photo Untitled-1_zps5d978a2e.jpg
Group Blog
 
All blogs
 

สังคมทหารกับมิตรภาพที่หาที่ไหนไม่ได้ ตอนที่ 3

ความจริงเขียนตอนที่ 3 นี้ไว้นานแล้ว แต่พอดีพึ่งมาเปิดเจอจริง ๆ - -" ยังสงสัยอยู่เลยว่า เขียนไว้ตอนไหนว่ะเนี้ย เขียนตั้งแต่ปี 1 ตอนนี้ ปี 2 555+ พึ่งเห็นจริง ๆ ข้อมูลอาจเก่า ๆ ไปบ้างน่ะครับ ลองอ่านดู เผื่อจะรักทหารมากขึ้น ^^ ขอบคุณครับ

ผ่านฤดูการสอบมาแล้วครับ ปิดเทอมซะที เวลามันช่างผ่านไปไวจริง ๆ (ไวเกินไปมั้ยน่ะ) ยังรู้สึกว่าเมื่อวานเพิ่งมามอบตัวเป็นนักศึกษาอยู่เลย ยังจำภาพวันเก่า ๆ ที่รายงานเข้าหอพักวันแรก งานปฐมนิเทศ งานบายศรีสู่ขวัญ รุ่นพี่ยืนเรียงกันสองข้างทางตรงสู่ใจกลางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี รุ่นพี่ร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัย เพื่อให้น้องปีหนึ่งเช่นผมเดินผ่าน ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี มันขนลุกอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาผมยังซึมเลย ^^ รู้ตัวอีกที ก็ผ่านไปปีนึงและ ปีหน้าผมก็เป็นรุ่นพี่ แต่ก็ยังเป็นรุ่นน้องของพี่ปี สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด (มาครบเลย - -“) เป็นพี่คน ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีแล้วน่ะ 55+ จะทำได้ป่าวว่ะเนี้ย

บทความนี้ ความจริงผมกะว่าจะจบแค่สองตอนแค่นั้น แต่คิดไปคิดมา ผมยังอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ของทหารให้เพื่อน ๆ ชาว blogging ได้อ่านกันอีก ภาพลักษณ์ของทหารในปัจจุบันในสายตาของประชาชนผมว่ามันดูไม่ค่อยดีซักเท่าไร ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นทหาร เป็นแค่นักศึกษาธรรมดา ๆ คนนึง แต่สายเลือดทหารมันอยู่ในเลือดผมอย่างเต็มเปี่ยม การทำรัฐประหารครั้งล่าสุด(พูดเหมือนจะมีรอบต่อไปเลยวุ้ย - -“) ที่มีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้นำ เป็นการทำรัฐประหารที่สมบูรณ์ที่สุดครั้งนึง ตอนนั้นผมนั่งเรียนพิเศษอยู่ ประมาณสี่ทุ่ม พี่ปั้น(พี่ติวเตอร์) เดินมาบอกว่า ปฏิวัติแล้วว่ะ ครั้งแรกที่ผมได้ยิน มันตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก(ก็มันครั้งแรกในชีวิตนี้หว่า 55+) พี่ชายเพื่อนซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจต้องรีบกลับเข้าโรงเรียน พ่อผมก็ขับรถมารับเลย ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นอย่างไงน่ะ จะมียิงกันไหม ก็มีการต่อต้านไหม แล้วที่สำคัญ มันจะเรียกพ่อกุไปป่าวว่ะ - -“ แต่ตอนเช้ามาดูข่าว เหตุการณ์ก็ปรกติ ภาพลักษณ์ของทหารในตอนนั้น แบบว่าเป็น ฮีโร่มาก ๆ ประชาชนเข้ามาถ่ายรูปกับรถถัง มามอบดอกไม้ มอบน้ำ แบรนด์ ฯลฯ เอาง่าย ๆ คือฝรั่งยังงง บ้านเค้าไม่มีอย่างนี้ล่ะครับ มาเจอก็อึ่งเป็นธรรมดา อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการทำรัฐประหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก โดยใช้ตำราพิชัยสงครามแบบลับ ลวง พราง 555+

