ถ้าทุกคนยืนอยู่ฝั่งพระเจ้ากันหมด โลกคงน่าเบื่อแย่..!!
Group Blog
 
All blogs
 
คำสารภาพบาปของคนใกล้ตาย

คำสารภาพบาปของคนใกล้ตาย


----------------------------------------------------------

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเปลือยเปล่ากายท่อนบนอยู่บนขอบดาดฟ้าของตึกสูงใจกลางเมืองกรุง... ลมเย็นยามราตรีไหลเวียนมาปะทะเข้ากับร่างกายของเขาหนแล้ว หนเล่า ราวกับละลอกคลื่น เสียงลมที่พัดมานั้นดังอื้ออึงด้วยความแรงของมัน ....ยิ่งเวลาล่วงเลยนานเข้าไปเพียงใด มันยิ่งกลับช่วยให้โสตประสาทของเขานั้นด้านชา ถึงสายลมจะพัดแรง และหนาวเหฯบซักเพียงไหน ณ ตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันทั้งสิ้น เพราะสติของเขากำลังจดจ่ออยู่กับความคิดเดิมๆ ที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในสมอง ราวกับเครื่องเล่นเทปที่เร่งความเร็วกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น....



ผมที่ยาว และหยาบกร้านเนื่องจากไร้การดูแลบำรุงรักษาของเจ้าของ ถูกแรงลมกระชากให้มันปลิวพลิ้วไหวไปมาเหมือนกับรากฝอยของต้นไม้ที่มีชีวิต เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นแตกกระจายลู่ตามลมจนมันกระแทกใส่ใบหน้า พร้อมทิ่มแทงใส่ดวงตาของชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า......... ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สากับมัน

เพราะตอนนี้... ทั้งดวงตา และจิตสัมผัสทั้งมวลของเขานั้น กำลังดำดิ่งลงไปใต้จิตสำนึกหวนรำลึกกลับเข้าไปสู่อดีตที่ห่างไกลอย่างช้าๆ....



ความทรงจำ และประสบการณ์ต่างๆ ค่อยๆถูกดึงกลับออกมาจากเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของเขา และในที่สุดความทรงจำพวกที่กำลังถูกขุดคุ้ยออกมานั้น ก็ไปหยุดอยู่ในเศษเสี้ยวหนึ่งยังอดีตของเขา

เขากำลังนั่งอยู่บันไดหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีเพียงชั้นเดียว และกำลังถูกบรรดาสุนัขสามสี่ตัวที่เลี้ยงไว้เข้ามาห้อมล้อมทั้งหน้าและหลัง พวกมันพยายามแย่งกันกระโดดเข้าเลียตามใบหน้าของเขา พร้อมกับกระดิกหางไปมาอย่างดีใจ ซึ่งมันทำให้เขาหัวเราะ... และพยายามปัดป้องร่างที่เปื้อนดินของของพวกมันอย่างสุดกำลัง

ห่างออกไปเล็กน้อย คือ ภาพของน้องสาวของเขาที่กำลังนั่งคร่ำเคร่งอยู่กับกองตำราเรียน และการบ้านที่วางอยู่บนโต๊ะหินขัดข้างบ้านอย่างเงียบๆ นานๆครั้ง เขามักได้ยินเสียงของเธอที่บ่นว่าใส่สุนัขบางตัวที่พยายามเข้าไปชวนเธอเล่นด้วยอย่างไม่รู้กาลเทศะ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกขำทุกครั้งที่เธอบ่นว่าพวกมันว่าเตือนไม่จำ ก็มันเป็นเพียงแค่สุนัขมันจะไปเข้าใจภาษาคนทุกคำได้อย่างไร.... เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขายิ้มขำท่าทางของน้องสาว

....แล้วอยู่ๆเขาก็รู้สึกว่าประตูไม้หน้าบ้านที่อยู่เบื้องหลังถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง พร้อมๆกับเสียงย่ำเท้าหนักๆด้วยโทสะที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ฉับพลัน..! เขาก็กระเด็นออกจากจุดที่นั่งอยู่ลงไปนอนคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นดิน!!........... สุนัขที่ห้อมล้อมกายของเขาตอนนี้ต่างพากันส่งเสียงร้องวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวจากเจ้าของแรงกระแทกนั้นด้วยความตกใจ พวกมันส่งสายตาเศร้าๆพร้อมครางอย่างร้อนรนมาที่ร่างของชายหนุ่ม ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาช่วยเขา

“โอ๊ย..!!” ชายหนุ่มรู้สึกเสียดที่หลัง.... จนเขาต้องร้องออกมา พร้อมกับใช้ฝ่ามือทาบทับจุดที่โดนแรงกระแทกนั้นไว้ด้วยความเจ็บปวด

“นี่มันผลการเรียน หรือผลการเป็นโจร!?....... ชั้นจำได้ว่าไม่เคยเลี้ยงลูกมาให้โง่พอให้เรียนได้คะแนนต่ำขนาดนี้” เสียงหนึ่งเสียงของชายวัยกลางคนคำรามก้องมาจากด้านหลัง ท่าทางเจ้าของเสียงนั้นคงเดือดดานเต็มทน....... ชายหนุ่มพยายามหันกลับไปอย่างช้าๆ ทั้งๆที่เขายังไม่หายเจ็บดี เพื่อเผชิญหน้ากับคนที่เขาเรียกว่า “พ่อ”

“ถ้าเรียนแล้วทำได้แค่นี้ ไม่เรียนยังจะดีเสียกว่า.........แกมันเลี้ยงเสียข้างสุก ขายควายส่งควายเรียนชัดๆ!” ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบข้าราชการครูยังคงกล่าวต่อไปด้วยท่าทางดุดัน ในมือของพ่อของเขามีใบแจ้งผลการเรียนที่ถูกขยี้จนยับเยินยู่ยี่...... ชายหนุ่มมองภาพของพ่อตนเองด้วยสีหน้าหวาดๆ พร้อมกับค่อยๆยันกายลุกขึ้นยืนเหมือนกลัวว่าพ่อของตนเองจะกระโจนเข้าใส่ในนาทีใดนาทีหนึ่ง

“เกรดแค่นี้ จบ ม.หกไปแล้วจะไปต่อที่ไหนได้!?....”

“อ้อ.! หรือว่าที่แกทำตัวชุ่ยๆไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ เพราะคิดจะไม่เรียนต่อ.. แต่คิดจะไปเป็นโจรจริงๆหรือยังไง”

ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าจะตอบผู้เป็นพ่อว่าอย่างไรดี.....!!

