ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ประวัติของรองเท้าดังตอน 6 นันยาง




รองเท้าพื้นสีเขียว

ราวพุทธศักราช 2500 เพียรศักดิ์ ซอโสตถิกุล บุตรชายคนโตของวิชัย ซอโสตถิกุล กลับมาจากประเทศอังกฤษพร้อมกับความรักกีฬา โดยเฉพาะแบดมินตัน จึงต้องการออกแบบและผลิตรองเท้านันยางรุ่นใหม่ ให้เหมาะกับการเล่นแบดมินตัน จึงได้ผลิตรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่ รุ่น 205 S ซึ่งพัฒนามาจากรุ่น 205 แต่มี พื้นสีเขียว ซึ่งนับเป็นสีที่แปลกมากในขณะนั้น ด้วยเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการแบดมินตันไทย ซึ่งภายหลังได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ทำให้รองเท้านันยางรุ่น 205S ที่เพียรศักดิ์ออกแบบ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักแบดฯโดยไม่ได้คาดว่า รองเท้าพื้นเขียวนี้จะไปอยู่ในใจของหมู่นักเรียนไทยในไม่กี่ปีต่อมา

ด้วยความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรอปกับการขยายตลาดของสินค้านันยาง ส่งผลให้บริษัทฯ ตัดสินใจลงทุนขยายและพัฒนาฐานการผลิตไปยังศูนย์การผลิตแห่งใหม่ที่ทันสมัย ห่างจากโรงงานเดิมประมาณ 3 กิโลเมตร (บริเวณเขตบางแคในปัจจุบัน) และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัดขึ้น เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512



2522 - 2540 ปรากฏการณ์พื้นเขียว
ด้วยการเติบโตทางธุรกิจ บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด จึงเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัดในพ.ศ. 2522 และ ย้ายสำนักงานขายจากแยกตลาดน้อย มาบริเวณถนนสี่พระยา เขตบางรัก เมื่อปีพ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯในปัจจุบัน

ในช่วงแรก “นันยาง พื้นเขียว” จึงเป็นที่นิยมเฉพาะในหมู่คนเล่นแบดมินตัน จนกระทั่งขยายตัวไปยังกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ทำให้นักเรียนในยุคนั้นรู้จักรองเท้านักเรียนนันยาง และใส่กันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา รองเท้าผ้าใบพื้นเขียวได้รับความนิยมอย่างมาก จนได้รับรางวัล “ผู้ผลิตสินค้าไทยดีเด่น” จากรัฐบาล เมื่อพ.ศ. 2527


รองเท้านันยางพื้นเขียว รุ่น 205-S เป็นที่นิยมอย่างเป็นปรากฏการณ์ของวงการรองเท้าไทย ที่ให้ความนิยมและยอดซื้อได้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนชายที่ใส่ทั้งไปโรงเรียน เล่นกีฬา หรือไปเที่ยว โดยมีการปรับดีไซน์เล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวัยรุ่นในแต่ละยุค แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ คือ การเป็นผ้าใบพื้นเขียวมาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโลโก้ “Nanyang” บนตัวรองเท้าเพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคทราบว่าใส่รองเท้านันยางของจริงเท่านั้นในช่วงต้น พ.ศ. 2537


นันยางยังไม่ลืมว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญต่อทรัพยากรบุคคลของประเทศ จึงมีการมอบทุนการศึกษา “บุญสม ซอโสตถิกุล” ให้กับนักเรียนทุกปี ตั้งแต่พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา


2541- ปัจจุบัน
เมื่อก้าวมาสู่ยุคแห่งโลกาภิวัฒน์และการสื่อสาร การแข่งขันทางการตลาดเข้มข้นยิ่งขึ้น กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นันยางได้เริ่มทำภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2531 รวมทั้งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ทางสื่อสิ่งพิมพ์เพิ่มมากขึ้น มีการแลกซื้อของเล่นแปลกๆ ซึ่งเป็นของเล่นที่ไม่มีขายในประเทศไทยในสมัยนั้น และเมื่อระบบอินเตอร์เน็ตกำลังจะมีบทบาทสำคัญในไม่ช้า

นันยางได้เปิดเวปไซต์ //www.nanyang.co.th เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารใหม่กับลูกค้าและส่วนงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ในต้นพ.ศ. 2541

พ.ศ. 2542 ปรับปรุงระบบกระจายสินค้า โดยพัฒนาโรงงานแห่งแรกที่ได้ย้ายฐานการผลิตไปแล้ว บริเวณแขวงบางหว้า มาเป็นการศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบคลังสินค้า ขนส่งและการกระจายสินค้าให้ทันสมัย รองรับกับความต้องการของตัวแทนจำหน่ายที่เพิ่มมาขึ้น และกระจายอยู่ทั่วประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้นันยางยังได้กระจายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เริ่มตั้งแต่ เทสโก้ โลตัสใน พ.ศ. 2545 รวมไปถึง เซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอล บิ๊กซี และคาร์ฟูร์ต่อมาภายหลัง


การสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ใช้รองเท้านันยางเป็นไปอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ภาพยนตร์โฆษณา และสื่อต่างๆ ของนันยางหลายเรื่องในยุคนี้เป็นเรื่องราวต่างๆที่เกินขึ้นในโรงเรียน ยังเป็นที่กล่าวขานและประทับใจของคนไทย เช่น เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ, เหยียบส้น เป็นต้น