บ่นไปเยอะและ มาเข้าเรื่องดีกว่า สังคมทหารกับมิตรภาพที่หาที่ไหนไม่ได้ เออ….จะเขียนเรื่องไรดีอ่าเนี้ย - -“ …….เออ…..ง่า - -“…..มาว่ากันเรื่องสามจังหวัดชายแดนใต้ดีกว่า ตอนผมเข้ามหาลัยใหม่ ๆ ก็เกิดความคิดบ้า ๆ ว่าจะสอบนักเรียนนายสิบ ทบ. เพราะว่า จะลงใต้ ผมได้ฟังแค่นั้นล่ะครับ เครียดทันที ตอนนั้นผมแบบจริงจังมาก แต่พอฟังจากปากพ่อ ผมลงไปที่นั้น เริ่มต้นก็ติดยศสิบตรี ยศสิบตรีผมจะไปทำอะไรได้ ไม่ได้เป็นพวกนายพล เรามันฝ่ายปฏิบัติการ ไม่ใช่ฝ่ายสั่งการ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องการเมือง การเมืองที่นำชีวิตทหาร-ตำรวจ มาใช้เป็นเบี้ยให้พวกมันเล่นกัน ลูกลงไปลูกก็เป็นเหมือนเศษฝุ่น ไม่มีอำนาจไปต่อรองอะไรกับใคร ลูกตาย ก็แค่ตาย เป็นข่าวไม่กี่วัน คนก็ลืม ถ้าอยากจะทำเพื่อชาติ ก็เรียนให้จบปริญญาตรี จบมาเป็นวิศวกร ไปช่วยพัฒนาอาวุธ เสื้อเกราะ ไปคิดค้นอะไรให้ทหารเค้าก็ได้นิ ผมฟังแล้วก็จริงตามพ่อพูด ผมลงไปก็เป็นเหมือนฝุ่น ที่ไม่มีใครสนใจ ลงไปให้มันยิง แล้วเป็นข่าว พอตื่นเช้ามา คนก็ลืม

ผมรู้สึกอดน้อยใจไม่ได้เวลาเกิดกีฬาสีปากก็บอกว่าตัวเองกู้ชาติ แต่คิดกันแต่อะไรก็ไม่รู้ รกโลก ไร้สาระ แล้วพวกทหารที่ทำงานอยู่สามจังหวัดล่ะครับ พวกเค้าเหล่านั้นต่างหาก ที่กู้ชาติ และแลกมาด้วยชีวิตของตัวเอง พวกคุณทั้งสองสีเอาแต่พูดเรื่องดี ๆ ของพวกคุณกันเอง ไม่พูดถึงเรื่องเลว ๆ ของคุณบ้างล่ะครับ เอาแต่กล่าวหาข้อเสียของอีกฝ่าย ทั้งที่เรื่องดี ๆ เค้าก็มีออกเยอะ คนเกิดมาไม่มีใครเป็นคนดี 100% หรอกครับ ไม่มีใครเกิดมาไม่เคยทำผิด ในหลวงท่านยังเคยกล่าวไว้เลย แล้วเราคนไทยเหมือนกัน จะตีกันทำไมครับ ชอบหรือที่ประเทศไม่สงบ อย่าถามว่าประเทศให้อะไรคุณ แต่คุณต้องถามว่าคุณเคยให้อะไรกับประเทศที่เป็นแผ่นดินเกิดของคุณบ้างไหม

ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่มีภาพทหารคลุมด้วยธงชาติไทยลงข่าวหน้าหนึ่ง แต่จะรู้สึกหนักใจมากกว่าอีก ถ้ามันขึ้นหน้าหนึ่งเรื่องพวกสองสี T^T อาข้างบ้านผม ยศร้อยโท เป็น EOD(หน่วยกู้วัตถุระเบิด) ลงไปทำงานที่ใต้สองปีได้แล้ว อาบอกไปตอนแรก ๆ ทำใจแทบไม่ได้ มันระเบิดกันทุกวัน ยิงกันทุกวัน ไปวันแรก ๆ นี้ นอนไม่หลับกันทีเดียว แต่นาน ๆ ไป ก็ชิน ผมมีโอกาสได้ดูภาพทหาร-ตำรวจ ถูกฆ่า แล้วนำศพขึ้น ฮ. กลับมา สภาพที่เห็นมัน…มันเกินกว่าผมจะรับได้จริง ๆ มันคนละเรื่องกับในหนังเลย อยากรู้เป็นไง นึกถึงหนังเรื่องแรมโบ้ภาพล่าสุดได้เลยครับ (ใครนึกไม่ออก หาดูซะ!!!) อำนาจของกระสุน 5.56,7.65 หรือ .50 มม. อำนาจของมันนั้น น่ากลัวจริง ๆ จะบอกง่าย ๆ อย่าง อำนาจการยิงของ .50 มม. แบบว่ายิงแขน แขนขาด ยิงขา ขาด ยิงหัว - -“ คงไม่ต้องอธิบายน่ะ ไม่ต้องตามเก็บกันทีเดียว พ่อบอกว่ากระสุนพ่อเวลายิงมันจะควงออกไป รูเข้าน่ะ รู้เล็ก แต่พอเข้าไปแล้วมันจะควง ดังนั้น รู้ออก เบอเร่อลยทีเดียว O_O” ได้ดูภาพบางภาพไปก็หายซ่าไปในทันที อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าลงไป กุจะกลับมาสภาพไหนว่ะเนี้ย - -“ มันจะเละไหมน๊า จะเหลืออะไรให้เผาไหม - -“