“ดูตัวอย่างน้องสาวแกมั่ง... โน้นเกรดเขาดีทุกเทอม อนาคตไม่เป็นหมอ ก็ต้องเป็นทนาย... แค่น้องสาวตัวเอง แกยังสู้ไม่ได้ แล้วชาตินี้แกจะไปทำอะไรกิน!?” พ่อกล่าวพร้อมกับเอาก้อนกระดาษที่อดีตเคยเป็นใบแจ้งผลการเรียนเขวี้ยงใส่หน้าเขาเต็มแรง........... ถึงเขาจะเจ็บจากแรงกระแทกของกระดาษนั้น และบวกความเจ็บปวดจากแรงเท้าของผู้เป็นพ่อที่หลัง ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เจ็บเท่ากับสิ่งที่พ่อกำลังทำร้ายจิตใจของเขาอยู่ในตอนนี้ ..... ชายหนุ่มมองผู้เป็นพ่อของตนเองด้วยแววตาปวดร้าว

“ไหน..! แกช่วยใช้สมองเน่าๆของแกบอกชั้นหน่อยสิว่าแกจะไปทำอะไรกิน..หา!?” พ่อของเขายังคงกระชากเสียงใส่หน้าอย่างไร้ความปรานี ...ใจจริงชายหนุ่มที่กำลังกำหมัดแน่นจนสั่นริกๆด้วยอารมณ์ตอนนี้อยากจะต่อยโครมเข้าที่ใบหน้าของผู้เป็นพ่อซักหมัด

แต่.............. เมื่อเขามองไปทางน้องสาวที่กำลังเริ่มใช้มือฝ่ามือปิดใบหน้าที่ซ่อนคราบน้ำตา และเสียงสะอึกสะอื้นในลำคอต่อเหตุการณ์ตรงหน้าตนเองแล้ว มันก็ทำให้เขาต้องคลายหมัดลง อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อยากให้น้องสาวเพียงคนเดียวต้องรู้สึกทุกข์ใจไปมากกว่านี้

“ผมอยากเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะ... ครูบอกว่าผมมีหัวในด้านนี้” เขาตอบเรียบๆ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่พร้อมจะล้นเอ่อออกมาได้ทุกเมื่อ

“ศิลปะ!?” พ่อของเขาอุทานออกมา คล้ายได้ยินอะไรซักอย่างที่แสลงหู......

“ครูบอกว่าให้ผมเรียนต่อในสาขาอะไรก็ได้ที่ผมอยากจะเรียน มันช่วยให้ผมสามารถเรียนได้ดีขึ้น........ ถ้าหากผมชอบ เอ่อ.! อย่างวิชาศิลปะ” ชายหนุ่มชอบวิชาศิลปะ เพราะมันทำให้เขาสามารถสื่อความคิดในหัวออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าคำพูดมากนัก

“ศิลปะ...... ไอ้พวกที่จบออกมาแล้วแต่งตัวเหมือนชาวป่าชาวเขา ไว้ผมยาวรุงรังเหมือนพวกสติไม่ดีนั่นน่ะรึ.....” ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างรุนแรง เขาพยายามจะเอ่ยปากพูดสนับสนุนสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่กลับถูกผู้เป็นพ่อพูดดักขึ้นมาก่อน

“พอเลย... แกไม่ต้องแม้แต่ที่จะคิด ชั้นเป็นคนออกเงินให้แกเรียน เพราะอย่างนั้นแกต้องเรียนตามที่ชั้นต้องการเท่านั้น ..... ถ้าไม่พอใจเราก็ตัดพอตัดลูกกัน!!” พ่อกล่าวพร้อมใช้นิ้วชี้ ชี้หน้าเขาจนนิ้วจี้ชิดหน้าผาก เมื่อเสียดสีจนสาใจแล้วเสร็จพ่อก็ยืนหอบหายใจแรงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการตะคอกด่า เห็นว่าชายหนุ่มไม่กล่าวอะไร..... พ่อก็เดินกระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์กลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มยืนก้มหน้านิ่ง...... ตอนนี้น้ำอุ่นๆที่เอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตามันเขามากระจุกอยู่ที่ริมหางตามากพอที่จะรวมตัวกันไหลอาบลงไปบนแก้มของเขาได้ทุกเมื่อ.... สุนัขที่เขาเลี้ยงไว้ เมื่อเห็นว่าลมพายุที่เรียกว่าพ่อพัดผ่านไปแล้ว พวกมันก็ค่อยก้าวออกมาจากที่หลบซ่อนต่างๆเขามาคลอเคลียส่งสายเศร้าๆให้เขาเป็นเชิงปลอบใจ............ ยิ่งเขามองสายตาของพวกมันแล้ว นาทีนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากปลดบ่อยอารมณ์ที่อัดอั้นไว้ข้างในออกมาเหลือเกิน

“พี่คะ...” น้องร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวร้องถามเขาอย่าเป็นห่วงดังมาจากม้าหินขัดอีกด้านหนึ่งดึงความรู้สึกของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มมองตามไปยังน้องสาวที่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวท่าทีของพ่อที่มีต่อพี่ชายของตนอย่างหวาดกลัว... มันทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่าเขาไม่สมควรแสดงความอ่อนแอออกมาให้น้องสาวได้เห็น มันจะทำให้เธอพลอยกังวลใจไปด้วยเสียเปล่าๆ

เขายกแขนเสื้อที่มอมแมมด้วยคราบดินขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แล้วหันไปยิ้มกว้างๆให้กับน้องสาว เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต......

เขาเกลียดพ่อที่ชอบเอาลูกสองคนมาเปรียบเทียบกัน พวกเขาทั้งสองเก่งกันคนละแบบ มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่พ่อชอบในสิ่งที่น้องเก่ง แต่...! เกลียดในสิ่งที่เขาเก่ง....... ทำไมโลกนี้ความยุติธรรมมันจึงมีเหลืออยู่น้อยนัก.......

