ถ้าทุกคนยืนอยู่ฝั่งพระเจ้ากันหมด โลกคงน่าเบื่อแย่..!!
Group Blog
 
All blogs
 

คำภาวนาที่ไม่มีวันสมปรารถนา

คำภาวนาที่ไม่มีวันสมปรารถนา


-----------------------------------------------------------
ความรู้สึกตอนที่รู้จักกับ “พีท” ครั้งแรกตอน ม.ต้น ที่โรงเรียนสตรีเป็นยังไงน่ะหรือ? ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจาคิดว่าเธอเป็นคนแปลกๆ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีจนแทบจะเรียกได้ว่าเกินไปด้วยซ้ำ แต่พอรู้ว่าจะได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันในตอนขึ้น ม.ปลาย ก็รู้สึกดีใจมาก เหมือนกับได้พบพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันมานานอย่างนั้นล่ะ!



หลังจากเริ่มเรียน ม.ปลาย ได้ไม่นาน ฉันกับพีทก็เหมือนกับคู่ปลาท่องโก๋ที่ตัวติดกัน! เราอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเวลากินหรือเวลานอน... โปรดอย่าแปลกใจ! ที่เรานอนห้องเดียวกันสองคน สาเหตุมันมาจากที่โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนประจำในเครือมิชชั่นนารี ที่ต้องกินนอนอยู่ที่โรงเรียน มาคิดๆดูแล้วฉันจะได้พบพีทในทุกเช้า นอกจากช่วงปิดเทอมที่เราต้องแยกย้ายกันกลับบ้านเท่านั้นเอง...!

ทุกเช้า พีทจะลุกขึ้นมาปลุกฉัน และจูบฉันเบาๆที่หน้าผาก พร้อมกล่าวคำว่า “อรุณสวัสดิ์จ้ะ!” อยู่เป็นประจำ ฉันเองก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เธอทำอย่างนั้น!

พีทเป็นคนเก่งที่มีพรสวรรค์รอบด้าน ซึ่งผิดจากตัวฉันที่เป็นคนคิดช้า และซุ่มซ่าม ดังนั้นทุกครั้งที่ฉันทำงานอย่างชักช้าจนฟ้ามืดค่ำ ก็จะมีพีทนี่ละมานั่งคอยอยู่ข้างๆด้วยความเป็นห่วง แต่ทุกครั้งพีทจะเป็นเพียงผู้คอยแนะนำเท่านั้น หาใช่ผู้ลงมือทำแทนให้งานของฉันเสร็จสิ้นโดยไวไม่!

“ฉันอยากให้พิมรู้จักที่จะทำด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น!” พีทมักจะยิ้มให้กำลังใจฉันเสมอ จนบางครั้งฉันคิดว่าชาตินี้ฉันคงขาดรอยยิ้มของพีทไม่ได้ และแอบหวังลึกๆในใจให้พีทคิดเช่นเดียวกับฉันเหมือนกัน



สองปีผ่านไป ความสัมพันธ์ของสองเราก็ยิ่งแน่นเฟ้นขึ้น! สำหรับโรงเรียนที่น่าเบื่อแห่งนี้แล้ว พีทก็เหมือนความบันเทิงเพียงอย่างเดียวของฉัน เพราะฉันแค่เห็นหน้าของพีทที่ยิ้ม หรือหัวเราะฉันก็มักจะอมยิ้มตามไปด้วยอย่างมีความสุขเสมอ ฉันรู้สึกผูกพันกับพีทจนไม่อยากจะเสียเธอไปให้กับใครในอนาคตอันใกล้นี้... ยิ่งนานวัน ความรู้สึกพวกนั้นก็เอ่อล้นทับถมในอกจนฉันสุดที่จะอดกลั้นไว้ได้ ฉันเริ่มสับสนในตัวเองระหว่างความรัก และความผูกพัน จนในที่สุดฉันก็ต้องไประบายมันออกมาจากอกนั้นบ้าง ด้วยการเฝ้าภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้า.!

“พระองค์ผู้เป็นที่รักยิ่งของลูก หากพระองค์ผู้ประทับเหนือสรวงสวรรค์มีจริง ขอได้โปรดเถิด! โปรดสดับฟังในสิ่งที่ลูกจะขอ” ฉันกล่าวอ้อนวอนต่อหน้ารูปปั้นพระแม่มารีในโบสถ์กลาง กระจกสีรุ้งสาดส่องลำแสงนานาสีสะท้อนเข้ากระทบรูปปั้นขาวนวลของพระแม่มารีให้ดูงดงามยิ่งในท่ายืน... ฉันพยายามสะกดกั้นน้ำตาแห่งอารมณ์ที่กำลังจะไหลท่วมออกมาจากตา แล้วกล่าวต่อ!!

“ขอพระองค์โปรดประทานพรให้ลูก ขอให้ลูกสมหวังที่จะได้อยู่กับพีทตลอดไปตราบนานเท่านาน!!... ลูกขอกล่าวอ้อนวอนพระองค์ ลูกจักขอเพียงคำขอนี้คำขอเดียวตลอดชีพนี้ของลูก.. อาเมน!”

โบสถ์ที่กว้างใหญ่แต่ดำมืดแลดูเงียบงัน! ฉันยังคงนั่งกุมมือสวดอ้อนวอนนิ่งอยู่บนม้านั่งยาว ในใจยังคงพร่ำภาวนาคำอ้อนวอนนั้นอย่างซ้ำๆ เพื่อหวังให้มันเป็นจริงขึ้นมา!

“สวดภาวนาขออะไรอยู่หรือ?” เสียงคุ้นๆดังขึ้นข้างหลังฉัน ฉันมองตามไปเห็นพีทกำลังยืนขวางประตูที่ทางเข้าโบสถ์ใหญ่อยู่ มือทั้งสองข้างของเธอกางผลักประตูไว้จนสุดแขน มันทำให้แสงที่สาดเข้ามาเบื้องหลังของเธอ แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ฉันเห็นเงาร่างของเธอที่ทอดยาวบนพื้นนั้นเหมือนกับไม้กางเขนบนพื้น..! ฉันปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้าทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่จะหันไปยิ้มให้กับพีท

“เกิดอะไรขึ้น!...เธอร้องไห้หรือพิม!?” พีทปล่อยบานประตูให้ปิดลง แล้วรีบเร่งสาวเท้าเข้ามากอดร่างฉันที่กำลังสั่นเทาด้วยอารมณ์

“โอ๋ๆ..! นิ่งซะนะคนดี” เธอลูบหัวฉันอย่างรักใคร่ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีอย่างประหลาด จนฉันรู้สึกไม่อยากให้วินาทีนี้จากไปจนเผลอกอดรัดรอบเอวของพีทไว้แน่น..!

“พีท..!..เออย่าจากฉันไปเลยนะ” อยู่ๆฉันก็เริ่มฟูมฟายอย่างไม่มีเหตุผล

“เด็กบ้า!? ฉันจะทิ้งเธอไปได้อย่างไรกันล่ะ? นี่คิดอะไรโง่ๆอะไรขึ้นมาอีกล่ะสิ!!” พีทหัวเราะเบาๆ

“แต่... เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมันใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว” ฉันยังคงฟูมฟาย ทั้งๆที่เวลาที่เรายังอยู่ด้วยกันมันยังเหลืออีกตั้งหนึ่งปี แต่ตอนนี้ฉันกลับเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่พอรู้ว่าวันหนึ่งคนเราต้องตายก็เกิดกลัวขึ้นมาและร้องไห้หวาดกลัวไม่ยอมหยุด.....ฉันกลัวเวลาที่ต้องแยกจากกับพีทจะมาถึง เวลาแค่หนึ่งปีมันช่างสั้นเหลือเกิน!!

พีทท่าทางจะจนปัญญาที่จะกล่อมฉันให้หายงอแง..เธอถอนหายใจ! ก่อนที่จะเชยคางฉันขึ้นทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน

พีทบรรจงจรดริมฝีปากลง ขยี้กับริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา...!!

ณ วินาทีนั้นเองที่หัวของฉันขาวโล่ง และรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าสถิตวิ่งแปล๊บๆไปทั้งร่าง มันเหมือนกับเวลาทุกอย่างมันได้หยุดนิ่งลง แม้แต่น้ำตาของฉันที่กำลังไหลลรินก็พลันเหือดแห้งไปด้วย... ไม่นานพีทก็ถอนริมฝีปากออก แล้วจ้องมองฉันด้วยแววตาที่หวานซึ้งแฝงด้วยอารมณ์!!

“เห็นไหม! เพียงแค่นี้ก็หยุดร้องแล้ว” เธอหัวเราะ

“พีท!?” ฉันยังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ เหมือนเท้าของตัวเองไม่ได้สัมผัสพื้นดิน มันเหมือนตัวฉันกำลังได้ขึ้นสวรรค์ทั้งๆที่ตัวเองกำลังยืนอยู่บนพื้นดิน

“เมื่อกี้! เธออธิฐานขออะไรจากพระเจ้า?” เธอกระซิบถามเบาๆที่ริมหู ฉันเงียบไปครู่ใหญ๋ก่อนจะยอมตอบแบบอายๆว่า “ฉันขอให้ได้อยู่กับเธอตลอดไป!”

พีทเลิกคิ้วมองดูฉันอย่างสงสัย กลายเป็นฉันเองที่กลับกลัวว่าเธอจะเกลียด และคิดว่าฉันผิดปกติที่มีความรู้สึกแปลกๆ ให้กับเพื่อนสาวที่รักอย่างนี้..แต่แล้วเธอก็กลับหัวเราะ!

“แปลกดีนะ..! ฉันเองก็กำลังจะมาอธิฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าแบบนั้นเหมือนกัน” ฉันได้แต่ตะลึง! ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า พีทเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับฉันเหมือนกัน!!

“พีท! หมายความว่า?” น้ำตาของฉันเริ่มไหลออกมาอีกครา แต่คราวนี้มันหยาดไหลลงมาจากความตื้นตันใจมากกว่า

“อืม...ฉันรักเธอพิม รักมานานแล้วด้วย เพียงแต่ไม่กล้าบอกเธอ!?” พีทยิ้มกว้าง เรากอดรัดกันด้วยความเสน่ห์หาที่สุดจะทานกั้น เราทั้งสองมองตากัน แล้วแลกจูบที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยความร้อนแรง!!.. แต่แล้ว

“พวกเธอกำลังทำอะไรกันน่ะ....???” เสียงของซิสเตอร์ที่เข้ามาพบเรากำลังแลกจูบกันโดยบังเอิญทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายลง!!



ไม่กี่วันหลังจากที่ทางบ้านทราบข่าวอันงามหน้าของฉัน ฉันก็ต้องถูกลากออกไปจากโรงเรียนแห่งนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพีทถูกพ่อของฉันริบไปหมด ไม้เว้นแม้แต่สมุดจดแม้แต่เล่มเดียว... ถึงชั้นจะอ้อนวอนร้องไห้แทบเท้าพ่อ จนใจแทบขาดเพียงเพื่อขอภาพถ่ายเล็กๆของพีทไว้ดูต่างหน้าพ่อก็ไม่เคยสนใจ หลังจากนั้นฉันก็ถูกกักบริเวณ และไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับพีทอีกเลย....! ฉันร่ำไห้ทุกวันจนตาบวมช้ำ ฉันเริ่มขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อเป็นการต่อต้านพ่อแม่ แล้วในคืนหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเหม่อมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมายกลางดึกนั่นเอง!!

พระจันทร์สีทองเปล่งประกายจ้าจนแสบตา ฉันเฝ้ามองดูมันที่ทอแสงจ้าจนน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่เนืองๆนั้นมันทำให้ฉันเห็นภาพหลอน ฉันมองเห็นหน้าของพีทลอยเด่นอยู่บนดวงจันทร์ เธอกำลังยิ้มให้ฉันอย่างชัดเจน!

“พีท.....พีท!?” ฉันลุกขึ้นร้องตะโกน แล้วพยายามปีนตะเกียดตะกายออกจากหน้าต่าง พยายามโน้มตัวไปให้ใกล้พระจันทร์มากที่สุด พีทอยู่ใกล้เพียงเท่านี้เอง แต่ฉันกลับพยายามเอื้อมมือไปคว้าเธอเท่าไหร่ก็คว้าเธอไว้ไม่ได้ซักที.!!

ฉันมองไปรอบๆห้อง หาเครื่องมือที่พอจะใช้เป็นเครื่องนำทางไปหาพีทได้บ้าง ท่ามกลางเสียงทุบประตูห้องที่รัวสะหนั่นด้วยเสียงของพ่อที่กำลังพยายามร้องตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง? แต่ฉันหาได้สนใจเสียงเหล่านั้นไม่!! ฉันมองดูห้องที่มีเพียงเตียงนอนตั้งไว้กลางห้องด้วยความแค้นใจ ของมีคมทุกอย่างทุกในห้องถูกพ่อเก็บเอาไปซ่อนไว้หมดแล้ว ด้วยความเกรงที่ฉันจะคิดโง่ๆ! ฉับพลัน...! ฉันก็หันไปมองเห็นกระจกเงาในห้องน้ำแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนที่จะเดินไปกระชากเอาลิ้นชักโต๊ะออกมา เม้มปาก แล้วเล็งเขวี้ยงมันใส่กระจกเงานั้นเต็มแรง

“เพล้ง!!” กระจกบานใหญ่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเกลื่อดกลานบนพื้นหินขัด มีชิ้นหนึ่งที่ดูใหญ่กว่าชิ้นอื่นๆกระเด็นมาตกอยู่ใกล้ๆเท้าของฉัน...... หันไปมองมันด้วยสายตาเย็นชา!!

ฉันค่อยๆเอื้อมมือไปคว้ามันมาอย่างช้าๆ แล้วหมุนกายเดินกลับไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง พร้อมเหม่อมองดวงจันทร์นั้นด้วยรอยยิ้ม

“รอก่อนนะ!.. ฉันกำลังจะไปหาเธอแล้วพีท” ฉันกดด้านคมของเศษกระจกนั้นลงใส่ข้อมือด้านขวาสุดแรง มันทะลุตัดเส้นเลือดใหญ่ ฉันพยายามที่จะไม่เปล่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะกลั้นใจตวัดมันเฉือนเป็นทางยาวจนเลือดที่ไหลทะลักออกมาไหลเป็นทางยาวไปถึงข้อศอก ฉันทิ้งเศษสี้ยวของมัจจุราชที่เปื้อนเลือดนั้นลงพื้น แล้วหันหน้าขึ้นไปมองพระจันทร์ แต่กลับเห็นใบหน้าของพีทในพระจันทน์กำลังทำหน้ามุ่ย ....อีกไม่กี่วินาทีต่อมาฉันก็รู้สึกหน้ามืด และลมลงไปกองอยู่ที่พื้น พร้อมๆกับประตูห้องที่ถูกแรงกระแทกมหาศาลพังเข้ามา!!



ฉันรอยตายอย่างปาฏิหาริย์! พ่อของฉันช่วยห้ามเลือดไว้ได้ทัน แต่ฉันก็เสียเลือดมากไปจนต้องมานอนแกร่วอยู่ในโรงพยาบาลแทน

ทุกๆวันในโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ต้องทนกับความรู้สึกผิดกับแม่ที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างเตียงทุกๆวันวันละหลายหน และพ่อผู้ไม่กล้าเข้ามาในห้องพักของฉันเลยเพราะรู้สึกผิด....! พอฉันหายดีแล้ว พ่อก็เลยตัดสินใจว่าการอยู่เมืองไทยมันไม่เป็นผลดีต่อตัวฉัน จึงส่งฉันให้ไปอยู่ที่รัสเซียกับคุณอาที่ทำงานอยู่ที่นั่น



เมืองที่ฉันไปอยู่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ภูมิประเทศที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตามันกลับช่วยขัดเกลาจิตใจที่อ่อนล้าของฉันให้ค่อยๆลืมเรื่องของพีทไปอย่างหมดสิ้น ห้าปีผ่านไปฉันก็ยังคงทำงานอยู่ที่นี่ และฉันก็ได้แต่งงานกับฝรั่งคนหนึ่ง เขาทำงานเป็นสถาปนิกและมีลูกๆน่ารักๆด้วยกันสองคน ครอบครัวของเรารักกันมากพร้อมทั้งอบอุ่นดี... นานๆครั้งฉันก็จะละลึกถึงพีทขึ้นมาบ้าง ฉันคิดอยากให้เธอมีความสุข เหมือนที่ฉันมีในตอนนี้ด้วย!!