ดังนั้น เราอยู่แนวหลัง ให้พึงสังวรไว้เลยครับ ว่าเราน่ะสบายก็พวกเค้าเป็นล้าน ๆ เท่า มีบ้านอยู่ มีของดี ๆ กิน อยากไปไหนก็ไปได้ ไม่ต้องกลัวถูกซู๋ม นอนกอดหมอน(ท่ายังไม่มีแฟน 555+) เปิดแอร์เย็นสบาย นอนตื่นสาย ๆ ไม่ต้องกลัวใครมาลอบฆ่าตอนดึก ๆ แต่ทหาร-ตำรวจ เหล่านั้น ทุกคนมาจาก 76 จว. ของประเทศไทย แต่มาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ มารักษาแผ่นดินผืนนี้ของประเทศไทยเอาไว้ ชีวิตความเป็นอยู่ของเค้าช่างยากลำบาก นอนก็ต้องนอนกอดปืน ไหนจะต้องระแวงอีกว่า แมร่งจะมาบุกฐานกุป่าวว่ะ ไหนจะต้องออกลาดตระเวน ไปก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาสภาพเป็นหรือตาย จะไปไหนก็ต้องไปกันเป็นกลุ่ม(ไปน้อย ๆ แมร่งซุ่มขึ้นมา ก็ตายห่าพอดี - -“) ตอนคุยโทรศัพท์กับลูก บอกว่า “พ่อจะกลับไปหาน่ะ ตั้งใจเรียน ดูแลแม่ด้วย แล้วพ่อจะรีบกลับไป” หลายคนพูดแบบนี้แต่ก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้ ไม่ซิ พ่อบอกว่าจะกลับน่ะ แต่พ่อไม่ได้บอกว่าจะกลับไปแบบเป็นหรือตาย ไม่มีใครอยากมาทำงานเสี่ยง ๆ แบบนี้หรอกครับ เงินเดือนทหารเกณฑ์ที่ทำงานที่ใต้ มันก็พอ ๆ กับพนักงานเซเว่น แต่ทหารเราเจ๋งกว่าตรงที่ต้องวิ่งหลบระเบิด หลบกระสุนนี้เอง มาทำงานแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตาย อย่างหมวดตี้ที่เพิ่งเขียนไดอารี่ลงเว็บเสร็จ เค้าจะรู้ไหมว่า อีกไม่กี่ ชม. จะตายแล้ว ผมนั่งคิดแล้ว ได้แต่เสียใจ มีหนังสือเล่มนึงผมได้กลับมาจากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ผ่านมา “หากฉันไม่ได้กลับ ก็ขอให้เธอหลับฝันดี” เรื่องราวดี ๆ ของนักรบไทย และเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้ คุณหาได้ในหนังสือเล่มนี้แน่นอนครับ

ขอบคุณ ทหาร-ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม ที่ทำหน้าที่อยู่ในสาม จว. ขอบคุณที่ทำให้พวกเราสบายในขณะที่พวกท่านต้องลำบาก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยปกป้องคุ้มครองพวกท่าน ให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง และขอให้พวกที่ไม่หวังดีกับบ้านเมือง ทั้งโจรใต้ และนักการเมืองเลว ๆ ตายไปซะจากแผ่นดินไทย ขอพลังจงอยู่แก่ท่านทุกคน




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2556 11:19:42 น.
Counter : 561 Pageviews.  

ความทรงจำที่ยังอยู่ Toy Story 3

ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยกับของเล่น สองสิ่งนี้ดูเหมือนช่างห่างไกลกันมากเลย เมื่อวานหลังเลิกเรียน ก็บึ่งไปเข้าร้านเช่าหนัง ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ นี้ ผมไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมพ่อ เนื่องจากติดทำโปรเจคต์

มองดูตรงตู้หนังเข้าใหม่ ไปสะดุดตาเอาเรื่องนึง Toy Story 3 ผมไม่ลังเลที่จะหยิบหนังเรื่องนี้และนำไปเช็กเช่าหนังที่เคาเตอร์เลย พูดถึงหนังเรื่องนี้ Toy Story 3 การ์ตูนจากค่าย disney ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ของ disney มาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เพลงของการ์ตูน disney มั่นใจว่าร้องตามได้

Toy Story 3 เป็นภาคต่อที่ผมบอกเลยว่ารอนานมาก และไม่คิดจริง ๆ ว่าจะออกภาค 3 มา จำได้ว่าผมดูภาค 1 กับ 2 ก็ตอนอยู่ประถมนู้นล่ะ พูดง่าย ๆ คือ ผมโตมาพร้อมกับเจ้าของของเล่นในเรื่อง แอนดี้ จากเด็กประถม ตัวเล็ก ๆ เล่นของเล่น จนตอนนี้ ผมและแอนดี้เราเป็นเด็กมหาลัยแล้ว โตขึ้นเยอะเลย นึก ๆ แล้วผมก็ใจหาย เวลามันช่างไวจริง ๆ

ผมเคยมีตุ๊กตาวู๊ดดี้ตัวนึง เหมือนกับในหนังเลย เป็นตุ๊กตายางที่ผมรักมากที่สุดตัวนึงเลยล่ะ แล้วตอนนี้ นายอำเภอวู๊ดดี้ของผม ไปอยู่ไหนซะล่ะเนี้ย ผมเก็บมันไว้ที่ไหนน่ะ ??