ในขณะที่โฆษณารองเท้าแตะฟองน้ำนันยาง ชุดบลูด๊อก เป็นตัวแทนจากประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศ Cresta Award (www.cresta-awards.com) ประเภท Print Advertising และ Outdoor & Ambience Advertising ในปีพ.ศ. 2550 โดยสมาคมโฆษณานานาชาติ (International Advertising Association) ร่วมกับ Creative Standards International


สื่อมวลชนหลายสำนักได้ยกให้นันยางเป็นสินค้าคุณภาพที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนั้น อาทิ นิตยสาร OOM ได้มอบรางวัล Another Design Award 2007 ประเภท Classic Product


“วัสดุธรรมดาๆ ที่ได้รับการออกแบบจนอยู่เหนือกาลเวลา เหมือนกับ Levi’s หรือ Converse ที่ยิ่งใส่ยิ่งเก่า ยิ่งเก่ายิ่งเท่ เรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองตลอดอายุการใช้ งาน คุณค่าทางอารมณ์นี้เอง ที่ไปตรงกับความต้องการของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งอยากเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง นี่คือจุดเด่นที่ดีไซน์ไทยอย่าง นันยาง สร้างได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง”

ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ Thailand Creative & Design Center (TCDC) กล่าวถึงรองเท้านันยาง ในงานนิทรรศการรองเท้าไทยว่า

“รองเท้าผ้าใบนันยางรุ่นพื้นเขียวคลาสสิกให้เสียงเอี๊ยดอ๊าดยามเดิน เป็นที่นิยมหมู่นักเรียนชายไทยมานานกว่า 50 ปี โดยมักสวมใส่แบบเหยียบส้นให้ดูเก๋า”

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360 รายสัปดาห์ ตีพิมพ์บทความชื่อ “เปิดตำรารบ 3 เรือธงในสมรภูมิเลือด” ที่กล่าวถึงสินค้าอย่าง มาม่า ชาเขียวโออิชิ และรองเท้านักเรียนนันยาง ที่สามารถฝ่ากระแสอุปสรรคต่างๆ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา

“เอกลักษณ์การเป็น 'รองเท้าผ้าใบพื้นเขียว' ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักเรียนชาย จนกลายเป็นต้นแบบที่ทำให้ผู้ผลิตรองเท้ารายอื่น ต้องเพิ่มคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าด้วย จนมีผู้ลอกเลียนแบบสินค้านันยางเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้ผลิตรองเท้าออกสินค้าพื้นเขียวจำนวนมาก แต่ในฐานะที่นันยางเป็นแบรนด์แรกที่ทำการออกแบบรองเท้าผ้าใบรุ่นดังกล่าวและคุณภาพที่ดีกว่า ทำให้นันยางสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองเป็น 'ต้นตำรับ' ผ้าใบพื้นเขียว ที่กลายเป็นจุดขายและจุดแข็งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้”

พ.ศ. 2553 บริษัท มายด์แชร์ มีเดียเอเยนซี่ผู้นำด้านการตลาดและเครือข่ายสื่อ ได้ศึกษาวิจัยข้อมูลกลุ่มวัยรุ่น วัยระหว่าง 18-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชี้นำเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อดูว่าคนกลุ่มนี้คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ "เจ๋ง" หรือ "เท่" สำหรับพวกเขาบ้าง ภายใต้หัวข้อ "What"s Cool" โดย รองเท้านันยาง เป็นหนึ่งในสินค้าที่ “เจ๋ง” และ “เท่ห์” ของวัยรุ่น เช่นเดียวกับ X-BOX, Ray-Ban, Converse, Apple, You Tube, Mini, Nike, BMW, BlackBerry, สิงห์, แม่โขง, และเสื้อตราห่านคู่ ฯลฯ

การเดินทางที่ผ่านมาบนรองเท้านันยาง ด้วยตระหนักถึงคุณภาพของสินค้า การบริหารและดำเนินธุรกิจด้วยคุณธรรม จากเด็กชายชาวฮกเกี้ยนคนหนึ่ง ถึงพนักงานบริษัทและบริษัทในเครือกว่าหมื่นชีวิต ทำให้บริษัทและสินค้าของบริษัทเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษ และจะดำเนินต่อไปอย่างก้าวหน้าและมั่นคง

VISION  วิสัยทัศน์
สู่ความเป็นผู้นำธุรกิจรองเท้า
อย่างสร้างสรรค์

MISSION  พันธกิจ
ผลิตสินค้าคุณภาพ
ค้าขายด้วยคุณธรรม
ประกอบธุรกิจอย่างสร้างสรรค์

หากจะพูดถึงรองเท้าฟองน้ำ และรองเท้าผ้าใบที่มีพื้นสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์
ชื่อแรกที่ทุกคนจะนึกถึง คงเป็นคำอื่นไปไม่ได้นอกจากคำว่า “นันยาง” รวมไปถึงตราสัญลักษณ์ “ช้างดาว” ที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพ ซึ่งอยู่คู่กับเท้าคนไทยมานานกว่า 60 ปี