ฤดูหนาวในปีที่แปดในต่างแดน อยู่ๆก็มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาถึงฉันจากประเทศไทย เมื่อฉันเปิดมันออกอ่าน

ปรากฏว่าเป็นจดหมายจากพีท!

ฉันดีใจมากจนเผลอเต้นกระโดดไปมาตึงตัง จนสุนัขที่เลี้ยงไว้ตกใจวิ่งหนีไปแอบอยู่ในครัว..! เนื้อความในจดหมายถูกเขียนไว้ว่า ในวันที่ 1 เมษายน ของปีนี้ซึ่งมันก็เป็นเวลาอีกไม่นานพีทจะมาท่องเที่ยวที่รัสเซีย เธอรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่จึงอยากพบฉันมาก แน่นอน!ที่ฉันเองก็อยากพบเธอมากเหมือนกัน... ฉันจึงเขียนตอบตกลงแล้วส่งจดหมายกลับไปแต่โดยดี!!



วันนัด ฉันสวมชุดที่สวยที่สุดเพื่อไปพบกับพีท! เรานัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตอนบ่ายโมงครึ่ง ตอนนี้ก็เกือบจะถึงเวลาแล้ว อีกซักครู่เธอคงจะมาถึง... ฉันมองหิมะที่กองเต็มทางเท้าผ่านหน้าต่างร้านด้วยอาการเหม่อลอย ในหัวยังคงคิดถึงภาพอดีตต่างๆนาๆที่ผุดขึ้นมา!!

“พิม!” พีทเดิมมาสะกิดฉันข้างๆด้วยภาษาไทยที่แสนคิดถึง ฉันหันไปมองก็เห็นเธอในชุดกระโปรงยาวสำหรับกันหิมะตัวหนา.. แต่ที่น่าดีใจทีสุดก็คือ การที่เธอดูแทบไม่เปลี่ยนไปเลย พีทยังคงดูอบอุ่นและยิ้มแย้มอย่างที่เคยเป็น!!

“พีท!? เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เจอกันนานเลยนะ?” ฉันส่งยิ้มให้

แล้วเราก็เริ่มวงสนทนาในฐานะเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมานานอย่างยาวยืด เราสองคนไม่ได้พูดกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลังจากวันนั้น เราพยายามเลี่ยงในอดีต และถามถึงเรื่องทั่วไปแทน!!

เวลาค่อยๆผ่านไปจนพลบค่ำ ฉันนึกขึ้นมาได้เมื่อเห็นตะวันตกดินว่าต้องกลับไปเตรียมอาหารเย็นให้กับที่บ้าน

“พีท.. ฉันต้องกลับก่อนนะ นี่เย็นมากแล้ว! ต้องกลับไปเตรียมอาหารเย็นให้ที่บ้านแล้วล่ะ” ฉันทำท่าจะลุกหนีไป แต่พีทกลับคว้าข้อมือฉันดึงไว้

“อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ?” เธอถามเสียงเครียด

“คงไม่ได้หรอก เดี๋ยวสามีฉันเป็นห่วง” ฉันพยายามมือเธอออก แต่แกะยังไงก็แกะไม่ออก

“อยู่ต่ออีกนิดเถอะพิม!” เธอพูดกระด้างจนน้ำเสียงเกือบกลายเป็นเย็นชา ตอนนี้รอยยิ้มบนหน้าของเธอได้หายไปแล้ว

“ปล่อยนะพีท!?” ฉันสะบัดมือสุดแรงพีทจึงยอมปล่อยมือ เมื่อฉันเป็นอิสระ ฉันก็รีบเดินจ้ำพรวดๆออกจากร้านไปอย่างหวาดๆ ท่าทางของพีทดูแปลกๆ ไม่เหมือนกับพีทที่ฉันเคยรู้จัก!



พอฉันกลับถึงบ้านก็ปรากฏว่าสามีของฉันยังกลับมาไม่ถึงทั้งๆที่มืดค่ำ แถมหิมะยังตกหนักขนาดนี้ มันน่าแปลก..! เพราะปกติเขาเป็นคนที่ตรงต่อเวลาเสมอ หรือบางทีเขาอาจจะมีประชุมก็ได้!? ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักจึงเดินเข้าครัวแล้วลงมือประกอบอาหารตามหน้าที่

“กริ๊ง....กรื๊งๆๆๆ!” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ฉันไม่ว่างจากงานในครัวจึงตะโกนบอกให้ลุกชายคนโตที่กำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่ให้ช่วยรับแทน

“ใครโทรมาจ้ะ?” ฉันถามลูกในขณะที่กำลังหั่นเนื้อลงหม้อ

“ของคุงแม่คับ... เสียงผู้หยิงคับ!!” ลูกชายวัยแปดขวบพูดอ้อแอ้ ก่อนที่จะวิ่งเตาะแตะเอาโทรศัพท์เครื่องพ่วงแบบไร้สายมาส่งให้ ฉันเช็ดมือแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นจรดหู!

“สวัสดีค่ะ ใครคะ?”

“เตรียมอาหารค่ำอยู่หรือพิม ทำไมถึงรับสายช้าจัง?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

“พีท!?... เธอรู้เบอร์นี้ได้อย่างไรน่ะ?” ฉันตกใจ ฉันไม่เคยบอกเบอร์ที่บ้านให้เธอรู้แน่ๆ

“อืม... ฉันว่าเธอไม่ต้องรีบทำอาหารค่ำให้สามีเธอมากนักก็ได้...ยังไงเสีย! เขาก็คงไม่ได้กลับไปทานแน่ๆ” เธอยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจในสิ่งที่ฉันพูด

“หมายความว่ายังไง?” ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี พีทรู้ได้อย่างไรว่าสามีของฉันยังกลับไม่ถึงบ้าน

“เธอลองเช็คเบอร์ต้นสายนี้ดูสิ!” พีทยังคงพูดต่อไป ฉันวิ่งไปที่เครื่องรับตัวแม่ที่พ่วงกับเครื่องนี้ มันปรากฏหมายเลขโทรเข้ามาสายนี้เป็นเบอร์ของมือถือของสามีฉัน...ฉันแทบช๊อก!!

“พีท เธอเอาโทรศัพท์สามีฉันมาได้ยังไง? แล้วสามีฉันล่ะ..สามีฉันไปไหน!?” ฉันร้อนรน แต่พีทกลับหัวเราะขันๆเหมือนเรื่องตลก

“ฉันคิดว่าเขาคงรู้สึกว่าน้ำในทะเลสาบตอนมีหิมะตกหนักแบบนี้อาจจะดูโหดร้ายไปหน่อย... แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ ฉันทำให้เขาหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะโยนเขาลงไป....อืม! คิดว่าคงไม่ทรมานซักเท่าไหร่หรอก” ฉันเขาอ่อนทรุดลงกับพื้น หัวใจเริ่มเต้นแรง ...นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้นเนี่ย!!

“พีท........! เธอทำบ้าๆแบบนี้ทำไม?” ฉันถามด้วยเสียงสั่นเทา

“.........” เธอไม่ตอบ

“ฉันถามว่าทำไม!!?” ฉันตะโกนใส่โทรศัพท์สุดเสียง พร้อมกับปล่อยสายน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา ลูกชายวัยแปดขวบ และลูกสาวตัวเล็กที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ข้างๆกันหันมามองที่ฉันอย่างงงงันพอเห็นฉันร้องไห้พวกแกก็รู้สึกกลัวจนร้องไห้ตามไปด้วย.!!

“เธอลองก้มลงมองดูแขนข้างขวาของตัวเอง แถวๆข้อมือสิ!!” ฉันยกข้อมือข้างนั้นขึ้นดูด้วยใจที่ยังคงสั่นเทา ตรงบริเวณเส้นเลือดใหญ่มันมีรอยแผลเป็นจากคมมีดเป็นทางยาวน่ารังเกียจอยู่หนึ่งแผล

“ฉันเองก็มีรอยแบบเดียวกันนั้นนะ! แถมมีตั้งสีห้ารอยแน่ะ.. ที่นี้พอเข้าใจหรือยัง?”

ฉันขนลุกวาบ!! นี่ตอนที่ฉันต้องหนีซมซานมาดามแผลใจที่ต่างประเทศนั้น ตัวพีทเองก็พยายามหนีมาจากโลกแห่งความเป็นจริงหนักกว่าฉันเสียอีก.... นี่เป็นผลจากการกระทำผล่อยๆในสมัยยังอ่อนต่อโลก มันทำลายชีวิตของคนทีเดียวไปหลายคนเทียวหรือ!!

“ไม่นะ!? ทำไมกันพีท จนป่านนี้แล้วเธอยัง.....” ฉันร้องตะโกนถาม

“เพราะฉันรักเธอไงล่ะพิม! ฉันอยากอยู่กับเธอตลอดไปเหมือนกับตอนสมัยยังเรียนอยู่ ฉันไม่มีวันยอมหรอกที่จะให้ใครมาแย่งเธอไป!!”

ฉันตั้งตนจะร้องไห้อีกครา ตอนนี้สามีที่ฉันรัก คนที่ฉันรัก! ก็ต้องมารับเคราะห์กรรมที่ฉันได้ทำไว้จนต้องจากฉันไปอีกคนหนึ่งแล้ว ทำไม? ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นซ้ำๆซากๆกับฉันด้วย!?

“แกร๊กๆ!” ประตูบ้านถูกเปิด ฉันหันไปมองที่ประตูทั้งน้ำตา แล้วก็ตกใจสุดขีด!!!

“โธ่.... หิวจังเลย วันนี้มีกับข้าวอะไรบ้างคุณ?” สามีของฉันเดินผ่านประตูเข้ามาหน้าตาเฉย เขาปัดหิมะบนเสื้อโค้ดออก ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งที่โซฟาหน้าทีวีอย่างเหนื่อยอ่อน! ฉันยังยืนตะลึงตัวแข็งอยู่ที่เดิม...!!

“ทำไมคุณถึง?” ฉันพูดตะกุกตะกัก ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

“จะถามว่าทำไมผมถึงกลับช้าน่ะรึ? ที่รัก...!! ก็หิมะมันตกหนักเสียขนาดนั้น ผมก็ต้องค่อยๆเอารถคลานมาสิจ้ะ แถมโทรศัพท์มือถือผมก็ดันตกหายอีกวันนี้มันซวยจริงๆ” เขาตอบแล้วก้มลงอุ้มลูกทั้งสองที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นขึ้นมานั่งบนตักคนละข้าง แล้วพยายามปลอบทั้งสองให้นิ่งเสีย “โอ๋ๆ..แล้วนี่ร้องไห้เรื่องอะไรกันหนักหนานาเล่าลูกจ๋า”

ฉันหันกลับไปพูดลงใส่หูโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา โดยพยายามไม่ให้สามีได้ยิน...!!

“หมายความว่ายังไงก็พีท เธอหลอกฉัน!?” ฉันรอคำตอบด้วยใจเต้นระส่ำ

“ว้า..! พูดอย่างนี้แสดงว่าสามีเธอกลับมาถึงบ้านแล้วรึ? ไม่สนุกเลย” เสียงพีทร้องเสียงหลงแว่วมาตามสาย มันกลับกลายเป็นเสียงพีทคนเดิมที่ฉันรู้จัก

“ฉันกำลังถามว่า นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” ฉันพูดแรงขึ้นอีก

“เอ้าๆ...ก็ได้ๆ!! ฉันยอมแพ้แล้ว เธอลืมไปรึเปล่าว่าวันนี้วันอะไร? วันนี้วันคนโง่นะจ๊ะ” พีทหัวเราะ แต่ฉันกลับหน้าหงาย..ลืมไปเลยว่าวันนี้เป็นวันโกหกแห่งโลก!!

“หมายความว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการโกหกอย่างงั้นสิ?”

“ถูกแค่ครึ่งเดียว...! อันที่จริง ฉันกะจะทำจริงๆทั้งหมดที่พูดไปนั่นเลยล่ะ!” พีทตอบมาเสียงร่าเริง แต่เสียงนั้นกลับแฝงด้วยความเด็ดขาดไว้

“หา!?” ฉันตกใจกับคำตอบนั้น

“แต่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ... พอเห็นเธอร้องไห้เพราะแคร์สามีจริงๆ ฉันเลยไม่ทำดีกว่า ยังไงๆฉันก็ยังตัดภาพเธอที่ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งในสมัยเรียนไม่ออกอยู่ดี ฉันทำให้เธอร้องไห้ไม่ได้หรอก”

“.......” ฉันพูดไม่ออก

“ถึงมันจะผิดต่อคำขอที่เราเคยขอไว้กับพระเจ้าก็ตามทีเถอะ ขอแค่ให้เธอมีความสุขดีฉันก็พอใจแล้ว....อ้อ!! เกือบลืม เธออย่าลืมไปถอนคำขอที่ขออธิฐานไว้กับพระผู้เป็นเจ้าล่ะ?”



สิ้นเสียงพูดจบพีทก็วางสายไป! ปล่อยให้ฉันเอาหูแนบกับโทรศัพท์ฟังเสียง ตื้ดๆ! นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยู่เพียงลำพัง ในขณะที่โต๊ะอาหารในครัว สามี และลูกทั้งสองกำลังเคาะช้อนส้อมประท้วงขออาหารมื้อค่ำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย.....!!





/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:13:32 น.
Counter : 448 Pageviews.  

คำสั่งฆ่านาย_ก!

คำสั่งฆ่านาย_ก!


----------------------------------------------------------
ชายคนหนึ่งแฝงตัวอยู่กลางฝูงชนชั้นอาชีพนักข่าวที่แออัดเบียดเสียดกันอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล เงาของตึกใหญ่บดบังแสงแดดแรงกล้าของยามสายไว้อย่างมิดชิด แต่เขากลับมีเหงื่อไหลแตกซิกออกมามากอย่างผิดปรกติมากกว่าคนอื่นๆ ในมือขวาของเขาเกาะกุมเทปบันทึกเสียงแบบที่นักข่าวนิยมใช่กันไว้แน่น จนเหงื่อในมือรินไหลล้นออกมาเป็นทางยาวราวกับน้ำตา..!! เขายกมือขึ้นซับเหงื่อที่ลำคอออก สายตายังคงจ้องไปที่หัวมุมถนนอย่างรอคอยอะไรบางอย่างด้วยใจจดใจจ่อ!



เมื่อวันก่อน เขายังนั่งอยู่บนชานบ้านไม้ที่เต็มไปด้วยรอยผุกร่อนตามผนัง และรูรั่วมากมายบนหลังคาสังกะสีขึ้นสนิมเก่าๆที่ใช้กันแดดยังแทบจะไม่ได้ในสวนยางเล็กๆที่จังหวัดปัตตานี เขากำลังมองดูสวนยางที่เก่าแก่กว่าอายุของเขาที่เป็นมรดกตกทอดเพียงชิ้นเดียวที่ผู้เป็นพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วเหลือไว้ให้ ต้นยางทุกต้นต่างมีริ้วรอยแห่งความสมบุกสมบันตามระยะเวลา และชรามากแล้วจนไม่ให้ยางอีก ถ้าหากเขาต้องการทำสวนยางต่อก็คงต้องลงกล้าปลูกต้นยางกันใหม่ยกแถวซึ่งมันก็ใช้เงินมหาศาล... แต่ตอนนี้เขาไม่มีเงินเลยแม้แต่ร้อยเดียว!!