ฉากสุดท้ายใน Toy Story ที่แอนดี้เอาของเล่นไปให้บอลลี่ ฉากสุดท้ายที่เรียกน้ำตาผมได้ T_T ฉากที่แอนดี้เล่นของเล่นกับบอลลี่ ผมไม่ได้ทำอย่างนี้มานานเท่าไรแล้วน่ะ ผมลืมช่วงเวลาเหล่านี้ไปนานแล้ว จนมี Toy Story มาขุดความทรงจำในช่วงนั้นขึ้นมา ของเล่นเหล่านี้มีความหมายกับผมมาก พวกเราทุกคนต่างก็โตมากับของเล่น

ของเล่นทุกชิ้นมีความพิเศษในตัวของมันเอง ผมจำไว้ได้ว่าผมเคยอินกับ Toy story มาก แบบว่า ตอนดึก ๆ ผมแอบลงมาดูของเล่น ว่ามันแอบเล่นกันหรือเปล่า ^^ บางครั้ง เราวางของเล่นไว้ที่นึง แต่เราก็อาจจะไปพบมันอยู่อีกที่นึง มันมีชีวิตหรือเปล่าน่ะ แต่ผมเชื่อจริง ๆ ว่าของเล่นทุกชิ้นมีชีวิต

"ชั้นยินดีที่ได้เจอพวกนายทุกตัวน่ะ ของเล่นของชั้น ชั้นจะไม่ลืมพวกนายเลย"

Photobucket




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2553    
Last Update : 3 ธันวาคม 2553 15:45:14 น.
Counter : 1000 Pageviews.  

ภาพเก่า เล่าใหม่

ว่าง ๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยหยิบภาพเก่า ๆ เอามาให้ชาวบล๊อกได้ดูกันครับ ^^

ภาพนี้ถ่ายตอนไปเที่ยวพัทยา ที่ตลาดน้ำ 4 ภาค เป็นร้านกาแฟที่ผมว่าดูดีใช้ได้เลย

Photobucket

หากจะพูดถึงกองบินที่สวยที่สุดในประเทศไทย ก็คงหนีไม่พ้น กองบิน 5 จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ด้วยตัวกองบินติดทะเล และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทหารที่ได้รับความนิยมแห่งหนึ่งในประเทศไทย

Photobucket

ภาพนี้ ถ่ายตอนเปิดหอพักชายที่มหาลัยปีที่แล้ว หนึ่งปีจะมีหนึ่งวันที่ทางมหาลัยเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าได้ ก็เป็นโอกาสดีที่นักศึกษาหญิงจะได้รู้ว่าพวกผู้ชายมันอยู่กินกันอย่างไร ทำให้นักศึกษาชายต้องวุ่นวายออกมาจัดห้องให้เรียบร้อยทั้ง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน สภาพห้อง ก็ไม่ต่างจากป่าอเมซอน 55+

Photobucket

ภาพนี้ผมถ่ายที่สถานีรถไฟฟ้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ระหว่างรอรถไฟฟ้ากลับบ้านหลังจากได้เดินตะลอน ๆ หาหนังสือ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

Photobucket

ภาพนี้ถ่ายที่ อ.บ้านกรูด เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมาก

Photobucket

สนามเล่น BB GUN ในกองบิน 5 มีโอกาสได้เข้าไปเล่นอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง โดยมีพี่ทหารที่เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั้น ลงมาเล่นด้วย บอกเลยว่า เป็นกีฬาที่เสียเหงื่อสุด ๆ แต่เล่นไม่มีเบื่อจริง ๆ

Photobucket

มันชื่อว่า เมียร์แคท ภาพนี้ผมถ่ายที่สวนสัตว์ดุสิต เป็นสัตว์โลกที่ผมชอบที่สุด จากชีวิตที่น่าทึ่งของมัน ตัวเดียวกับทีโมนในเรื่อง ไลออน คิงส์

Photobucket

เที่ยวบิน ไฟท์ แรก ในงานวันเด็กปี 52 กับเครื่องบิน C-130H เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ๆ

Photobucket

เครื่อง F-5E จากฝูงบิน 211 กองบิน 21 อุบลราชธานี เป็นหนึ่งในอากาศยานที่เข้ามาโชว์ในงานวันเด็กปี 51 ที่กองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์

Photobucket

เครื่อง BELL-212 จากกองบินตำรวจ ในงาน SALEX2010 ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี โดยเครื่อง BELL-212 บินสาธิตในการบินค้นหาและกู้ภัย

Photobucket




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2553 17:41:59 น.
Counter : 2834 Pageviews.  

