ

ยิ่งกว่านั้น ศีลทำให้ใช้ทรัพย์สมบัติได้เต็มอิ่ม แปลกนะ คิดง่ายๆคนที่ร่ำรวย รวยเหลือเกิน เขาก็บอกว่าเขากินเหล้าทุกวัน สมบัติก็ไม่ได้พร่องไปเท่าไหร่ ไม่เดือดร้อน แต่ว่านั่นแหละ กินมากเข้ามากเข้า ตับพังไตพังไปเสียแล้ว พอตับพัง ไตพัง กระเพาะพัง มีสมบัติพันล้านก็กินไม่เต็มอิ่ม เพราะกระเพาะมันพังไปแล้ว มันจะไปกินเต็มอิ่มอย่างไร

หากเที่ยวไปยุ่งกับเมียเขาลูกเขา ถึงแม้ไปยุ่งได้กี่คนก็ตาม ไม่เต็มอิ่ม เพราะต้องผวาเดี๋ยวเจ้าของเขาจะตามมาเจอ นี่ยกตัวอย่าง

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากรณีใด หากได้ทำผิดศีลไว้แล้ว ถึงจะมีทรัพย์สมบัติมากน้อยเท่าไหร่ บริโภคไม่เต็มอิ่ม...ชัดเจนนะ

เพราะฉะนั้น ใครมีศีลบริสุทธิ์ ถึงแม้ไม่ค่อยจะรวย แต่ว่าสมบัตินั้นๆมันใช้เต็มอิ่ม ใช้แล้วไม่ต้องผวาเลย มันเป็นอย่างนี้

3.สีเลนะนิพพุติงยันติ ศีลทำให้ไปพระนิพพาน พอบอกว่าศีลทำให้ไปพระนิพพาน เดี๋ยวจะไม่รักษาศีลกัน กลัวจะไปนิพพาน บางคนเขาว่าอย่างนั้น

เอาอย่างนี้ นิพพานหรือนิพพุติง มีหลายระดับลูกเอ๋ย นิพพานขั้นต้น เป็นอย่างไรล่ะ

ทำให้ใจสงบเย็น มีศีลแล้วใจมันสงบเย็นชุ่มฉ่ำอยู่ในใจ ไม่ต้องหวาดผวาอะไรทั้งสิ้น นี่นิพพานขั้นต้น สงบเย็น แต่เมื่อรักษาศีลมากเข้ามากเข้า เข้มข้นเข้าไปเรื่อยๆ...กลายเป็นศีลแช่อิ่มไปแล้ว ทีนี้ใครเอามีดมาจ่อคอเอาปืนมาจ่อหัวให้เราทำความชั่ว...เรายอมตายเสียดี กว่า

ใจมั่นคงขนาดนี้ล่ะก็ คนอย่างนี้ล่ะพระนิพพานรอแล้ว คนอย่างนี้ใจจะมั่นคงเป็นสมาธิง่าย เมื่อเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว เพราะอำนาจศีลที่มั่นคง หลับตาลืมตานี่สว่างโพลงยิ่งกว่าตะวันเที่ยงโดยอัตโนมัติ ความสว่างโพลงยิ่งกว่าตะวันเที่ยงนี่แหละ จะทำให้เราสามารถไปเห็นกิเลสที่อยู่ในใจ

เราลองได้เห็นกิเลสแล้ว เดี๋ยวเราก็จะปราบเสียให้เตียน เมื่อเห็นกิเลสในใจด้วยอำนาจแห่งความสว่างภายในนี้ คุณโยม...จะช้าจะเร็ว เดี๋ยวได้ปราบกิเลสหมด ไปนิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนได้นั่นแหละ

เพราะฉะนั้น คุณโยมตั้งใจรักษาศีลไป ขั้นต้น...อนาคตชาตินี้ก็ดี ตั้งหลักตั้งฐานก็ได้ ขั้นต่อ...มารักษาศีลดีแล้ว สมบัติก็เกิดง่าย สมบัติที่เกิดแล้วก็ใช้ได้เต็มอิ่ม ยิ่งกว่านั้น...ชาตินี้ทั้งชาติ มันสงบเย็นไม่มีเวรไม่มีภัย พระนิพพานก็รอท่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รักเรา...เจริญพร




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2553 20:32:32 น.   
Counter : 432 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เจ้าหญิงใจดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เจ้าหญิงใจดี's blog to your web]