“ไม่มีอะไรหรอก..... ไม่มีอะไรต้องกลัว” เขาพร่ำประโยคนั้นกับน้องสาวซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกับตุ๊กตาไขลานที่มีฟันเฟืองตัวใดตัวหนึ่งชำรุดไป



หลังจากวันนั้นกว่า 4 ปีที่เขาจากบ้านเกิดเข้ามาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองกรุง กว่า 4 ปีที่มากลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่าเมื่อถึงวันนี้...... และมันเป็น 4 ปี ที่ปวดร้าวจากการคาดหวังจากของคนที่เขาพร่ำเรียกเสมอๆเมื่อเจอหน้าว่า “พ่อ”



“เพล้ง....!!.” ขวดสุราที่ยังเหลือกว่าค่อนขวดในมือของเขาถูกเหวี่ยงใส่เสาตนหนึ่งบนดาดฟ้าอย่างจัง มันแหลกกระจายกลายเป็นเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยอารมณ์ของชายหนุ่ม เมื่อขวดแก้วที่ใช้บรรจุมันแตกสลายไป กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆบาดจมูกกระจายคลุ้งไปตามแรงลมทันที

เขาหวังให้ฤทธิ์ของน้ำสีอำพันในมือช่วยลบลืมความทุกข์ในหัวพวกนั้น เขาดื่มมันอึกแล้วอึกเล่าตั้งแต่เมื่อตอนเย็น แทนที่มันจะช่วยให้เขาลืมความทุกข์ไปได้จริงๆตามคาด มันยิ่งกลับช่วยตอกย้ำให้เสียงเยาะเย้ยในหัวของเขาให้ดังขึ้นมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก....... ชายหนุ่มสะบัดหัวไปมา พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้น

สายตาของชายหนุ่มตอนนี้จับจ้องลงไปยังพื้นคอนกรีตข้างถนนที่ห่างออกไปจากร่างของเขาหลายร้อยเมตร เขามองดูฝูงชนที่พากันเดินสวนกันไปมาจากความสูงที่เห็นคนพวกนั้นกลายเป็นเพียงจุดสีดำ........ อยู่ๆเขาก็รู้สึกขำจนต้องหัวเราะออกมา เขารู้สึกตลกฝูงชนที่อยู่เบื้องล่างนั้น เขาไม่เข้าใจเลยซักนิดเลยว่าความคิดความต้องการของคนที่อยู่เบื้องล่างตอนนี้กำลังเป็นเช่นไรกัน? พวกเขากำลังต้องการอะไร? หวังสิ่งใด? และสุดท้ายจะมีใครกำลังกลุ้มใจในสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่นี้บ้างหรือเปล่า จะมีซักกี่คนกันที่กำลังเดินคอตกพร้อมกับคิดเรื่องหนักหัวเรื่องเดียวกับเขาบ้าง?.......

ชายหนุ่มคิดไปพลาง หัวเราะเหมือนคนเสียจริตไปพลางอยู่บนดาดฟ้าของตึกนั้น......

แต่เรื่องพวกนั้นมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาก็ได้เวลาอำลาโลกอันแสนวุ่นวายแห่งนี้แล้ว.... ชายหนุ่มสะบัดต้นคออีกครั้ง เขาจะมามัวคิดเรื่องพวกนี้อยู่ทำไมให้ปวดหัว!!

เขาพยายามขยับแขนขาที่ด้านชาด้วยความหนาวเย็นของลมกลางคืน มันเป็นการช่วยกระตุ้นประสาทของตัวเขา ที่ตอนนี้เขาเริ่มยืนเอียงเพราะฤทธิ์สุราอีกทางหนึ่ง...... เขาพยายามยืนให้ตัวตรงมากที่สุด ก่อนที่จะออกเดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังขอบของดาดฟ้าตึกอันไร้รั้วกั้นสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น..

ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมกับเหยีอดแขนทั้งสองข้างออกจนสุดหล้า เขากลั้นใจ และกำลังจะทิ้งตัวเองลงไปยังพื้นเบื้องล่างด้วยอารมณ์มากมายที่ประดังเสริมเติมแต่งความตั้งใจแน่วแน่ยิ่งขึ้น... ตอนนี้ภาพชีวิตในอดีตที่ผ่านมาตลอด 22 ปีของเขา กำลังฉายผ่านเข้ามาในหัวอย่างช้าๆ ภาพแล้ว ภาพเล่า............

“ชีวิตแสนสั้น... ใยต้องคิดสั้นตัดชีวิต” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆหูของชายหนุ่ม มันทำให้เขาสะดุ้ง!! จนหลุดพ้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดทันที

“ใคร!?” ชายหนุ่มมองลงไปที่พื้นอากาศที่ดำมืดล่าง แล้วพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่า อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะได้อำลาจากโลกแห่งนี้ไปแล้ว.......... เขาชะงักเท้าไว้ แล้วหมุนตัวกลับมามองหาที่มาของเสียง

“นายอยากเป็นส่วนหนึ่งของรัตติกาลเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ..!?” เสียงนั้นยังคงร้องดังต่อไปแต่แฝงด้วยน้ำเสียงอันเย้ยหยัน.... ชายหนุ่มหันมองทั้งด้านหน้า และด้านหลังของตนเองเพื่อตามหาเจ้าของเสียง แต่ปรากฏว่าเจ้าของๆเสียงนั้น ตอนนี้กำลังนั่งทอดน่องอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆเขานี่เอง.....



หญิงสาวผมยาวสลวยถึงกลางหลังคนหนึ่งนั่งอยู่บนขอบตึกสูงโดยไร้ท่าทางของความเกรงกลัว เธอสวมชุดนอนแขนขายาวสีฟ้าลายทางตัวใหญ่เหมือนของผู้ชาย..... ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกบดบังไว้ด้วยเส้นผมที่ยาวนั้น มันเกะกะเสียจนทำให้เขาสามารถเห็นเพียงโครงหน้าของหญิงสาวได้เพียงลางๆจากไฟที่สะท้อนกลับมาจากตึกตรงข้ามเพียงเท่านั้น....

หากดูเพียงโครงหน้าแล้ว หญิงสาวคนนี้คงจัดได้ว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่งทีเดียว....!!

“เธอเป็นใคร?” แม้ชายหนุ่มจะยังสงสัยว่าหญิงสาวคนนี้มานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความสงสัยที่ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหนนั้นมันมีมากกว่า...

หญิงสาวหันมายิ้มให้ชายหนุ่มนิดหนึ่ง ลักยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นเป็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มของเธอช่วยเสริมเสน่ห์ให้แก่หญิงสาวในสายตาของชายหนุ่มในขณะนี้...