มีหลายครั้งที่เขาถอดใจ จนต้องยอมเอาที่ดินสวนยางไปเป็นประกันหาทุนมาลงทุนทำต่อ แต่กลับถูกกีดกันจากแหล่งการเงินพวกนี้ เพียงเพราะเหตุผลทางด้านการนับถือศาสนาที่แตกต่างกันที่ดันมี่พื้นที่ทำกินอยู่ผิดที่ผิดทางมาอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ๆเป็นของพุทธศานิกชนเกือบทั้งอำเภอ... แค่ศาสนาต่างกัน! มันกลับทำให้เขาถูกกีดกันเหยียดหยาม ด้วยความเชื่อผิดๆของคนไทยจำนวนมากที่มีอคติกับศาสนาอิสลาม เพราะข่าวครึกโครมเรื่องความกระด้างกระเดื่องแข็งข้อกับรัฐบาลของผู้นำลัทธินิยมความรุนแรงทางศาสนาของโจรใต้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเหตุนั่นล่ะ...!

แม่ของเขาที่อุตส่าห์ทนตรากตรำทำงานมาตั้งแต่เขายังแบเบาะก็มาล้มเจ็บเสียตั้งแต่ปีก่อน หลายครั้งที่เขาเฝ้าอ้อนวอนแม่ทั้งน้ำตาให้แม่ไปหาหมอเพื่อรักษาตัว แต่แม่ก็ยังยิ้มบอกปัดมาตลอด

“อย่าเลยลูก เดี๋ยวแม่ก็หายเองนั้นล่ะ สู้เอาเงินไปซื้อข้าวให้หลานๆมันกินดีกว่าเยอะ!” ถึงสภาพของแม่เป็นแบบนี้แม่ก็ไม่เคยทำตัวเป็นภาระ ยังคงพยายามที่จะลุกขึ้นมาทำงานเล็กๆน้อยๆที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวตลอด ถึงอย่างนั้น... ข้าวสารในหม้อดินก็เกือบที่จะหมดลงแล้ว เขาต้องทนเห็นลูกๆขุดเผือกขุดมันขึ้นมากินกันนานหลายเดือน จนร่างกายของพวกเด็กๆซูบผอมเห็นซี่โครงชัดเจน ส่วนเมียของเขาน่ะรึ? ก็ทนความลำบากไม่ไหวจนหนีไปไหนแล้วก็ไม่ทราบได้ เขามองดูลูกๆที่วิ่งไล่ตามกิ้งก่าตัวเล็กๆอย่างเอาเป็นเอาตายโดยหวังให้มันกลายมาเป็นข้าวเย็นแล้วก็นึกสมเพศตัวเอง นี่ถ้าเขายังหาเงินมาจุนเจือครอบครัวไม่ได้ซักก้อน ทั้งหมดคงต้องอดตายในไม่ช้านี้...!!

“เหลิม... ไอ้เหลิมเว้ย!” อาบังเพื่อนบ้านที่ทำสวนยางใกล้ๆกันตะโกนข้ามรั้วไม้มาแต่ไกลจนทำให้เขาต้องสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์

“มีอะไรว้าบัง.. รีบร้อนจริงเทียว ไฟไหม้สวนยางมึงรึไง?” เขายังคงมีอารมณ์ขันพอที่จะตะโกนแซวด้วยรอยยิ้มมองดูอาบังที่กำลังปีนบันไดขึ้นมาอย่างยากลำบาก..!

“โกฮับเรียกมึงแน่ะ เห็นว่ามีงานจะให้ทำ” อาบังพูดเบาๆเพราะอาการหอบ เขาหูผึงทันที!

“เงินดีไหมล่ะบัง?”

“เงินดีแบบมึงไม่เคยเห็นมาก่อนเลยล่ะ... หรือมึงจะไม่ทำ?” แทนคำตอบเขาก็ลุกขึ้นกระโดไต่บันไดลงไปอย่างรวดเร็ว ที่จริงตอนนี้เขาคงไม่จำเป็นต้องถามเรื่องมูลค่าของค่าตอบแทน ถึงจะได้เพียงร้อยสองร้อยบาทก็ดีถมเถแล้วสำหรับครอบครัวเขาตอนนี้..!!



โกฮับ คือสมญานามเรียกขานเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่นี้ โกฮับเป็นที่คนต่างเกรงกลัว และทางการต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งถึงขั้นมีค่าหัวทีเดียว หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุม แล้วก็จบด้วยการคว้าน้ำเหลวทุกครั้งเพราะเกลือเป็นหนอนด้วยอำนาจของเงิน แถมชาวบ้านยังๆม่อยากให้ความร่วมมือกับทางการนัก เพราะขืนขัดใจโกฮับก็ไม่รู้ว่าตนเองกับครอบครัวจะโดนอะไรบ้าง...! ในขณะที่เขาวิ่งไปในใจก็เริ่มกังวลว่างานที่โกฮับให้ทำนั้นมันจะเป็นงานแบบไหนหนอ...!!

ที่บ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางตลาดของโกฮับ เมื่อเขาไปถึงก็ถูกเหล่าชายหน้าเหี้ยมพาเดินลงไปยังห้องที่อยู่ลึกที่สุดในชั้นใต้ดินที่ถูกขุดไว้ราวกับสนามเพลาะ มันเป็นห้องที่มีประตูเหล็กขนาดใหญ่แน่นหนาราวกับประตูเมืองในสมัยโบราณ ชายหน้าเหี้ยมชี้นิ้วบอกให้เขายืนคอยตรงนี้ก่อนที่จะเคาะประตูหลายครั้งสั้นบางยาวบ้างราวกับสัญญาณ ซักครู่ก็มีเสียงเคาะตอบจากข้างในแล้วประตูเหล็กนั้นก็ค่อยๆเปิดออก!

วินาทีแรกที่ประตูถูกแง้มออกมา สิ่งที่ปรากฏนำออกมาก่อนเลยคือควันบุหรี่ที่พุ้งกระจายเหมือนกับกำลังมีอะไรไหม้อยู่ข้างใน ในห้องมืดสลัวส่วนมาก โดยมีเพียงแสงไฟหลักจากหลอดไฟบนหัวของโกฮับที่นั่งอยู่เด่น และเต็มไปด้วยอำนาจอยู่ที่หัวโต๊ะไม้แบบกลตัวใหญ่ ที่เก้าอี้รอบๆโต๊ะยังมีคนนั่งอยู่อีกสี่ถึงห้าคน แต่ทุกคนซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืดทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นหน้าคนพวกนั้นได้ถนัด!!

“ก่อนอื่นต้องขอแนะนำพระเอกในงานนี้ก่อน...มันชื่อไอ้เหลิม!” โกฮับพูดเสียงดัง ทุกคนในห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน

“แล้วจะไว้ใจมันทำงานใหญ่อย่างนี้ได้รึ...ท่าทางมันยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยซ้ำ?” เสียงจากชายคนใดคนหนึ่งที่ซ่อนหน้าอยู่ในเงามืดถามขึ้น

“แต่งานนี้เราต้องการคนที่ยังไม่เคยมีประวัตินะ.....!” โกฮับพูดขัดขึ้น

“เอ่อ...งานอะไรฉันก็ทำได้จ้ะ ขอเพียงพวกพี่เอ่ยปากมา” เหลิมเริ่มร้อนรน เขาจำเป็นต้องได้งานนี้เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว.... ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นงานอะไรก็ตาม!!

สิ้นคำ ทุกคนในห้องก็จ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนพ่อค้าขายเนื้อกำลังประเมินราคาของวัวตัวหนึ่ง เหลิมรู้สึกอึดอัดจากสายตาเหล่านั้นจนอยากวิ่งหนี เงียบกันไปครู่หนึ่งเสียงที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มจึงกล่าวขึ้นว่า ..

“ดี! งั้นกูให้เพิ่มอีกยี่สิบล้านบาทก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็โยนเงินเป็นฟ่อนไปยังกลางโต๊ะไม้ เหลิมตาโตเกิดมาจากทองพ่อท้องแม่เขาไม่เคยเห็นเงินจำนวนขนาดนี้มาก่อน

“เอาจริง หรือพี่?” ชายในเงามืดอีกคนถาม

“เออ..!! ถ้าไอ้บ้านั่นยังอยู่ในตำแหน่ง พวกเราก็ยังทำธุรกิจกันไม่ได้.. เสียเพิ่มอีกนิดอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป” โกฮับพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะหันมาเรียกเขาเข้าไปใกล้ๆ

“ทั้งหมดนี่เป็นของมึง.....” โกฮับคลี่หอผ้าที่กองไว้กลางโต๊ะออกเผยให้เห็นธนบัตรเป็นปึกๆ เขาตาลายกับจำนวนเงินที่ประเมินค่าด้วยสายตาไม่ได้เหล่านั้น จนมือที่สั่นระริกค่อยยื่นไปยังกองธนบัตรบนโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว..... แต่ถูกโกฮับจับข้อมือไว้ก่อน! เขาจึงพึ่งรู้สึกตัว

“แต่.. มึงต้องทำงานให้พวกกุก่อน ตอนนี้เอาไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเดี๋ยวพวกกุเอาไปให้ครอบครัวมึงให้ตอนเสร็จงาน”

“แล้วมันเป็นงานอะไรหรือพี่?” แทนคำตอบโกฮับดึงเอาซองใส่อกสารสีน้ำตาลส่งให้เขาพร้อมกับห่อผ้าที่มีเงินกึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะส่งเขาให้กลับบ้านไปก่อน ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากคืนนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้าน เขาต้องรีบพาแม่ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลประจำจังหวัด และหาอาหารดีๆพร้อมเสื้อผ้าสวยๆไปฝากลูกๆของเขาซักชุด เพื่อรอยยิ้มของครอบครัวที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายปีเสียก่อน.... งานมันจะเป็นอะไรก็ช่าง อย่างน้อยตอนนี้มันทำให้ครอบครัวของเขารอดพ้นจากวิกฤติไปก่อนเป็นใช้ได้..!



งานของเขาที่ถูกระบุไว้ในซองสีน้ำตาล คือการให้เข้ามาปะปนอยู่กับฝูงชนในวันนี้นั่นเอง หลายครั้งที่เขาหยิบเอารูปถ่ายจากในซองสีน้ำตาลที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับเป็นการภาวนาให้เป็นภาพลวงตาที่เขาตาฝาดไปเอง แต่ดูกี่ครั้งๆ มันก็ยังเป็นรูปถ่ายด้านข้างของผู้นำประเทศคนหนึ่งที่เขาเห็นในข่าวทีวีเป็นประจำ.... เขากลืนน้ำลายเสียงดัง หากเขาไม่ทำงานนี้ก็ไม่รู้จะหาเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนได้อีก อย่างน้อยมันก็ทำให้ครอบครัวเขามีกินไปทั้งชาติ ถึงแม้เขาจะไม่ต้องกลับไปดูแลก็ตามที!

อยู่ๆฝูงชนที่เขาแฝงตัวอยู่ก็มีท่าทางแตกตื่น เมื่อรถเบนซ์คันงามสีดำขวับค่อยๆเขามาจอดเทียบที่หน้าตึกทำเนียบรัฐบาล ยิ่งเมื่อชายในชุดสูทสีเทาก้าวลงจากรถ นักข่าวทุกคนก็ยิ่งพยายามแทรกกันไปอยู่เบื้องหน้าให้ใกล้ชายคนนั้นให้มากที่สุดพร้อมกับไมค์ในมือ ตำรวจสองสามนายเดินไปมาดูลาดเลาของฝูงชนอยู่ห่างๆ .... การเบียดเสียดพวกนั้นมันกลับทำให้เหลิมเอง หลุดเข้าไปยืนอยู่ข้างหน้าสุดได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว... เขาเริ่มรู้สึกประหม่าเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

“เข้าไปให้ใกล้เป้าหมายให้มากที่สุด แล้วกดสวิทย์สีแดงที่เครื่องเล่นเทป!”

เขาท่องคำสั่งง่ายๆนั้นในใจซ้ำๆไปมา มันเป็นงานง่ายๆ แต่เขาไม่ต้องการให้มันผิดพลาดง่ายๆตามไปด้วย ฝูงชนข้างๆเขายังคงพยายามยิงคำถามเกี่ยวกับการเมือง เศรษญกิจ และการปกครองกันอย่างหูดับตับไหม้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงบ่นพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้สนใจคำตอบจากปากของชายในชุดสูทสีเทา

“เอาอย่างนี้! ผมจะตอบทีละคำถาม... เริ่มจากคำถามของคุณก่อนก็แล้วกัน?” ชายในชุดสูทสีเทาชี้มายังเขา เหลิมตกใจที่อยู่ๆก็ถูกเลือกให้ถาม แต่มันก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะเขยิบเข้าไปใกล้เป้าหมายให้ใกล้ได้อีกนิดโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกต

“ท่านมีนโยบายในการแก้ปัญหาความยากจนในอนาคตอย่างไรครับ?” เขาพยายามพูดเลียนแบบให้เหมือนกับพวกนักข่าวในทีวีชอบพูดกัน หลังจากนั้นชายในชุดสูทสีเทาก็เริ่มตอบอย่างยืดยาว โดยที่คำพูดสำคัญๆที่ออกมาจากปากเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องที่บอกว่า “ผมจะสร้างนั่น สร้างนี่” นักข่าวโดยรอบจดบันทึกกันอย่างสนใจในรายละเอียด มีแต่เขาคนเดียวที่ยืนนิ่ง เพราะรู้ว่าสิ่งที่ชายในสูทสีเทาพูดมันลวงโลกจนอยากจะอ้วก!! แก้ปัญหาความยากจนบ้าอะไร? ครอบครัวเขาจนขนาดไม่มีกินมานานหลายปียังไม่เห็นมีหมาที่ไหนมาช่วยเลยซักตัว... อยู่ๆเขาก็รู้สึกเลือดขึ้นหน้า!

“ขอถามอีกคำถามหนึ่งเป็นคำถามสุดท้ายครับ!” เขาพูด แล้วแค่นยิ้มอย่างเย็นชา

“ว่ามาเลยครับ...” ชายในชุดสูทสีเทาพูดอย่างอารมณ์ดี เขาคงรู้สึกดีแน่นอนล่ะหลังจากที่ได้พูดออกอากาศสร้างภาพตัวเองให้ดีขึ้น เหมือนกับเป็นวีรบุรุษที่พึ่งแก้ไขความยากจนของประเทศไปหมาดๆ

เหลิมรวบรวมความกล้าอยู่ครู่หนึ่ง จนคนข้างๆทนไม่ได้ต้องสะกิตกระตุ้น เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยว่า “ท่านอยากจะทำอะไรก่อนตาย?” เท่านั้นล่ะ! ชายในชุดสูทสีเทาก็หน้าซีด เมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะของเหลิมที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายประดังเข้ามา เขายกเครื่องเล่นเทปขึ้นมาจ่อที่หน้าของชายในชุดสูทสีเทา แล้วบรรจงกดปุ่มสีแดงด้วยนิ้วโป้งอย่างช้าๆ!!

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนรอบข้าง เขาเห็นตำรวจในเครื่องแบบสองสามนาย กำลังกระโจนเข้ามาที่ตัวเขาด้วยใบหน้าที่หวาดกลัวสุดขีด....!!

“กริ๊ก..!!” ปุ่มสีแดงถูกกดลงจนสุด แล้วทุกอย่างก็มืดมิดและเงียบเสียงลง พร้อมกับการปรากฏรอยยิ้มแวบหนึ่งที่มุมปากของหนุ่มใต้ ผู้มีราคาชีวิตถึงหลายสิบล้านบาทผู้นี้!!