นันยาง คือ ผู้ผลิตรองเท้าคุณภาพ โดยแรกเริ่มเราสั่งผลิตภัณฑ์นี้ จากประเทศสิงค์โปร์เข้ามาจำหน่าย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2489 ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี.. จากนั้นนายห้างวิชัย ซอโสตถิกุล จึงขอซื้อกรรมวิธี การผลิตจากสิงคโปร์ และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 โดยใช้ชื่อ นันยาง “ตราช้างดาว”  สำหรับที่มาของคำว่า “นันยาง” นั้นมาจาก “หนำเอี๊ย” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ซึ่งในภาษาจีนกลางจะออกเสียงว่า “หนันหยาง” แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อมาถึงในบ้านเรา บริษัทฯ จึงเรียกทับศัพท์ภาษาจีนเป็น “นันยาง” ให้เรียกชื่อสินค้าได้ง่าย ดูเป็นคำไทยยิ่งขึ้น และ มีคำที่มีความหมายอยู่ด้วย คือ "ยาง" เพราะเป็นรองเท้าเจ้าแรกและเจ้าเดียวในทวีปเอเซีย ที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติแท้ 100%  ทำให้มีคุณภาพดี ทนทานต่อการใช้งาน และสามารถใส่เดินได้มากกว่า 1,000,000 ก้าว

ปัจจุบัน นอกจากนันยางจะเป็นที่นิยมในประเทศแล้ว  ยังส่งออกไปต่างประเทศมากมาย เช่น จีน ลาว กัมพูชา  เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ ปากีสถาน อินโดนิเซีย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการแปรรูปสินค้าเกษตรไทย และสร้างรายได้กลับเข้าประเทศ
จากความสำเร็จในอดีต สู่ความมั่นคงในปัจจุบัน ก้าวต่อไปของตำนานนันยาง คือการมุ่งมั่น ที่จะเติบโตเป็นผู้นำธุรกิจรองเท้าอย่างแท้จริง   เราจะเปลี่ยนมุมมอง และแนวทางการดำเนินธุรกิจ ให้สอดรับกับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ด้วยการผลิตสินค้าคุณภาพ ค้าขายด้วยคุณธรรม ประกอบธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐาน การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่ “ศตวรรษนันยาง” อย่างมั่นคง และ เป็น “ตำนาน” ที่ยั่งยืนตลอดไป

การเดินทางของช้างตัวหนึ่งที่ชื่อ “นันยาง”

2450 – 2462 เสื่อผืนหมอนใบ
สมัยตอนต้นรัชกาลที่ 6 หนุ่มน้อยจากมณฑลฮกเกี้ยน ชื่อซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล เดินทางเข้ามา ยังแผ่นดินไทยครั้งแรกพร้อมบิดา เมื่ออายุ 15 ปีโดยอาชีพแรกของเขาเมื่อถึงแผ่นดินไทย คือขายเหล็กในโรงงานของผู้เป็นน้องของบิดา


2463 – 2477 ก่อร่างสร้างตัว
หลังผ่านการทดสอบในระดับหนึ่ง เขาก็สั่งสมประสบการณ์ในหน้าที่การงาน จนถึงระดับได้ทำหน้าที่ หลงจู๊ ในโรงไม้จินเส็ง ซึ่งมีสำนักงานอยู่ใกล้วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒารามในปัจจุบัน) ในพระนคร

วิชัยพบรักกับสาวไทยเชื้อสายจีนที่เป็นคนอยุธยา บุญสม บุญยนิตย์ หลังจากแต่งงานเป็น ครอบครัวที่สมบูรณ์ อาชีพในโรงไม้ก็ยังมั่นคง เขาได้บุตร-ธิดาเป็นทายาทสืบทอดตระกูล ซอโสตถิกุล รวมทั้งสิ้น 9 คน ด้วยสภาพการต่อสู้อันยากลำบากจากจุดเริ่มต้นยังดำเนินต่อไป กว่าจะตั้งหลักทางธุรกิจได้ก็ ต้องวนเวียนอยู่กับการเป็นลูกจ้างอยู่ในระยะนี้


2478 – 2490 บริษัท ฮั่วเซ่งจั่น จำกัด
ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 วิชัยตัดสินใจลาออกจากการเป็นหลงจู๊ในโรงไม้แห่งเดิม เพื่อก่อตั้งบริษัท ฮั่วเซ่งจั่น จำกัด โดยเช่าอาคารสำนักงาน 2 ชั้น บริเวณหัวโค้งเชิงสะพานพุทธฯ (บริเวณถนนตรีเพชร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนครในปัจจุบัน) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผันตัวเองขึ้นมาเป็น “เถ้าแก่” บุกเบิกธุรกิจของตัวเอง โดยธุรกิจของเขาเริ่มต้นในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลก ไม่ได้ซับซ้อนมากไปกว่าการซื้อมา-ขายไป


2491 – 2495 บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด, รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ “หนำเอี๊ย”
เมื่อควันของสงครามยุติลง สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ วิชัย ซอโสตถิกุล และครอบครัว ย้ายกลับมาเข้าในกรุงเทพฯ หลังหลบภัยสงคราม และตั้ง บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2491 โดยยย้ายสำนักงานไปอยู่บริเวณย่านตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ (บริเวณตรงข้ามซอยสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ในปัจจุบัน) ช่วงนี้เองที่ธุรกิจของวิชัย ซอโสตถิกุล เริ่มมั่นคงและขยายตัวรุดหน้าไปเรื่อยๆ มีการติดต่อกับต่างประเทศ นำเข้า-ส่งออกสินค้าหลากหลายชนิด รวมถึงรองเท้าจากประเทศสิงค์โปร์ ยี่ห้อหนำเอี๊ย (แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ณ จุดนี้เองเป็นจุดสำคัญที่มีการติดต่อร่วมทำธุรกิจระหว่าง นายโซว คุน ชู (Mr. Soh Koon Choo) ประธานบริษัทนันยางสิงคโปร์ และวิชัย ซอโสตถิกุลซึ่งตัวแทนนำเข้ารองเท้ายี่ห้อ หนำเอี๊ย เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้น มีจำหน่ายเฉพาะรองเท้าผ้าใบรุ่น 500 สีน้ำตาล พื้นยางสีน้ำตาล บรรจุถุงกระดาษสีน้ำตาล ในราคาคู่ละ 12 บาท