แค่คนๆหนึ่งที่นอนไม่หลับ เลยขึ้นมาเดินเล่นรับลมน่ะ” เสียงใสๆของหญิงสาวตอบ

ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆ... ดึกดื่นค่อนคืนอย่างนี้ดันมีคนบ้าขึ้นมาบนดาดฟ้าตึกที่สูงลิบลิ่วเพื่อรับลม .....มิหนำซ้ำยังมาขัดจังหวะในเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เขาไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดี หรือว่าจะโดดๆลงไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีไหม?

แต่ไม่ดีกว่า เรื่องที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย... มันจะกลายเป็นภาพติดตาที่ลบไม่ออกไปสำหรับหญิงสาวเสียเปล่าๆ...!!

“แล้วนายล่ะ..พักอยู่ที่นี่หรือ?” หญิงสาวถามโดยไม่ได้หันหน้ามา

“ อืม” ชายหนุ่มตอบรับเออออไปตามเรื่อง... ที่จริงเขาไม่ได้พักอยู่ที่ตึกแห่งนี้หรอก พอเขารู้สึกตัวจากความคิดสะเปะสะปะมากมายในหัวเขาก็ขึ้นมายืนอยู่บนนี้แล้ว..

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ท่าทางนายดูไม่ค่อยสบายใจนะ?” หญิงสาวยังคงรุกยิงคำถามต่อ เธอหันหน้ามาอย่างรวดเร็วจนแววตาของทั้งคู่นั้นได้ประสานกันอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มตอบแล้วเบือนหน้าหนีทันที เขาไม่กล้าสบตากับแววตาคู่งามที่ส่อแววสงสัย อันทำให้ใจของเขาสั่นไหวคู่นั้นนานๆเป็นแน่..

เงียบกันไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มแอบภาวนาในใจให้หญิงสาวไปให้พ้นๆจากที่แห่งนี้เสียที เขาจะได้ดำเนินพิธีกรรมแห่งความตายของเขาต่อ.. แล้วเขาก็รู้สึกว่ามันได้ผลเกินคาด!! ซักครู่หญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยังเบื้องหลังของชายหนุ่ม..

แต่ปรากฏว่าหญิงสาวเพียงแค่เดินไปเก็บเศษแก้วที่แตกจากขวดสุราด้วยน้ำมือของชายหนุ่ม ที่กระจายอยู่บนพื้นเบื้องหลังเขาเท่านั้นเอง..!

ว้า....แย่จัง ใครกันเอาเศษแก้วมาทิ้งไว้กันนะ มันอันตรายนะนี่” เธอพูดพลางใช้กระดาษทิชชูเก็บเอาเศษแก้วใส่ถุงพลาสติกไปพลาง..

ชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นกุมขมับ...เพราะหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยกลับไปอย่างง่ายๆแต่โดยดี ... .ตอนนี้ข้างหลังของเขามีผู้หญิงในชุดนอนกำลังก้มลงเก็บเศษแก้วไปพลาง ร้องเพลงไปพลางอย่างอารมณ์ดี..!!!

เขารู้สึกปวดหัวตุ้บๆ.. อาการนั้นมาจากทั้งเรื่องที่ชวนให้ช้ำใจจนเขาอยากที่จะจบชีวิตของตนเองลงเสีย ณ ตรงนี้ และมาจากหงุดหงิดกับอากัปกริยาของผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเขา ผู้ไม่ยอมจากไปเสียที...

“เฮ้อ............!!” ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วทรุดลงนั่งลงที่ขอบตึกเช่นเดิม ตอนนี้เขาทำได้เพียงรอคอยเวลาให้หญิงสาวเบื่อและจากไปเท่านั้น........



เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ที่ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งอยู่ ณ จุดนั้น เขากำลังคิดฟุ้งซ่านไปไกลว่า ถึงขนาดที่ว่าหากเขาจบชีวิตลงที่นี้แล้วจะมีคนที่ร้องไห้เพื่อเขาไหม แม่จะเสียใจเพียงไร? พ่อจะเสียน้ำตาเพื่อเขาบ้างไหมหนอ? ......ถึงพวกเขาเหล่านั้นคงเสียใจ แต่นั่นก็คงยังดีกว่าที่ต้องทนกลับไปที่บ้านแล้วนำความผิดหวังติดตัวไปมอบให้แก่ท่านทั้งสอง.....

“นี่!” เสียงนี้ทำให้ชายหนุ่มผงะถอยไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ พอรู้สึกตัวหญิงสาวก็มานั่งอยู่ข้างๆเขาแล้ว

“ไม่หิวเหรอ..เอ้า...นี่!” หญิงสาวยื่นขนมปังกับน้ำอัดลมจากในถุงสะดวกซื้อมาให้

ชายหนุ่มยังคงมองหญิงสาวอย่างงงๆ หญิงสาวเลยชักมือที่ถือขนมปังและน้ำอักลมกลับ......

“ถ้าไม่เอา.....เรากินคนเดียวก็ได้” เธอพูดงอนๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมปังด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย...

ณ ตอนนี้ในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล และราตรีที่ยาวนานแห่งนี้ จะมีคู่หญิงชายซักกี่คู่ในโลกกันที่กำลังนั่งกินขนมปังบนยอดตึกเช่นที่นี่ตอนนี้..

อยู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกหิวขึ้นมา......!!



เขาพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า นอกจากเหล้าขวดเดียวที่ถือติดมืออกมาด้วย เขาหันไปมองหญิงสาวที่ยังงอนอยู่ พร้อมๆกับเห็นขนมปังในถุงพลาสติกที่เปิดอ้าไว้ข้างๆเขาเหมือนกับเป็นการเชื้อเชิญ.................เขามองมันด้วยความหิวกระหาย แล้วเอื้อมมือไปยังขนมปังชิ้นหนึ่ง....

“โอ๊ย!!” หญิงสาวก็ไวไม่แพ้กัน เธอหยิกเข้าที่มือข้างที่พยายามจะหยิบขนมปังของชายหนุ่ม ................เขาร้องด้วยความตกใจมากกว่าความเจ็บ..