รุ่งเช้าวันต่อมา โกฮับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ณ ห้องใต้ดินที่เดิม พออ่านจบเขาก็พับครึ่งแล้วโยนมันไปกองอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ก่อนที่จะกวัดมือเรียกลูกน้องที่เฝ้าประตูให้เข้ามารับเอาซองกระดาษที่มีเงินปึกใหญ่อยู่ข้างใน

“เอาไปให้ครอบครัวไอ้เหลิมมัน!” โกฮับสั่งย้ำ ก่อนที่ลูกน้องคนนั้นจะรีบออกไปจากห้องทันทีตามคำสั่ง

“งานสำเร็จรึพี่?” ชายอีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งนับเงินอยู่บนโต๊ะร้องถามด้วยความตื่นเต้น

“เปล่า.. พลาด!” โกฮับพูดเรียบๆ ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย

“อ้าว.. ทำไมเป็นอย่านั้นล่ะ?” ชายหนุ่มร้องอย่างตกอกตกใจ แทนคำตอบโกฮับหยิบหนังสือพิมพ์โยนข้ามโต๊ะไปให้เขา “มึงลองอ่านหน้าหนึ่งดู” ที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พาดหัวเป็นตัวใหญ่ที่สุดในรอบปี มันเขียนไว้ว่าอย่างชัดเจนว่า

“นายกทักษะรอดปาฏิหาริย์... มือระเบิดด้านลอยนวล!”

ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก... โกฮับชักเริ่มรำคาญ เลยอธิบายให้มันฟังอย่างสิ้นเรื่องสิ้นราวไป!

“เออ.. ไอ้เหลิมมันไม่ได้พลาด แต่ที่พลาดน่ะมันเป็นอุปกรณ์ที่เราให้มันไปเสือกไม่ดี เพราะงั้นมันก็ยังคงสมควรจะได้ค่าจ้างเต็มๆ เพราะมันทำงานของมันสำเร็จ ถึงผลลัพธ์มันจะไม่โอเคก็ตามที”

“แล้วพี่จะเอายังไงต่อ?” โกฮับหัวเราะเสียงดัง เหมือนเห็นคำถามนั้นเป็นเรื่องขบขัน

“ไม่เห็นเป็นไร.. คราวหน้าค่อยเอาใหม่ เงินสนับสนุนจากประเทศเรายังมีอีกตั้งเยอะ! ตราบใดที่คนไทยมันยังคงยอมรับงานแบบนี้ไปฆ่ากันเอง อีกไม่นานหรอก.. ดวงถึงฆาตของไอ้นายกฯนี่มันก็ต้องมาถึงเองซักวันล่ะน่า!”

ชายหนุ่มมองดูโกฮับด้วยความนับถือ ก่อนที่จะกวาดเครื่องกระสุนที่สะสมไว้อย่างมากมายบนโต๊ะลงในหีบเหล็ก อีกไม่นานกระสุนปืนและอาวุธสงครามมากมายเหล่านี้ คงจะถูกนำออกไปแจกจ่ายให้เหล่าเพื่อนอิสลามผู้ร่วมอุดมการณ์จำนวนนับไม่ถ้วน ที่แฝงตัวกระจัดกระจายกันอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้ในการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบของชาติต่อไปอย่างต่อเนื่องตราบที่คนไทยยังไม่หันกลับมามองปัญหาในจุดเล็กๆ และแก้ไขด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง อีกนานเท่านาน...!!





/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:12:50 น.
Counter : 317 Pageviews.  

แสงสว่างสุดท้าย

แสงสว่างสุดท้ายของชายแว่นดำ



__________________________________________“กรุ๊งกริ๊งๆๆ.......!” กระดิ่งที่ถูกผูกไว้กับบานประตูส่งเสียงเตือนเจ้าของร้านทุกครั้งที่มีลูกค้ารายใหม่ก้าวเข้ามาในร้าน มันเป็นสัญญาณบ่งบอกให้เจ้าของร้านในเคาเตอร์หันไปยิ้มและกล่าวสวัสดีกับผู้มาใหม่อย่างเป็นกันเอง ตอนนี้ร้านกาแฟแห่งนี้ต่างเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอาหารและหลบร้อนจากแสงแดดที่ส่งแสงแรงกล้ายามเที่ยงวัน... และที่สำคัญรสชาติอาหารของร้านแห่งนี้เป็นที่ถูกปากทุกชนชั้น ยิ่งบวกกับรสชาติของกาแฟแสนกลมกล่อมรสชาติเยี่ยมของเจ้าของร้านแล้ว จึงทำให้ร้านทั้งร้านแทบจะเบียดเสียดไปด้วยลูกค้าที่เข้ามาลิ้มลองกันอย่างแน่นขนัดทุกๆวัน..



วรวิทย์ขับรถเปิดประทุนสีแดงสดของเขามาจอดที่ริมฟุตบาทเบื้องหน้าร้านนั้น เขามองเข้าไปในร้านดูฝูงชนที่เนืองแน่นภายในด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ สำหรับตัวเขาแล้วร้านกาแฟร้านนี้ก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเขา เพราะเขาใช้บริการร้านนี้เป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่วันนี้เขามีธุระเลยทำให้มาที่นี่ช้าจนเวลาปาเข้าไปถึงช่วงคนพักกลางวันแล้ว... มองเข้าไปยังดูไม่ออกว่าจะมีที่ให้นั่งหรือเปล่า แต่ว่าไหนๆเขาก็อุตส่ามาแล้วอย่างน้อยก็ต้องลองเข้าไปดูก่อน....

เขาเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อนด้วยอากาศร้อนจัด แต่พอสัมผัสกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ และกลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่นยั่วยวนอาการเหนื่อยล้านั้นก็แทบจะมลายหายไปในทันที เขาพยายามมองหาโต๊ะที่ว่างๆนั่งพอดีกับที่เจ้าของร้านหันมาเจอเขาเข้าพอดี..

“อ้าว... สวัสดีครับวิทย์ วันนี้มาช้าจังนะครับ?” เจ้าของทักเขาอย่างเป็นกันเอง

“ครับ!..พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะครับเลยมาช้า ว่าแต่มีที่นั่งว่างเหลือไหมครับ?” เขายังคงมองไปมาหาที่นั่ง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรที่นั่งก็เต็มหมดแล้ว.... เจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจาก เคาเตอร์ชงกาแฟมองไล่หาที่นั่งว่างจากแถวหน้าสุดไปยังหลังสุด... ในที่สุดก็เจอที่ว่างที่หนึ่ง!!

“นั่งรวมกับคนอื่นได้ไหมครับ คุณวิทย์?” เจ้าของร้านหันกลับมาถาม

“อ๋อ.. ได้ครับไม่มีปัญหา” เขาไม่ใช่คนถือตัวอยู่แล้ว การนั่งกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจเลยสำหรับเขา

“ซักครู่นะครับ.... คุณปิยะครับ คุณปิยะ?” เจ้าของร้านตะโกนข้ามฝูงชนไปยังชายที่สวมแว่นดำสนิทที่นั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะข้างบานกระจกติดเบื้องนอก เขาเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงหันหน้ามาตามเสียงเล็กน้อยก่อนตอบว่า

“ครับ.มีอะไรหรือครับ?”

“คือที่นั่งมันเต็มน่ะครับ..... ขอให้คุณวิทย์นั่งร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมครับ?” เจ้าของร้านยังคงป้องปากตะโกนแข่งกับเสียงฝูงชนในร้านที่ส่งเสียงคุยกันดัง หากพูดด้วยเสียงธรรมดาๆแล้วคงไม่มีทางที่จะสื่อสารกันรู้เรื่อง

“เชิญครับ!” ชายแว่นดำยิ้มกว้าง พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญอย่างสุภาพ

“ขอบคุณครับ” วรวิทย์ทรุดตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้าตรงข้ามกับชายแว่นดำ เมนูแนะนำอาหารของร้านวางอยู่บนโต๊ะอยู่แล้ว แต่เขาไม่จำเป็นที่ต้องพลิกมันขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงเสียเจ้าของร้านก็จำเมนูอาหารที่เขาชอบทานเป็นประจำไว้หมดแล้ว

เขาละสายตาจากเมนูนั้นมามองที่ชายแว่นดำเบื้องหน้า ชายแว่นดำยังคงนิ่งเงียบเหมือนเหมือนกับหุ่นโชว์ตัวหนึ่ง เขายังคงมองดูชายแว่นดำจนเวลาผ่านไปนานลูกค้าก็ค่อยๆทยอยออกไปจากร้านแต่ชายแว่นดำก็ยังคงนิ่งเฉย วรวิทย์ยกนาฬิกาข้อมือยี่ห้อสุดหรูราคากว่าครึ่งล้านขึ้นมาดู มันบอกเวลาว่าตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว... น่าแปลก! ทั้งๆที่คนอื่นๆเริ่มออกจากร้านไปทำงานตอนบ่ายแล้ว เช่นนั้นทำไมชายแว่นดำคนนี้ยังคงนั่งดื่มกาแฟอย่างเงียบๆโดยไม่มีทีท่าเร่งร้อนไปทำงานบ้างเลย

“คุณไม่ไปทำงานหรือครับ?” อยู่ๆชายแว่นดำก็เอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ

“อ๋อ... ยังล่ะครับ งานของผมมันต้องรอให้เขาโทรมาเรียกถึงจำเป็นต้องเข้าไปน่ะครับ” เขาตอบ ก็แน่ล่ะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ถึงนั่งเฉยๆไม่ต้องทำงานก็มีกินไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว

“ถ้าเช่นนั้นคุณคงรวยมากเลยสินะ?” ชายชุดดำยิ้ม

“ครับ... แต่คุณทราบได้อย่างไร?” เขาตอบ แต่คิดดูถูกในใจว่าถ้าแค่เห็นเสื้อผ้า รถยนต์ และนาฬิกาเครื่องประดับในตัวเขาแล้ว ใครมันก็ต้องรู้ว่าเขารวย.... หมอนี่ถามอะไรแปลกๆ!!

“ผมได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากตัวคุณ” ชายแว่นดำตอบ เล่นเอาเขางง!!... ชายแว่นดำเป็นคนแรกที่พูดทักเขาเรื่องน้ำหอมไม่ใช่เรื่องเครื่องแต่งกายประดับประดาภายนอก เรื่องน้ำหอมนี่ขนาดแฟนของเขายังไม่รู้เลยว่าเขาใส่น้ำหอม....!

“คุณอย่าได้สงสัยอะไรมากเลย... ผมเพียงแค่จมูกดีกว่าคนอื่นก็เท่านั้นเอง” ชายแว่นดำกล่าวเหมือนอ่านใจเขาได้ ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกทึ่งในตัวชายแว่นดำผู้นี้มากขึ้นยิ่งไปอีก

“ท่าทางวันนี้คุณเหนื่อยนะครับ?” ชายแว่นดำกล่าวและยิ้มให้ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสนิทเหมือนมองข้ามหลังวรวิทย์อยู่ตลอดเวลา

“ครับ... ช่วงนี้แฟนผมเค้าอยากให้ผมเอาใจมากไปหน่อย... ก็แบบว่าต้องคอยไปรับไปส่ง พาไปเที่ยวดูหนังซื้อของอะไรพวกนี้น่ะครับ... นี่ผมก็พึ่งจะได้ปลีกตัวว่างมาที่นี่ล่ะครับ” เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาดที่ได้ระบายเรื่องราวต่างๆให้ชายแว่นดำผู้นิ่งสงบผู้นี้ฟัง

“แฟนคุณคงน่ารักมากสินะครับ... ถึงทำให้คุณรักได้ขนาดนี้?”

“ครับ... ผมรักเธอมากทีเดียวล่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่วิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมเคยเจอ ทั้งสวยน่ารัก แถมเรียนมาสูงมีหัวคิดที่ทันสมัยอีกด้วย..... เอ่อ..คุณจะลองดูรูปเธอไหมล่ะครับ?” เขาพูดจบก็ทำท่าจะล้วงเอารูปแฟนสาวออกมาจากกระเป๋าสตางค์... แต่ชายแว่นดำยกมือขึ้นห้ามไว้!!

“ขอโทษครับ..!! แต่ผมว่าผมไม่ดูจะดีกว่า” ชายชุดดำยิ้ม

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ” มาถึงตอนนี้วรวิทย์พึ่งนึกสมเพศตัวเองขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่น่าเอามาอวดกันเลยแม้แต่น้อย วันนี้เขาเป็นอะไรไปนะถึงช่างจ้อถึงแฟนสาวและอยากอวดเธอให้ใครๆรู้จักเสียจริงๆ...

“ปี๊บ...บ!!” โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะของเขาโชว์สายเรียกเข้าบ่งบอกว่าที่บริษัทต้องการตัวด่วน...

“ขอโทษนะครับ ผมมีธุระด่วนต้องขอตัวก่อน” ชายแว่นดำพยักหน้าให้เป็นเชิงตอบรับ ก่อนที่วรวิทย์ที่เร่งร้อนจะรีบขับรถคันงามนั้น บ่ายหน้าเข้าสู่ถนนใหญ่มุ่งเข้าสู่ตึกสูงเสียดฟ้า ณ ย่านใจกลางกรุงอย่างว่องไว...

วันถัดมาวรวิทย์มาถึงที่ร้านเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อเขาเข้ามาในร้านก็พบว่าชายแว่นดำได้เข้ามานั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว แม้ว่าเก้าอี้ทุกตัวในร้านจะว่างเกือบหมดเพราะยังไม่ถึงเวลาพักกลางวันของพนักงานบริษัทรอบๆ แต่เขาก็ยังจงใจที่จะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับชายแว่นดำ.

“สวัสดีครับคุณวรวิทย์ วันนี้มาเร็วนะครับ?” ชายแว่นดำเอ่ยทักเมื่อเขาทรุดตัวนั่งลง

“ครับสวัสดี... แหม! ก็ผมกลัวว่าวันนี้ลูกค้าจะเต็มร้านเสียก่อนก็เลยรีบมา ผมเองก็นึกว่าจะมาถึงเป็นลูกค้าคนต้นๆของร้านในวันนี้แล้ว แต่คุณนี่ก็ยังอุตส่ามาเร็วกว่าผมอีกนะนี่... อย่างนี้ผมก็เสียแชมป์แล้วสิ.!!” เขาแหย่ และชายชุดดำก็หัวเราะในมุขนั้น

“ผมก็มาอยู่ที่ร้านนี้ตั้งแต่สายๆทุกๆวันล่ะครับ เพียงแต่คุณไม่สังเกตเห็นเท่านั้นเอง” ชายแว่นดำพูดจบก็ใช้มือคลำไปมาหาถ้วยกาแฟเย็นจนเกือบจะกระแทกมันหล่นลงจากโต๊ะ วรวิทย์เริ่มสงสัยในพฤติกรรมนั้น..!!

“เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณทำงานอะไรหรือจึงได้ว่างตอนช่วงกลางวันแบบนี้ทุกๆวัน.. หรือว่าคุณเป็นพวกนักเขียนนวนิยาย?” เขาแปลกใจในตัวชายชุดดำจริงๆจึงลองถามดู

“เปล่าครับ!.... ผมเป็นครูสอนดนตรี” ชายชุดดำวางแก้วกาแฟลง

“อ้อ..!!” เขาหายสงสัย

“ผมทำงานตอนกลางคืนครับ สอนดนตรีให้กับพวกที่เขารักจะเรียนทางด้านนี้ในสถาบันสอนดนตรีที่หนึ่ง... ที่จริงสอนตอนไหนก็ไม่ต่างกันหรอกครับสำหรับผมน่ะ แต่คนที่เรียนส่วนใหญ่เขาเป็นพวกเด็กนักเรียน พวกเขาเลยจะว่างตอนค่ำๆมากกว่า...” เขาหัวเราะ

“แต่ตอนกลางวันมันร้อนจนทนนอนไม่ไหว ผมเลยออกมานั่งที่นี่เกือบทุกวันรอเวลาทำงานน่ะครับ..!!” ชายแว่นดำพูดจบก็ก้มลงไปล้วงเอากล่องใส่แซคโซโฟนขึ้นมาจากใต้โต๊ะขึ้นมาอวดเขาด้วยความภูมิใจ ในขณะที่เขาก็ทึ่งพอกันเพราะเขาแทบจะไม่มีเพื่อนที่จะสามารถเล่นดนตรีได้เลย ทุกคนจะสนใจแต่เรื่องหุ้นหรือไม่ก็เรื่องกอล์ฟเท่านั้น...