Nick Vujicic ชายพิการไร้แขน ไร้ขา ที่สอนให้ คุณ ผม และคนอื่นลุกขึ้นยืน

ผมมีโอกาสได้รู้เรื่องราวครั้งเค้าคนนี้ ครั้งแรกจาก youtube ที่อาจารย์เปิดให้ดู ครั้งแรกที่ได้ดู มันเหลือเชื่อมาก มันมหัศจรรย์จริง ๆ เราจะเคยเห็นภาพของวิทยากรที่ออกมาพูดให้กำลังใจคน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้วมีพร้อมที่สิ่งทุกอย่าง แต่กับเค้าคนนี้ นิค วูจิซิค มันกลับตรงกันข้าม ภาพของชายพิการ ไร้แขน ไร้ขา แต่ใบหน้าของเค้ากลับเปื้อนด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เค้าใช้ชีวิตปรกติเหมือนคนธรรมดาทุกอย่าง ไม่ยอมให้คำว่า คนพิการ มาแยกเค้าออกจากคนปรกติ ผมจ้องดูภาพของเค้า นิค วูจิซิค มันทำให้ผมยิ้มทุกครั้ง ในเมื่อคนพิการแบบนิค ยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตได้ถึงขนาดนั้น แล้วผม ก็เป็นคนปรกติ มีแขนมีขา มีทุกอย่าง จะมัวมานั่งทุกข์ทำไมล่ะ ล้มแล้วก็อยู่ที่เรา จะลุกเมื่อไรแค่นั้น อย่ากลัวที่จะล้มและกล้าที่จะลุก ^^ ขอบคุณครับ

Photobucket

Nick Vujicic นิค วูจิซิค ชายพิการไร้แขน ไร้ขา ที่สอนให้ คุณ ผม และคนอื่นลุกขึ้นยืน (จะเป็นไปได้อย่างไร แค่คนพิการที่ไม่มีแม้แต่แขนขา จะมาสอนคนปกติให้ลุกยืน ) หากคุณคิดเช่นนั้นคุณคิดผิด และหลังจากนี้คุณจะต้องรัก และเคารพในตัวของ นิค ชายผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ ความหวังต่อผู้ที่รู้สึกสิ้นหวัง

นิค วูจิซิค Nick Vujicic เป็นชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา นิค วูจิซิคเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้น

ประวัติ ของ นิค วูจิซิค(Nick Vujicic)
• เกิดวันที่ 4 ธันวาคม 1982
• นิค เกิดที่เมือง Melbourne ประเทศออสเตรเลีย( Australia )
• นิคป่วยเป็นโรค Tetra-amelia disorder ( เป็นภาษาที่มีรากศัพท์จากภาษากรีก 2 คำคือ Tetra แปลว่า สี่ กับคำว่า Amelia แปลว่า บกพร่อง )
• นิค ไม่มีแขนทั้งสองข้างตั้งแต่หัวไหล่ไป ส่วนขานิคมีขาสั้นๆและลีบเล็กหนึ่งข้างกับนิ้ว 2 นิ้ว
• ในช่วงวัย เรียน นิค มีปัญหายากลำบากในการเข้าศึกษาเนื่องจากกฎหมายของ ออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้เด็กพิการ เรียนร่วมกับ เด็กปกติ
• แต่โลกนี้ไม่สิ้นหวัง นิคเป็นเด็กพิการ ในออสเตรเลียคนแรกๆ ที่ได้เรียนรวมกับเด็กปกติ เนื่องจากมีการแก้กฏหมาย
• นิคใช้ขา ที่มีนิ้วเล็กๆ 2 นิ้วมัดติดกับปากกาในการเขียนหนังสือ
• จุดเปลี่ยนในชีวิตของ นิค เกิดขึ้นเมื่อนิคได้อ่านหนังสือพิมพ์ และพบเรื่องราวเกี่ยวกับคนพิการ และทำให้นิคคิดได้ว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
• เมื่อนิคอายุได้ 17 เขาเริ่มตั้งกลุ่มพูดคุย ให้คำปรึกษาสำหรับกลุ่มคนพิการอื่นๆ และในที่สุดนิค ก็ตั้งมูลนิธิ Life Without Limbs
• นิค จบมหาวิทยาลัยด้วยวัย 21 ปี กับปริญญา 2 ใบทางด้านบัญชี และด้านการวางแผนการเงิน(Financial Planning)
• นิค เริ่มออกเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง เพื่อเปิดการบรรยายเพื่อเป็นกำลังใจต่อผู้สิ้นหวังทั้งหลาย

Photobucket

แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมา ดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา

"No arms, No legs, No worries"

An amazing story of faith in adversity. If Nick's story doesn't convince us about God's love & His power & what faith can do, then nothing else will.
เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะ อันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว

My name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!
ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสน ทั่วโลก!
I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth "defect". As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles.
ผมเกิดมาโดยที่ไม่มี แขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย

"Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds."
"คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึก เป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"

Photobucket

....To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
...ให้ ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี
However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was "Praise God!".
อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"
Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.
ลูก ชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ

The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, "if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?" My Dad thought I wouldn't survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.
คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง
Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I'd be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school.
พ่อแม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้ เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้

Photobucket

The law in Australia didn't allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school.
กฎหมาย ในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่อง ทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมาย เพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับ หน้า

I liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times.
ผม ชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความ ท้าทายนั้น
I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn't go to school just so I didn't have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends.
ผมรู้ ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่

There were times when I felt depressed and angry because I couldn't change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn't understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I'm the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it'd be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength.
มีบางเวลาที่ผมรู้สึก หดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและ พระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผม รู้สึกดีและเข้มแข็ง

Photobucket

Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing.
เนื่องจากการต้อง ดิ้นรนใน ด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อ ช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็น พระพร

To encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams.
One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.
เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้
บทเรียนหนึ่ง ในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง
"And we know that in all things God works for the best for those who love Him."
That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these "bad" things happen in our life.
"และเรารู้ ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
I had complete peace knowing that God won't let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.
Jesus said that the reason the man was born blind was "so that the works of God may be revealed through Him." I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it's God's will, it'll happen in His time. If it's not God's will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can't be used.
ผมได้พบกับความสงบอย่างสมบูรณ์ในการได้ รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9
พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิด มาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็น สิ่งที่คนอื่นไม่มี

Photobucket

I am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today's teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.
ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผม และเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อ ที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย
I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow.
ผมมี ความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม

I have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God's Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the "Oprah Winfrey Show"!
Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called "No Arms, No Legs, No Worries!"
ผม มีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระ เจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่อง ราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"!
การได้เขียนหนังสือหลาย เล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"
I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it's God's will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What's worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a "box".
The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can't do anything without Him. Once we make ourselves available for God's work, guess whose capabilities we rely on? God's!
ผม เชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง"
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือ การที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!

Photobucket

อันนี้คลิปของนิคครับ มีซับไทย คลิปสั้น ๆ น่ะ แต่ทำให้น้ำตาไหลไำด้เลย ^^


"ผมจะพยายามซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มันจะไม่ใช่จุดจบ" - นิค วูจิซิค


อ้างอิง ข้อมูล Mthai
อ้างอิง รูปภาพ google




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553    
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 20:00:36 น.
Counter : 3941 Pageviews.  

50 Anniversary ห้าทศวรรษการบินไทย

Photobucket

จากเครื่องบินใบพัดอย่าง DC-6 จนถึงเครื่องบินโดยสารไอพ่นขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Airbus A380 50 ปีที่ผ่านมา การบินไทยใช้เครื่องบินหลากหลายและมีลวดลายบนอากาศยานมาแล้วสามแบบ ไม่ว่าเทคโนโลยีอากาศยานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือ การบินไทยใช้เครื่องบินเหล่านี้เพื่อเป็นสื่อนำการบริการและความประทับใจในความเป็นไทยสู่ทุกทวีปทั่วโลก – Aerospace Magazine

จากก้าวเล็ก ๆ ก้าวแรก ในปี 2503 เป็นระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 50 ปีแล้ว เราจะมาย้อนดูก้าวแห่งประวัติศาสตร์ของการบินไทยในแต่ละยุคกัน

Photobucket
ลายครบรอบ 50 ปี ซึ่งใช้ลายของอากาศยานในยุคแรกของการบินไทย มาเพนท์ลงบน Boeing 747

ยุคที่ 1 พ.ศ.2503-2512
การบินไทยร่วมกับสายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ (Scandinavian Airlane System Airline : SAS) ก่อตั้งสานการบินไทยเพื่อดำเนินธุรกิจการบินระหว่างประเทศ (บดท.ถือหุ้น 70% ส่วน SAS ถือหุ้น 30%) และการบินไทยได้เช่าเครื่องจาก SAS จำนวน 3 แบบ ได้แก่ เครื่องบิน DC-6,เครื่องบินคอนแวร์ 990 โคโรนาโด (Convair 990-30A-6 Coronado) และเครื่องบินคาราเวลล์ เอสอี210 (Caravelle SE210-Carevelle III)
-ปี 2503 การบินไทยเปิดเส้นทางการบินจากกรุงเทพฯไปยังเมืองต่าง ๆ ในเอเชีย อีก 11 เมือง และได้ใช้ตราสัญลักษณ์ประจำสายการบินเป็นรูปตุ๊กตารำ
-ปี 2508 การบินไทยมีกำไรเป็นปีแรก โดยมีกำไร 3.9 ล้านบาท และมีกำไรต่อเนื่องมาอีก 43 ปี
-ปี 2510 การบินไทยให้บริการผู้โดยสารครบ 1 ล้านคน และได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังบาหลี
-ปี 2512 การบินไทยประสบความสำเร็จในการให้บริการด้วยเครื่องบินไอพ่นทั้งหมด

Photobucket
Boeing 747 ซึ่งใช้ลายแบบที่สอง กำลังแลนดิ้ง ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต

ยุคที่ 2 พ.ศ.2513-2522
การบินไทยต่อสัญญากับ SAS อีกครั้ง ซึ่งได้ร่วมหุ้นมาตลอด 10 ปี และจะต่อสัญญาไปอีก 7 ปี และได้เช่าเครื่องที่มีสมรรถนะดีกว่าอย่าง DC-9-41 และ DC8-33 และการบินไทยเริ่มรายการ รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ ซึ่งเป็นรายการท่องเที่ยวพิเศษ ให้นักท่องเที่ยวเลือกสถานที่และวันเดินทาง ในราคาประหยัด
-ปี 2515 เปิดเส้นทางการบินข้ามทวีปเส้นที่ 2 ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-โคเปนเฮเกน
-ปี 2516 เปิดเส้นทางการบินใหม่ สู่ ลอนดอน,แฟรงเฟิร์ต และได้พัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นศูนย์การการบินระหว่างยุโรปและเอเชีย
-ปี 2517 เปิดเส้นทางใหม่ไปยังโรม และได้นำระบบจองที่นั่งด้วยคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน การบินไทยมีพนักงานกว่า 3 พันคน ทำให้เป็นบริษัทที่มีพนักงานมากที่สุดแหง่หนึ่งของไทย
-ปี 2518 การบินไทยจ้างบริษัท Walter Landor and Associates ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อออกแบบสัญลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูเป็นสากลมากขึ้น ซึ่งสัญลักษณ์ใหม่ ประกอบด้วย สีม่วง ชมพูและทอง ที่แสดงถึงความงามของธรรมชาติและอารยธรรมไทย ซึ่งเป็นที่ชื่นชมกล่าวขานกันทั่วโลกในเวลาต่อมา
- ปี 2520 การบินไทยซื้อหุ้นคืนทั้งหมดจาก SAS หลังจากได้ร่วมลงทุนและประสบความสำเร็จมากว่า 17 ปี และได้มอบหุ้นที่ซื้อคืนมาให้แก่กะทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังจึงร่วมลงทุนกับบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ดังนั้น การบินไทยจึงเป็นของคนไทยเต็มตัว
-ปี 2522 การบินไทยย้ายแผนกต่าง ๆ มารวมกันที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ บนถนนวิภาวดีรังสิต เนื้อที่ 26 ไร่ แต่สำนักงานใหญ่สร้างเสร็จทั้งโครงการในปี 2532

Photobucket
Boeing 747 กับลายแบบที่ 3

ยุคที่ 3 พ.ศ.2523-2532
ในยุคนี้ การบินไทย ยังเป็นช่วงของการเพิ่มจำนวนเครื่องบินอย่างต่อเนื่องหลายแบบ ได้แก่ Airbus 300,DC-8,DC-10,Boeing 747-200,Boeing 747-300,Boeing 737-200,Airbus 310,Short 330,Short 360
-ปี 2523 เปิดเส้นทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปลอสแองเจลิสและตะวันออกกลาง
-ปี 2526 การบินไทยลงทุนในกิจการคลังน้ำมันเครื่องบิน (BAFS : Bangkok Aviation Fuel Service Limited) และกิจการโรงแรม (Royal Orchid and the Airport Hotal)
-ปี 2527 การบินไทยใช้เชียงใหม่เป็นจุดพักของเส้นทางการบิน กรุงเทพฯ-ฮ่องกง และใช้หาดใหญ่เป็นขุดพักของเส้นทางการบิน กรุงเทพฯ-สิงคโปร์
-ปี 2528 การบินไทยเปิดศูนย์ซ่อมเครื่องบินลำตัวกว้าง Boeing 747-200 และ Airbus300-600
ณ ท่าอากาศดอนเมือง เพื่อซ่อมเครื่องบินของการบินไทยและสายการบินอื่น ๆ และต่อมาได้เปิดคลังสินค้าด้วยซึ่งถือว่าเป็นคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
-ปี 2529 การบินไทยเปิดเส้นทางการบินใหม่ไปยัง สต๊อกโฮมและตะวันออกกลาง
-ปี 2531 รัฐบาลมีนโยบาลให้มีสายการบินแห่งชาติสายเดียว เพื่อไม่ให้มีการแข่งขัน จึงให้ บริษัท การบินไทย จำกัด และบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ควบรวบกิจการกัน ทำให้การบินไทยมีเครื่องในฝูงบิน 41 ลำ มีเส้นทางการบิน 48 เมือง ใน 35 ประเทศ
-ปี 2532 การบินไทยเปิดครัวการบินแห่งใหม่ซึ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชีย มีกำลังผลิตอาหารมากกว่า 20,000 ที่ต่อวัน