“ขอโทษก่อน!!” หญิงสาวตาเขียวใส่

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายมองขนมปัง แล้วมองดูหญิงสาวที่ท่าทางเอาจริงเอาจังขึ้นมา

“ขอโทษ” ชายหนุ่มพึมพำจนแทบไม่ได้ยิน

“อะไรนะ?....ไม่ได้ยิน!!” หญิงสาวแกล้งกวนประสาทเขา

“ขอโทษ” ชายหนุ่มตะเบ็งเสียง

“ครับ?” หญิงสาวแกล้งพูดเน้นคำลงท้ายประโยค

“ขอโทษ..........ครับ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ยกธงขาวที่แสดงถึงความพ่ายแพ้... มันเป็นความพ่ายแพ้อันมาจากขนมปังเพียงแค่ก้อนเดียว

“ดีมาก.........เอ้า!นี่รางวัล” หญิงสาวยิ้มอย่างมีชัย ก่อนที่จะหันไปหยิบขนมปังอีกชิ้นหนึ่งมาเพิ่มให้ชายหนุ่มเป็นสองชิ้น



ชายหนุ่มนั่งเคี้ยวขนมปังอยู่อย่างเงียบๆ โดยมีหญิงสาวที่แกล้งเดินไปมาแอบมองหน้าชายหนุ่มที่สะท้อนกับแสงไฟเป็นระยะๆ

อยู่ๆเขาก็คิดถึงบ้านขึ้นมา เขาคิดถึงแม่ คิดถึงอาหารที่แม่เคยทำให้กิน.... น้ำตาที่อุตส่าห์สะกดกั้นไว้ในเบ้าตามันก็เริ่มจะทะลักออกมาด้วยอารมณ์ที่พลุกพล่าน... ไม่นานนักหยาดน้ำตาใสๆก็ไหลลงมาจากนัยน์ตาข้างขวาเป็นทางยาวสะท้อนกับแสงไฟของตึกเป็นประกาย...

“นายร้องไห้อยู่หรือ?” ชายหนุ่มสะดุ้งรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

“เปล่า”

“ยี้...คนโกหก เห็นอยู่ชัดๆว่าขี้แย” หญิงสาวล้อเขา

“ก็บอกว่า.....เปล่า!!” เสียงต่อล้อต่อเถียงของชายหนุ่มค่อยๆเบาลงๆ แล้วมันก็ถูกกลบด้วยเสียงสะอึกสะอื้นในลำคอของเขา ......แม้ว่าลูกผู้ชายที่ว่ากันว่าเสียน้ำตาได้ยากยิ่งเพียงใดแล้วนั้น หากถูกรุกเร้าด้วยการจี้ใจดำมากๆเข้า บางครั้งพวกเขาก็ไม่อาจที่จะทนฝืนความรู้สึกไว้ได้ ทุกคนต่างก็มีเวลาที่อ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น.... เขาชันเขาขึ้นแล้วซุกใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาแอบไว้หลังเข่าที่ชันขึ้นมานั้น...

“โอ๋.....ขอโทษ หยุดร้องเถอะผู้ชายตัวใหญ่ร้องไห้ดูไม่ดีเลยนะ” หญิงสาวหยุดล้อเลียนแล้วใช้มือตบหลังเขาเบาๆเป็นการปลอบใจ

“เราไม่รู้หรอกว่านายมีปัญหาอะไร แต่เรื่องบางเรื่องน่ะ... .ระบายมันออกมาบ้างก็ดีนะ...”

“คนเราน่ะเก็บเรื่องราวที่เป็นปัญหาทุกเรื่องไว้เพียงคนเดียวไม่ได้หรอก” ถึงเธอจะกล่าวเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังคงสะอึกสะอื้น!!

“เฮ้อ..” หญิงสาวถอนหายใจในท่าทีของชายหนุ่ม



เวลาผ่านไปนานชายหนุ่มก็ยังคงสะอื้นอยู่ หญิงสาวปล่อยให้เขาร้องไห้อยู่ลำพังอย่างเงียบๆ ณ เวลานี้สิ่งที่จะปลอบใจเขาได้คงมีเพียงเวลาที่ผ่านไปเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง.... แต่ในที่สุดหญิงสาวก็นึกวิธีที่จะปลอบใจชายหนุ่มได้..



เธอเริ่มขับร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงใสๆ เหมือนกับเครื่องดนตรีแก้วที่ผ่านการเจียระไนมาอย่างดี เธอส่งเสียงไพเราะจับจิตเหมือนดังเทวดามาร้องเพลงอวยชัยดังก้องไปในราตรีอันมืดมิดสะกดจิตใจที่ปวดร้าวของชายหนุ่มให้ผ่อนคลายลง....

“ขอพระองค์พระเจ้าประทานความสุข” หญิงสาวยังคงหลับตาพริ้มไปตามท่วงทำนองของเพลง

“ให้ลูกพ้นทุกข์ได้รักสุขศานต์” เสียงร้องที่เป็นคำสวดภาวนาปลุกชายหนุ่มให้ลุกขึ้นจากความเศร้าหมอง

“ให้รักซึมทราบตราบนานเท่านาน” เขามองดูหญิงสาวที่ในขณะนี้ที่กำลังวาดมือไปมาอยู่บนอากาศเหมือนวาทยกรมืออาชีพ..

“ขอองค์ภูบาลประทานพรหลั่งดั่งสายพิรุณ” เสียงเพลงช่วยทำให้ชายหนุ่มลืมเรื่องที่ทำให้เขาครุ่นคิด

“เพื่อสุขสมหมายมากล้นหนทางรัก...เอย” เสียงเพลงจบลง ชายหนุ่มยิ้มนิดหนึ่ง

“ฮั่นแน่..ยิ้มแล้ว...สบายใจขึ้นบ้างรึยัง?” หญิงสาวลุกขึ้นยืนมือทั้งสองข้างไขว่ไว้ข้างหลังแล้วก้มหน้าลงมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่...

พระจันทร์เต็มดวงที่ถูกเมฆบดบัง ณ ตอนนั้น ได้ถูกสายลมเบื้องบนพัดเมฆให้เคลื่อนออกห่างจากกัน เผยให้เห็นแสงจันทร์นวลผ่องดวงกลมโตอยู่เบื้องหลังของหญิงสาว .... มันเป็นภาพที่สะดุดความรู้สึกของชายหนุ่มในขณะนี้เป็นอย่างมาก......!!

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มก้มลงหลบภาพเบื้องหน้าก่อนที่จะตอบ แต่เขาแอบตั้งใจไว้ลึกๆในใจแล้วว่า ภาพเมื่อซักครู่ที่เห็นนั้นเขาจะเก็บมันไว้ในความทรงจำตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

“บอกได้รึยังว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร?” หญิงสาวกระโดดขึ้นไปยืนบนขอบตึกโดยไร้ซึ่งความกริ่งเกรงแม้แต่น้อย...

ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือปัดเอาเส้นผมออกไปจากใบหน้าด้วยความรำคาญ พอเขามาคิดๆดูแล้วก็ถูกของเธอ มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะระบายความอ่อนแอให้ใครซักคนฟัง ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าด้วยกันทั้งคู่ด้วยแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวที่จะถูกเอาเรื่องพวกนี้ไปโพนทะนากับคนรู้จักคนอื่นๆ

“ผมทำให้แม่ต้องร้องไห้!” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ

“ทำให้พ่อต้องผิดหวัง!” หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ทำให้เวลา 4 ปีที่ทำมาต้องเสียเปล่า...จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลย” เขากล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนกางแขนทั้งสองข้างออกไปจนสุดแขน ราวกับอยากให้สายลมที่พัดมาสัมผัสกับตัวเขาทุกอณู

“แล้วทำให้ท่านผิดหวังในเรื่องไหนล่ะ?” หญิงสาวกระโดดเข้ามาใกล้

“เรื่องเงิน?” ชายหนุ่มส่ายหน้า

“เรื่องชกต่อย ทะเลาะวิวาท?” ชายหนุ่มสั่นหัว

“งั้น...!!” หญิงสาวหยุดคิด ใช้นิ้วจ่อที่ริมฝีปาก ท่าทางครุ่นคิดเอาจริงเอาจัง...

“เรื่องผู้หญิง....... นี่นายไปทำให้ใครเค้าท้องมาหรือเปล่า?” ชายหนุ่มหัวเราะพรืด.... เขาไม่ได้หัวเราะมานานแล้วตั้งแต่มีเรื่องกลุ้มใจเรื่องนี้เกิดขึ้น

“ผมยังไม่มีแฟน....หึๆ” เขาตอบไปหัวเราะไป ตอนนี้หญิงสาวกำลังตั้งท่าใกล้เริ่มงอนที่เขาหัวเราะแบบไม่เกรงใจ ......ถึงอย่างนั้นตอนที่หญิงสาวกระโดดหนีจากชายหนุ่มใบหน้านั้นกลับปรากฏยรอยยิ้มแวบหนึ่งที่ริมฝีปาก.. .

ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาแห่งความขบขันออกจากหางตา....

“น่า...อย่างอนน่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะซักหน่อย” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมหันมาชายหนุ่มก็เลยจำเป็นต้องง้อ ทั้งที่รอยยิ้มของเขายังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า..

“งั้นตอบมา... มีเรื่องอะไรกันแน่ ฉันขี้เกียจเดาแล้ว” เธอถามโดยที่ยังหันหลังให้

ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง................

“เรื่องผลการเรียนของผมน่ะ.!!” ชายหนุ่มตอบหลังจากนิ่งเงียบไปได้ซักครู่หนึ่ง

“ผล.....การ.......เรียน!!” หญิงสาวหันมาทำหน้าฉงน แล้วค่อยๆลากเสียงทีละคำอย่างช้าๆชัดๆ

“อืม”

“เพราะเรื่องเพียงเท่านี้น่ะเหรอที่ทำให้นาย อยากที่จะ.......ตาย?” เธอทำหน้าแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“อืม” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“แล้ว..มันแบบว่า..เอ่อ คือเกรดของเธอมันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ....ผลการเรียนของเธอตอนนี้น่ะ?”

“ก็ไม่แย่เท่าไหร่..แต่ว่ามัน” ชายหนุ่มอึกอัก

“ขนาดที่จะโดนรีไทน์เลยหรือเปล่า?” หญิงสาวยังคงรุกต่อไป

“เปล่า”

“งั้นเกรดก็น้อยมาจนเกินไปเลยน่ะสิ” หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้

“เอ่อ..ก็เปล่า”

“หรือ..ต่ำกว่า 2.00?” หญิงสาวยังคงเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็ก้มหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ก็เปล่าอยู่ดี” ชายหนุ่มพยายามถอยหนีให้ห่างใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ข้างหลังของเขาคืออากาศธาตุอันเวิ้งว้าง... หากถอยไปมากกว่านี้มีหวังเขาคงต้องตกลงไปยังพื้นคอนกรีตเบื้องล่างเป็นแน่

“สรุป...แล้วเพราะอะไร?” ตอนนี้ใบหน้าของหญิงสาวอยู่ห่างจากชายหนุ่มเพียงแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น ดวงตาและลมหายใจที่ถูกพ่นออกมากระทบใบหน้าของชายหนุ่ม มันทำให้เขาเขินจนหน้าแดง เขาไม่อาจทนกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนีจากเธอเท่านั้น

“เอ่อ..ก็” เขาเหลือบหางตามอง หญิงสาวยังคงจ้องหน้าเขาเขม็ง..... ชายหนุ่มสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า

“เกรดผมไม่ถึง 4.00 น่ะ !!”

“หา..อะไรนะ?” หญิงสาวแทบจะล้มทั้งยืนด้วยเหตุผลของชายหนุ่ม

“เกรดผม........ไม่ถึง 4.00”

“จะบ้าตาย...แล้วนายได้เกรดเท่าไหร่!?”

“3.93” ชายหนุ่มสารภาพ

หญิงสาวหมุนตัวหันหลังให้ชายหนุ่มแล้วนั่งยองๆลงกอดเข่าไม่พูดอะไรอีก.......

“นี่ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า!” ชายหนุ่มกังวลใจในท่าทางนิ่งเงียบของเธอ ถึงจะเจอกันไม่นานแต่อาการหันหลังให้กับคู่สนทนาของหญิงสาวนี้ เขาก็พอรู้ว่ามันเป็นการแสดงออกเวลาที่เธอใกล้แสดงอาการงอนออกมา.... เขายื่นมือขวาไปหมายจะจับบ่าหญิงสาว...!!

ตอนนั้นเองที่ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะใสๆออกมาจนสุดเสียง.....!!

“.......” ชายหนุ่มยืนทำหน้างง หญิงสาวยังคงนั่งหัวเราะไม่หยุดจนชายหนุ่มชักฉุน และตั้งท่าที่จะเดินหนีออกมา..