“วันนี้ไม่ไปรับแฟนหรือครับ?” ชายแว่นดำถาม

“วันนี้ผมนัดเขาไว้ที่นี่ครับ... แต่เดี๋ยวเขามาก็คงต้องพาไปเที่ยวอีกแล้ว เฮ้อ... ผู้หญิงนี่ก็น่าเบื่อนะครับ ไม่รู้ชอบซื้อของอะไรกันนักกันหนา?” เขาท่าทางเหนื่อยจริงๆโดยไม่ได้พูดเล่น

“ทำงานยังไม่เหนื่อยเท่าสินะครับ.!” ชายแว่นดำหัวเราะ

“ครับ... ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” มันเป็นความจริงที่เขารับมือแฟนสาวได้ยากกว่าการทำงานเสียอีก เธอเป็นคนที่สวยมากนั่นทำให้เขาไม่อาจที่จะปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปได้นานเพราะกลัวว่าจะมีใครแอบมาเป็นกิ๊กตอนที่เขาไม่เห็น ยิ่งเธอเป็นลูกคุณหนูแบบรั้นและเอาแต่ใจแบบเด็กๆ บวกกับการชอบซื้อโน้นซื้อนี่แบบไม่เคยพอมันเลยกลายเป็นการทำให้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจแบบสุดๆ ถึงเรื่องเงินมันจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาต่อให้ราคาหลักหมื่นหลักแสนก็ตาม เขาสมารถยอมจ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องลังเลซักนิด แต่ความอ่อนล้าสะสมที่เผาผลาญร่างกายนี่สิมันจะทำให้เขาตาเหลือกอยู่มะรอมมะล่อแล้ว...

จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินคำว่ารักเขาออกจากปากของแฟนสาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูๆแล้วเหมือนเธอจะหลงรักสินค้าที่เขาซื้อให้มากกว่าตัวเขาเสียอีก..!!

“แล้วแฟนคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ...?” เขาลองถามชายชุดดำเพื่อไล่ความคิดงี่เง่าออกจากหัวตัวเองบ้าง

“ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะผมไม่เคยเห็นหน้าเธอ!!” ชายชุดดำตอบเรียบๆ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นมุขของชายชุดดำจนเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกทีคิดยังไงมันก็ไม่ใช่มุขแถมถูกพูดออกมาอย่างจริงจังอีก.... เขาไม่กล้าซักต่อ คนบ้าที่ไหนไม่เคยเห็นหน้าแฟนตัวเอง??

“ผมบอกกับคุณได้เพียงแค่ว่าเธอเป็นคนดีครับ เป็นคนดีมากที่ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นและมีอยู่ได้... และรักในตัวตนของผมจริงๆ เท่านี้ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ..!” ชายแว่นดำยิ้ม

“อ้อ... ครับ ท่าทางคุณคงรักแฟนคุณมากเลยนะครับ?” เขาถามต่อ

“แน่นอนครับ!!” ชายแว่นดำยังคงยิ้มโชว์ฟันขาววับครบทั้งสามสิบสองซี่....

พวกเขายังคงนั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆอย่างเรื่อยเปื่อย หากใครที่เดินผ่านไปมาไม่รู้จักเขาทั้งสองดีแล้ว คงจะคิดเอาเองว่าทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้พบกันนานเสียหลายปีจนต้องถามไถเรื่องราวกันอย่างเนิ่นนานเช่นนี้ พอวรวิทย์เผลอมองออกไปข้างนอกหน้าต่างก็พบว่าบัดนี่ท้องฟ้าได้มืดลงเสียแล้ว..

“เย็นป่านนี้แล้วหรือนี่!.... วันๆหนึ่งนี่มันทำไมผ่านไปไวเหลือเกิน?” เขาพึมพำเมื่อเห็นฟ้าเริ่มมืด

“ขอโทษครับ.. ไม่ทราบว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ?” ชายแว่นดำถาม ท่าทางที่นิ่งเฉยนั้นกลับปรากฏความร้อนใจ ท่าทางเช่นนี้ใครๆก็เดาออกว่าชายแว่นดำกำลังคอยใครอยู่แน่ๆ... เขาแอบชื่นใจเล็กน้อยเพราะอย่างน้อยชายชุดดำก็ไม่ถึงขนาดที่นิ่งเป็นท่อนไม้ที่ไม่ว่ายังไงก็นิ่งอย่างนั้น..

“จะหนึ่งทุ่มแล้วครับ... หื๋อ! เดี๋ยวได้เวลาที่แฟนผมจะมาหาที่นี่แล้วนี่นา แล้วคุณรอใครอยู่รึเปล่าครับ?” เขาลองถามดู ตั้งใจไว้ว่าถ้าชายแว่นดำไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาจะได้แนะนำแฟนสาวให้รู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ของเขาเสียเลย..

“ผมก็รอแฟนอยู่เหมือนกันครับ.. อีกซักครู่คงจะมารับผมแล้ว คือ..ได้เวลาทำงานของผมแล้วน่ะครับ!” ชายแว่นดำยิ้มท่าทางมีความสุข วรวิทย์คิดในใจว่าเขาทั้งสองมีจุดที่เหมือนกันมากมาย แถมรสนิยมในการคุยก็เป็นไปในทำนองเดียวกันจนเขาอยากรู้จริงๆว่ารสนิยมการชอบผู้หญิงจะเป็นแนวเดียวกันหรือไม่เขาอยากรู้จริงๆ?... เวลาผ่านไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมงจึงได้มีใครบางคนเปิดประตูร้านก้าวเข้ามา

“กรุ๊งกริ๊งๆ.........!!” เสียงกระดิ่งที่ดังสะท้อนตามหน้าที่ของมัน ร่างๆนั้นเดินผ่านเจ้าของร้านที่กำลังกล่าวทักทายอย่างไม่ใยดีในตัวเจ้าของร้านแม้แต่น้อย ร่างนั้นตรงมาที่โต๊ะของทั้งสองอย่างรวดเร็ว... ชายแว่นดำหันหูไปทางทิศทางที่เสียงฝีเท้านั้นก้องมาด้วยความหวัง แต่พอได้ยินเสียงส้นสูงที่กระทบกับพื้นกระเบื้องใกล้เข้ามาเขาก็นั่งนิ่งลงเหมือนเดิมด้วยท่าทางเสียดาย... จนในที่สุดร่างนั้นก็มายืนเท้าสะเอวอยู่ที่ริมโต๊ะของทั้งสอง..

“มานานแล้วหรือคะที่รัก?” หญิงสาวในชุดรัดรูปทันสมัยโชว์เนื้อหนังราคาสุดที่จะใช้สายตาประเมินได้ยืนยิ้มอย่างดัดจริตอยู่ข้างทั้งสองด้วยน้ำเสียงออดอ้อน....

“ไม่นานหรอกจ้ะ.... อ้อ! นี่เพื่อนพี่ชื่อ.........” วรวิทย์พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกหญิงสาวตัดบทสนทนาแบบไม่สนใจซักนิด..

“ยี๊!!!!....... ร้านนี้สกปรกจังเลยนะคะ ทำไมวิทย์ไม่เลือกร้านให้ดีกว่านี้หน่อยคะ ดูสิคะเก่าซ่อมซ่อจะตาย ถ้าเสื้อผ้าชั้นติดฝุ่นสกปรกไปละก็แย่เลยนะนี่..!” เธอกวาดสายตาไปมามองทั้งร้านที่เริ่มเก่าเพราะเปิดทำกิจการมานาน ในขณะที่เจ้าของร้านที่ได้ยินประโยคสนทนาทุกคำกำลังเหล่สายตามาที่เธออย่างไม่สบอารมณ์... เขาเริ่มอึดอัด เขาอยู่ที่ร้านนี้เป็นประจำตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง แต่ตอนนี้หญิงสาวสุดที่รักของเขากำลังจะทำลายความสัมพันธ์ที่มีมานนานนี้ให้สะบั้นไป....!!

“แล้วใครล่ะคะนี่?” เธอทำเหมือนพึ่งจะเห็นชายแว่นดำมาปรากฏขึ้นในสายตา.... ชายแว่นดำยิ้มให้..

“เพื่อนพี่เองจ้ะ...” วรวิทย์รับคำ แต่พอจะเอ่ยปากพูดต่อก็โดนขัดบทสนทนาอีก

“หื๋อ....! นี่พี่วิทย์มีเพื่อนเป็น นักดนตรีข้างถนน ด้วยเหรอคะเนี่ย...... ไม่ยักกะเคยทราบ?” หญิงสาวยิ้มให้ชายแว่นดำแววตาของเธอแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันดูหมิ่น ถ้าประเมินจากสายตาของเธอแล้ว เสื้อผ้าที่ชายแว่นดำสวมใส่ทั้งตัวราคาคงไม่ถึงหนึ่งในพันของแม้แต่กระโปรงที่เธอใส่.... ในขณะที่วรวิทย์แทบอยากจะวิ่งพล่านไปมาในร้านเพราะอารมณ์สุดกลั้นที่เห็นเธอกำลังตอกย้ำและทำลายมิตรภาพที่พึ่งงอกเงยของเขากับเพื่อนใหม่คนนี้ นี่ถ้าเขานั่งสลับที่กับชายแว่นดำให้เขากลายเป็นคนจนๆที่ไร้แม้เศษสตรางค์ เขาก็คงจะถูกเธอเหยียบย่ำไม่ต่างกัน...เขาชักหวั่น!!

“ครับ ผมเป็นนักดนตรีข้างถนนมาก่อน คุณทราบได้อย่างไร?” ชายแว่นดำยิ้มกว้างอย่างไม่ถือสา แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกขัดใจ วรวิทย์เองที่ได้แต่ฟังบทสนทนาอยู่นิ่งๆนั้นเริ่มที่จะอยากเชียร์ชายแว่นดำจากใจ... แต่แล้วความสนใจของเขากลับไปหยุดอยู่ที่หมาพันทางตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างข้างนอกนี้ มันนั่งสองขาแลบลิ้นมองดูพวกเขาอย่างสงบนิ่ง.... ไม่สิบอกว่ามันมองชายแว่นดำจะถูกกว่า..!!

“ก็ยังดีที่รู้ตัว!!” เธอพูดงอนๆเหมือนอยากให้วรวิทย์ช่วย แต่ตอนนี้เขาสนใจที่จะหยอกล้อหมาที่มานั่งข้างหน้าต่างมากกว่าเธออีก มันมีปลอกคอสีแดงด้วยแสดงว่ามันต้องมีเจ้าของ... ในตอนนั้นเองที่ประตูร้านที่ปิดนิ่งก็ถูกเปิดออกอีกคราหนึ่ง.... ทุกคนในร้านหันไปมองที่ประตูเห็นผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นผู้หญิงที่อวบอ้วนหน้าตาอัปลักษณ์เดินเข้ามาในร้าน หญิงอ้วนกล่าวทักทายเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเองและสุภาพก่อนที่จะเดินตรงมาที่พวกเขา

“ยี้....!!” หญิงสาวร้องเบาๆแล้วพยายามเขยิบกายหนีห่างจากหญิงอ้วนคนนั้น ยิ่งเธออ้วนเดินเข้ามาใกล้ๆหญิงสาวก็แทบที่จะอยากวิ่งหนี เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิงและฝ้าดำ เครื่องแต่งกายของเธอก็เชยๆหาได้เริดหรูเหมือนของหญิงสาวไม่ ขนาดวรวิทย์ที่พึ่งหันกลับมามองยังเผลอตะลึงตาค้างไปอีกคน.. แต่ชายแว่นดำกลับยิ้มกริ่มตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงอ้วนเข้ามาในร้านแล้ว!!

“ได้เวลาทำงานแล้วค่ะปิยะ!” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานผิดกับหน้าตาทันทีที่มาถึงที่โต๊ะ จนวรวิทย์เองยังอดที่จะรู้สึกประทับใจในเสียงพูดนั้นไม่ได้... ชายแว่นดำยันกายลุกขึ้นอย่างช้าๆก่อนที่จะล้วงลงไปใต้โต๊ะดึงเอาเครื่องมือหากินสุดที่รักของเขาออกมา..

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับคุณวรวิทย์!” ชายแว่นดำก้มโค้งให้ ในขณะที่หญิงอ้วนคนนั้นเดินเขามาช่วยพยุงชายแว่นดำ และส่งรอยยิ้มที่ใสซื่อปราศจากการปรุงแต่งให้กับวรวิทย์..

“ครับ... แล้วพบกันใหม่” วรวิทย์ยิ้มกว้าง ตอนนี้ด้วยท่าทางของทั้งสองเขาก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันเช่นไร

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูแลปิยะให้.. ขอบคุณมากค่ะ” หญิงอ้วนยังคงกล่าวอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม วรวิทย์พยักหน้าแทนคำตอบ แต่ในใจลึกๆตอนนี้เขาเริ่มมีความรู้สึกถึงคำถามแปลกประหลาดในใจแล้วว่า การที่เราจะรักใคร่ซักคนนี่รูปร่างหน้าตา สิ่งประดับสวยงามภายนอกมันสำคัญจริงๆหรือ? ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงทำไมชายแว่นดำที่รักผู้หญิงอวบอ้วนคนนี้จึงท่าทางมีความสุข ในขณะที่เขาที่รักผู้หญิงที่หน้าตาสวยงามคนนี้กลับรู้สึกเหนื่อยหน่าย?... ชายแว่นดำและแฟนสาวหันหลังให้และกำลังจะเดินจากไป แฟนสาวของวรวิทย์ที่ทำหน้าเป็นงิ้วอยู่นั้นอยู่ๆก็โพลงออกมา...!!

“สมกันยังกับหมาวัด กับพันธุ์ทางขี้เรื้อน!!” เธอเย้ยหยัน ชายแว่นดำได้ยินเต็มสองรูหู เขากำหมัดแน่นและหมุนตัวกลับมาผเชิญหน้ากับหญิงสาวอย่างหมดความอดทน..

“ครับ.. พวกเราทั้งสองคนเหมาะสมกัน” เขาสูดลมหายใจลึกพยายามสะกดกั้นอารมณ์

“ผมอาจจะยุ่งไม่เข้าเรื่องในเรื่องส่วนตัวของคุณนะครับคุณวรวิทย์ แต่ผมคิดว่าพวกคุณต่างหากที่ไม่เหมาะสมกันเลย........... แม้แต่นิดเดียว!! เหมือนกับคุณชายข้าหลวงผู้สูงศักดิ์ได้ลดตัวลงคบกับนางงิ้วไม่รู้จักพอไร้ยางอายเสียจริงๆ!!!” ชายแว่นดำกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า แต่วรวิทย์กลับรู้สึกเห็นด้วย..

“กรี๊ด.............!! แล้วยายอ้วนฉุอัปลักษณ์นี่มันมีดีอะไรหนักหนายะ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นละที่จะมาหลงรักมันได้??” เธอกรีดเสียงร้องแสบแก้วหู..

แต่คำสบประมาทนั้นหาได้ทำให้ชายแว่นดำนั้นระคายเคืองโสตประสาทไม่ เขากลับหัวเราะอย่างสะใจที่สุดแม้แต่แฟนสาวพยายามจะห้ามแต่ก็ไม่อาจทำให้เขาหยุดหัวเราะได้.. เมื่อเขาหยุดหัวเราะเขาก็ถอดแว่นดำออกเป็นครั้งแรกเผยให้เห็นดวงตาทั้งสองข้างได้ถนัดๆ...

“คุณเป็นหมอดูรึไงถึงทายแม่นจริง?..... ถูกของคุณผมตาบอด!” เขาเผยให้เห็นดวงตาที่มีแต่สีขุ่นขาวไร้ซึ่งลูกตาดำอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้พิการทางสายตา หญิงสาวตะลึงกับภาพที่เห็นจนปากสั่น แต่วรวิทย์กลับยิ้ม.... มันทำให้เขาสามารถเข้าใจกระจ่างในพฤติกรรมแปลกๆของชายแว่นดำทั้งหมดที่ผ่านมา เพราะชายแว่นดำเป็นคนตาบอดนี่เองจึงสามารถอธิบายทุกอย่างได้อย่างลงตัว...