การขายรองเท้าผ้าใบหนำเอี๊ยใน 2 ปีแรกยังขาดทุน เนื่องจากประสบกับภาวะต้นทุนที่สูงมาก แต่ภายหลังเมื่อตลาดเริ่มตอบรับดีขึ้นในตลาดสำเพ็ง และลูกค้าทางภาคเหนือ เนื่องจากคุณภาพที่ดี จนมีคนกล่าวติดตลกว่า “ใส่เดินข้ามภูเขาไปกลับได้สบายๆ ส่วนยี่ห้ออื่น ขาไปใส่หนึ่งคู่พังพอดี ต้องเตรียมไปอีกหนึ่งคู่เพื่อใส่กลับ”

เมื่อรองเท้าผ้าใบรุ่น 500 เป็นที่นิยมอย่างมากในเวลาต่อมา ทำให้บริษัทฯ ลดการนำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆ และเน้นการขายรองเท้าเพียงอย่างเดียว ขณะนั้นเองเป็นได้เปลี่ยนจากชื่อยี่ห้อจาก หนำเอี๊ย ซึ่งเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นภาษาจีนกลางที่ออกเสียงว่า หนันหยาง แต่เพื่อให้เรียกสินค้าได้ง่าย และดูเป็นคำไทยขึ้น จึงใช้ชื่อว่า “นันยาง ตราช้างดาว” และได้จดทะเบียนการค้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492

2496 – 2510 ก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ของรองเท้านันยาง
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเกี่ยวเนื่องกับการเสียดุลการค้า บริษัทฯ จึงมีแนวคิดจะผลิตสินค้าเอง โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในประเทศ

ในที่สุดนายห้างวิชัยได้ตัดสินใจร่วมทุนกับคุณชู (Mr. Soh Koon Choo) และกลุ่มนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ก่อตั้ง บริษัท ผลิตยางนันยาง(ไทย) จำกัด บนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เรียบถนนเพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ (ในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2496 เพื่อเป็นฐานการผลิตรองเท้านันยางในประเทศไทย และเพิ่มประโยคที่ว่า “Made in Thailand” ในเครื่องหมายการค้า “นันยาง ตราช้างดาว” เดิม และขอซื้อกรรมวิธีการผลิตจากสิงคโปร์ โดยในช่วงแรกเมื่อช่างไทยยังไม่มีความชำนาญ ได้มีช่างจากสิงค์โปร์มาประจำ 30 คน ซึ่งเดินทางโดยเรือมาจากสิงคโปร์ไปมาเลเซีย และนั่งรถต่อมาถึงกรุงเทพฯ และผลิตรองเท้าได้ประมาณวันละ 70 คู่เท่านั้นเอง

ขณะที่นายห้างวิชัยดูแลภาพรวมของบริษัท คุณนายบุญสม ซอโสตถิกุล ภรรยาคู่ใจ หลังจากที่ลูกสาวคนสุดท้องอายุ 2 ขวบ ได้อาสาดูแลการผลิต และควบคุมคุณภาพสินค้าด้วยตัวเองทุกวัน บ่อยครั้งจะลงมือคัดเลือกรองเท้าที่ไม่ได้มาตรฐานด้วยตนเอง ก่อนที่สินค้าจะส่งออกสู่ตลาด


2499 – 2521 เติบโตอย่างมั่นคง
รองเท้าผ้าใบนันยางได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและเพื่อนบ้าน โดยรองเท้าผ้าใบรุ่น 500 ยังคงเป็นที่นิยมของวัยรุ่น และคนทำงานสมัยนั้น นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2499 ยังมีการเริ่มต้นผลิตรองเท้าแตะฟองน้ำ รุ่น200 ด้วยการพัฒนาส่วนผสมและกระบวนการผลิตอย่างลงตัว ทำให้รองเท้าแตะฟองน้ำ รุ่น 200 ของนันยาง ตราช้างดาวขณะนั้นได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ซึ่งในช่วงแรกมีสองสีคือ สีน้ำตาลและสีน้ำเงิน บรรจุในถุงพลาสติกใส จำหน่ายในราคาคู่ละ 15 บาท

ขอบคุณที่มา: //www.nanyang.co.th/2010/about.html




 

Create Date : 24 กันยายน 2559   
Last Update : 24 กันยายน 2559 23:48:04 น.   
Counter : 31212 Pageviews.  