“น่า...น่า อย่าใจน้อยนักเลย” หญิงสาวเดินตามมายืนข้างๆ ทั้งๆที่ยังปิดปากหัวเราะอยู่

“......” ชายหนุ่มไม่ตอบ

“ก็มันน่าหัวเราะจริงๆนี่ โธ่....มีอย่างที่ไหน คนเกรดตั้ง 3.9 กว่าๆ ยังอยากจะตาย หวังว่าโลกเราตอนนี้มันคงยังไม่ร้อนเกินไปหรอกนะนี่ เลยทำให้คนเราเพี้ยนไปหมด” เธอหัวเราะ

“เกรดมันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกมั้ง...เกรดมันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนะ”

“แต่มันสำคัญสำหรับตัวผมและครอบครัวที่เค้าหวังในตัวผม” ชายหนุ่มชักมีอารมณ์

“ในเรื่องไหนล่ะ?”

“พวกเขาต้องการให้ผมได้รับเกียรตินิยม” เขาพูดเสียงหนักแน่น

“แต่....เกียรตินิยมก็ไม่ได้ทำให้คนเราเป็นคนดีได้” หญิงสาวเสนอทางออก

“แต่มันทำให้เรามีงานทำ และกินอยู่อย่างอิ่มท้องได้.......!!” ชายหนุ่มกระชากเสียงใส่จนหญิงสาวต้องผงะด้วยความหวาดกลัว

“ขอโทษ........ ผมไม่น่าจะขึ้นเสียงกับคุณ แต่คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่าคนที่เคยได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มาโดยตลอดน่ะ พอถึงเวลาที่เราทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้วจะเสียใจซักแค่ไหน” ชายหนุ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดแรงไปเสียงอ่อนลง

หญิงสาวยืนกำมือแน่นทั้งสองข้างจนต้นแขนสั่นระริกด้วยอารมณ์ แต่แววตาที่แนวแน่ของเธอที่จ้องมายังชายหนุ่ม จนทำให้เขาสั่นสะท้านในแววตาคู่นั้น...

“เข้าใจสิ” ในที่สุดหญิงสาวก็เปิดปากพูดทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียด

“เข้าใจทุกอย่างเลยล่ะที่นายพูดมา”เธอยังคงพูดต่อไป

“แต่คนที่มันไม่เคยยอมที่จะเข้าใจอะไรเลยน่ะ....มันน่าจะเป็นนายมากกว่า....!!”

หญิงสาวตะโกนใส่หน้าชายหนุ่มแล้ววิ่งไปยังทางลงไปยังบันไดสู่ชั้นล่าง ท่ามกลางความตกตะลึงของชายหนุ่มที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกหญิงสาวขึ้นเสียง... แต่เหมือนหญิงสาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยหมุนตัวเอาร่างที่บอบบางนั้นกลับมาประจันหน้ากับชายหนุ่มอีกครา...

“อ้อ... แล้วก็อีกอย่างหนึ่งนะ มีคนในโลกนี้มากมายพอๆกับดวงดาวบนฟ้าที่เรียนๆแล้วได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งของนาย แต่พวกเขาก็สามารถที่จะจบไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างมีความสุข”

เธอหยุดพูดแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ....



“มีแต่คนบ้าที่โง่เง่าเต่าล้านปีเท่านั้นล่ะ ที่จะด่วนตัดชีวิตของตัวเองไปอย่างง่ายๆโดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองแม้แต่เพียงอย่างเดียว...”

“คิดดูให้ดี...ไปล่ะ” พูดจบเธอก็วิ่งลงบันไดไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นจนเสียงฝีเท้าที่ก้องจากการวิ่งลงบันไดค่อยๆเบาลงๆ จนในที่สุดทุกอย่างก็กลายเป็นความเงียบสงตามเดิม..



สายลมพัดมาอีกครา แต่ชายหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เรื่องราวสองเรื่องที่ประดังเข้ามาในชีวิตของเขาในหนึ่งวันนั้น ตอนนี้มันกำลังผสมปนกันจนเขาเองก็ไม่สามารถแยกมันออกมาจากกันได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาเมื่อยล้า และสมองก็อ่อนเพลีย....

เมื่อระบบความคิดของสมองถูกจำกัดด้วยความเมื่อยล้า สมองของเขาก็จะสั่งให้ร่างกายทำตามในสิ่งสุดท้ายที่ได้ตัดสินใจไว้ในขณะที่สติยังครบถ้วน... ขาของเขาค่อยๆก้าวไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ไปยังพื้นที่ๆเป็นสุญญากาศที่ว่างเปล่า...อันถัดจากขอบตึกไปเพียงก้าวเดียว!!

อีกก้าวเดียวชีวิตนี้ก็จะจบลงแล้ว... แม้เมื่อซักครู่จะมีตัวกวนเข้ามาขัดขวางการตัดสินใจ แต่ความแน่วแน่ของจิตใจก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง...

ลมจากเบื้องล่างพัดขึ้นสู่ด้านบน... กระป๋องน้ำอัดลมเปล่าที่วางทับกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่บนขอบตึกถูกลมที่เปลี่ยนทิศกระทบจนกระเด็นตกลงไปเบื้องล่าง เมื่อสิ่งที่กดทับอิสรภาพหลุดลอยไป .....กระดาษแผ่นนั้นก็ถูกแรงลมโอบอุ้มปลิวตามลมมาติดอยู่หน้าอกของชายหนุ่ม...........!!

ชายหนุ่มก้มลงมองดูกระดาษแผ่นนี้ด้วยความรำคาญ ทำไมวันนี้มีแต่เรื่องที่คอยเป็นอุปสรรคขัดขวางความตั้งใจของเขากันนะ... เมื้อกี๊ก็ถูกก่อกวนโดยผู้หญิงคนหนึ่ง มาตอนนี้ก็มาถูกกระดาษเพียงแผ่นหนึ่งขัดขวางซ้ำอีก... เขากระชากแผ่นกระดาษออกมาจาหน้าอกหมายขยำทิ้ง แต่แล้วเขาก็ต้องเอะใจกับอะไรบางอย่างที่ถูกเขียนไว้ในอีกด้านหนึ่งของกระดาษ...

ชายหนุ่มพลิกอีกหน้าหนึ่งของกระดาษขึ้นมาดูอย่างสนใจ........!!

บนแผ่นกระดาษเขียนไว้ว่า

ถึง คุณผู้ไม่รักในชีวิต

ชีวิตทุกชีวิตมีค่ามากกว่าที่คุณคิด หากมีปัญหาแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตัว คนเดียว ก็ควรอย่างยิ่งที่จะหาคนมาช่วยคิดแก้ไข ไม่ใช่หลีกลี้หนีปัญหาโดยการจบชีวิต หากหาคนดั่งที่ว่ามาไม่ได้แล้ว เราก็พร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ทุกเวลา........เสมอ!!