“ถึงผมจะตาบอด...!! แต่ผมก็โชคดีที่ได้พบกับคนที่มีความจริงใจและยอมรับในตัวตนของผมได้.... แต่คุณวรวิทย์ครับ! คุณเองยังมีสายตาที่ดีครบอยู่ทั้งสองข้าง ผมหวังว่าคุณคงจะไม่เอารูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามบางอย่างมาเป็นเกณฑ์ปกปิดดวงตาคุณให้มืดบอดจนมองไม่เห็นความเป็นจริงหรอกนะครับ...?” ชายแว่นดำพูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไป

“โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ” เจ้าของร้านยิ้มและกล่าวคำอำลาส่งอย่างสุภาพ ลึกๆในใจเจ้าของร้านเองก็คงสะใจไม่น้อยกับคำพูดฉีกหน้าหญิงสาวที่ชายแว่นดำทิ้งท้าย..

สุนัขพันทางตัวนั้นเมื่อเห็นชายแว่นดำและหญิงอ้วนเดินออกมาจากร้าน มันก็กระดิกหางพร้อมกับวิ่งอย่างดีใจไปคลอเคลียอยู่ที่ขาชายแว่นดำนั้นก่อนที่หญิงอ้วนจะก้มลงเอาตะขอสายจูงติดเข้ากับปลอกคอของมันแล้วให้ชายแว่นดำเกาะกุมไว้.. เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้ว เจ้าหมาพันทางก็ออกเดินนำหน้าคนทั้งสองอย่างสง่างามยิ่งนักในสายตาของวรวิทย์ที่มองตามทั้งสองคน และหนึ่งตัวนั้นไป..

ทั้งสองคนและหนี่งตัวหายลับไปแล้วในความมืดมิดยามราตรีปล่อยให้ร้านทั้งร้านเงียบเหงาเพราะเหลือเพียงเขา แฟนสาวที่ยังคงเดือดคงแค้น และเจ้าของร้านที่ฮัมเพลงด้วยความสะใจ เขาไม่ได้หันไปมองหญิงสาวแต่ยังคงนั่งเงียบใช้ความคิดทบทวนในสิ่งที่ชายแว่นดำต้องการที่จะพูดว่ามันจริงหรือไม่ที่เขาได้หลงรักคนแต่ภายนอก หรือเขาเองต่างหากที่เป็นคนที่ตามืดบอดเพราะสิ่งสวยงาม และมืดบอดเสียยิ่งกว่าคนตาบอดจริงๆเสียอีก...!!

วรวิทย์หันกลับไปมองหญิงสาวที่ตอนนี้เหมือนหุ่นโชว์เสื้อผ้าสุดหรูที่นั่งบิดไปมาด้วยความหงุดหงิด เขามองเธอเหมือนเธอเป็นคนแปลกหน้า.... พลางคิดไปว่าคงจริงของชายแว่นดำ เขาตอนนี้คงกำลังหลงอยู่ในทางวงกตแห่งรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามแต่ข้างในมืดสนิท.. ในขณะชายที่ตาบอดสนิท กลับได้ค้นพบหนทางแห่งแสงสว่างภายในที่สำคัญแท้จริงสำหรับชีวิตของเขาแล้ว!!





/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:11:42 น.
Counter : 334 Pageviews.  

ภาพชีวิต

ภาพชีวิต


-----------------------------------------------------------
ฝนคณาเม็ดเกาะอยู่บนกระจกหนาของรถโดยสารปรับอากาศเที่ยวดึกจากจังหวัดขอนแก่นที่บ่ายหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครฯ บรรยากาศภายในของรถตอนนี้เหมาะยิ่งนักต่อการพักผ่อน ทุกคนในรถรอบๆกายของผมนอนหลับสบายสนิทโดยซ่อนใบหน้าที่หลับใหลเหล่านั้นไว้ใต้ผ้าห่มผืนเล็กที่บริกรประจำรถแจกให้..

ค่อนคืนแล้ววีระก็ยังคงไม่หลับไม่นอน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากที่จะพักผ่อนเหมือนกับคนอื่นๆข้างๆ แต่อาจเป็นเพราะทำไม่ได้มากกว่า มือของเขายังคงจดเอาเหตุการณ์ที่ได้เห็นมาในวันนี้บันทึกลงไปในสมุดบันทึกเล่มโตอย่างรวดเร็วด้วยความเคยชิน เขาพยายามสรุปเอาภาพเหตุการณ์สำคัญๆใส่ลงไปในสมุดบันทึกให้ได้มากที่สุดด้วยความละเอียดลออ... ยิ่งนานรถก็ยิ่งโคลงเคลงด้วยแรงลมที่พัดกระทบจนทำให้เขารู้สึกปวดหัว จนต้องละสายตาจากสมุดบันทึกมองดูดวงไฟอ่านหนังสือดวงเล็กที่ฉายแสงริบรี่ที่พยายามส่องแสงอย่างเจิดจ้าที่สุดให้เขาได้ใช้เป็นตัวช่วยในการเขียนบันทึกของเขา..

วีระเป็นช่างภาพข่าวของหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งมานานแล้ว มันเป็นงานที่เหนื่อยแสนเหนื่อยที่ต้องตระเวนไปตามพื้นที่ต่างๆในประเทศไทย เพื่อเสาะหาภาพข่าวที่อาจจะนำมาซึ่งรางวัลภาพข่าวยอดเยี่ยมที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นงานที่หนักอยู่ไม่เคยติดที่แต่เขาก็รักงานของเขา.

รถเลี้ยวเขาเงามืดของบริเวณเขาใหญ่ ฝนข้างนอกก็ยังคงซัดอย่างหนักหน่วงจนกลบมิดแม้กระทั่งวิวของต้นไม้ที่ดำมืดเบื้องนอก รถคันใหญ่ทั้งคันกลายเป็นเหมือนกำแพงที่ต้านลมโอนเอนไปมาอย่างย่าหวาดเสียว... ถึงกระนั้นทุกคนบนรถนั้นก็ยังคงหลับใหลปราศจากความหวาดกลัวเหมือนเป็นเรื่องชินชาที่ลมและฝนจะกรรโชกแรงในหน้าฝนเยี่ยงนี้ แต่จะมีใครบ้างเล่าที่จะเห็นสีหน้าของคนขับที่ไม่สู้ดีนักเพราะทัศนะวิสัยเบื้องนอกที่เกือบจะกลายเป็นศูนย์อยู่มะรอมมะล่อ..

วีระเริ่มใจไม่ดี!... เมื่อเห็นรถเริ่มลดความเร็วลง คงขับคงตั้งใจที่จะใช้เส้นกลางถนนเป็นตัวนำทางในการวิ่งรถอย่างช้าๆ แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีนักเพราะถ้าวิ่งช้าเกินไปจนเครื่องเย็นแล้วรถเกิดดับในบริเวณที่เป็นป่าทึบหลายสิบกิโลเมตรเช่นนี้ การขอความช่วยเหลือคงเป็นไปได้ยาก..!

“แครก..........!” เสียงเหมือนอะไรบางอย่างขาดดังสนั่นก้องออกมาดงต้นไม้ริมทางที่หนาทึบ เขาหันไปมองหาทิศทางที่เสียงนั้นดังทันที..แต่ก็มองเห็นเพียงความมืดรอบๆตัว เขาเกาหัวและคิดในใจว่าเขาคงจะคิดมากไปเอง

“แครก......ปึ้ดดดด!!!” เสียงนั้นยิ่งดังสนั่นกว่าเดิม จนทำให้คนหลายคนที่นอนหลับอยู่ตกใจตื่นขึ้นมามองหาที่มาของเสียง อยู่ๆวีระก็รู้สึกอยากที่จะกอดกล้องคู่กายไว้แน่นตามสัญชาติญาณ...... เขาเริ่มรู้สึกสยองขวัญขึ้นทุกขณะเพราะเสียงที่ดังลั่นกวนอารมณ์อยู่นี้ มันคุ้นๆหูเหมือนเขาจะเคยได้ยินมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว.....!

“ปึ้ด...กึกกกกก...!!” เสียงนั้นยิ่งดังตอกย้ำเข้าไปอีกอย่างทรงอำนาจ ตอนนี้คนเกือบทั้งรถสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนั้นแล้ว เสียงพูดคุยไตร่ถามหาที่มาของเสียงดังระงมไปทั่วด้วยความแตกตื่น บริกรต้องวิ่งไปมาเกือบทุกที่นั่งเพื่อปลอบใจผู้โดยสารให้อยู่ในความสงบ แต่สีหน้าที่แตกตื่นของบริกรนั่นล่ะกลับทำให้เล็กๆหลายคนร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว....

วีระพยายามทบทวนถึงเรื่องเสียงที่เขาเคยได้ยินมาก่อนเปรียบเทียบกัน มันเหมือนเป็นเรื่องที่สำคัญมากแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก.....

“แม่นั่นอะไรครับ?” เด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่เบาะข้างหน้าผมกำลังพยายามชี้ไม้ชี้มือออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสงสัย.. วีระมองตามทิศที่เด็กชี้ด้วยความใคร่รู้..

เขาเห็นภาพต้นไม้ในป่าที่ดำมืดเคลื่อนไหวเป็นระลอกๆ กิ่งไม้ไหวพลิ้วไปมาอย่างรุนแรงจนผิดปกติ... ดูยังไงมันก็ไม่ใช้การเอนเอียงของต้นไม้ที่ลู่ตามรถแรงอย่างเป็นธรรมชาติ มันไหวแรงเกินไปจนดูเหมือนป่าทั้งป่ากำลังเต้นระบำอย่างบ้าคลั่ง..!!!

“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....!!” หินก้อนใหญ่หลายก้อนกลิ้งตกลงมาขวางกลางถนนจนรถต้องหยุดอย่างกะทันหันจนบริกรเกือบจะพุ่งล้มเพราะไม่ทันตั้งตัว...!

วีระมองตามก้อนหินก้อนใหญ่เหล่านั้น แล้วหันไปมองยังเช้งป่าที่ติดกับภูเขาข้างๆ เขาเห็นเศษน้ำโคลนจำนวนมากไหลทะลักลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วภาพหลายภาพก็ปรากฏซ้อนทับกันในหัวของเขาจนนึกออกว่าเขาเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน.........!!

“ระวัง.... ดินถล่ม!!” เขาตะโกนสุดเสียงแล้วก้มตัวลงแอบกับเก้าอี้ ทุกคนในรถหันมามองที่เขาด้วยสายตางุนงง......... แล้ววินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นจนหลายๆคนแทบไม่ทันจะตั้งตัว....!

“ตูม.....ม!!” เสียงดังกัมปนาทจนหูแทบแตกดังสนั่นขึ้น ติดตามมาด้วยคลื่นดินละลอกแรกที่เคลื่อนลงจากภูเขาสูงเข้ากระแทกด้านข้างรถปรับอากาศที่จอดนิ่งอยู่โดยไร้แรงต่อต้าน....

“กรี๊ด......................!” ผู้หญิงที่ตั้งตัวไม่ทันต่อสถาณการณ์หลายคนกรีดร้อง ในขณะที่ผู้ชายหลายคนที่ลุกขึ้นตะโกนโหวกเหวกถูกแรงกระแทกกระเด็นไปชนเข้ากับเบาะข้างๆจนต้องร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด.... มีเพียงคนขับคนเดียวที่ตั้งสติอยู่และพยายามหักล้อรถขวางถนนไว้ไม้ให้มันเอียงคว่ำ...!!

เพราะอีกด้านหนึ่งของรถมันคือทางต่างระดับเรียบหุบเขาที่ยกสูงจนน่าเสียวไส้...!!

การหักล้อขวางได้ผล แรงดินละลอกแรกไม่อาจทำให้รถพลิกคว่ำได้สำเร็จ หลายคนเป่าปากโล่งใจและโห่ร้องจากที่พวกเขาสามารถรอดจากวิกฤติมาได้.... แต่เมื่อวีระเงยหน้าออกไปมองยังทิศทางการถล่มนั้นเขาก็เห็นคลื่นดินละลอกที่สองกระแทกซ้ำลงมาอีก.... แถมแรงกว่าเดิม!!

“เพล้ง!!” กระจกรถด้านที่ถูกกระแทกแตกละเอียด และมันเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน ก่อนที่สติของเขาจะถูกกระชากออกจากร่างไปไกลลิบลับ.... พร้อมกับเสียงกัมปนาทบนฟากฟ้า!!

วีระลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในความมืด!!

น้ำฝนไหลผ่านรอยแตกของกระจกรถเข้ามาเจิ่งนองท่วมเอาใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา ความเย็นจากน้ำฝนนั้นทำให้เขาสามารถเรียกเค้นเอาแรงกายที่เหลือน้อยนิดยันกายให้ตนเองกลับขึ้นมานั่งได้ เขารู้สึกว่าหัวมันหนักยิ่งกว่าลูกเหล็ก และในปากก็เต็มไปด้วยน้ำโคลนและรสของเลือดจนรู้สึกอยากที่จะอาเจียน.... เขาพยายามใช่มือยันกายลุกขึ้นยืนแต่แล้วก็ต้องทรุดกายลงไปคว่ำอยู่กับน้ำโคลนอีกรอบพร้อมส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวด...!!

“โอ๊ย....!” ผมกุมแขนซ้ายที่ห้อยล่องแลงแล้วร้องเบาๆ เขาพยายามยกแขนซ้ายขึ้นแต่มันก็ยกไม่ขึ้น มันยังคงห้อยแกว่งไปมาเหมือนหนวดปลาหมึกแถมปวดเอาการทุกครั้งที่มันแกว่ง.... เขาเลิกพยายามแล้วคลำดูส่วนอื่นของร่างกายในความมืดด้วยใจระทึก..

ร่างกายส่วนอื่นๆของวีระไม่ได้สึกหลอไปแบบแขนของเขา เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยขาของเขาก็ยังขยับเดินไปหาความช่วยเหลือที่ถนนใหญ่ได้บ้าง... เขาควานสะเปะสะปะในความมืดจนมือไปชนกับกล้องคู่ชีพที่ตกอยู่ข้างๆ...

“ตลกเป็นบ้า.... เจ้าของจะตายห่าอยู่แล้ว แต่กล้องไม่ยักกับเป็นอะไรเลย?” เขาพึมพำในความมืด

แสงไฟจากไฟฉายขนาดแปดก้อนส่องตรงมาที่เขาที่พึมพำคนเดียว วีระยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมาบังแสงตามสัณชาติญาณ พอร่างที่ฉายไฟใส่เขาเห็นเขายังขยับได้เลยเบนไฟหลบแล้วร้องถาม.

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า??” เมื่อตาปรับสภาพกับความมืดแล้วผมก็เห็นว่าร่างๆนั้นคือบริกรประจำรถนั้นเอง หัวของเขาแตกและเลือดไหลลงมาโชกหน้าผากข้างหนึ่งแต่ยังไม่เลิกที่จะทำหน้าที่มากกว่าห่วงอาการบาดเจ็บของตนเอง... วีระยิ้มให้!!

“ท่าทางแขนผมจะหัก!” วีระตอบและยกแขนซ้ายที่ร่องแล่งให้เขาดู บริกรเขยิบเข้ามาใกล้แล้วฉายไฟพิจราณาแขนที่บิดไปมาเหมือนไม่มีกระดูกนั้นอย่างครุ่นคิด.. ก่อนที่เขาจะจับแขนของวีระบิดมันแล้วดันมันกลับเข้าที่เดิมโดยที่วีระยังไม่ทันจะตั้งตัว..!!

“โอ๊ยยยยยยยยย!!..” วีระร้องสุดเสียง ความเจ็บปวดมันมากจนต้องดิ้นไปมา แต่พอซักครู่ก็พบว่าอาการเจ็บปวดหายไปเหมือนปลิดทิ้ง..

“แค่เคลื่อนไม่ถึงกับหัก เอาล่ะ...ตอนนี้คุณคงพอขยับได้แล้วนะ? ช่วยพังหน้าต่างออกไปรอข้างนอกก่อน” เขาพูดจบก็ถอยห่างออกจากวีระ ไปพลิกดูผู้โดยสารคนอื่นๆที่นอนกันเกลื่อนอยู่กับเบาะที่นั่งที่เต็มไปด้วยน้ำโคลน..