ภายในท่าอากาศสุวรรณภูมิ
Photobucket

Photobucket

ยุคที่ 4 พ.ศ.2533-2542
การบินไทยได้รับเครื่องบินใหม่ ๆ เข้ามาบริการซึ่งนับว่าเป็นปีที่ได้รับเครื่องบินเข้ามาบริการเยอะที่สุด ถือว่าเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดฝูงบินและเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการบินสู่จุดหมายปลายทางต่าง ๆ ทั่วโลก โดยแบบเครื่องบินที่เข้าประจำการดังนี้
ATR42/72,Boeing 737-400,Boeing 747-400,Boeing 777-200/300,Airbus 300/310,Airbus 330-300,BAE146,MD-11,Canadia CL-601
-ปี 2534 บริษัทการบินไทย จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยทุนจดทะเบียน 14,000 ล้านบาท มีจำนวน 100 หุ้น ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2534 จึงเป็น บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) และยังได้ร่วมเป็นสมาชิกระบบสำรองที่นั่งอะมาดิอุส (Amadeus) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ครอบคลุมทั่วโลก เชื่อมโยง 98 สายการบิน
-ปี 2535 การบินไทยร่วมเปิดงานเปิดท่าอากาศยานเชียงรายโดยใช้เครื่อง Boeing 747-400 บินในเที่ยวปฐมฤกษ์
-ปี 2536 การบินไทยให้บริการโดยสารครบ 10 ล้านคน และยังเปิดบริการสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส
-ปี 2537 การบินไทยจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน
Thai Airways International Public Company Limited
และเปิดระบบให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ในหมายเลข 1566
-ปี 2538 การบินไทยได้กำหนดคำโฆษณาว่า
“การบินไทยต้องเป็นสายการบินแรกที่ผู้โดยสารเลือกในการเดินทาง”
“The Frist Choice Carrier.Smooth As Silk.Frist time.Every time.
-ปี 2539 การบินไทยเปิดเว็บไซต์เป็นครั้งแรก และควีนอาลิซาเบธเสด็จเยี่ยมฝ่ายช่างการบินไทย
-ปี 2540 การบินไทย,แอร์ แคนาดา,ลุฟฮันซ่า,สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ และยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ร่วมก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร Srar Alliance ซึ่งถือเป็นเครือข่ายพันธมิตรทางการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
-ปี 2541 การบินไทยร่วมสนับสนุนขบวน Rose Parade,California ในการโปรโมต Amazing Thailand
-ปี 2542 การบินไทยทำการเฉลิมฉลองปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุครบ 72 ชันษา โดยพ่นสีบนเครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำ เป็นรูปเรือสุพรรณหงส์ และเครื่อง Airbus A330-300 จำนวน 1 ลำ เป็นรูปเรือนารายทรงสุบรรณ

Photobucket

ยุคที่ 5 พ.ศ.2543-ปัจจุบัน
การบินไทยมีการรับเครื่องบินใหม่ ๆ เพื่อประจำการในฝูงบินต่อเนื่องเป็นช่วงที่ต้องเจอกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และราคาน้ำมัน
-ปี 2543 การบินไทยมีอายุ 40 ปี และการบินไทยมีกำไรต่อเนื่องมาตลอด 35 ปี (ตั้งแต่ 2508)
-ปี 2546 การบินไทยสนับสนุนการขนส่งแพนด้าจากประเทศจีน โดยเครื่อง Airbus A300-800 ไปรับแพนด้าจากประเทศจีนบินตรงมาเชียงใหม่
-ปี 2547 เปิดเส้นทางใหม่ไปยัง บังกาลอร์ มิลาน จึงหง และเปิดสายการบินต้นทุนต่ำเพื่อแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำอื่น ๆ ที่กำลังเกิดและได้รับความนิยมในประเทศไทย
-ปี 2548 การบินไทยมีการปรับปรุงสัญลักษณ์ เครื่องแบบพนักงาน ลายเครื่องบิน เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น และได้ทยอยเปลี่ยนลายเครื่องบินจนครบทุกลำ สัญลักษณ์ใหม่ของการบินไทยเป็นการนำแนวคิดและลวดลายอันอ่อนช้อยงดงามด้านศิลปะไทยมาผสมผสานสร้างเป็นรูปแบบสัญลักษณ์ขึ้นเพื่อสื่อความหมายภาพลักษณ์ของความเป็นไทยอย่างชัดเจน
สีและความหมาย
สีเหลืองทอง สื่อความหมายศิลปะไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอันได้แก่ความระยิบระยับของสีทองตามวัดวาอาราม
สีชมพูและม่วง สื่อความหมายของภาพลักษณ์ที่คุ้นตาของคนไทยและต่างประเทศ ที่มักพบเห็น 2 สี ดังกล่าวจากลายผ้าไหมไทย และสีดอกกล้วยไม้
ดังนั้นสัญลักษณ์การบินไทย จึงประกวดด้วยลวดลาย และสีสันแบบไทย จึงสามารถแสดงเอกภาพบ่งบอกลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจนทีเดียว
-ปี 2549 การบินไทย จัดงานดอนเมืองรำลึกสู่จุดหมายเดียวแห่งฝัน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง
-ปี 2550 ได้รับรางวัลมากมายจาก Skytrax
-ปี 2551 ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงภาวะการเมืองในไทย ทำให้การบินไทยขาดทุนครั้งแรกในรอบ 43 ปี
-ปี 2553 ประกาศแผน TG100 เพื่อนำไปสู่การเป็นสายการบินต้น ๆ ของโลก

Photobucket

อ้างอิงข้อมูล The Aerospace Mag. , Wilipedia ,การบินไทย
อ้างอิงรูปภาพ Airlines.net




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2556 11:32:40 น.
Counter : 4328 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

SkyWalKeR-TH
Location :
พระนครศรีอยุธยา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ถ้าเรารักใครซักคน เราต้องรักเค้าให้มาก ๆ ไม่สำคัญหรอกว่าเค้าจะรักเราหรือไม่ มันสำคัญแค่ว่าเรายังรักเค้าอยู่หรือเปล่า แค่เราสามารถช่วยเค้าได้ นั้นก็มีความสุขแล้ว
Friends' blogs
[Add SkyWalKeR-TH's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.