อภัยทาน รักบริสุทธิ์





อภัยทาน รักบริสุทธิ์


ชีวิตคือการลงทุน ตัวชีวิตคือต้นทุน สิ่งที่ได้มาหลังจากชีวิตคือกำไรทั้งหมด การเกิดมาในโลกนี้ เหมือนการมาเที่ยว หรือไปเที่ยวต่างประเทศ เราชื่นชมได้ทุกอย่างที่เห็น แต่เมื่อจะเดินทางกลับจะต้องวางทุกอย่างไว้ที่เดิม เพราะนั่นเป็นสมบัติของแผ่นดินนั้นเก็บเอาเพียงความสุข ความเบิกบานใจ ไปติดตัวกลับบ้านก็พอ ชีวิตในโลกนี้มีทั้งกำไรที่เป็นสินทรัพย์และกำไรที่เป็นอริยทรัพย์ สินทรัพย์เราทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติของโลกต่อไป ให้คนอื่นชื่นชมด้วย หากเรามีโอกาสกลับมาเที่ยว (เกิดใหม่) อีก เราก็มีโอกาสได้ชื่นชมอีก อริยทรัพย์ คือ บุญ ความสุข ความเบิกบานใจ อิ่มใจ พอใจ เป็นสมบัติแท้ของเราตามเราไปได้ทุกแห่งหน

การลงทุนให้ได้กำไร คือหัดทำความพอใจในสิ่งที่เรามีความโชคร้ายของมนุษย์ คือการไม่รู้ว่าตนเองโชคดี

ทุกชีวิตล้วนมีภัย ภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที ภัยที่เกิดจากภายนอก ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายใน

ภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้น กระทบเราน้อยกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง บางคนทำผิดแล้ว กลับมานั่งเสียใจในภายหลังก็บ่อย ภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษ ที่ปลิดชีวิตจิตใจเราได้ทั้งสิ้น

มนุษย์อื่นทำลายเรา ก็ทำได้เพียงขณะหนึ่ง แต่จิตที่ตั้งไว้ผิดจะทำลายเราข้ามภพชาติ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอนเรื่อง “อภัยทาน” คือการยกโทษ แสดงอโหสิกรรมต่อกัน
ไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่งคือ เมื่อจุดธูปขอขมาศพ ก็จะขออโหสิกรรมต่อกัน คืออย่าได้มีเวรต่อกันในภพหน้า ให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้ แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อกัน

บางครั้ง พิธีสำคัญในชีวิต เรามักจะไปขอพรผู้ใหญ่ และกล่าวว่ากรรมใดที่เราได้ล่วงเกิน ขอให้ท่านยกโทษให้ คือให้สิ่งที่เราทำเป็นอโหสิกรรม ทำให้ใจเราว่างเพียงพอเพื่อรองรับความดี ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ เช่น พิธีบวช เป็นต้น

การแสดงอภัยทานเป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผล ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติว่า ให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด และยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วย

เราต้องถามตนเองก่อนว่า เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคนๆ นั้นเพียงภพนี้ หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกต่อไป เราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้า เรามีสิทธิเสรีในตัวเรา

บางคนรักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติ บางคนก็อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ก็ไม่ยกโทษ ในที่สุดผลของการไม่ยกโทษ คือไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา

การให้อภัย จะทำใหเราสามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่ เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย
การให้อภัย คือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทาน เวลาจะให้ ไม่ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาของเนเรา เราต้องควักกระเป๋าให้ แต่ให้อภัย เราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู้สึกว่าเป็นการศูญเสีย

ขอให้เราภูมิใจ เมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา หรือเมื่อสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน การขอโทษหรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาด

ใครจะคิดอย่างไรมิใช่ประเด็น แต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่า เราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันที
การผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะ เป็นต้น เป็นเสมือนเชื้อไวรัส อภัยทาน คือ เครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเรา เหมือนคอมพิวเตอร์

ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำที่เลวร้ายหรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต

เราต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุข มีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบ หรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจ ด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้ กำหนดได้ที่ตัวเราเอง กำหนดวิธีคิดให้ถูกต้อง
ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้

ขอให้เรามาคิดดูว่า ในชีวิตของเราคนหนึ่ง อย่างเก่งก็อยู่ได้ ๙๐ ปี เกินนี้ไปถือเป็นกำไรชีวิต ทำไมเราจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมเราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก บางครั้ง การยอมแพ้ อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพชาติ การยกโทษ อาจดูเหมือนเรายอม เราไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วเขาจะได้กำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบความจริงไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ “อภัยทาน” อันเป็น “ทานบารมี” ที่สูงส่ง

เราอาจคิดว่า การให้อภัยบ่อยๆ แก่คนบางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เสมอๆ งานก็ไม่สำเร็จ ยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อให้อภัย ในเราก็เบา เพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะมากัดใจให้ผุกร่อน

วิธีคิด มีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอๆ ว่า แพ้หรือชนะ อยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้ว คำว่า “กำลังใจ” ก็คือวิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือ การที่ใจมีกำลัง

มนุษย์เราจึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งเราให้คนอื่นได้มากเท่าไร กำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแต่เรามากเท่านั้น เหมือนวิชาความรู้ ยิ่งให้ยิ่งพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัว ก็ยิ่งหดหาย

การให้อภัย อาจพูดง่าย แต่ทำยาก แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะในไม่อยากทำ แต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราฝืนใจทำ และจะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อครวญคำนึง

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าคิดมาก เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใคร และเป็นคนผูกโกรธ ผูกเกลียด ผูกอาฆาต พยาบาท มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งตายไปพร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต

ท่านเล่าว่า เขาอธิษฐานไปเกิดเป็นลูกของศัตรู เพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิด แนบเนียนที่สุด จะได้เผาผลาญคนนั้นให้ถึงที่สุดให้ทุกข์ที่สุด ให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลา เขาเป็นลูกเกเร ผลาญทรัพย์ ทำลายวงศ์สกุล นำความทุกข์เดือดร้อนเข้าบ้านทุกวัน