วีระหยิบเอาค้อนที่ติดไว้ข้างกระจกทุกบานในกรณีฉุกเฉินขึ้นมาถือไว้ ตอนนี้ตาของเขาชินกับความมืดแล้วทำให้เห็นทุกอย่างเป็นภาพสลัว รถที่เขานั่งมาตอนนี้อยู่ในสภาพตะแคงข้าง กระจกทุกบานถูกโคลนกลบไว้มิดแต่คงไม่หนานัก เพราะเขาเห็นแสงสลัวๆรอดเข้ามาจากรอยแตกของกระจกบางจุด ส่วนคนบาดเจ็บไม่ต้องพูดถึง นอนกันให้เกลื่อนอยู่กับพื้นและส่งเสียงร้องระงม...!!

เขาเงื้อค้อนสุดแขนแล้วฟาดกระแทกใส่กระจกสุดแรง น้ำโคลนที่ขังอยู่เบื้องนอกเข้ามาชโลมกายเขาเหมือนโดนถังน้ำสาด เขาพยายามปีนออกมาสู้บรรยากาศเบื้องนอกที่เหน็บหนาวด้วยไอฝน....... เขาพยายามหยีตามองหาแสงไฟจากรถที่สัญจรบนท้องถนน แต่มองยังไงก็มองไม่เห็น ถ้าลองคะเนจากสายตาแล้วท่าทางรถพวกเขาคงจะตกลงมาจากทางชันไกลพอสมควร แถมรถทั้งคันยังโดนโคลนทับเกือบมิดยากแก่การมองเห็นอีก...!

ปากเขาสั่นระริกด้วยความหนาว พอลองล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาดูก็พบว่ามันพังไปเรียบร้อยแล้วเพราะแช่อยู่ในน้ำ แถมนี่มันกลางป่าไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือที่ไหน.....!!

“คุณ..คุณ!! เข้ามาช่วยผมพาผู้โดยสารคนอื่นๆออกไปจากรถที !” บริกรตะโกนออกมาจากรอยแตกของหน้าต่างเบื้องล่างทำให้ผมสะดุ้ง และพึ่งตะหนักได้ว่าหน้าที่ๆเขาควรทำในตอนนี้มากกว่ามานั่งคิดถึงทางหนีทีไล่..

เป็นงานหนักมากที่มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคนในรถ แต่มีผู้ที่สามารถขยับตัวได้แค่เพียงสี-ห้าคนเท่านั้น พวกเขาพยายามขนคนเจ็บหนีน้ำที่ค่อยๆท่วมรถสูงขึ้นๆทุกขณะ ขึ้นไปอยู่บนเนินเขาใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ ยิ่งนานผมก็ยิ่งหวั่นว่าจะช่วยผู้บาดเจ็บไม่ทันที่รถจะถูกท่วมมิด เพราะยิ่งฝนตกหนักอย่างนี้น้ำจะท่วมทั้งคันเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น..!!

ยิ่งผมเพ่งมองภาพของรถที่ค่อยๆถูกระดับของน้ำกลืนกินทีละนิดๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นภาพชีวิตที่น่าประทับใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นจนรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าอย่างไม่ทันจะรู้ตัว ภาพของคนที่บาดเจ็บและพยายามตะเกียดตะกายข้ามน้ำโคลนมามันเป็นภาพที่สวยงามและน่าตื่นเต้น ที่ประกอบด้วยเสียววินาทีของชีวิตที่พร้อมจะถูกความโหดร้ายของธรรมชาติกลืนหายไปได้ในทุกวินาที.... เขาเริ่มรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับภาพที่เห็นและแล้วมือก็ปัดไปโดนกับกระเป๋าใส่กล้องคู่ชีพโดยบังเอิญ....!!

“ใช่แล้วเรามีกล้อง...แถมผมยังเป็นช่างภาพข่าวอีกด้วย ภาพอย่างนี้โอกาสแบบนี้หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!!”

เร็วเท่าความคิด.. วีระล้วงกล้องออกมาจากกระเป๋าแล้วเล็งภาพไปยังกลุ่มคนหลายคนที่พยายามฝ่าน้ำเดินขึ้นมายังเนินที่เขายืนอยู่ด้วยความตื่นเต้น เขาเล็งหามุมที่ดีที่สุดและปรับโฟกัสภาพให้ชัดอย่างชำนาญ... โดยกระทั่งเขากลับลืมไปเลยว่าในรถที่กำลังจะจมน้ำนั้นยังมีคนบาดเจ็บอีกหลายคนที่ขยับกายไม่ได้เฝ้ารอคอยความช่วยเหลืออยู่.....!!

“นักข่าวที่ดีต้องมีจริยธรรม ควรรู้ว่าอะไรควรถ่ายอะไรไม่ควรถ่าย!!” คำพูดที่อาจารย์เคยพร่ำสอนเขามาในสมัยเรียนอยู่ๆก็ตามมาตอกย้ำในจิตใจของเขาในตอนนี้.... เขาหยุดนิ้วมือที่กำลังจะกดลงที่ชัดเตอร์แล้วคิดทบทวนในความสมควรในการถ่ายภาพของเขา



วีระลังเลใจที่จะถ่ายภาพเหตุการณ์นี้ ภาพจากเหตุการณ์นี้อาจจะทำให้เขาได้รับรางวัลภาพถ่ายยอดเยี่ยมแห่งปีที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดก็เป็นได้ ภาพพวกนี้อาจจะไม่สามารถหาได้อีกแล้วจากเหตุการณ์ที่สำคัญๆอื่นๆบนโลก.... แต่ตอนนี้จริยธรรมที่ถูกปลูกฝังมาของเขามันคัดค้านว่าไม่ควรที่จะทำอย่างนี้!.......... .ในตอนที่วีระกำลังสองจิตสองใจอยู่นั่นเองเสียงตะโกนของผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาก็ปลุกจิตประสาทของเขาให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง!!

“แมนนนนนนนน....!!” เธอกรีดร้องสุดเสียง วีระหันไปมองยังรถเบื้องล่าง เขาเห็นภาพที่หวาดกลัวมาตลอดที่มันกำลังเกิดขึ้น ณ บัดนี้แล้วเบื้องหน้าของเขา...!

เด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกแรงกระชากของน้ำโคลนละลอกใหม่ที่มาอย่างเงียบกริบกลืนลงไปในกระแสน้ำในขณะที่กำลังปีนออกมาจากกระจกรถ บริกรที่พยายามจะตะเกียดตะกายลงไปช่วยเด็กก็ถูกต้นไม้ที่พุ่งมาตามแรงน้ำขวางไว้จนต้องกระโจนหลบ.... วีระยืนตะลึงเมื่อเห็นมือน้อยๆนั้นกำลังจะโดนมัจจุราชแห่งดินโคลนกลืนไป...!!

“แม่จ๋า................ แม่ช่วยด้วยยยยย!!” เด็กน้อยร้องตะโกนดังที่สุดเท่าที่ทำได้ ขณะที่ตัวเองยังพยายามใช้มือน้อยๆต้านแรงน้ำสุดชีวิต แต่แม่ของเธอตอนนี้เป็นลมล้มพับนอนกองไปกับพื้นแล้วคงไม่อาจได้ยินเสียงคร่ำครวญของลูกชายได้อีก...

ณ นาทีนั้นไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอะไรให้มากความอีก วีระโยนกล้องคู่ชีพขึ้นฟ้าไว้เบื้องหลังอย่างเต็มแรงก่อนที่จะวิ่งลงไปกระโจนลงในธารน้ำโคลนด้วยความรวดเร็ว...

กล้องตกลงพื้นแล้วฉายแสงแฟลสวาบหนึ่งด้วยแรงกระแทก...ไปยังทิศทางเบื้องหลังที่เขาวิ่งออกไป..!!

โชคยังดีที่เด็กไปติดอยู่กับแง่งหินตรงจุดหนึ่งไม่ไกลนัก ทำให้วีระตามไปถึงในเวลาเพียงชั่วครู่....

“แม่ล่ะครับ?” เด็กน้อยถามเสียงสั่นด้วยความกวาดกลัว วีระยิ้มให้..!!

“อยู่บนเนินโน่น แม่เธอปลอดภัยแล้วไม่ต้องห่วง... เธอไม่เป็นอะไรนะ?” เด็กน้อยส่ายหน้า... วีระมองหาหนทางรอดของพวกเขา เขาเห็นบริกรที่กำลังพยายามวิ่งตามน้ำลมจากชายฝั่งมายังจุดที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว...

“ไม่เจ็บตรงไหนนะ?” เด็กน้อยส่ายหน้า วีระยิ้มเด็กคนนี้กล้ากว่าที่เขาคิดไว้เยอะ

“เอาล่ะ... เราเป็นเด็กผู้ชายต้องกล้าๆหน่อย เดี๋ยวพี่จะเหวี่ยงเราเข้าฝั่งนะ จับมือพี่คนที่อยู่ริมตลิ่งให้ได้นะ” เด็กน้อยพยักหน้าตอบรับ...

วีระยิ้มให้เด็กน้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคล้องแขนเด็กแล้วเหวี่ยงไปสุดแรงตัดแรงน้ำ เด็กชายคว้ามือบริกรไว้ได้ตามที่เขาสัญญาไว้ และในเวลาไม่นานบริกรก็ดึงเด็กขึ้นไปอยู่บนฝั่งจนพ้นอันตราย...!!

“เดี๋ยวผมไปเอากิ่งไม้ยาวๆ มาดึงคุณเข้าฝั่งก้อนนะ อดทนไว้!!” บริกรตะโกนบอกวีระด้วยรอยยิ้มชื่นชมในความกล้าหาญ

“ช้าๆ ก็ได้ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวจะลื่นล้มหัวแตกเอา!” วีระตะโกนแซวด้วยความโล่งอกที่เด็กน้อยปลอดภัยและกระโดดโบกมือไปมาให้เขาอยู่บนบก วีระโบกตอบ... แต่แล้วก็ยิ่งเห็นเด็กทั้งกระโดและโบกไม้โบกมือเร็วกว่าเดิมด้วยความลนลาน...

ต่อมาก็กลายเป็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่บนฝั่งที่ร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยความหวาดกลัวและชี้ไม้ชี้มือไปทางต้นน้ำ วีระสงสัยและหันไปมองในขณะที่เขากำลังได้ยินเสียงหึ่งๆดังก้องอยู่ในหูเหมือนมีผึ้งซักล้านตัวมาบินวน...

“ครืนนนนนนนนนน” คลื่นดินละลอกใหญ่ซัดผ่านเงามืด กระชากเอาต้นไม้ริมฝั่งที่หยั่งรากไม่ลึกไหลมากับแรงน้ำกลายเป็นท่อนซุงธรรมชาติขนาดยักษ์ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่วีระเองยังไม่มีเวลาจะตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น!!!

“ตูมม!!” คลื่นดินกลบมิดร่างของวีระหลายตลบ ร่างของเขาถูกแรงน้ำพัดพาไปเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ หัวของเขาหมุนติ้วไปตามแรงกระแทกนั้นจนร่างของเขาถูกดูดกลืนลงสู่หุบเขาลาดชันเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยน้ำโคลน พร้อมๆกับกระชากสติของเขาไปด้วยตราบชั่วนิจรันดร์..............!!

หลังจากวันนั้นหนึ่งปี... ภาพถ่ายภาพหนึ่งก็ถูกตีพิมพ์ขึ้นเป็นหน้าปกของนิตยสารแทบทุกฉบับในประเทศไทย มันเป็นรูปที่มืดและออกที่จะมัวๆจนหลายคนที่เห็นสงสัยและดูไม่ออกว่ามันคือภาพอะไรกันแน่.... แต่มันยังมีคำบรรยายใต้ภาพไว้ให้ผู้คนคลายความสงสัยลง มันถูกเขียนไว้ว่า

“เป็นภาพของร่างๆหนึ่ง ที่วิ่งฝ่าสายฝนลงไปยังจุดที่มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังถูกคลื่นดินซัดโถมในอุบัติติเหตุดินถล่มบริเวณเขาใหญ่เมื่อหนึ่งที่แล้ว เขาวิ่งไปเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นอย่างรีบร้อนจนลืมแม้กระทั่งชีวิตของตน..... ภาพนนี้คณะกรรมการลงความเห็นแล้วว่า เหมาะสมอย่างยิ่งที่สมควรจะได้รับรางวัลภาพข่าวยอดเยี่ยมประจำปีนี้”

แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ในงานรับรางวัล กลับไม่ปรากฏร่างของเจ้าของภาพถ่ายที่ล่วงลับไปกับกระแสน้ำในยามค่ำคืน..!!



/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:10:51 น.
Counter : 390 Pageviews.  

สัญญาณอันตราย

สัญญาณอันตราย

-----------------------------------------------------------
ดึกดื่นค่อนคืนที่คนส่วนใหญ่ในสังคมล้วนหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนารอคอยเวลาให้ดวงตะวันมาเยือนในย่ำรุ่ง แต่ก็ยังมีรถแท็กซี่สีเหลืองคาดด้วยลายขวางสีเขียวคันเก่าๆคนหนึ่ง ที่พาสภาพภายนอกที่ทรุดโทรมด้วยกรวดหินและน้ำฝนวิ่งวนไปมาทะลุตามตรอกซอกซอยที่มืดมิดอย่างเงียบเชียบอยู่เพียงลำพัง... ป้ายสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือที่ติดตั้งไว้ข้างหลังกระจกหันลมหน้ารถนั้นฉายแสงสีแดงตัดกับความมืดเป็นสัญญาณให้ผู้คนที่รอคอยรถแท็กซี่ในยามดึกรู้กันว่ารถคันนี้ ยังไม่มีผู้โดยสารที่กำลังใช้บริการอยู่....



“นคร” เกาะกุมพวงมาลัยรถที่เคลื่อนไปมาเล็กน้อยยามเมื่อถึงทางโค้ง สายตาของเขาไม่ได้สนใจที่พวงมาลัย หากแต่กำลังสอดส่องสายตามองหาผู้โดยสารที่อาจจะโผล่มาได้ทุกเมื่อจากเงามืดที่ห่างไกลจากไปถนน เขาจะต้องตื่นตัวแม้ว่าดึกดื่นซักเพียงใดมิฉะนั้นเขาจะยิ่งอดได้ค่าโดยสารที่ยิ่งหาได้อย่างยากยิ่งในตอนกลางคืน... เขาหวังที่จะเห็นผู้โดยสารยืนกวักมือเรียกใช้บริการของเขาจากย่านที่อยู่อาศัยแห่งนี้ แต่แล้วก็ต้องทำใจเพราะท่าทางคนแถวนี้จะหลับนอนกันไปหมดแล้ว เขาผ่อนเครื่องยนต์ลงและเตรียมหักพวงมาลัยเตรียมเลี้ยวรถกลับไปหาผู้โดยสารในเส้นทางอื่น แต่แล้วเขาก็เหมือนเห็นเงาคนอยู่ลิบๆสั่นไหวเหมือนกำลังกวักมือเรียก

ไฟหน้ารถแท็กซี่ถูกเปลี่ยนจากไฟต่ำเป็นไฟสูงสาดแสงขึ้นไปกระทบร่างๆนั้นเพื่อความแน่ใจของเขา และเขาก็คิดถูกเบื้องหน้าห่างไปไม่ถึง 400 เมตร มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังพยายามโบกมือให้เขาเห็นได้ชัดที่สุด!

“ได้ผู้โดยสารรายสุดท้ายของวันนี้แล้วเรา!!” เขาพึมพำ และค่อยเหยียบเบรกชะลอรถลงไปจอดเทียบกับทางเท้าอย่างสุภาพ โดยจงใจให้ข้างด้านหลังอยู่เทียบกับชายหนุ่มพอดี..เหมือนกับการเชื้อเชิญ

“ไปไหนครับ?” เขาถามอย่างสุภาพตามมารยาททันทีเมื่อชายหนุ่มขึ้นมานั่งอยู่บนเบาะหลัง

“ปึ้ง!!” ชายหนุ่มกระชากประตูรถปิดเต็มแรงด้วยอารมณ์ นครสะดุ้งแล้วมองไปที่เบาะหลัง เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยอ่อนแต่ยังดูกระวนกระวายยังไงชอบกล...