จาก ผู้หญิงขี้งอน

06-73xxxxxx



ชายหนุ่มยืนนิ่ง.... นี่ผู้หญิงคนเมื่อซักครู่เป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?



เวลาผ่านไปอีกซักเล็กน้อยของชายหนุ่ม เขายังคงอยู่ในห้วงความคิดทบทวนในเรื่องที่หญิงสาวคนเมื่อครู่พูดมา จริงอยู่ที่เขายังสามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้ด้วยสองมือที่ยังมี และสองเท้าที่ยังดี หากดูจากคนพิการที่เขาสู้ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อแล้ว ปัญหาของเขานั้นมันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กมาก ...ส่วนเรื่องผลการเรียนนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เราก็ยังสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าในอนาคตต่อให้ไม่ได้รับเกียรตินิยมก็ยังสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตไปได้.....

“เอาล่ะ....ลองสู้ใหม่อีกครั้ง!!” หญิงสาวลึกลับได้ช่วยจุดประกายให้กับชายหนุ่มในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข เหมือนกับเป็นคนใหม่ที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง...



ในขณะที่เขากำลังจะก้าวลงจากขอบตึกนั่นเอง สายลมที่พัดแรงที่สุดในทุกครั้งก็ได้พัดกระแทกร่างของชายหนุ่มอย่างเต็มแรงจนเขาเสียหลัก ชายหนุ่มต้องใช้มือทั้งสองข้างในการเกาะเกี่ยวเสาอากาศไว้ไม่ให้ตัวเองเสียศูนย์ตกลงไปข้างล่าง แต่ตอนนั้นมันก็ทำให้แผ่นกระดาษใบนั้นลื่นหลุดมือไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นเบื้องล่าง....!!

“อ๊ะ...เดี๋ยว” ชายหนุ่มอุทานก่อนจะเผลอปล่อยมือจากเสาอากาศ เขาพยายาวิ่งตามมันโดยไม่สนในในวิสัยทัศรอบๆตัว เขาพยายามคว้าจับเอาแผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนกับใบเบิกทางสู่สวรรค์ใบนี้ไว้ไม่ให้หลุดลอยไป....

อีกนิดเดียวเขาก็จะจับกระดาษไว้ได้แล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่ากระดาษใบนั้นกลับบินสูงขึ้นไปทุกทีๆ ดูเหมือนว่าแรงลมจากเบื้องล่างมันจะยิ่งแรงขึ้น.... พร้อมๆกับความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหมือนเขากำลังบินอยู่ในอากาศเสียอย่างนั้น.....!!



“พลั่ก..!!!” เสียงก้อนเนื้อขนาด 60 กว่ากิโลกรัมตกลงมากระแทกพื้นคอนกรีตอย่างจัง เลือดสดๆแดงฉานสาดกระเซ็นไปทุกทิศทุกทาง........ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของผู้ที่สัญจรผ่านไปมาเบื้องล่าง........................................!!

ชายหนุ่มนอนหายใจรวยริน....อยู่บนทางเท้า ลิ่มเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ถูกกระดูกในร่างกายหักทิ่มทะลุออกมาเจิ่งนองไปทั่วทางเท้าเหมือนก๊อกน้ำแตก......

เมื่อสักครู่เขาไม่สามารถเอื้อมมือไปคว้ากระดาษใบนั้นไว้ได้ และเห็นมันค่อยๆบินสูงขึ้นไป.... มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่จริงกระดาษมันไม่ได้บินสูงขึ้น แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง......... พอมาคิดๆดูแล้วตอนนี้เขาอยากหัวเราะให้กับการกลั่นแกล้งของโชคชะตา ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาอยากตายแต่ก็ถูกขัดขวางตลอด .....แต่พอมาถึงตอนนี้เขาไม่อยากที่จะตายเลยแม้แต่น้อยก็กลับถูกกระดาษที่เห็นเป็นใบเบิกทางสู่สวรรค์ทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้...



“อ๊อก......ก...!!” ชายหนุ่มเริ่มหายใจไม่ออก เขาอึดอัดเพราะลมหายใจที่ขาดห้วง กระดูกซี่โครงที่หักบางซี่คงทิ่มทะลุปอดเป็นรูทำให้ไม่สามารถเก็บอากาศไว้ได้ และอีกไม่นานเลือดที่ไหลออกมามากนี้คงทำให้เขาช็อกเพราะเสียเลือดมากและตายไปในที่สุด.... เลือดที่กำลังไหลออกมาจากบาดแผลที่หน้าผากกลบดวงตาจนมองเห็นโลกทั้งโลกกลายเป็นสีแดง.....!!

ในขณะที่สติของเขากำลังจะหมดไปนั่นเอง เขาก็ได้เห็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวพลิ้วลงมาจากอากาศเบื้องบนอย่างช้าๆ มันถูกแรงลมดันให้สะบัดไปมาซ้ายทีขวาทีเหมือนอย่างจงใจ แต่สุดท้ายมันก็ตกลงบนหน้าอกที่โชกเลือดของเด็กหนุ่มอย่างนิ่มนวล......

ผู้คนที่รุมมองอยู่รอบๆ ต่างเห็นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์บนหน้าอกของชายหนุ่มค่อยๆซึมซับเลือดสีแดงที่เจิ่งนองจนกลายเป็นสีแดงอย่างช้าๆ จนกระดาษทั้งแผ่นก็กลายเป็นสีแดงอำพัน....

เสียของรถพยาบาลฉุกเฉินดังแว่วมาแต่ไกล กับเสียงสายลมที่พัดครวญครางยามราตรีเท่านั้นที่ยังคงดังก้องกระทบโสตประสาทของฝูงชนที่เฝ้ามุงดูเหตุการณ์นั้น....

นอกนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเงียบ......

ไม่มีเสียงอะไร แม้แต่เสียงลมหายใจของชายหนุ่มที่นอนจมกองเลือดด้วยรอยยิ้มอยู่ภายใต้แสงจันทร์........................!

///////////////////////////////////////////////////////////


Create Date : 10 มิถุนายน 2550
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:15:35 น. 0 comments
Counter : 688 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อัจฉริยะมืด
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัจฉริยะมืด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.