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเป็นหลักใจว่า คนที่ตายขณะจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบาย แม้คนพวกนี้ จะไม่เชื่อเรื่องอยาย เรื่องนรกที่เป็นภพภูมิ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงนรกคือความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกรุ่นภายในใจ ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่ตายขณะจิตผ่องใส จะไปสู่สวรรค์ คือสภาพที่ใจปลอดโปร่งโล่งเบา ก็จะมีแก่ผู้นั้น

สิ่งที่น่าคิดก็คือ ข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโบราณ ท่านพูดเอาไว้ว่า การที่เราโกรธใคร เราไม่ให้อภัยเขา หรือเราไม่ไปขออโหสิกรรม ความโกรธนั้นจะเป็นกรรมหนักติดตัว คืดติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า ไม่ว่าเราจะไปเกิดภพใดชาติใดกรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด

ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลข้ามภพข้ามชาตินั้น เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เราได้ทำอะไรกับใครไว้บ้างในครั้งอดีต

คนบางคนเกิดมามักถูกใส่ร้ายตลอดเวลา ไม่ว่าจะหันไปทำอะไร จะมีแต่คนคอยจ้องจับผิด คิดร้าย นินทาลับหลังให้ต้องเสียใจอยู่เสมอ บางคน คิดทำอะไรขึ้นมา พอจะสมหวังก็กลับมีอันต้องเป็นไปให้ผิดหวัง พลาดหวังอยู่บ่อยๆ เราก็คิดว่าเป็นเรื่องของโชควาสนาไป แต่ความจริงคือเรื่องอดีตกรรมที่เราไม่ยอมแก้ไข ทั้งๆ ที่แก้ไขได้

ยิ่งไปกว่านั้น บางคนต้องทุกข์เพราะคนใกล้ตัว ทุกข์เพราะคนที่เรารัก ที่เป็นตัวชีวิตของเราเอง เช่น มีลูกเกเร ทำให้พ่อแม่เสียใจ มีลูกผลาญทรัพย์ มีลูกไม่อยู่ในโอวาท มีลูกอกตัญญู มีลูกทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล พ่อแม่คิดถึงลูกทีไร ก็มีแต่เรื่องร้อนใจตลอดเวลา

เราจะเห็นว่า บางครอบครัว ญาติพี่น้องต้องทะเลาะกันเหมือนเป็นข้าศึกศัตรูกันมาหลายภพหลายชาติ บางทีต้องฆ่ากันเป็นทอดๆ ถามว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ปัญญาธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกเราพอจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ กฎหมายที่มีอยู่สามารถคลี่คลายปมปัญหาได้ไหม คำตอยคือยาก เพราะนี่เป็นเรื่องของเศษกรรมที่ยังมิได้รับ “อโหสิ” ระหว่างเราและเขา

ฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการเสวยวิบากกรรมอันเลวร้ายข้ามภพ ข้ามชาติ ท่านต้องหัดให้อภัยแก่คนทุกคน แก่สัตว์ทุกชนิด ให้อภัยแม้ศัตรูที่คิดจะทำร้ายหมายปองชีวิตเรา อภัยต่อทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับเรา ให้ทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมทั้งหมด เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในอนาคต

บางครั้ง เราเห็นเรื่องจริงในชีวิตจริง หรืแม้แต่ที่ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ หากเรามองย้อนคิดให้ดีสักนิด นิ่งคิดให้ละเอียดลึกซึ้งสักหน่อย เราก็จะเข้าใจได้ว่า การไม่ให้อภัยกันนั้น มีผลร้ายข้ามภพข้ามชาติได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

บางคนเราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าก็รู้สึกไม่ชอบทันทีเลย จะพูด จะคุย จะทำอะไร ดูจะเกะกะลูกตาของเราไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราก็เช่นกัน นั่นเป็นเพราะอดีต เราไม่ยอมให้อภัยกัน

สิ่งที่มนุษย์เรารักกันมากที่สุด คือ สามี ภรรยา ลูก แต่ทำไมบางที เมื่อแต่งงานกันแล้ว สามีสามารถฆ่าภรรยาได้ หรือภรรยาก็สามารถฆ่าสามีทิ้งได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะอะไร ไม่มีสิ่งใดที่จะอธิบายได้ดีเท่ากับบอกว่า นั่นคือผลกรรมที่เกิดจากการไม่ยอมให้อภัยกันในอดีตชาติ และส่งผลมาถึงภพนี้ จึงต้องมาแก้แค้นชำระโทษกัน

การที่เราไม่ยอมให้อภัย เหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเรา แม้ว่าเราจะไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นใด งามเพียงไรร่างกายของเราก็ยังคงสกปรก และตามไปทุกหนทุกแห่ง ความงามของเรือนร่างที่ประดับด้วยเครื่องเพชร ด้วยเสื้อผ้า ก็ไม่อาจทำให้ร่างกายสะอาดได้ การให้อภัย เปรียบเหมือนการอายน้ำชำระร่างกาย

ข้อนี้ เปรียบเสมือนเมื่อเราไม่ให้อภัยใคร ใจเราย่อมดิ่งอยู่กับคนนั้น และตัวเขาก็จะถูกผูกไว้กับความรู้สึกของเรา เหมือนความสกปรกของร่างกายที่ตามเราไปตลอดเวลา เพราะไม่ยอมชำระล้างให้สะอาด