“ไปสุทธิสาร ซอย38” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ แต่ตายังคงมองลอกแลกไปมายังวิวรอบๆตัว

“ครับ... สุทธิสาร ซอย 38 นะครับ” สิ้นคำตอบรับนครก็กดมิเตอร์คิดค่าบริการ ก่อนที่จะพารถแท็กซี่คู่ชีพบึ่งออกยังถนนใหญ่แล่นสู่เส้นทางที่เขาเคยชิน...

แสงไฟจากเสาไฟถนนยามค่ำคืนถูกความเร็วของรถแท็กซี่กระชากผ่านจนกลายเป็นแสงวูบวาบ นครยังคงขับรถไปตามหน้าที่และพยายามที่จะชวนชายหนุ่มที่นั่งเงียบคุยหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะปริปากเลยซักคำจนเขาต้องยอมถอดใจ อย่างไรก็ดีตาของเขาก็ยังไม่วายคอยชำเลืองมองดูภาพของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังอยู่บ่อยๆ... ที่น่าแปลกใจนั้นไม่ใช่ท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของชายหนุ่มเท่านั้น ที่น่าสงสัยที่สุดเห็นจะเป็นทุกครั้งที่เขาพารถวิ่งเข้าไป ณ จุดที่ห่างไกลจากผู้คนและมืดมิดเปล่าเปลี่ยว ชายหนุ่มมักจะทำท่าทางแปลกๆทุกครั้ง..!!

ตอนนี้ก็เหมือนกัน!.. รถวิ่งตัดผ่านทางลัดที่เต็มไปด้วยกองขยะที่มืดทึบ และเต็มไปด้วยพงหญ้าที่หนาทึบเทียมศีรษะ ชายหนุ่มก็มีท่าทางเลิกลักขึ้นมาทันที... เหงื่อของเขาไหลชุ่มโชกใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด..!!

มันเหมือนกับอาการของคนที่กำลังตื่นเต้นกับการตัดสินใจอะไรซักอย่างหนึ่ง..!!

นครกลืนน้ำลายคำโตลงลำคออย่างลำบากยากเย็น ผีห่าซาตานตัวไหนกันที่มันดลใจให้เขาคิดไปได้ไกลถึงขนาดนั้นกัน...

“ไอ้พวกนี้น่ะ..เวลามันขึ้นรถมามันมักจะกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดตลอดเวลา ไม่พูดไม่จาแม้ว่าเราจะชวนคุย” เขานึกถึงคำพูดของเพื่อนที่ขับแท็กซี่ในคิวรถเดียวกันที่เคยถูกปล้นมาก่อนแล้วมาเล่าให้เขาฟัง.... ยิ่งนึกก็ยิ่งใจเสีย เพราะที่เพื่อนเขาเล่ามามันเริ่มจะใกล้เคียงชายหนุ่มที่เบาะหลังเขา ณ ตอนนี้เข้าไปทุกขณะแล้ว!!

“เหงื่อมันจะออกเยอะผิดปกติ ทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศรถเรานะก็เย็นฉ่ำ” ยิ่งเขาคิดตามเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเริ่มซ้อนทับกับภาพของชายหนุ่มที่กำลังหายใจหอบแรงในกระจกหลังที่เขามองอยู่

“แล้วพอถึงที่เปลี่ยวๆ มันก็จะเริ่มทำท่าทางแปลกๆ” นครชำเลืองไปที่เบาะหลัง และยิ่งเห็นชายหนุ่มที่กำลังนั่งบิดไปมาอย่างถนัดตา...!! เขายิ่งใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่! ที่สำคัญเขาไม่เคยถูกปล้นมาก่อนเลยยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าต้องวางตัวในสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร!!..

“สุดท้ายพอมันเจอที่เหมาะๆ มันก็จะเอนมาที่ข้างๆที่นั่งคนขับแล้วบอกว่า....!” เขาเริ่มอยากภาวนาวิงวอนกับพระเจ้าให้เขาคิดผิดเอง อย่างน้อยก็ขอให้ชายหนุ่มไม่ใช่คนอย่างที่เขาคิด

“พี่จอดก่อน!!” จะไม่ให้นครสะดุ้งได้อย่างไร ก็อยู่ๆคนที่อยู่ด้านหลังก็มาบอกให้จอดชนิดริมฝีปากแทบติดใบหูอย่างนี้..... แถมตรงนี้มันยังเปลี่ยวสุดๆ!!

“เอี๊ยดดดดดด.....!!” เท้าของนครเหยียบเบรกเองตามสันชาติญาณด้วยความตกใจ รถทั้งคันถูกแรงเสียดสีของผ้าเบรกดึงให้หยุดชะงักจนล้อหลังแทบลอย ยังดีที่เข็มขัดนิรภัยทำงานของมันได้ดีเกินร้อยที่ยึดร่างของเขาไม่ให้พุ่งไปข้างหน้าที่มีกระจกกันลมรออยู่ แต่ชายหนุ่มเบื้องหลังไม่เหมือนกัน เขาถูกแรงกระชากนั้นทำให้เสียการทรงตัวถอยหลังซวนเซจนแทบจะหาที่ยึดกายไว้ให้มั่นแทบไม่ทัน!!

สติของนครแทบจะหลุดกระเจิง... แต่ประสาทสัมผัสในการต่อสู้ของเขากลับตื่นตัวพร้อมที่จะต่อสู้ป้องกันตนเองเต็มที่!!

“แล้วมันก็จะบอกว่า.... ส่งเงินมา!!” คำพูดของเพื่อนร่วมคิวยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันกำลังจะเข้าสู่ช่วงคับขันเต็มที่แล้ว...

“เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!” นครคิดในใจพร้อมกับกำหมัดแน่นซ่อนไว้ข้างลำตัว

ชายหนุ่มโคลงหัวด้วยความมึนงงจากแรงกระแทก เมื่อเขาทรงกายได้แล้วก็หันมาจ้องมองที่นครขเม็งด้วยแววตาที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อ......! นครแทบวิ่งหนีด้วยแววตานั้น

“ขับรถภาษาห่าอะไรนี่?” ชายหนุ่มกระแทกเสียงอย่างอารมณ์เสีย... แต่นครไม่พยายามที่จะสบตากับเขา

“ช่างเถอะ... รีบๆทำธุระของผมให้เสร็จๆไปดีกว่า” ชายหนุ่มกล่าวอบ่างเรียบๆ แต่สำหรับนครแล้วตอนนี้คำพูดของชายหนุ่มมันเปรียบเหมือนกับคำสั่งประหารชีวิตของศาลสูงสุด ที่ไร้ซึ่งการอุธรณ์ก็ไม่ปาน....

“เอาแล้วไง!” นครคิดในใจ ตอนนี้เหตุการณ์มันเริ่มชี้ชัดแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้มากกว่าการกวาดสายตาหาความช่วยเหลือออกไปยังเบื้องนอกที่พอจะอำนวยการเอาชีวิตรอดของเขาได้บ้าง แต่เขาก็ต้องหมดหวัง เพราะแถวนี้มันไม่มีอะไรนอกจากกองขยะขนาดใหญ่ที่มืดทึบเหมือนภูเขาสูงทมึน กับทุ่งกอหญ้าสูงท่วมหัวที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วยิ่งเส้นทางอย่างนี้น่ะมันหมดหวังที่จะมีคนสัญจรผ่านไปมา..... เพราะแม้แต่เงาของหมาเขาก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว!!

ฉับพลันสิ่งที่เขากลัวก็กำลังจะเกิด!! ชายหนุ่มล้วงมือกลับเข้าไปยังด้านหลังของกางเกงตัวเองอย่างช้าๆและท่าทางทรงอำนาจ ใบหน้าของชายหนุ่มตอนนี้ยิ่งเต็มไปด้วยเหงื่อไคลที่แข่งกันผลุดออกมาพร้อมกับลมหายใจที่ถี่รัว พร้อมกับส่งสายตาเหมือนกับสัตว์ที่มีความทุกข์อย่างเหลือประมาณได้มายังเขา... ไม่ต้องให้นครหรือเด็กสี่ขวบที่ไหนเดาก็พอสิ่งที่ชายหนุ่มเหน็บไว้ที่หลังกางเกงและกำลังจะล้วงมันออกมาใช้นี้มันจะเป็นอะไร? นอกเสียจากเจ้ามัจจุราชที่สามารถพ่นลูกตะกั่วคร่าชีวิตคนได้อันมีสีดำทมิฬเหมือนรัตติกาล!!

นครใจเสีย...!! กำปั้นกับปืนจะไปสามารถวัดอะไรกันได้ แล้วยิ่งที่แคบๆอย่างในรถยังงี้ถ้าเขาแสดงท่าทางขัดขืนมีหวังโดนยิงไส้แตกตาย แล้วเอาศพหมกซ่อนไว้ในก่อหญ้าสูงรอบๆนี่ ดีไม่ดีจะโดนเอาขยะฝังศพไว้ให้ตายอย่างหมาอยู่แถวๆนี้แน่ๆ...????

สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้เพียงอย่างเดียวก็คือ พยายามปกป้องชีวิตตนเองให้ได้ก่อน เรื่องเงินที่หามาได้เอาไว้ที่หลัง..!!

ในรถเงียบจนนครได้ยินเสียงหัวใจตนเองที่เต้นรัวเร็วยังกับกลอง เหงื่อหลายเม็ดไหลลงเป็นทางยาวข้างหน้าผาก ในขณะที่ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าของเขาอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์ นครปิดตาหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง.... เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มสามารถล้วงเอาของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาจากข้างหลังได้เป็นผลสำเร็จ

“แค่แปบเดียว” ชายหนุ่มบรรจงกระซิบบอก นครกลั้นใจเตรียมรับกับสถานการณ์ พร้อมกับคิดถึงพ่อแก้วแม่แก้วไปด้วย เขาเตรียมใจรอฟังเสียงลั่นไกของปืนแต่โดยดี เพระต่อให้เขาวิ่งหนีออกไปข้างนอกแล้วใช้ความมืดเป็นเกราะกำบังแล้วรอดไปได้ หากแต่รถถูกชิงไปได้เขาก็เปรียบเหมือนตายทั้งเป็นอยู่ดี......... แต่ผ่านไปหลายวินาทีเสียงปืนก็ยังไม่ดังขึ้น ไม่มีแม้แต่เสียงขู่กรรโชกทรัพย์จากชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลัง!!

เกิดอะไรขึ้น.... หรือว่าชายหนุ่มเปลี่ยนใจไม่ฆ่าเขาแล้ว? นครคิดในใจ

เขาปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอีกหลายวินาทีเพื่อความแน่ใจแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้น จนเวลาล่วงเลยไปอีกนาทีกว่าๆมันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี..... จนในที่สุดนครก็ตัดสินใจลืมตาขึ้น แล้งค่อยๆหันหน้าไปมองที่เบาะหลังด้วยใจระทึก!

เบาะหลังตอนนี้กลับว่างเปล่า...!! มีเพียงประตูรถที่ถูกเปิดทิ้งไว้ นครงงกับสิ่งที่เห็น มันเกิดอะไรขึ้นในช่วงไม่ถึงสองนาทีที่เขาปิดตาลงและกลั้นลมหายใจ?

“หรือตอนนี้เราโดนยิงตายไปเรียบร้อยแล้ว?” เขาพูดกับตัวเองแล้วลองหยิกตัวเองดู

“อูยซ์!!” เขาร้องเบาๆ ความเจ็บปวดช่วยบอกว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ มันยิ่งทำให้เขางงเข้าไปอีก....... แล้วชายหนุ่มคนเมื่อกี๊หายไปไหน? หรือ มันจะเป็นภาพหลอน?

นครคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้ต่างๆไปมาอยู่บนที่นั่งคนขับ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น,งง,ประหม่า และตกใจ ความคิดฟุ้งซ่านพวกนี้ค่อยๆผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดอยู่เต็มสมองของเขา แล้วเขาก็นึกความน่าจะเป็นขึ้นมาได้อีกอย่าง!!

“หรือเมื่อกี๊.......... เราจะโดนผีหลอก??” นครคิดแล้วขนลุกทั้งตัว มันก็มีความเป็นไปได้ที่ว่าเขาดันไปรับเอาผู้โดยสารผีมา แล้วพอถึงที่เปลี่ยวๆก็จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแบบที่คนขับรถแท็กซี่คนอื่นๆเคยโดนกันมาแล้ว..... พอเขาคิดถึงเรื่องนี้แล้วมองไปรอบๆเห็นทุ่งหญ้าที่สั่นไหวไปตามแรงลมเหมือนเงาดำของคนหลายพันคนกำลังโบกมือให้แล้วนครก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาจับใจ...... เขามองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวงและปรับไฟรถขึ้นสูงส่องตรงไปเบื้องหน้า!!

“มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมันเถอะวะ.... ตอนนี้ได้โอกาสแล้ว เผ่นไว้ก่อนดีกว่า” เขาคำรามด้วยความหวาดกลัว แล้วกระแทกเกียร์รถวิ่งทะยานตัดความมืดไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว.................................... พรุ่งนี้เช้า! คิวรถของนครก็คงจะมีเรื่องเล่าสยองขวัญที่เขาได้ประสบกับตัวเองในคืนนี้ ถูกบรรจุลงไปในเรื่องเล่าสยองขวัญที่จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ที่จะถูกเล่าขานกันไปปากต่อปากกันในวงการของอาชีพของคนขับแท็กซี่ที่ควรระวังการรับผู้โดยสารยามค่ำคืนต่อไปอีกตราบนานเท่านาน.....



แสงไฟจากรถแท็กซี่หายลับไปแล้วในความมืด เหลือทิ้งไว้เพียงดงกอหญ้าและเศษซากของกองขยะไว้เบื้องหลัง... ในเงามืดของแสงจันทร์ กอหญ้าสูงเริ่มสั่นไหวอย่างผิดปกติของทิศทางลม พวกมันค่อยๆถูกเหยีอบย่ำและแหวกออกเป็นทางให้ร่างๆหนึ่งสามารถเดินออกมาได้สะดวกสู่เบื้องนอก... พอร่างนั้นปรากฏชัดและถูกแสงไฟสลัวๆจากถนนใหญ่ที่ห่างไกลสะท้อนมาโดน ก็ปรากฏเป็นร่างของชายหนุ่มคนนั้นที่ยืนเกาหัวด้วยความงุนงงว่ารถแท็กซี่ที่มันเคยจอดอยู่เมื่อราวห้านาทีที่แล้ว ณ ตรงนี้มันหายไปไหน? เขามองซ้ายมองขวาหารถแท็กซี่ แต่มองยังไงก็หาไม่พบ...!!

“อะไรวะ!.... แค่ขอลงไปปลดทุกข์แปบเดียวแค่นี้ก็รอไม่ได้?” ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองด้วยความงุนงง ตอนนี้สีหน้าเขาผ่องใสขึ้นมาก และไม่ปรากฏคราบเหงื่อไคลที่มีต้นเหตุมาจากความทุกข์ทรมานในการอดกลั้นความทุกข์ที่อยากปลดปล่อย.....

ชายหนุ่มออกเดินภายใต้ท้องฟ้าที่ดำครึ้มอย่างช้าๆ ไปสู่แสงไปจากถนนใหญ่ที่เห็นอยู่ลิบๆพร้อมฮัมเพลงในคออย่างสบายอารมณ์.. ทิ้งไว้เพียงเศษซากของซองใส่กระดาษทิชชู่ที่เคยถูกเหน็บไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังไว้ ณ พื้นดิน และ...... ก้อนของเสียของร่างกายที่ถูกหมกไว้ในกอหญ้าพื่อไว้เป็นปุ๋ยให้กับธรรมชาติต่อไป!!

///////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:10:09 น.
Counter : 289 Pageviews.  

1  2  3  4  

อัจฉริยะมืด
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัจฉริยะมืด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.