ท่านทั้งหลายอาจลืมคิดไปว่า ลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ ทำลายชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่เรามิได้อโหสิกรรมให้เขา เราไม่ได้ยกโทษให้เขา คือเราไม่ได้แก้ปมที่เคยผูกไว้ให้หลุดออกไป กรรมระหว่างเรากับเขาจึงติดตามกันมาเผล็ดผลถึงวันนี้

บางที คนที่เขาโกรธเรา หากเราโกรธตอบ ก็จะเป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนเราโทรศัพท์ถึงกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทรถึงก็หมดสิทธิ์จะคุยกับเราเพราะกระแสไม่ถึงกัน

การตอบรับซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นความดี เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไป แต่ถ้าเป็นความเกลียด ความโกรธ สิ่งที่จะตามมาคือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกัน ทั้ง ๒ ฝ่าย

เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อน เพื่อป้องกันจิตเรามิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ เราอาจคิดเสมือนหนึ่งเขาไม่ได้มีอยู่ในโลกนี้เลยก็ได้ การให้อภัยเขา คือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง
ก็เมื่อแม้แต่รัก ท่านยังสอนให้เราละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธ เป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้

การที่เราเห็นสิ่งผิดปกติในชีวิตเราบางครั้ง เช่น มีแต่เรื่องให้เกิดทุกข์ มีแต่คนทำให้ใจขุ่นมัว มีลูกไม่ดี มีหลานไม่สมประสงค์ ทำให้เราต้องเก็บมาคิดเสมอ ขอให้เราถือว่า นี่คือเศษเสี้ยวแห่งผลกรรมที่ติดอยู่ในความคิดตั้งแต่อดีตชาติ ซึ่งบัดนี้เผล็ดผล งอกงามออกมาอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด

วิธีแก้คือ ต้องอภัยให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วินาทีนี้ทันที เพื่อภพชาติต่อไปเราจะได้ไม่ต้องรับรู้ความทุกข์ของใครต่อใครอีก พึงทราบว่า คนที่ทำให้เราทุกข์ใจที่สุด คือคนที่เรารักที่สุด คือผู้อยู่ใกล้เราที่สุด

บางครั้ง ศัตรูยอมอธิษฐานจิตแห่งความพยาบาท ให้มาเกิดเป็นลูกของเรา เป็นหลานของเรา เป็นญาติของเรา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเราก็มี เพื่อเขาจะได้ทำลายน้ำใจ ชื่อเสียง วงศ์สกุลของเราให้ถึงที่สุด นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้อโหสิกรรมต่อเขา หรือไม่ได้แสดงอภัยทานต่อเขาจากชาติที่แล้วนั่นเอง

ฉะนั้น ทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิตใครหรือแม้แต่เกิด กับเราเอง และเราเองไม่สามารถจะวิเคราะห์ได้ด้วยปัญญาธรรมดา ขอให้ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกรรมดูบ้าง ก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้

การคิดถึงกฎแห่งกรรม หาใช่การคิดแบบทอดธุระ หรือโยนบาป โดยไม่คิดจะแก้ปัญหาไม่ การคิดเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นหลักการสัญข้อหนึ่งในการแก้ปัญหาทางใจตามหลักพระพุทธศาสนา หลักธรรม เป็นกฎเกณฑ์ที่ให้ผลได้แยบยลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก ที่สลัดไม่ออก ที่ไม่มีทางจะหลบลี้หนีได้ เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิต เราต้องพิจารณาความจริงย้อนหลัง และยอมรับเหตุการณ์นั้นให้ได้

สิ่งหนึ่งที่ควรคิดคือ เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีตที่เราไม่ได้ทำให้เป็น “อโหสิกรรม” คือไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้ว และวันนี้สิ่งที่เกิดกับเรา จึงเป็นสิ่งสมควร สมเหตุสมผล

วิธีแก้คือ เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นให้ได้ หากคิดได้เช่นี้ ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้

ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนไม่ได้ หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆ หนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำยากหรือง่าย คำตอบคือ ทำง่าย หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ
ขอให้เราฝึกเสมอๆ ว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับเรา ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำทุกวินาที ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง “อภัยทาน” ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้ว เราจะรู้สึกว่า การให้อภัยแก่ใครนั้น เป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ

ขอให้เราทราบไว้ว่า เมื่อเราหัดสร้าง “อภัยทาน” เป็นปกติแล้ว เศษกรรมต่างๆ แทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ ก็จะถูกสลัดออก คือตามไปไม่ได้ เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

เมื่อเราให้อภัยเสียแล้ว ใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาทของเขา ก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง เนื่องจากเราได้ “อโหสิ” เสียแล้ว

จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาฝึกปฏิบัติ “อภัยทาน” และ “อโหสิกรรม” ตั้งแต่บัดนี้กันเถิด เพื่อยุติสนิมในใจ คือความอาฆาตพยาบาท เพื่อยุติแรงส่งของกรรมที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อนข้ามภพข้ามชาติ
พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ ดังนี้

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
อเวรา โหนตุ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหรตุ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน
ซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ จงเป็นผู้มีสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เทอญฯ
ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือ อภัยทาน รักบริสุทธิ์ โดย ปิยโสภณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก


โมทนาสาธุคะ
เรียบเรียงโดย: รวมมิตร
อ้างอิงจาก//www.dhammasavana.or.th เจ้าคะ




 

Create Date : 24 กันยายน 2559   
Last Update : 24 กันยายน 2559 23:41:34 น.   
Counter : 2931 Pageviews.  

อิตาลีจะมี "สตาร์บัคส์" แล้วนะ เตรียมเปิดสาขาแรกที่มิลาน



หลายๆ คนอาจไม่เคยทราบว่า ร้านกาแฟชื่อดังจากฝั่งอเมริกาอย่าง "สตาร์บัคส์" ไม่มีในขายในอิตาลี ประเทศที่มีวัฒนธรรมกาแฟฝังรากลึกซึ้ง อีกทั้งยังมีร้านกาแฟของท้องถิ่นอยู่มากมายหลายร้านอยู่แล้ว

แม้ "สตาร์บัคส์" จะโด่งดังและมีสาขาอยู่เกือบใน 70 ประเทศทั่วโลก แต่กลับไม่มีในอิตาลี ทั้งนี้เพราะคนอิตาลีนิยมดื่มกาแฟแบบเข้มข้น ที่คั่วและต้มดื่มกันเองตามแบบฉบับดั้งเดิมของแต่ละท้องถิ่น และคนส่วนใหญ่ยังชื่นชอบรสชาติกาแฟแท้ๆ แบบอิตาลีมากกว่าร้านกาแฟที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งตามจริงแล้วต้นกำเนิดของสตาร์บัคส์ ก็มาจากอิตาลี เพราะนายฮาเวิร์ด ชูลซ์ท ซีอีโอของสตาร์บัคส์ เกิดไปติดใจในรสชาติของกาแฟอิตาลี เมื่อเดินทางไปเที่ยว จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้มีร้านกาแฟอันโด่งดังนี้ขึ้นมา

สตาร์บัคส์มีแผนที่จะเปิดสาขาแรกที่เมืองมิลาน ในช่วงต้นปี 2017

//variety.thaiza.com




 

Create Date : 02 มีนาคม 2559   
Last Update : 2 มีนาคม 2559 8:24:02 น.   
Counter : 1627 Pageviews.  

รู้มั้ย วิธีสังเกต "น้ำผึ้งแท้" ทำได้อย่างไรบ้าง



น้ำผึ้งแท้ มีคุณสมบัติทางยาและมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย และด้วยเหตุที่น้ำผึ้งมีราคาแพงเมื่อเทียบกับน้ำตาล จึงมีการทำน้ำผึ้งปลอมออกมาหลอกขายเพื่อที่จะได้กำไรมากๆ วิธีสังเกตหรือพิสูจน์น้ำผึ้งแท้มีหลากหลายวิธีที่แนะนำต่อๆ กันมา เช่น

1. หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู ถ้าเป็นของปลอม หยดน้ำผึ้งจะขยาย ตัวเป็นวงกว้าง

2. เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ลงในน้ำชาจีนครึ่งแก้ว แล้วคนให้เข้ากัน ถ้าน้ำชาเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ แปลว่า เป็นน้ำผึ้งปลอม เพราะถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ น้ำชาต้องไม่เปลี่ยนสี

3. หยดน้ำผึ้งลงในน้ำ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะกองเป็นก้อนก่อน แล้วจึงค่อยๆ ละลาย

4. เมื่อใช้ไม้จิ้มน้ำผึ้งขึ้นมา น้ำผึ้งจะหยดไหลเป็นสายบางๆ ไม่ขาดสาย และจะพับกองเป็นชั้นๆ ก่อนที่จะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน

5. ถ้าเก็บในที่อุณหภูมิต่ำ (ตู้เย็น) น้ำผึ้งจะมีผลึกน้ำตาลกลูโคสตกเป็นเกล็ดเล็กๆ

6. มดไม่ขึ้น

7. เทน้ำผึ้งลงบนฝ่ามือ หากล้างออกง่ายไม่เหนียวเหนอะหนะ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้

8. หยดน้ำผึ้งที่นิ้วและคลึงไปมา ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่แห้งและยังลื่นอยู่ตลอด แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอมปน น้ำผึ้งจะตกผลึกและเหนียว

9 จุ่มไม้ขีดไฟลงในน้ำผึ้ง ถ้าจุดไฟติดแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้แน่นอน

แม้น้ำผึ้งจะเก็บได้นานเป็นปี แต่บางสภาวะน้ำผึ้งก็อาจจะเสื่อมคุณภาพได้เร็ว เช่น ถ้าหากมีการเติมน้ำหรือน้ำเชื่อมทิ้งไว้ จะเกิดการบูดและมีราขึ้น ถ้าถูกแสงก็จะเสื่อมคุณภาพเร็ว ถ้าปิดภาชนะไม่สนิทน้ำผึ้งก็จะแห้งข้น หรือถ้าเก็บไว้นานหลายๆ ปีและปิดไม่สนิท น้ำผึ้งจะเปลี่ยนสีและเสื่อมคุณภาพ


ขอบคุณข้อมูล .. มูลนิธิหมอชาวบ้าน
//variety.thaiza.com




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2559   
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2559 21:22:26 น.   
Counter : 1123 Pageviews.  

การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ

การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ


การ์ตูนผู้หญิง เกี่ยวกับความจริงที่สาว ๆ ทุกคนต้องเคยพบเจอ
ขอบคุณภาพจาก boredpanda.com

//variety.teenee.com/foodforbrain/73988.html




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2558   
Last Update : 30 ธันวาคม 2558 23:02:00 น.   
Counter : 2002 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  

sitcomthai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add sitcomthai's blog to your web]